วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2554
YB กับเรื่องราวที่กำลังจะผ่านไปในปี 2011
เป็นสัมภาษณ์ YB ในวันสิ้นปีพอดีนะค่ะจาก stars News ค่ะพูดเรื่องราวเกี่ยวกับบิกแบงและการทำอัลบั้มใหม่ด้วย >_< เนื่องจากมิวยุ่งๆส่วนที่เป็น intro มิวจะตัดออกไปนะค่ะ อ่านแต่เรื่องสำคัญๆเนอะ เวลาไม่มีเลย T_T
=================
YB กับเรื่องราวที่กำลังจะผ่านไปในปี 2011
วงไอดอลส่วนใหญ่หายากมากที่จะแต่งเพลงกันเองแต่บิกแบงแต่งเพลงเองและมีโปรดิวเซอร์เป็นสมาชิกในวง คือ จีดราก้อนด้วย ปี 2011 ที่ผ่านมาเป็นปีที่ค่อนข้างไม่ค่อนราบเรียบสำหรับบิกแบงเพราะสมาชิกในวงไปเกี่ยวข้องกับเรื่องอื้อฉาว จึงทำให้ปีที่ผ่านมาบิกแบงค่อนข้างจะเก็บตัว และแผนการที่วางไว้ก็ต้องยุติหมด ทำให้ปี 2012 ปีมังกรที่จะถึงนี้มีการตั้งความหวังไว้มากกับบิกแบง ในช่วงที่หยุดไปบิกแบงทั้ง 5 คนต่างก็ร่วมทำงานเพลงด้วยกันมากมาย แทยังมาพูดแผนการต่างๆให้เราฟังกันในวันนี้ค่ะ
- ไม่ได้เจอกันนานนะค่ะ ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง??
YB: ตอนนี้พวกเรากำลังตั้งหน้าตั้งตาทำงานเพลงของเราครับสมาชิกในวงทั้ง 5 คนมารวมตัวกันทำเพลง ตอนนี้เราได้เพลงใหม่ๆมาหลายเพลง ตอนนี้อยู่ในช่วงโค้งสุดท้ายของการทำอัลบั้มครับ ส่วนตัวแล้วผมได้ทำอัลบั้มเดี่ยวของตัวเองควบคู่ไปกับการทำอัลบั้มของบิกแบงด้วย สมาชิกวงบิกแบงยังคงอยู่ร่วมกันที่หอพักทำให้เราได้ใช้เวลาที่มีความหมายร่วมกันครับ
- เราคงพูดได้นะค่ะว่าปี 2011 นี้เป็นปีที่บิกแบงมีปัญหาน่าดูเลย
YB: จริงๆปี 2011 เป็นปีที่บิกแบงวางแผนว่าจะทำการโปรโมทอย่างหนักเลยครับ แต่เราก็ไม่สามารถ ซึ่งพูดตามตรง สมาชิกทุกคนต่างผิดหวังกันมาก แต่เราก็ได้รับอะไรมากมายในปีนี้เช่นกันนะครับ การที่เราได้ผ่านความยากลำบากมากมายร่วมกันทำให้สมาชิกในวงบิกแบงยิ่งสนิทกันมากขึ้นไปอีก เราได้รู้สึกเห็นคุณค่าของสมาชิกในวง แฟนๆ และการแสดงบนเวทีล้วนมีค่ามากสำหรับเรา นี่เป็นเหมือนจุดเปลี่ยนของบิกแบง เรารู้สึกว่าคนที่ยังคงรักเรานั้นเป็นแฟนที่แท้จริงของเรา และเราจะตอบแทนกลุ่มคนเหล่านี้ด้วยงานเพลงและการแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่เราจะทำให้ได้ให้แก่พวกเค้า เราได้วางแผนการสุดพิเศษและเตรียมตัวปรากฏตัวตามรายการต่างๆให้มากขึ้นในปีหน้า คุณจะได้รู้แผนการสุดวิเศษนั้นในอีกไม่ช้านี้แหละครับ
- ถึงแม้ว่าจะเป็นปีที่แย่ๆ แต่คุณก็สามารถเอาชนะศิลปินระดับโลกขึ้นรับรางวัลในงาน MTV Europe Music Awards (2011 EMA) ในเดือน พย โดยรับรางวัล Worldwide Act Award คุณรู้สึกยังไงค่ะ??
YB: นั่นเป็นความทรงจำที่สุดยอดเยี่ยมประจำปี 2011 เลยละครับ หลังจากที่เราได้รับรางวัลความรู้สึกจากการที่ได้ไปมีส่วนร่วมในงานนั้นมีแต่เรื่องดีๆให้จดจำ เป็นครั้งแรกที่สมาชิกในวง 5 คนมาร่วมตัวกันหลังจากที่เกิดเรื่อง และเราก็เป็นวงดนตรีจากเอเซียวงเดียวที่ไปร่วมงาน การได้ไปมีประสบการณ์แบบนั้นทำให้เรามีความปรารถนาแรงกล้าที่จะนำเพลงบิกแบงออกสู่ระดับสากลทั่วโลกครับ
- ในต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมาบิกแบงได้ขึ้นเวทีครบทั้ง 5 คนในงานคอนเสริต์ครอบครัวหลังจากที่ไม่ได้ขึ้นเวทีครบ 5 คนมาเป็นเวลานานนะค่ะ?
YB:เป็นเหตุการณ์ที่กระทบจิตใจนะครับ ก่อนหน้านี้ การที่เราต้องแสดงบนเวที 5 คนเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เราทำกันไปโดยที่ไม่มีอะไรต้องพูดมาก แต่การที่มาขึ้นเวทีร่วมกันอีกครั้งหลังจากที่บิกแบงได้ผ่านเรื่องราวต่างๆมามากมายแบบนี้ ผมมีความรู้สึกแรงกล้ามากว่าเรายังคงอยู่ร่วมกันเพื่อการแสดงบนเวทีเพื่อแฟนๆ ความรู้สึกแบบนี้คล้ายๆกับความรู้สึกที่ผมมีในช่วงที่เราออกทัวร์ที่ญี่ปุ่นเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เหนือสิ่งอื่นใด ผมรักที่บิกแบงจะอยู่ด้วยกัน 5 คนมากที่สุดครับ
-กระแส K pop ในตอนนี้มาแรงมากๆเลย ที่ญี่ปุ่นอัลบั้มของบิกแบง ที่ออกในเดือนธันวาคมก็ติดชาร์ตออเรกอนอันดับ 1 ด้วย ดูเหมือนว่าบิกแบงก็จะนำกระแส Hallyu ให้แพร่ไปไกลเช่นกัน
YB: แทนที่จะคิดถึงเรื่องความโด่งดังและยอดขาย เรามีใจที่อยากจะเป็นตัวแทนของประเทศเกาหลีและนำเสนอเพลงดีๆไปสู่ชาวต่างชาติมากกว่าครับ ดังนั้นในตอนที่เราทำงานอัลบั้มใหม่ของบิกแบงนั้นสมาชิกแต่ละคนก็ต่างปรึกษาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นดีๆร่วมกัน และเราต่างก็พยายามอย่างหนักจริงๆที่จะทำเพลงดีๆออกมา
-ในการสำรวจล่าสุด เป็นเพราะว่าคุณไม่ค่อยมีประสบการณ์ในเรื่องความรัก ทำให้คุณติดอันดับไอดอลที่มีแนวโน้มว่าจะต้องใช้เวลาในช่วงคริสมาสคนเดียว นะค่ะ
YB: พูดตามตรงนะครับ ตอนแรกผมอ่านเป็นไอดอลที่มีแนวโน้มว่าจะออกอัลบั้มในช่วงคริสมาสครับ (หัวเราะ) จริงๆแล้วโพลก็จริงนะครับ ผมใช้เวลาในช่วงคริสมาสดูหนังครับ แต่ตอนนี้ผมไม่เหงาอีกแล้วละครับเพราะพูดตามตรงนะครับผมได้หลอมตัวเองเข้ากับเสียงเพลงของตัวเอง ตอนนี้ผมตื่นเต้นมากๆกับแผนการที่เราวางไว้สำหรับบิกแบงในปี 2012 ครับ
- คุณจะพอเปิดเผยให้เรารู้ถึงแผนการของคุณและความหวังที่มีต่อปี 2012 ให้เราฟังหน่อยได้ไม๊ค่ะ??
YB: ผมจะแสดงออกให้เห็นถึงความสามารถของบิกแบงอีกครั้งครับ เราจะแสดงออกมาผ่านเสียงเพลงของเรา ไม่มีอะไรจะมาทำให้เราตกต่ำลงได้ไม่ว่าอะไรจะเิกิดขึ้น ผมจะทำงานอย่างหนักร่วมกับสมาชิกในวงเพื่อการโปรโมทที่เกาหลีและที่ต่างประเทศ จริงๆแล้วผมอยากที่จะขึ้นแสดงด้วยใจที่เราเคยทำมาแล้วในตอนที่เราเริ่มเดบิว ผมวางแผนว่าจะใช้ชีวิตดื่มด่ำไปกับเสียงเพลง
-สุดท้ายนี้ ช่วยฝากข้อความถึงแฟนๆด้วยนะค่ะ
YB: ผมไม่มีคำอื่นที่จะบอกกับแฟนๆนอกจากคำว่า ขอบคุณครับ ขอบคุณที่ยืนอยู่เคียงข้างเรา ผมมั่นใจว่าเราจะสามารถตอบแทนพวกคุณด้วยเสียงเพลง ผมจะรู้สึกพอใจมากนะครับถ้าคุณจะเชื่อใจบิกแบงอีกครั้ง ผมเกิดราศีมังกรด้วย และปีที่กำลังจะถึงก็เป็นปีมังกร ผมหวังว่าทุกอย่างที่คุณทำจะประสบความสำเร็จ และขอให้ทุกคนรักษาสุขภาพด้วยนะครับสุขสันต์วันปีใหม่ครับ
Source: Star News Translated by: SARA @ bigbangupdates | fuckyeahbigbangstuff @ tumblr Thai Translation mew in mew mini museum
วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2554
GD : เราต้องใช้ชีวิตประนึงเราเป็นเด็กฝึกตลอดไป (Shout7)
Shout of the World GD
(shout1) ความคิดเห็นของ GD ที่มีต่อสมาชิกวง บิกแบง
(shout2) ย้อนไปเมื่อผมยังเป็นศิลปินฝึกหัด
(shout3) ทำไมตอนนั้นผมถึงต้องเข้มงวดกับพวกเค้าขนาดนั้น
(shout4) ผมเป็นคนยังไงกันนะ
(shout5) อะไรที่แย่ไปกว่าการที่ต้องเผชิญหน้ากับความล้มเหลว
(shout6) เรายิ่งทอแสงสว่างยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ด้วยกัน 5 คน
=========================
เราต้องใช้ชีวิตตลอดจากนี้ไปเปรียบประหนึ่งว่าเรายังคงเป็นศิลปินฝึกหัด
ครับ เราืคือบิกแบง วงที่มีการแสดงบนเวทีที่ดียอดเยี่ยม แต่ัยังไงก็ดีส่วนตัวแล้วเราไม่เก่งเรื่องที่จะต้องเข้าสังคมกันเลย ผมรู้นะครับว่าฟังดูแล้วเหมือนกับว่าเรากำลังหาข้อแก้ตัวให้กับตัวเอง แต่นี่เป็นเรื่องจริงนะครับเพราะเราใช้เวลามากมายหมดไปในห้องซ้อม
เราใช้เวลาทั้งหมดของเวลาที่เรามีในการซ้อมดังนั้นเราจึงแทบจะไม่ได้เข้าสังคมเลย เมื่อเราอยู่ด้วยกัน 5 คนเราจะเล่นแกล้งกันและหัวเราะจนท้องแข็งไม่ว่าเรื่องนั้นมันจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนเราก็หาแง่มุมตลกๆออกมาได้เพียงแค่เห็นสมาชิกในวงทำอะไรต่อหน้าเราออกมา ขนาดแค่รองเท้าแปลกๆคู่นึงที่สมาชิกในวงซื้อมามันก็ทำให้เราหัวเราะกันได้ แต่พอเราต้องไปอยู่กับคนแปลกหน้า เรากลับไม่รู้ว่าจะยกบทสนทนาอะไรออกมาพูดคุยกับพวกเค้า เราเป็นพวก เข้าสังคมได้ห่วยมากเลยจริงๆ
ผมยอมเผชิญหน้ากับผู้ชมเป็นพันๆคนดีกว่าที่จะต้องไปพูดกับใครซักคนแบบตัวต่อตัวโดยลำพัง ผมจะหน้าแดงทันทีถ้าผมถูกปล่อยให้ออกไปพูดกับแฟนๆคนเดียว ขนาดแดซองเค้ายังบอกเลยว่าเค้าเพิ่งจะเคยชินกับการที่ต้องเผชิญหน้ากับแฟนๆเมื่อไม่นานมานี้เอง
ถ้าจะให้ผมบอกจุดอ่อนของบิกแบงออกมาละก็ ผมก็ต้องบอกว่าเราเป็นพวกไม่เข้าสังคม เมื่อเราเจอรุ่นพี่ในวงการ ผมอยากที่จะพูดออกไปมากๆว่า " พี่ครับ อัลบั้มของพี่สุดยอดจริงๆ " แต่พอเอาเข้าจริงๆ ผมกลับพูดได้แค่ว่า " สวัสดีครับพี่ เป็นยังไงบ้างครับ??" ผมรู้สึกจริงๆว่าเราบกพร่องในเรื่องนี้เอามากๆ
ยังไงก็ตามแต่ผมได้สัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะพยายามให้หนัก เพราะผมก็ไม่ชินกับการที่จะพูดว่า " ผมไม่สามารถทำนี่ได้หรือนั่นได้" ผมเชื่อว่าถ้าผมตั้งใจมากพอผมจะสามารถเอาชนะปัญหานี้ได้ นอกจากนี้ เราต่างก็รู้ว่าถึงแม้ว่าเราจะเริ่มต้นก่อนหน้าคนอื่นและเราสามารถทำได้ดีกว่าคนอื่นนิดนึง แต่เราก็ยังคงมีแนวโน้มที่จะถูกปัดตกได้ถ้าเราไม่พยายามทำงานอย่างหนักเพื่อบรรลุเป้าหมายของเราต่อไป
ในตอนที่เราเป็นศิลปินฝึกหัด เราจำเป็นต้องรับผิดชอบในแทบจะทุกเรื่องด้วยตัวของเราเอง เราต้องจัดการว่าจะสวมใส่อะไรและจะเดินทางไปสถานที่ที่จะไปแสดงยังไง ก็เหมือนกับคนอื่นแหละครับ เราต้องขึ้นรถเมล์ที่มีคนอัดกันอยู่ในช่วงเวลาเร่งรีบ และหากว่าเราเห็นว่ามีสิ่งไหนที่เราจะพอช่วยกันได้ เราก็จะยินดีที่จะช่วยเหลือกันด้วยสองมือของเราเองนี่แหละ
จนถึงกระทั่งตอนนี้ ผมก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงไป สิ่งของและสถานการณ์ต่างๆเท่านั้นที่เปลี่ยนไป ในตอนนี้เรามีดีไซนเนอร์คอยเลือกว่าเราควรจะสวมใส่ชุดไหน และดูแลเรื่องต่างๆ แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไปไม่สามารถที่จะเปลี่ยนคุณภาพเบื้องลึกในใจของพวกเราได้ เรารู้ว่าเราต้องถ่อมตัวอยู่เสมอและตั้งใจแน่วแน่ในการทำงานให้หนักไม่ว่าเราจะไปไกลแค่ไหน การที่ได้ขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ตเพลงถือว่าเป็นโบนัสผลพลอยได้เท่านั้น
เราต้องใช้ชีวิตตลอดจากนี้ไปเปรียบประหนึ่งว่าเรายังคงเป็นศิลปินฝึกหัด
[Note: If you want to repost it elsewhere, please include the following disclaimer:
I am not doing close translation of every word in the book, just quoting here and there from the sections. And I have paraphrased and summarized so it might contain errors. I am just sharing to spread the love, not hate. If you don’t feel comfortable reading it, please ignore me.And my works has nothing related to any profit making purpose. You are not allowed to reproduce it in any material forms for such a purpose. Thanks for your understanding.]
Source: Shout To The World (Chinese Version)
Eng Translated by: godlovesrice@tumblr.com/rice@bbu
Thai Translation by mew mini museum
วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2554
GD SAY WITH BEANPOLE SPEACIAL (ตอนที่3 End)
GD SAYS….BE A NEW STANDARD ( เป็นมาตรฐานใหม่)
ผมหวังว่าผู้คนจะไม่เพียงฟังเพลงอัลบั้มใหม่ของศิลปินและดูการแสดงชุดเดียวของพวกเค้าแค่นั้น แต่ควรจะดูแบบตั้งมาตรฐานและตัดสินให้คะแนนจากเสียงเพลงที่โดดเด่นออกมา ในตอนนี้มีเพลงออกมามากมายและทุกเพลงล้วนแต่เกือบจะมีมาตรฐานเดียวกัน ออกมาในรูปแบบเดียวกัน ผมอยากจะกลายเป็นมาตรฐานที่เป็นคำตอบให้ผู้คนได้ใช้กำหนดบอกว่า เพลงแบบไหนเป็นเพลงที่ดีเพลงไหนแย่ ยังไงก็ตาม ถ้าหากมีศิลปินคนไหนที่เป็นนักดนตรีที่โดดเด่นกว่าผมและสามารถที่จะเป็นคำตอบที่ดีกว่าได้ ผมก็จะรู้สึกดีใจเหมือนกันครับ
=================
Run the world, Rule the nation
GD SAYS…MY DREAM (ความฝันของผม)
การที่ได้เห็นนักร้องรูปหล่อบนเวทีทำให้ผมมีความฝันว่าอยากจะมาเป็นนักร้องดูบ้าง " อ่า...ผมอยากจะเป็นแบบนั้นจัง ผู้คนเหล่านั้นหล่อกันมากเลย" ผมชอบนักร้องในยุคนั้นมากๆ ในตอนนี้นักร้องก็ยังคงหล่อและเพลงก็เพราะกันมาก ผมก็คิดอยู่เสมอกับตัวเองว่าจะวิเศษแค่ไหนนะถ้าได้เป็นแบบพวกเค้า
เมื่อเทียบกับบริษัทอื่นๆ วายจีสามารถมอบทุกอย่างที่ผมต้องการให้กับผมได้ ถ้าผมเริ่มการทำงานเพลงในบริษัทอื่นผมคงจะแตกต่างไปจากทุกวันนี้ ผมเข้ามาอยู่ในบริษัทนี้ตั้งแต่ผมยังเป็นเด็กและการเรียนรู้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผมไปแล้ว ทุกอย่างที่ผมได้เรียนรู้ที่นี่สร้างผลกระทบยิ่งใหญ่ในชีวิตของผม การที่ผมไปบริษัททุกวันๆกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับผมไปแล้ว ในวันที่ผมรู้สึกเหนื่อยผมชอบที่จะไปที่บริษัทอยู่กับพี่ๆและทำเำพลงมากกว่าที่จะออกไปเที่ยวเล่น และนี่คือความหมายของวายจีสำหรับผม
Source: Beanpole x G-dragon Style Book + bigbangfamily.com
Eng Translation: jwalkervip.tumblr.com
Thai Translation by mew in mew mini museum
========
วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2554
GD SAY WITH BEANPOLE SPEACIAL (ตอนที่ 2 )
Ready for the spotlight,
Ready for the show
GD SAYS….FASHION & PASSION ( แฟชั่น และ ความหลงใหล)
ก็เหมือนกับศิลปินในสาย hiphop คนอื่น ผมก็อยากที่จะมีแบรนด์สินค้าเป็นของตัวเองเหมือนกัน แต่ถ้าเทียบแล้วมีสิ่งนึงที่ผมอยากทำมากกว่า นั่นคือ ผมอยากจะเปิดร้านของตัวเอง ร้านนี้จะเป็นร้านที่จะกลายเป็นที่ที่ถูกแนะนำให้แฟชั่นนิสต้าทั่วโลกจะต้องมาเที่ยวเล่นเมื่อมาที่ โซล ผมอยากจะให้คนรู้สึกว่าร้านนี้มีแต่ของเท่ๆ เสื้อผ้าที่ทันสมัย เพลงเพราะๆ และเป็นที่ที่รวบรวมเอาทั้งแฟชั่น และวัฒนธรรมมาอยู่ด้วยกัน เป็นร้านที่พวกเค้าจะสามารถเรียนรู้อะไรได้มากมาย
ผมต้องการที่จะสร้างพื้นที่และรวบรวมแฟชั่นนิสต้ามาสร้างวัฒนธรรมพิเศษขึ้นที่นั่น แทนที่จะเป็นแฟชั่นในแบบที่หรูหรา ผมคิดว่าตัวเองไปกันได้ดีกับพวก แนวสตรีทและแบรนด์เสื้อผ้าที่มีลูกเล่นมากกว่าครับ ดีไซเนอร์แบรนด์หรูหราก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากวัฒนธรรมตามท้องถนนและมักจะร่วมสร้างสรรค์งานร่วมกับศิลปินสตรีทออกมาด้วย เสื้อผ้าที่สวมใส่ได้จริงนั้นยอดเยี่ยมอยู่แล้วฮะ แต่ผมก็อยากจะแนะนำแบรนด์สตรีทที่นำเสนอมุมมองที่ต่างออกไปไว้ด้วยเหมือนกัน แบรนด์ที่รวบรวมวัฒนธรรมและวิถีชีวิตแบบเฉพาะเอาไว้
===================
GD SAYS….KOREAN WAVE ( กระแสเกาหลี)
ผมคิดว่าเวลานี้เป็นเวลาที่ลงตัวที่สุดสำหรับคลื่นศิลปินเกาหลีจะกระโดดออกจากเอเซียและสร้างความแปลกใหม่ให้กับส่วนอื่นๆของโลก เราไม่ควรจะทำให้โอกาสนี้สูญเปล่าไปถ้าเราอยากจะให้เพลงของประเทศเราและวงการเพลงป็อปสื่อถึงกันได้หมด เราต้องตั้งใจทำงานอย่างหนักเพื่อเผยแพร่เพลงของเราออกไปครับ
ญี่ปุ่น เป็นตลาดค้าเพลงที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก แต่ผมคิดว่าเพลงเกาหลีก็โดดเด่นไม่แพ้กันเหมือนกันนะฮะ ผมกังวลว่าเราจะพลาดโอกาสดีๆแบบนั้นไป ผมหวังเหลือเกินให้เราคว้าโอกาสนี้เอาไว้ได้และทำให้โลกเข้าใจในเพลงของเรา และเพื่อให้ความรู้แก่คนในยุคใหม่เกี่ยวกับเพลงแบบเรา
ที่เกาหลี มีนักดนตรีที่มีความสามารถโดดเด่นมากมาย ดังนั้นผมจำเป็นต้องทำงานให้หนักขึ้นในอนาคต ผมไม่ได้หมายความว่าเฉพาะในช่วง 5-6 ปีนี้ แต่ผมต้องการที่จะพยายามไปเรื่อยๆตลอดการทำงานในเส้นทางนี้ ผมต้องการที่จะทำเพลงใหม่ๆและสร้างกระแสศิลปินเกาหลีใหม่ๆขึ้นมา
ผมคิดว่าตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการพัฒนาวงการเพลงเกาหลี แต่ก็มีเรื่องยากมากมาย ยังไงก็ตาม เราจะขี้เกียจไม่ได้ และ ไม่ใช่ทำงานที่ศักดิ์แต่ว่าเป็นงานง่ายทำแล้วราบรื่นเท่านั้น เราต้องพยายามทำงานให้หนักขึ้นเพื่อที่จะได้นำไปสู่แนวทางใหม่ๆ
ผมหวังว่าทุกคนจะทำงานหนักร่วมกันเพื่อเน้นย้ำว่ากระแสเพลงเกาหลีนั้นจะพัฒนาและเลื่อนขั้นไปไกลกว่าเดิม ผมก็หวังด้วยเช่นกันว่าตัวเองจะได้อยู่ท่ามกลางกระแสแบบนั้น
Source: Beanpole x G-dragon Style Book + bigbangfamily08
Eng Translation: jwalkervip.tumblr.com
Thai Translation by mew in mini museum
=========
GD SAY WITH BEANPOLE SPECIAL ( ตอนที่ 1 )
ปีใหม่ปีนี้ แม่ยกทุกสำนักพร้อมใจกันทำปฏิทินออกมาล่อตังในกระเป๋ากันใหญ่ ไหนจะสมุดรวมภาพ ผ้าขนหนูและอะไรอีกมากมาย -_-!! แต่ไม่ใช่แค่แม่ยกเท่านั้นนะค่ะที่ทำออกมาล่อตังในกระเป๋า แม้แต่ bean pole ก็ออกสมุดภาพพิเศษออกมากับเค้าด้วย จริงอยู่ที่บอกว่าแจกฟรี แต่ก็ต้องซื้อของในร้าน Bean pole ถึง 3 แสนวอนก่อนถึงจะได้รับแจกสมุดภาพที่ว่า ( สงสัยจะถือโอกาสเอาคืนบ้างหลังจากที่เสียตังจ้างน้องจีไปหลายล้าน 5555)
ในสมุดภาพ มีภาพ HD รวมๆกว่า 120 รูปนะค่ะ แล้วก็มีคำพูดน้องจีแทรกมาบ้างสั้นๆในบางหน้า ที่เรากำลังจะได้อ่านกัน เป็นคำพูดที่แทรกมาค่ะ
======================
GD SAYS…..BIGBANG & ME ( บิกแบง กับ ผม)
ผมไม่สามารถจะตัดสินใจได้ว่าบิกแบงจะต้องมาก่อนหรือเลือกจีดราก้อนก่อนดี ความรู้สึกมันคล้ายๆกับที่เราบอกไม่ถูกว่า ไข่กับไก่อะไรเกิดก่อนกันนั่นแหละครับ จากบิกแบงมาจนถึงงานเดี่ยวของผม กับสมาชิกทุกคนจนมาเป็นบิกแบง ผมไม่เคยคิดในเรื่องนี้มาก่อนเลยจริงๆ
========================
Remember back in the days ( ย้อนกลับไปในวันวาน)
GD SAYS……..MY MUSIC ( เพลงของผม)
ผมคิดว่าอัลบั้มเพลงก็เหมือนเป็นไดอารี่ คุณจะสามารถรู้สึกว่ามันเป็นแบบนั้นหลังจากที่คุณฟังมันอีกครั้งเมื่อเวลาผ่านไปแล้ว " อ่า...เราคิดแบบนั้นในช่วงนั้นหรอกเหรอเนี้ย....นี่เป็นพลังงานที่เรามีในช่วงอายุเท่านั้นสินะ" เหมือนกับที่เคยพูดไปแล้วแหละครับ มันจึงทำให้อัลบั้มแต่ละชุดทุกชุดล้วนมีความหมายสำหรับผม ถึงแม้ว่าในการทำอัลบั้มต้องใช้เวลามากมายและพลังงานมากมายทุ่มเทลงไปในการทำแต่ละอัลบั้ม แต่เมื่อผมกลับไปฟังมันอีก หลังจากที่เวลาผ่านไปแล้ว ผมจะรู้สึกอายและรู้ว่าตอนนั้นยังไม่เป็นผู้ใหญ่เลยจริงๆ ความรู้สึกที่ว่าตอนนั้นผมยังไม่เข้าใจอะไรเลยแต่ก็โหมทุ่มเทพลังงานทั้งหมดไปกับการทำงานในอัลบั้ม ในการฝึกฝน .... ผมต้องการความรู้สึกแบบนั้นอีกเยอะๆเลยฮะ
นอกจากนี้ผมยังอยากสร้างงานเพลงที่ผมสามารถเรียกได้ว่าเป็น "เพลงแบบผม"ออกมา เพลง hiphop เป็นสิ่งที่ผมเริ่มต้นกับมันแต่ผมก็มักจะลองทำเพลงสไตล์ใหม่ๆออกมาตลอดเวลา หาแนวใหม่ไม่ก็ผสมผสานแนวต่างๆเข้าด้วยกัน ผมคิดว่าเพลงที่สุดยอดนั้นสามารถหาฟังได้แล้วในขณะนี้และตอนนี้ผมต้องการใช้เพลงสุดยอดนั้นมาสร้างสรรค์อะไรที่ผมสามารถเรียกได้ว่า เป็นของผม เอง
สิ่งที่ตลกคือ มันเป็นไม่ได้ที่จะสร้างสรรค์งานเพลงดีๆออกมาได้ถ้าผมยังมัวแต่จะเดินตามทางที่คนส่วนใหญ่คิดว่ามันจะสร้างเพลงฮิตหรือเพลงที่จะโด่งดังได้ แทนที่จะเดินตามทางนั้นเพลงดีๆหรือเพลงที่ฮิตๆอาจจะเกิดตอนที่เรากำลังจิบไวน์หรือเล่นเกมส์ก็ได้ เรามักจะได้แรงบันดาลใจผ่านสิ่งเหล่านั้นและใช้ความทรงจำของเราช่วยในการที่จะทำเพลงฮิตออกมาครับ
====================
GD SAYS…..MY STYLE (สไตล์ของผม)
ปกติแล้วผมไม่สนใจเลยว่าคนจะพูดเกี่ยวกับผมยังไงบ้าง ดังนั้นผมจำเป็นต้องทำงานให้หนักขึ้น ถึงแม้ว่าผู้คนจะมีเรื่องพูดเกี่ยวกับบิกแบงมากมาย แต่ถ้าผมเอาความคิดเห็นเหล่านั้นทุกคำมาใส่ใจ ผมคิดว่าคงจะไม่มีบิกแบงและผมแบบทุกวันนี้ ผมต้องการที่จะมีแนวความคิดเป็นของตัวเองในทุกๆสิ่งที่ผมทำและยึดติดกับความเชื่อของตัวเอง เป็นสไตล์ของเราแบบนั้นฮะ ถึงแม้ว่าการแต่งตัวของบิกแบงในช่วงแรกๆจะกลายเป็นเรื่องตลกที่ผู้คนเอาไปล้อกันแต่เป็นเพราะความมั่นใจของเราและวิธีที่เราทำสามารถทำให้มันกลายมาเป็นสไตล์ได้ ผู้คนก็เริ่มที่จะยอมรับ ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผมอยากที่จะทำต่อไปในอนาคตครับ
Source: Beanpole x G-dragon Style Book + bigbangfamily08
Eng Translation: jwalkervip.tumblr.com
Thai Translation by mew in mew mini museum
วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2554
[Fan account] The best Christmas gift ever
เอาละเหมือนกับจะนอกเรื่องแต่ก็ไม่ซะทีเดียวนะ 55555 แฟนแอคเค้าส์ที่มาแทรก การแปล shout ของน้องจี (อีกแล้ว) ในวันนี้เป็นเหตุการณ์ในวันคริสมาสปีนี้ค่ะ ของขวัญที่วีไอพีคนนี้ได้รับเป็นลายเซ็นจากน้องจี แต่ลายเซ็นที่ได้มาไม่ธรรมดานะค่ะ เพราะมันมากับเรื่องเล่าน่ารักๆๆ ด้วย มิวเลยจั่วหัวไว้ว่า ของขวัญที่ดีที่สุดที่เคยได้รับมาในวันคริสมาส เอาละลองอ่านดูค๊า นานๆทีจะได้แปลแฟนแอคที่เพิ่งจะเกิดขึ้น ทุกทีมักจะเป็นเรื่องเล่าที่ไม่รู้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เหตุการณ์ก็ยังคงคล้ายกับการอ่าน ฟิคชั่นอยู่ดี 55555 วันคริสมาสพอดีด้วย >_<
=================
[Fan Account] 25 ธันวาคม 2011 จียงและอีฮยอกซู ไปทานข้าวที่ร้านอาหาร
Note: วีไอพีเจ้าของแฟนแอคเค้าส์นี้เป็นสาวจีนที่ไปเรียนที่เกาหลีนะค่ะ ร้านอาหารที่ว่านี้ไม่ได้เปิดเผยว่าที่ไหนและที่ร้านไม่ได้รับพนักงานชั่วคราว ดังนั้นเธอทำงานนี่นั่นอยู่แล้วนะค่ะ และมีกฏระเบียบในการทำงานที่ต้องเคารพมากมาย
อืม...ในวินาทีที่ฉันเห็นเค้าเดินเข้ามาในร้านอาหาร ฉันจะต้องกัดปากข่มไว้กลัวว่าตัวเองจะเผลอหลุดเสียงกรี๊ดออกมา พวกเค้าถูกพาไปหาที่นั่งและน่าแปลกใจมากๆที่โต๊ะที่พวกเค้านั่งเป็นโต๊ะที่ยองเบมานั่งล่าสุด มันเป็นโต๊ะสำหรับ 4 ท่านและจียงก็เลือกนั่งในที่เดียวกับที่ยองเบเลือกเลย ในวันนั้นเค้าไม่ได้แต่งหน้าแต่ก็ยังคงพิถีพิถันในเรื่องของเสื้อผ้า เค้าทำผมมาอย่างดี เค้าสวมกางเกงยีนส์สีช็อคโกแลต รองเท้าชาเนล เสื้อคลุมแนวทหาร และสวมเสื้อนวมกันลมตัวยาวสีน้ำตาลกาแฟ ทับอีกชั้น
เมื่อฉันเข้าไปขอลายเซ็น เค้าก็เอากระดาษวางนอนบนโต๊ะและตั้งใจมากๆในการเซ็น ตอนที่เค้าตั้งสมาธิในตอนเขียน ดูแล้วน่ารักมากๆเหมือนเด็กๆ ฉันบอกได้เลยว่าวันนี้เค้าดูอารมณ์ดีมาก แรกเริ่มเดิมทีเค้ามากับเพื่อนที่เป็นนายแบบที่ชื่อ อีฮยอกซู ที่หล่อมากๆๆๆๆ จากนั้นก็บอกว่า เดี๋ยวจะมีเพื่อนตามมาอีก 2 คน ฉันพยายามอย่างหนักที่จะบอกให้ตัวเองใจเย็นๆเอาไว้
ฉันเสริฟ์น้ำให้พวกเค้าและมารับออเดอร์ ฉันก้มลงไปช่วยจียงในการเลือกสั่งอาหาร พวกเค้าสั่งอาหารสำหรับ 4 คนและไวน์แดงหนึ่งขวด เมื่ออาหารถูกนำมาเสริฟ์ฉันก็เพิ่มซอสพิเศษให้กับพวกเค้าด้วย ซึ่งจียงก็ยิ้มและกล่าวขอบคุณ [ ซอสพิเศษนี้เป็นซอสพิเศษที่ฉันขอให้เชฟปรุงขึ้นเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว เป็นซอสที่เมื่อสมาชิกวงบิกแบงมาฉันก็จะเสริฟ์ให้พวกเค้า คราวที่แล้วที่ยองเบมาฉันก็นำไปเสริฟ์ให้เช่นกัน ]
ในที่สุด เพื่อนของเค้าอีก 2 คนก็มาถึง จียงเลยรีบพูดขึ้นมาว่า " เสริฟ์อาหารได้เลยครับ ผมหิวจะแย่แล้ว" เมื่อตอนที่กำลังลงมือปรุงอาหาร ปรากฏว่าจียงสั่งผิดเลยถามว่าจะเปลี่ยนได้ไม๊?? (จริงๆเราไม่รับเปลี่ยนและยิ่งลงมือปรุงไปแ้ล้วด้วยแบบนั้น แต่ในเมื่อจียงอยากจะเปลี่ยนทำไมจะไม่ได้ละค่ะ อยากได้อะไรก็จะจัดให้อยู่แล้ว ) เค้ามองฉันตาละห้อยเหมือนน้องหมาน้อยท่าทางเสียใจและพูดว่า " ผมขอโทษจริงๆนะฮะ ผมอยากจะทานจานนั้นมากจริงๆ ผมสั่งผิดมาเนี้ยซอสไข่อะไรไม่รู้ "
เมื่อเปลี่ยนแล้วทุกอย่างก็กลับมาสดใสคึกคักเหมือนเดิม พี่อีฮยอกซูพูดออกมาว่า " ถึงแม้ว่าเรื่องรสชาติจะเป็นเรื่องสำคัญมากแต่สิ่งที่เราจำเป็นต้องมีตอนนี้คือ ความเร็วตังหาก " ( ฉันแปลงกายเป็นซูเปอร์แมนและปรุงอาหารอย่างรวดเร็วเป็นพิเศษให้กับพวกเค้า)
เพื่อนของจียงตลกกันมาก มีคนนึงถามฉันว่า
เพื่อนของจียง: "รำคาญไม๊ฮะเนี้ยที่เราเปลี่ยนรายการอาหารที่สั่งไปมาแบบนี้ ??"(ฉันตอบออกไปแบบอัติโนมัติเลยว่า "ไม่ค่ะ ไม่หรอก" )
เพื่อนของจียง: " คุณพูดออกมาตามตรงได้นะฮะ ในใจคุณคงคิดว่า " พวกเค้าเปลี่ยนโน่นเปลี่ยนนี่อีกแล้ว" ( ฉันตอบออกไปอีกครั้งว่าไม่เป็นไร และฉันมีความสุขที่ได้ทำแบบนั้น)
จากนั้นฉันหันหลังไปทำอะไรบางอย่างเมื่อจียงเห็นฉันหันหลังให้ก็รีบพูดกับเพื่อนๆของเค้าว่า " เธอเป็นแฟนคลับของฉันละ"
หลังจากนั้นฉันก็ช่วยพวกเค้าแบ่งอาหารลงในจาน เพื่อนที่นั่งข้างๆจียงก็พูดอีกว่า " ผมรู้ว่าคุณคงจะเสริฟ์ให้จียงก่อนใช่ไม๊ฮะ ผมหวังนะฮะเนี้ยว่าคุณจะเสริฟ์ให้ผมก่อน ผมอุตส่าห์เตรียมถ้วยซะพร้อมเตรียมรอแล้วนะ ตอนนี้ผมรู้สึกอายมากๆเลย ㅠㅠ” ( ดังนั้นฉันเลยต้องเสริฟ์ให้เค้าก่อน)
หลังจากที่จียงกัดลงไปหนึ่งคำ เค้าก็ร้องออกมาว่า " อร่อยจัง " จากนั้นเพื่อนๆในวงก็พูดว่า " อร่อยจริงๆอร่อยมากๆ" ( ฉันเป็นปลื้มมากจะบ้าตายเลยทีเดียว)
หลังจากที่ทานไปเสริฟ์ไป ซักพัก เพื่อนเค้าก็พูดขึ้นมาอีกว่า
" ทำไมจียงถึงได้เนื้อมากที่สุดเลยละ " " ทำไมต้องเสริฟ์ให้จียงก่อนคนอื่นอยู่เรื่อยเลย" "ทำไมของผมได้แต่ผักละฮะ ผมก็อยากได้เนื้อเหมือนกันนะ "
ฉันเลยพูดไปตามตรงว่า " ฉันแบ่งทุกอย่างให้ทุกคนอย่างเท่าๆกันทั้ง 4 คนจริงๆนะค่ะ " แต่เพื่อนเค้าอีกสองคนก็พูดออกมาทันทีทันใดเลยว่า " อย่าโกหกเลยฮะ"
ฉันอธิบายว่า " คนในร้านมักจะบอกเวลาเจอพี่จียงว่าให้เค้าทานเยอะๆๆ อีกอย่างนะค่ะ พี่จียงของเราผอมเกินไปแล้ว " พี่อีฮยอกซู มองหน้าฉันด้วยสายตาวิงวอนเต็มที่ " ผมไม่ทานผักจริงๆนะฮะ"
ทุกคนรู้ใช่ไม๊ค่ะว่า พี่ฮยอกซูเพิ่งจะได้เล่นละครตลกที่มีชื่อเรื่องว่า ‘Vampire Idol’ จากนั้นเราเลยคุยกันเรื่องละคร ฉันบอกเค้าว่าฉันได้ดูละครด้วยและสนุกสนานกับมันมาก
Lee Hyuk Soo: “คุณดูด้วยเหรอฮะ?? อ่า ไม่นะๆ น่าอายออกฮะ "
จียงหันมามองฉันและพูดว่า “คุณคิดว่าละครมันตลกเหรอฮะ" ฉัน: “มันโอเคทีเดียวนะคะ"
Jiyong: “เวลาที่ผมดูละครเรื่องนี้ ผมคิดว่าผมตลกกว่าอีก "
จียงสั่งอาหารเพิ่มอีก 2 เซตโดยที่เอาแต่เนื้อไม่เอาผัก แต่เป็นเพราะเนื้อ มีไขมันมากเลยฉันเลยขอให้พ่อครัวเพิ่มผักแถมมาให้นิดนึง
Jiyong: “ขอเห็ดเพิ่มได้ไม๊ฮะ ผมชอบทานผัก”
เพื่อนเค้าเล่าว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ไปทานข้าวกับจียง พวกเค้ามักจะได้ทานของดีๆเสมอ จียงจึงพูดว่า " ผมต้องทานข้าวละ ผมเป็นคนประเภทที่จะต้องกินเมื่อถึงเวลา "
ฉันบอกกับเค้าว่า " พี่จียงค่ะ พี่ยองเบก็มาทีนี่ด้วยนะ เค้านั่งตรงที่พี่นั่งนี่แหละ " " พี่ซึงรีก็เคยมาเหมือนกัน"
Jiyong: “ซึงรีเหรอ?”
ฉัน: “ค่ะ.”
Jiyong: “ยองเบมากับใครเหรอ?”
ฉัน: “เค้ามากับเพื่อนของเค้า 2 คนค่ะแต่ฉันไม่รู้ชื่อพวกเค้า"
เพื่อนของจียง: “ในบรรดาคนที่มา เธอชอบใครมากที่สุดเหรอ??"
ฉัน: “พี่จียงคะ.”
เพื่อนของจียง: “เธอชอบใครที่สุดในวงบิกแบง??"
ฉัน: “พี่จียงคะ”
เพื่อนของจียง: “โอเค ผมว่าผมไม่ถามแล้วดีกว่า ผมจะไปบอกยองเบว่าอย่าไปสนใจคุณเลยถ้าเค้ามาคราวหน้า"
ฉัน : “………..!!”
Jiyong: “ผมจะกลับมาใหม่เร็วๆนี้นะฮะ”
ฉัน: “…-_-!! ตอนที่สัมภาษณ์สมัครงาน ผู้จัดการบอกว่า บิกแบงอาจจะมาทานข้าวทีนี่ แต่ฉันทำงานมาได้ 3 เดือนก็ยังไม่มีวี่แววเลย ฉันบอกกับผู้จัดการว่าฉันจะลาออกภายในวันที่ 10 เดือนหน้า "
เพื่อนของจียง: “แล้วถ้าพี่จียงของเธอจะเอาซีดีพร้อมลายเซ็นมาให้ละ??"
Jiyong: “ผมจะมาใหม่อาทิตย์หน้าแล้วจะเอาซีดีพร้อมลายเซ็นมาให้ด้วย "
ฉัน: “………………………………………..!!!!! จริงเหรอค่ะ ?? ขอบคุณมากค๊า
Jiyong: “ โอเค โอเค คุณทำอาหารอร่อยๆให้ผมทานเยอะเลยวันนี้ คราวหน้าถ้าผมมาผมจะพาสมาชิกในวงคนอื่นมาด้วย "
Eng Translation: jwalkervip.tumblr.com Thai Translation by mew in mini museum
==============
วันนี้เลยได้รับลายเซ็นไปก่อนนะค่ะ ด้วยว่าเจ้าของแฟนแอคไม่ยอมบอกว่าทำงานที่ร้านไหน ร้านอะไร แต่จากเรื่องที่เล่าที่ต้องให้สาวเสริฟ์มาคอยอยู่ด้วยตลอดเวลาแบบนี้ น่าจะเป็นร้านเนื้อย่างไม๊เอ่ย??
วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2554
GD:เรายิ่งทอแสงสว่างยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ด้วยกัน 5 คน(shout6)
(shout1) ความคิดเห็นของ GD ที่มีต่อสมาชิกวง บิกแบง
(shout2) ย้อนไปเมื่อผมยังเป็นศิลปินฝึกหัด
(shout3) ทำไมตอนนั้นผมถึงต้องเข้มงวดกับพวกเค้าขนาดนั้น
(shout4) ผมเป็นคนยังไงกันนะ
(shout5) อะไรที่แย่ไปกว่าการที่ต้องเผชิญหน้ากับความล้มเหลว
=================
"เรายิ่งทอแสงสว่างยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ด้วยกัน 5 คน"
ผมรู้สึกขอบคุณมากๆที่ได้อยู่ร่วมกับสมาชิกแบบนี้เพื่อร่วมสร้างวงในนามของบิกแบง ผมคงไม่รู้สึกขอบคุณถึงขนาดนี้ถ้าผมได้เดบิวกับแทยังแค่ 2 คนหรือกับศิลปินที่มีชื่อเสียงคนอื่น
พวกเราแต่ละคนต่างก็เปล่งประกายไปในทางของตัวเอง แต่เมื่อเรามาอยู่ด้วยกัน 5 คนเราก็ยิ่งส่องแสงสว่างเจิดจ้าที่สุด สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากการที่ได้ทำงานร่วมกับคนเหล่านี้คือการ รู้จักถ่อมตัวและการควบคุมตัวเอง ไม่เพียงแค่ผมเท่านั้นนะฮะ แต่พวกเราทั้ง 5 คนต่างก็ทำแบบเดียวกัน เราจำกัดลดทอนความเป็นตัวตนของเราเองลงไปเพื่อที่ให้ บิกแบง ได้เจิดจรัสลงตัวในฐานะเป็น วงดนตรี ผมจะทำอะไรได้อีกนอกจากที่คิดขอบคุณพวกเค้าละครับ?? ผมจำได้ว่ามีครั้งนึงเรามีคอนเสริต์ที่ญี่ปุ่น มีบางอย่างผิดพลาด ทำให้ดูเหมือนว่าเราไม่สามารถทำการแสดงต่อไปได้อีก จู่ๆเราก็เริ่ม beatbox และร้องแร๊พกัน บรรยากาศในงานก็กลับมาคึกคักอีกครั้งและเราสามารถได้ยินแฟนๆตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้างส่งเสียงกรี๊ดเชียร์เรา เพราะพวกเราชอบการแสดงนี้
เราไม่ได้เตรียมการมาเพื่อเผชิญกับสถานการณ์แบบนั้นเลย แต่ยังไงก็ดี ในช่วงขณะนั้น เราค้นพบความเชื่อใจในสายตาของกันและกัน และเรารู้ว่าด้วยความพยายามและความเชื่อที่เรามีต่อคอนเสริต์ของพวกเราเอง นั้นจะสามารถพาเราผ่านความยากลำบากใดๆก็ตามไปได้ ไม่ว่ามันจะมาในรูปแบบไหน หลังจากจบการแสดงวันนั้น เราต่างไม่ได้พูดอะไรออกมา เราต่างก็กอดกันแน่น แน่นมากๆเลยละ
[Note: If you want to repost it elsewhere, please include the following disclaimer:
I am not doing close translation of every word in the book, just quoting here and there from the sections. And I have paraphrased and summarized so it might contain errors. I am just sharing to spread the love, not hate. If you don’t feel comfortable reading it, please ignore me.And my works has nothing related to any profit making purpose. You are not allowed to reproduce it in any material forms for such a purpose. Thanks for your understanding.]
Source: Shout To The World (Chinese Version)
Translated by: godlovesrice@tumblr.com/rice@bbu
Thai Translation by mew in mini museum
วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554
GD:อะไรที่แย่ไปกว่าการที่ต้องเผชิญหน้ากับความล้มเหลว? (Shout5)
Shout of the world GD
(shout 1) ความเห็นของ GD ที่มีต่อสมาชิกในวง BB
(shout 2) ย้อนไปเมื่อผมยังเป็นศิลปินฝึกหัด
(shout 3 ) ทำไมตอนนั้นผมถึงต้องเข้มวงดกับพวกเค้าถึงขนาดนั้น
(shout 4) ผมเป็นคนยังไงกันนะ??
=========================
"อะไรที่แย่ไปกว่าการที่ต้องเผชิญหน้ากับความล้มเหลว?? "
ถึงแม้ว่าผมจะเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีมากๆๆ แต่ผมก็ยังรู้สึกประหม่าเมื่อวันที่จะต้องประกาศผลว่าสมาชิกในวงคนไหนจะถูกคัดออกที่มันใกล้เข้ามาทุกทีๆ
ผมรู้สึกคล้ายกับจะหายใจไม่ออกเพราะการแข่งขันเฉือดเฉือนกันมากขนาดคนที่มองโลกในแง่ดีอย่างผมยังรู้สึกเครียดมากๆในเวลานั้น ผมรู้สึกว่าถ้าคนในวัยเดียวกับผมต้องมาเจอสถานการณ์เดียวกันนี้ พวกเค้าคงจะต้องเครียดมากกว่านี้แน่ๆ ผมเฝ้าบอกกับตัวเองว่า " ไม่เป็นไรน่า เราทำได้ " แต่ดูเหมือนว่าประโยคนี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้มากเท่าไหร่
ยังไงก็ตามแต่ เวลานั้นผมไม่สามารถที่จะแสดงความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองออกไปได้ ผมทำเป็นว่าไม่รู้สึกรู้สาว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างหรือแสร้งทำเป็นว่าผมไม่รู้สึกลำบากใจกับเรื่องทั้งหมดนี้หรอก
ท่านประธานมักจะบอกกับเราเสมอว่า " การใช้ชีวิตเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้มันย่อมจะแตกต่างไปจากสิ่งที่เราคิดเอาไว้โดยสิ้นเชิง เราต้องพยายามทำให้ได้ "
สิ่งที่ผมคิดในตอนนั้นคือ " นี่เราฝึกที่จะเป็นนักร้องทำตามความฝันอย่างเดียวมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ถ้าเกิดเราล้มเหลวในครั้งนี้ละ?? เราจะไปเป็นอะไรได้อีกถ้าไม่ได้รับโอกาสให้เป็นนักร้องในครั้งนี้?? "
ผมเอาแต่คิดหาคำตอบให้กับคำถามนั้น จนไม่สามารถที่จะนอนหลับได้เลยฮะ ในตอนนั้นถึงขนาดที่ว่าถ้านอนหลับก็ต้องฝันร้าย
โชคดี ที่จุดพลิกผันมาถึงในค่ำคืนหนึ่ง คืนนั้นเป็นคืนที่มีพายุและฝนตกแรงมากจนผมต้องไปปิดหน้าต่างเพื่อไม่ให้เม็ดฝนสาดเข้ามาในห้องของผม ตอนที่ผมกำลังวิ่งไปปิดหน้าต่าง ผมสังเกตเห็นสิ่งที่แสนวิเศษบางอย่างเกิดขึ้น
มันคือ แมงมุมตัวน้อยกำลังเร่งถักทอใยแมงมุมอยู่ มันตัวเล็กนิดเดียวแต่ก็ยังพยายามที่จะต่อสู้กับสายฝน มันต้องการที่จะรักษาใยแมงมุมของมันเอาไว้ ผมรู้สึกทึ่งที่ได้เห็นเหตุการณ์นั้นจนถึงขนาดที่ว่าผมลืมว่าตัวเองกำลังจะต้องวิ่งไปปิดหน้าต่าง ผมยืนจ้องมันอยู่นาน จากนั้นก็ตระหนักว่าผมควรจะทำยังไงในช่วงเวลาที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนั้น
"แมงมุมตัวน้อยตัวนั้นรู้ว่าสิ่งที่จะตามมาเมื่อผ่านพ้นค่ำคืนที่พายุกระหน่ำนั่นคือเช้าที่สดใสเจิดจ้าดังนั้นมันจึงไม่ยอมแพ้ไม่ว่าจะต้องพยายามอีกกี่ครั้ง ความปรารถนาที่จะอยู่รอดของมันกับความปรารถนาที่จะเป็นนักร้องของผมมันช่างเหมือนกันเหลือเกิน "
ผมมองเห็นตัวเองในนั้น สำหรับผมแล้ว ความปรารถนาที่จะเป็นนักร้องนั้นมันมีมากเท่าๆกับที่เจ้าแมงมุมปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ถ้าหากผมไม่สามารถที่จะประสบความสำเร็จในงานด้านนี้ ชีวิตที่เหลือคงไร้ความหมาย
และนี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงต้องตั้งใจพยายามทำงานอย่างหนัก ผมปรารถนาให้เพลงของผมจะสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนมากมาย ผมปรารถนาอยากจะเป็น นักร้อง เท่านี้แหละครับ ความต้องการของผม นี่แหละจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ของผม
อะไรจะแย่ไปกว่าการที่ต้องเผชิญหน้ากับความล้มเหลวเหรอครับ??
ผมคิดว่า คำตอบคือ ความคิดที่ทำให้เราล้มเลิกที่จะพยายามต่อไปไงละ
[Note: If you want to repost it elsewhere, please include the following disclaimer: I am not doing close translation of every word in the book, just quoting here and there from the sections. And I have paraphrased and summarized so it might contain errors. I am just sharing to spread the love, not hate. If you don’t feel comfortable reading it, please ignore me.And my works has nothing related to any profit making purpose. You are not allowed to reproduce it in any material forms for such a purpose. Thanks for your understanding.]
Source: Shout To The World (Chinese Version)
Eng Translated by: godlovesrice@tumblr.com/rice@bbu
Thai Translation by mew in mini museum
วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2554
GD: ผมเป็นคนยังไงกันนะ (shout4)
ตอนก่อนหน้านี้ค่ะ Shout of the world ( GD)
(shout1) ความเห็นของ GD ที่มีต่อสมาชิกในวง BB
(shout2) ย้อนไปเมื่อผมยังเป็นศิลปินฝึกหัด
(shout3) ทำไมตอนนั้นผมถึงต้องเข้มงวดกับพวกเค้าถึงขนาดนั้น
==============================
ผมถูกคุณแม่พาไปออดิชั่นมามากมายหลายครั้งเมื่อตอนที่ยังเป็นเด็กครับ ผมได้รับโอกาสในการมาเป็นศิลปินฝึกหัดที่บริษัท วายจี หลังจากที่ท่านประธานเห็นผมใน MV ของรุ่นพี่เมื่อตอนที่ยังทำรายการ Roora ผมเคยไปออกรายการทีวีแบบนั้นแหละครับในตอนเด็กๆ ผมไม่ได้รู้สึกอายหรือเขินเวลาที่อยู่ต่อหน้ารุ่นพี่ที่ผมคุ้นเคย พวกเค้าคิดว่าผมเป็นเด็กซนๆที่ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำ ผมรักที่จะแสดงออกต่อหน้าคนเยอะๆ และคุณพ่อคุณแม่ก็สนับสนุนนิสัยนี้ของผม
ผมคิดว่าตัวเองเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีเต็ม 100% ไม่มีร่องรอยของความอคติที่คุณจะสามารถค้นหาได้จากตัวผมเลยฮะ ถึงแม้ว่าผมจะล้มเหลวผมก็จะพยายามให้มากขึ้นอีกในครั้งต่อไป ผมจะไม่มีทางถอดใจในการที่จะทำในสิ่งที่ผมรัก
ผมชอบอยู่กับเพื่อนมากๆครับ ถึงแม้ว่ากับเพื่อนๆหลายๆคนผมจะไม่ได้ติดต่อไปเป็นประจำแต่เราก็ยังคงเป็นเพื่อนกันและสนิทกันอยู่ ผมเป็นคนที่เห็นคุณค่าของมิตรภาพอย่างมาก แต่ถึงแบบนั้น มันก็ยังคงให้ความรู้สึกแปลกๆอยู่ดี ที่เพื่อนๆในรุ่นราวคราวเดียวกันกับผมกำลังเล่นสนุกใต้แสงอาทิตย์ ผมกลับกำลังยุ่งเขียนเพลงแต่งเพลง ในตอนนั้นการเขียนเพลงเป็นเรื่องที่สร้างความบันเทิงใจให้กับผม แต่แน่นอนที่มันก็ต้องมีช่วงเวลาที่ผมรู้สึกเหนื่อยและรู้สึกรำคาญบ้าง ในเวลาเหล่านั้นผมมักจะไปดูการแสดงของพวกรุ่นพี่ ผมอยากที่จะเรียนรู้จากพวกเค้าอย่างจะประสบความสำเร็จแบบพวกเค้า
พูดเรื่องที่ทำให้ผมสนุกไปแล้วเรามาพูดเรื่องการบ้านของผมหน่อยไม๊ฮะ ท่านประธานเคยมอบหมายการบ้านให้ผมด้วย นั่นคือผมต้องแต่เพลงออกมาให้ได้ 1 เพลงต่อ 1 อาทิตย์ ตลอดการเป็นศิลปินฝึกหัด 6 ปีของผมผมทำการบ้านนี้มาโดยตลอด ผมรู้สึกชอบการบ้านแบบนี้มากๆ เพราะผมจะไม่ร้องเำพลงของคนอื่นถ้าผมไม่ได้ใส่ความคิดของตัวเองลงไปครับ ผมจะปรับเปลี่ยนเพลงและเขียนเนื้อเพลงขึ้นมาใหม่ มันเป็นสิ่งที่ผมทำแล้วรู้สึกสนุกมีความสุขมากๆเลยในตอนนั้น
เช่นเคยทิ้งนี่ให้คุณ rice ค่ะ
[Note: If you want to repost it elsewhere, please include the following disclaimer: I am not doing close translation of every word in the book, just quoting here and there from the sections. And I have paraphrased and summarized so it might contain errors. I am just sharing to spread the love, not hate. If you don’t feel comfortable reading it, please ignore me.And my works has nothing related to any profit making purpose. You are not allowed to reproduce it in any material forms for such a purpose. Thanks for your understanding.]
Source: Shout To The World (Chinese Version)
Eng Translated by: godlovesrice@tumblr.com/rice@bbu
Thai Translation by mew mini museum
วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554
Long Journey Of BigBang ตอนที่ 3 (End)
ความศรัทธาและความเชื่อใน ตัวบิกแบงสำหรับมิวแล้ว มิวไม่เคยทำของมิวหายนะค่ะ ยังอยู่ที่เดิม สำหรับมิวการแปลครั้งนี้ช่วยทำให้มิวรู้สึกยิ่งสนุก ลุ้น และรอคอยที่จะยืนอยู่ตรงนี้ต่อไปอีก 55555 หวังว่าถ้าได้อ่านความในใจทั้ง 3 ตอนนี้จบลงไปแล้ว ใครที่ทำความศรัทธาหายไปจะได้ค้นพบและหามันเจออีกครั้ง สำหรับใครที่ไม่เคยทำมันหายก็ขอให้บทความนี้ช่วยให้เรารู้สึกสนุกและมีความ สุขยิ่งขึ้นไปอีกที่ได้มาร่วมยืนอยู่จุดเดียวกันนี้และลุ้นขอให้เรายืนอยู่ ด้วยกันแบบนี้ไปนานๆนะค่ะ
เป็นวีไอพีนี่มันสนุกดีจริงๆน้า~~~~~ 5555 >_<
=============================
บิ กแบงได้ออกอัลบั้มเพลงออกมาอย่างต่อเนื่อง ด้วย Last Goobye และ Hot Issue และทั้งอัลบั้มมีจียงเป็นทั้งนักแต่งเพลงร่วมและโปรดิวเซอร์ร่วมที่ทำงานในเพลงทั้งอัลบั้ม ถ้าคำวิจารณ์และพรีวิวที่ให้กับเพลง Lies เราว่ามันวิเศษแล้ว กับ เพลง Hot Issue เราได้รับคำชมแบบ 3 เท่าจาก lies เลยทีเดียว คุณภาพที่มาคับอัลบั้มผลักดันทำให้บิกแบงชนะใจนักวิจารณ์ ได้รับคำวิจารณ์ดีๆถึง 3 เท่าจาก Lies และได้รับยอดขายมากกว่า lies ถึง 3 เท่าด้วยเช่นกันและเพลงก็สามารถขึ้นสู่อันดับ 1 ได้ในเวลาอันสั้น ทั้งเพลงและเรื่องของแฟชั่นต่างขับเคลื่อนให้บิกแบงยิ่งมุ่งไปข้างหน้าสู่ ความเป็น superstar อย่างต่อเนื่อง บิกแบงเริ่มที่จะไปปรากฏตัวตามรายการโทรทัศน์ต่างๆของทั้ง 3 ช่องยักษ์ใหญ่ของวงการเกาหลี พอสิ้นปี 2007 บิกแบงก็สามารถขโมยความสนใจที่เมื่อก่อนมีให้แต่วงไอดอลหญิง มาเป็นของตัวเองได้ และมีเพลงฮิตระดับประเทศไม่ใช่แค่ 1 เพลงแต่เป็นถึง 2 เพลงด้วยกัน มีรายชื่อบิกแบงและ Wonder Girls เป็นศิลปินเด่นในทุกๆงานสิ้นปีของทุกที่
Gallup, Nielsen, Forbes, Mnet, และ อีก3เวปไซด์ที่บริการด้านการค้นหา ได้เปิดเผยว่าในตอนนั้น บิกแบงกลายเป็นวงที่ชาวเกาหลีทุกคนในทุกช่วงอายุจะต้องรู้จัก เคียงคู่มากับวง wondergirl เพียงเวลาไม่ถึง 1 ปี บิกแบงสามารถ สร้างเทรนในเรื่องการทำมินิอัลบั้ม การทำเพลงดิจิตอล และเพลงในแบบอิเลคโทรนิคให้เป็นที่รู้จักในสังคมเกาหลี ความนิยมในเพลงอิเลคโทรนิคพุ่งขึ้นสู่ขีดสูงสุด เพลงของบิกแบงถูกนำไปเปิดในไนซ์คลับและสถานที่สาธารณะทั่วกรุงโซล ปิดปี 2007 ด้วยความดังระเบิด
เพลง Last Goodbye ครองตำแหน่งสูงสุด 8 สัปดาห์และถูกรับรองให้เป็นกระแสคลั่งไคล้ระดับประเทศไปอีกเพลง และเรื่องของการเต้นและแฟชั่น พวกเค้าก็ดังระเบิดฉุดไม่อยู่ ทั้งเด็กอนุบาล เด็กประถมและเด็กวัยรุ่น พวกนักศึกษา คนที่เพิ่งเริ่มทำงาน คุณพ่อคุณแม่ คุณลุงคุณป้า คุณตาคุณยาย ทุกๆคนล้วนต้องรู้จักบิกแบง ถ้าคุณไปสุ่มถามแม้แต่คนที่มีรายได้น้อยใน Seoul, Jeolla, Daegu หรือที่ Busan ว่าพวกเค้าชอบนักร้องคนไหน คำตอบที่ได้จะเป็น บิกแบง ถ้าคุณถามพวกนักธุรกิจที่ใช้ชีวิตหรูหราในโซล ถามทนายความผู้มั่งคั่ง สถาปนิก วิศวกรและครอบครัวของพวกเค้าว่าฟังเพลงอะไร พวกเค้าจะตอบว่า บิกแบง แม้ว่าช่องว่างระหว่างรายได้และทุกๆอย่างในสังคมของคน 2 กลุ่มนี้จะมีช่องว่างห่างกันมากแค่ไหนแต่บิกแบงก็ทำให้พวกเค้ามีความชอบ เดียวกันได้
ในปี 2008 บิกแบงยังคงทำได้เหมือนปีที่ผ่านมา แต่ดีกว่าและยิ่งใหญ่กว่า ปีนี้เป็นปีที่มีสถิติตำนานเกิดขึ้นดังนี้
1. Seoul Gayo Daesang เป็นรางวัลที่ส่งให้บิกแบงกลายเป็นไอดอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในตำนานไอดอล
2. เพลง Lies อยู่ในชาร์ต MelOn top 10 สร้างสถิติยาวนาน 22 สัปดาห์ เพลง Last Good Bye อยู่ในอันดับ 1 ยาวนาน 8 สัปดาห์และอยู่ใน Top 10 ติดต่อกัน 19 สัปดาห์ Haru Haru ทุบสถิติทั้งเพลง digital และจำนวนเล่นออกอากาศ เพลงนี้อยู่ในอันดับ 1 ถึง 8 สัปดาห์และถูกดาวน์โหลดไป 4 ล้านครั้ง ฟังออนไลน์ 200 ล้านครั้ง และมียอดดาวน์โหลดริงโทน 43% ของผู้สมัครเล่น SKT และ Nate สถิตินี้ชนะทุกเพลงยกเว้นเพลง Gee ที่มี 47%
3. บิกแบง อยู่อันดับ 1 ของทุกโพลและทุกการสำรวจสิ้นปี
4. บิกแบงเซ็นสัญญาเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้า 5 สัญญา เป็นสถิติใหม่ของวงไอดอลชาย และ Baskin Robbins จ่ายให้กับวงไอดอลนี้ถึง 8000 ล้านวอนซึ่งราคานี้ไม่เคยมีใครยอมจ่ายให้วงไอดอลมาก่อน ราคานี้เป็นราคาสำหรับดาราภาพยนตร์ชั้นแนวหน้าเท่านั้น Big Bang กับ Baskin Robbins จึงสร้างกระแสใหม่ขึ้นมาในวงการโฆษณา ด้วย
5. บิกแบงกลายเป็นวงเนื้อหอมในวงการ FILA ยอมจ่ายที่ 1 พันล้านวอน LG ทุ่มสุดๆที่1.1 พันล้านดอลล่าร์
6. บิกแบง มีทัวร์คอนเสริต์ไปทั่วประเทศ กับคอนเสริต์ใหญ่ใน 6 เมือง Global Warning tour ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ต่อสาธารณชนของบิกแบงและช่วยเพิ่มความอยากรู้อยากเห็น ในตัวบิกแบงให้เพิ่มขึ้นด้วย
7. ใบหน้าของสมาชิกวงบิกแบงถูกพบเห็นในทุกสถานที่ทั่วกรุงโซล เพลงของบิกแบงสามารถได้ยินในทุกๆที่ บิกแบงอยู่ในทุกๆที่ทั้งประเทศ ซึ่งจนถึงตอนนี้พวกเค้าก็ยังไปออกรายการโทรทัศน์น้อยมาก
8. แดซองไปร่วมรายการ Family Outing ซึ่งจนถึงวันนี้รายการนี้ยังคงครองจำนวนเรทติ้งสูงสุดในบรรดารายการวาไรตี้โชว์ที่มีไอดอลไปปรากฏตัว นอกจาก Yoona และ Nichkhun แล้ว แดซองเป็นอีกคนที่สามารถครองใจพลเมืองที่เป็นกลุ่มคนชราของประเทศเอาไว้ได้
พวกเค้าสร้างและทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นจริงขึ้นมา ปลายปี 2008 สื่อต่างเรียกพวกเค้าว่าเป็น " ไอดอลชายระดับประเทศ" "ความหวังของประเทศ" "พี่น้องร่วมชาติ" ทุกอย่างจะต้องมีคำว่าระดับประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง ก่อนหน้านี้ไม่มีใครรู้จักบิกแบงเลย แต่ตอนนี้ทุกคนรู้จักบิกแบง บิกแบงและสมาชิกในวงทั้ง 5 คน
ทักษะการเขียนเพลงของจีดราก้อนอยู่ในชั้นแนวหน้าและยังเป็นไอดอลคนเดียวในตอนนั้นที่มี ชื่อในสมาคมสิทธิทางปัญญาจดลิขสิทธิ์ในเพลงที่เขียนเอง บิกแบงถูกขนานนามให้เป็น " ไอดอลที่มีค่าตัวแพงที่สุด" ทั้งปีบิกแบงสามารถครองใจประชาชนทุกคนทุกชนชั้น ในขณะที่ TVQX กลับมาเพื่อที่จะทวงหัวใจของแฟนคลับกลับคืน แต่ก็ไม่เป็นผลซะแล้ว ทุกคนที่โซลต่างเลือกบิกแบงแทนที่จะเลือก TVXQ นอกจากพวกแฟนคลับของ TVQX พวก cassiopeia เอง TVXQ อาจจะสร้างตำนานในญี่ปุ่น แต่ที่เกาหลีใต้ พวกเค้าไม่เคยทำให้ทุกคนในสังคม จดจำได้ ให้ความรัก และให้เกียรติเหมือนกับบิกแบงทำได้
ในปี 2009 เป็นปีที่ไม่ใช่เล่นๆเลยสำหรับบิกแบง บิกแบงได้เซ็นสัญญาเป็นพรีเซนเตอร์สินค้า 10 ฉบับ ได้รับเงิน 20 ล้านดอลล่าร์ และจีดราก้อนสามารถทำรายได้ด้วยตัวเค้าเอง 12 ล้านดอลล่าร์ ทั้งๆที่ก็เป็นข่าวพาดหัวเรื่องที่หยุดงานไปเป็นเวลานาน แต่บิกแบงก็ยังคงไม่มีใครมาเทียบได้อยู่ดี
พวกเค้าได้ทำอะไรมากมายและสิ่งที่ทำให้สิ่งต่างๆเหล่านั้นน่าประทับใจมากเข้าไปอีกคือความจริง ที่ว่าพวกเค้า ได้รับความโด่งดังในระดับนี้ได้ เป็นเพราะเสียงเพลงและแฟชั่นของพวกเค้า ไม่ใช่เพราะรูปร่างหน้าตา ท่าเต้น หรือบุคคลิกที่ดูดี บิกแบงแทบจะไม่ไปออกรายการโชว์ตามโทรทัศน์เลยนอกจากรายการเพลง วายจีเลิกการปรากฏตัวตามรายการต่างๆเมื่อสิ้นปี 2008 แต่ทั้งหมดนี้ บิกแบงก็ยังคงเป็นวงที่คนพูดถึงมากที่สุด เป็นวงที่นักวิจารณ์ชื่นชมเพลงของพวกเค้า แฟชั่นและเพลงของพวกเค้าเป็นที่รักของสาธารณชน พวกเค้าไม่ได้ลบตัวตนของพวกเค้าเองและได้เข้ามายืนตรงนี้ แต่พวกเค้าเพียงทำตัว เป็นธรรมชาติและสนุกกับมัน และนี่ก็เป็นเหตุผลหลักๆที่ พวกเค้าเหมือนจะหายตัวไปพักนึง ไม่ใช่ว่าพวกเค้าจะเงียบหายไปเพราะพวกเค้าไม่ได้รับเสียงตอบรับจากแฟนๆ แต่พวกเค้าไม่ใช่ดาราทีวี พวกเค้าเป็นไอดอลนักแต่งเพลงที่จะมีข่าวก็ต่อเมื่อเค้ามีเพลงมานำเสนอ ไม่ใช่มีข่าวเพื่อต่อยอดความโด่งดังของตัวเอง เป็นครั้งแรกที่ คนในสังคม รวมทั้งวัยรุ่นและนักวิจารณ์จะเฝ้ารอกลุ่มไอดอลแบบนั้น โดยเฉพาะวงไอดอลชายด้วย
บิกแบง เป็นผู้พลิกเกมส์เสมอ ทุกอย่างจะต้องเป็นสิ่งที่ ไม่เคยมีใครทำมาก่อน และจะไม่มีใครลงมือทำในอนาคตอันใกล้นี้ สิ่งที่พวกเค้าได้ลงมือทำและวิธีการที่จะทำลงไป เป็นสิ่งที่วายจีจะใช้โปรโมท ในขณะที่วงไอดอลอื่นปรากฏตัวตามรายการทีวีบ่อยๆ บิกแบงเลือกทางที่เน้นไปที่เสียงเพลงและวัฒนธรรมเป็นหลัก ไม่มีใครก้าวมาเป็นไอดอลระดับประเทศด้วยเส้นทางแบบนี้ มีเพียงบิกแบงเท่านั้นที่ทำได้
ฉันอยากจะทำให้พวกคุณได้รู้ว่า ตำแหน่งที่บิกแบงอยู่ในฐานะที่เป็น วงไอดอลระดับประเทศนั้น อยู่ตรงไหน? จุดที่พวกเค้าอยู่ คือ กลุ่มของพวกเค้ากลายเป็นที่นับถือ เป็นที่รู้จักอย่างมาก และ สาธารณชนต่างก็ชื่นชมพวกเค้าในจุดที่ไม่ว่าจะเป็น H.O.T, SHINHWA, G.O.D, TVXQ และ Super Junior ก็ไม่สามารถและไม่อาจจะเป็นแบบที่พวกเค้าเป็น บิกแบงนั้นมีระดับของพวกเค้าเอง แต่ไม่ใช่ว่าพวกเค้าจะเป็นพวกอมตะอยู่ยงคะกระพันหรอกนะ แต่อย่าเพิ่งเสียความศรัทธาง่ายๆแบบนั้น อย่าไปกังวลหรือคิดในแง่ร้ายมากเกินไป เพราะขนาดคนที่เตรียมการมาอย่างดีและแข็งแกร่งอย่างบิกแบงก็ยังสามารถที่จะ เป็นข่าวในเวป Nate และมีคอมเม้นซ์ในแง่ลบถึง 1349 ตอมเม้นซ์มาแล้ว
อินเตอร์เนทเป็นสถานที่เสรี เป็นสถานที่ที่ทั้งแฟนเพลงและคนที่ไม่ใช่แฟนเพลงสามารถจะโพสได้เท่าเทียมกัน แฟนๆของบิกแบงไม่ใช่แค่กลุ่มวัยรุ่นเท่านั้น ในอินเตอร์เนทจึงไม่ได้มีแค่พวกวีไอพีมาอยู่กัน บิกแบงเป็นวงที่สามารถครองใจคนทุกประเภทและทุกช่วงอายุในประเทศ และไม่ใช่ทุกคนที่เป็นแฟนบิกแบงจะมีเวลามานั่งออนไลน์เพื่อมาลงคอมเม้นซ์ทั้ง ในแง่ดีและแง่ลบ สิ่งที่คุณคิดว่าคุณได้เห็น สิ่งที่คุณคิดว่าคุณได้อ่านนั้น ไม่ได้เป็นตัวแทนเสียงส่วนใหญ่ในสังคมและไม่ได้ชี้ชะตาอนาคตของบิกแบง เหตุผลที่หุ้นของวายจี มีราคาสูงเป็น 2 เท่าจากราคาในวันเปิดตัวนั้นมาจากการที่บิกแบงชนะรางวัลในงาน MTV ที่ยุโรป และจุดยืนทางด้านการเงินของบิกแบงที่เป็นมาตลอดทั้งปี บิกแบงยังคงแข็งแกร่งอย่างที่เคยเป็นมาและคุณจะได้เห็นความแข็งแกร่งนี้อีก ต่อไปในปี 2012
เมื่อไหร่ก็ตามที่บิกแบงไปเกี่ยวข้องกับเรื่องอื้อฉาว พวกเค้ามักจะถูกรุมเสมอ เรื่องต่างๆจะถูกขุดมาแฉ ในสังคมออนไลน์จะมีคอมเม้นซ์ให้บอกให้พวกเค้าไปตายไม่ก็ออกจากประเทศไปซะ ซึ่งเหล่านี้เป็นวงจรปกติธรรมดาเป็นพฤติกรรมของชาวเนท บิกแบงไม่เคยที่จะเป็นนางฟ้าสุดแสนสมบูรณ์เหมือนกับไอดอลหญิงอย่าง SNSD และ IU บิกแบงไม่เคยจะเดินตามทางที่จะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเยาวชน พวกเค้าเป็นไอดอลระดับประเทศแต่ท่ามกลางชื่อเสียงนั้นพวกเค้าก็ยังเป็นนักดื่มและยังสูบบุหรี่ พวกเค้าเป็นวงไอดอลมาได้ท่ามกลางเรื่องสวนกระแสของจีดราก้อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรอยสัก เรื่องเที่ยวกลางคืน เรื่องแฟนสาว และเรื่องยาเสพติด พวกเค้าไม่ได้ทำลายภาพพจน์ของตัวเองซะยับเหยินแต่อย่างใดเพราะพวกเค้าไม่ได้ สร้างภาพพจน์ที่ดีขึ้นมาให้ปกป้องตั้งแต่เิริ่มแรก
จีดราก้อนเป็นไอดอลที่มีลักษณะที่สุดขั้วที่สุดของเกาหลี ทั้งวัยรุ่นและผู้ใหญ่ในวัยทำงานต่างประทับใจในตัวเค้า กลุ่มคุณพ่อคุณแม่และคนสูงอายุมักจะต้องขมวดคิ้วไม่พอใจกับสิ่งที่เค้าทำ แต่พวกเค้าเหล่านี้ก็ยังคงฟังเพลงของบิกแบงอยู่ดี เพราะอะไรหนะเหรอ?? ก็เพราะพวกเค้าคือบิกแบงไงละ พวกเค้าเป็นไอดอลนักดนตรี บิกแบงเป็นที่รักในระดับประเทศแบบนี้เพราะเสียงเพลงของพวกเค้าและเทรนต่างๆ ที่พวกเค้าเป็นผู้นำเข้ามาในสังคม สมาชิกทุกคนในวงล้วนมีลักษณะเฉพาะตัว ที่ลงตัว แดซองเป็นที่รักมากมายของคนสูงอายุ ซึงรีเป็นที่โด่งดังในหมู่เด็กๆและวัยรุ่น จีดราก้อนเป็นที่ต้องใจของคนหนุ่มสาวที่เพิ่งเริ่มทำงาน ท็อปเป็นที่ชื่นชมในหมู่ผู้ใหญ่ แทยังได้ใจกลุ่มคนที่รักดนตรีในทุกช่วงอายุ
บิกแบงเป็นกลุ่มไอดอลชายที่โด่งดังระดับชาติวง เดียวเคียงบ่าเคียงไหล่กับ Seungki และเรน และท่ามกลางรายชื่อดารานักแสดงระดับประเทศทั้งหลายนั้น บิกแบงน่าจะเป็นวงที่มีภาพลักษณ์แปดเปื้อนที่สุดและมีเรื่องอื้อฉาวมากที่สุดด้วย แต่พวกเค้าก็ยังคงสถานะความเป็นวงไอดอลชายระดับประเทศไว้ได้ตลอด 4 ปีและจะต้องเป็นไปเรื่อยๆ สิ่งนี้พอจะบอกอะไรพวกคุณได้บ้าง???
นั่น หมายความว่า ชื่อ บิกแบง ชื่อนี้ แข็งแกร่ง มั่นคง ไม่มีเหตุผลใดเลยที่จะต้องกังวล เราควรจะกังวลเมื่อพวกเค้าเกิดอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วยมีปัญหาเรื่องสุขภาพ ไม่ก็เรื่องของสภาพจิตใจของพวกเค้าตกต่ำลง หรือหากเกิดเรื่องเป็นคดีความขึ้นไม่ว่าจะทางแพ่งหรืออาญาแบบนั้นจะดีกว่า การที่มากังวลเรื่องคอมเม้นซ์แย่ๆของชาวเนทมันเป็นเหตุผลที่ตื้นและง่ายเกิน ไปที่เราจะมาเป็นกังวลว่ามันจะกระทบไปถึงชื่อเสียง สถานะและถึงกับกระทบไปถึงเรื่องอนาคตของพวกเค้า
บิกแบงเป็น กลุ่มที่ดึงดูดคอมเม้นซ์ที่โหดร้ายและเต็มไปด้วยความเกลียดเท่าที่จะเป็นไปได้ทุกรูปแบบในสังคมชาวเนท พวกเค้าอยู่ในมุขตลกเหยียดหยามและคำวิจารณ์แง่ลบต่างๆ พวกเค้าเชื้อเชิญคำพูดในแง่ร้าย ในเวปให้ค้นหาทางอินเตอร์เนทเต็มไปด้วยข้อความโจมตีจากพวก แอนตี้ ก่อนที่จะมีวง 2PM พวกเค้าเป็นวงที่มีแอนตี้แฟนมากที่สุด ขอถามหน่อยว่าพวกคุณคิดว่าอะไรที่ทำให้พวกเค้ามีชีวิตรอดจากสถานการณ์เหล่า นั้นมาได้กันละ??
บิกแบงยังคงเป็นศิลปินวง เดียวที่เป็นผู้เชื่อมโยงเอาเสียงเพลง นักวิจารณ์ แฟนๆวัยรุ่น และสังคมชาวเกาหลีทั้งหมดนี้เข้าไว้ด้วยกันโดยทางเลือกทางเสียงดนตรีที่พวกเค้านำเสนอ จำเอาไว้แค่นี้ จำเอาไว้ตลอดเวลาและสิ่งนี้จะช่วยเป็นแรงผลักเอาความศรัทธาความเชื่อมั่นใน หนุ่มๆทั้ง 5 คนนี้กลับมา
จำเอาไว้นะค่ะ วีไอพีในตอนนี้เราไม่ได้กำลังกังวลและไม่ได้กำลังต่อสู้กับศัตรูที่ไหน เราไม่ต้องสู้เพราะมันไม่มีความจำเป็น เราเป็นกลุ่มเครือข่ายที่มักจะอยู่อย่างเงียบๆ คุณจะไม่มีทางได้เห็นเราไปโต้เถียงต่อปากต่อคำกับใคร เราสู้กับเหล่าศัตรูด้วยความจงรักภัคดี ความอดทน และความรัก และมันก็ได้ผลทุกที ความเกลียดชังจะผ่านไปเอง แต่ความจงรักภัคดีที่หนักแน่นและแรงสนับสนุนนั้นจะไม่มีวันหมด
บิกแบงจะกลับมา แม้จะเต็มไปด้วยบาดแผล แม้จะมีรอยแผลเป็น แต่จะต้องแข็งแรงขึ้นแน่ ขอแค่อดใจรอ เท่านั้น
==================
ยินดีให้ทุกคนส่งต่อข้อความนี้ไปยังที่ที่คุณต้องการ เพราะฉันรู้สึกว่าเราจำเป็นต้องผลักดันความเชื่อมั่นในความภาคภูมิของเราให้มันกลับมาอีกครั้ง และจงยึดมั่นในความศรัทธานะค่ะ
=================
เกี่ยวกับฉัน ฉันชื่อ Cristina Kang เป็นสมาชิกวีไอพีรุ่นที่ 2 อายุ 23 ปี ฉันเป็นแฟนเพลงที่เป็นส่วนนึงของการเคลื่อนไหวต่างๆ ความเคลื่อนไหวจากแฟนๆที่คอยเยี่ยมเยียน สนับสนุน และ ร่วมลงมือในการปกป้องบิกแบง
ฉันเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่คอยส่งอาหารให้พวก ห้าหนุ่ม ตอน ตี 3 เพื่อเพียงให้เรามั่นใจว่าพวกเค้าจะมีอะไรทานในช่วงอัดเสียง ฉันเป็นหนึ่งในแฟนเพลงที่จัดหาที่บังแดดและที่ป้องกันต่างๆให้กับพวกเค้าใน ช่วงที่พวกเค้าเริ่มเข้ามาทำงานตรงนี้ในช่วงเริ่มแรกในช่วงที่พวกเค้าไม่ โด่งดังพอที่ SBS หรือ KBS จะหาห้องแต่งตัวให้กับพวกเค้า ฉันเป็นหนึ่งในวีไอพีที่ร่วมข่มขู่ สถานนีวิทยุ MBC เพราะพวกเค้าแบนเพลงของบิกแบงเป็นเวลา 5 เดือน ใช่แล้วละ ฉันเป็นส่วนหนึ่งของ วีไอพี และในสายตาของฉันไม่มีใครจะมาดีกว่าพวกเราอีกแล้ว แต่ฉันก็ไม่ลืมที่จะคอยระมัดระวังเรื่องจริงที่เกิดขึ้นนะ และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับบิกแบง และมันดีที่สุดที่เราจะรู้เอาไว้ เราจะได้คอยระมัดระวังป้องกันไงละค่ะ
=================
ขอบคุณ วีไอพีคนเขียน Cristina Kang + UKBigbang+รวมถึง Trollingforkpop at 6Theoryและ WhySoPerfectBB and Me mewmew in mew mini museum the translator >_<
สามารถอ่านตอน1-2ตามนี้ค่ะ
วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2554
Long Journey Of BigBang ตอนที่ 2
=========================
เริ่มปี 2007 เรียกได้ว่า ประเทศของเราเพิ่งจะเริ่มหายไข้จากโรค Yee Hyori และเรน ฟีเวอร์ พวกเรามีความสนใจในตัวของนักร้องเดี่ยวเพราะพวกเค้าเข้ามาวางกฏเกณฑ์ในโลกวงการบันเทิงของประเทศเรา ในขณะที่ฐานแฟนคลับวง TVQX จะหนักไปที่กลุ่มวัยรุ่นสาวๆ Hyori และเรน ก็โอบล้อมไปด้วยแฟนๆที่นอกเหนือจากกลุ่มผู้หญิงและวัยรุ่นในสังคม Epik High ได้เข้ามาสร้างกระแสในกลุ่มคนรักงานเพลงในฐานะที่พวกเค้าได้นำเอาเพลง HipHop ให้เข้ามาเป็นที่รู้จักในวงการเพลงกระแสหลัก Ivy ได้เข้ามาปั่นป่วนให้ประเทศเราเต็มไปด้วยกระแสแห่งความยั่วยวน แต่ Super Junior และ SS501 ก็ยังคงพยายาม พยายาม พยายาม พยายาม พยายาม อย่างหนักจริงๆ ฉันหมายถึงว่าหนักมากๆ แต่ตอนนั้นก็ยังไม่มีช่องว่างให้กับวงไอดอลชายอยู่ดี ไม่มีเลยแม้แต่น้อย
แต่พวกเราก็ยังคงรออยู่นอกตึกบริษัท วายจี แทบจะทุกคืนในเดือนเมษายน-กรกฏาคมในปี 2007 เรายังคงมอบแรงสนับสนุนและความภัคดีทั้งหมดของเราให้กับ บิกแบง เราคอยเชียร์พวกเค้า ถึงแม้ว่าโอกาสทุกอย่างจะริบหรี่เราก็ยังสู้กับพวกเค้า มีกลุ่มวัยรุ่นน้อยมากๆในหมู่วีไอพีตอนนั้นเพราะ สาวๆส่วนใหญ่ได้กลายเป็นสาวกของวง TVXQ ไปแล้ว ในแฟนคาเฟ่ของเรามีสมาชิกเพียง 50,000 คนเท่านั้นและช่วงที่สิ้นสุดการโปรโมทเพลง Dirty Cash ตัวเลขนี้ก็ลดลงวันต่อวัน จนแดซองมักจะพูดล้อเล่นว่า " อย่าทิ้งเราไปนะครับ มีหลายคนลาออกไปตาม FT Island กันแล้ว โปรดอยู่กับเราเถอะครับ " และ ซึงรีก็มักจะล้อเราว่า " เพราะว่า Jun Su ฮยองและ TVXQ ไปญี่ปุ่นใช่ไม๊ พวกคุณถึงมาเฝ้าเราตรงนี้ได้ " พวกเค้าเล่นมุขตลก แต่ฉันรู้ว่าในหัวใจของหนุ่มๆพวกนี้ พวกเค้าต้องกำลังกังวลมากๆแน่นอน เพราะ มีเราไม่กี่คนเท่านั้นจริงๆที่ตั้งใจจะเชียร์พวกเค้าอย่างจริงจัง
เราอยู่ผ่านช่วงใบไม้ร่วง ท่ามกลางสายฝน ท่ามกลางความร้อน ความเคลื่อนไหวของพวกเราในตอนนั้นคือ อยู่เคียงข้างหนุ่มๆของเราในขณะที่พวกเค้ากำลังเตรียมงานอัลบั้ม เรากำลังรอคอยซิงเกิลใหม่อีกซักซิงเกิลของพวกเค้า ตอนนั้นวายจีมีการออกข่าวให้กับทางสื่อว่า จียงและซึงฮยอนได้ช่วยในส่วนของการผลิตงานเพลงใหม่นี้ด้วยตัวของพวกเค้าเอง ถ้าคุณเข้าไปดูเสียงตอบรับของข่าวนี้ในอินเตอร์เนท คุณจะเห็นว่าผู้คนช่างโหดร้ายจริงๆ ไม่มีใครเชื่อสิ่งที่วายจีพูดที่ว่าจียงกับซึงฮยอนอุปป้าเขียนเพลงเอง ทุกคนต่างสาปแช่งวงของเรา พวกสาวๆเลือดร้อนเรียกพวกเค้าว่าเป็น " วงฝันอยากเป็นดงบัง" "พวกหมาน่าเกลียด" "เตี้ยแล้วยังอยากเป็นไอดอล" "โกหกหน้าไม่อาย""พวกเกือบได้เป็นไอดอล" คำวิจารณ์เหล่านี้ล้วนมาจากการที่พวกเค้าหน้าตาน่าเกลียดเกินกว่าที่จะมาเป็นไอดอลได้
บทความต่างๆใน Daum ต่างเต็มไปด้วยคอมเม้นต์ในแง่ลบเหล่านี้ มันทำให้หัวใจของพวกเราเจ็บปวดและเราก็ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากปักหลักอยู่ที่ประตูบริษัทและแสดงให้พวกเค้าเห็นว่า แม้ในอินเตอร์เนทจะมีแต่พวก haterที่ใจร้าย แต่เรา เราวีไอพี อยู่ตรงนี้ ทุกๆครั้งที่สื่อปล่อยอะไรออกมาตั้งแต่ช่วงอัลบั้ม always เราจะได้คำต่อว่าเหน็บแหนมซัก 800 คอมเม้นซ์ และอีก 200 คอมเม้นซ์ที่มองในแง่บวก เราแทบจะไม่มีแรงอะไรไปต่อสู้หรือปกป้องหนุ่มๆของเราจากคอมเม้นซ์โหดร้ายพวกนั้นจากชาวเนทเลย
และเมื่อวันวางแผงผลงานเพลงใหม่ใกล้มาถึง วายจีเริ่มจะปล่อยข่าวอย่างแพร่หลายว่า อัลบั้มใหม่ของบิกแบงจะเป็นเพียง มินิอัลบั้ม และจะออกขายในราคาที่ไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อนคือ 10 000 วอน (เมื่อเทียบกับราคาซิงเกิลจะอยู่ที่ 8000 วอนและอัลบั้มเต็มๆตามทั่วไปจะมีราคา 13 000 วอน ) และมีเพลงบรรจุอยู่ในอัลบั้ม 6 เพลง(ซึ่งก็เป็นแบบเฉพาะอีกเนื่องจาก ซิงเกิลมักจะมี 3 เพลงอัลบั้มเต็มจะมี 10 เพลง) วายจีได้ให้คำสัญญากับเราอีกว่า " นี่จะเป็นการสร้างเทรนใหม่" " เรากำลังสร้างจุดเริ่มต้นใหม่ให้กับวงการดนตรีเกาหลี" "บิกแบงจะเป็นผู้ปฏิวัติวงการเพลงไอดอล" และ โน่นนี่นั่น พวกเราแฟนๆรู้สึกตื่นเต้นเหมือนกันแต่ในขณะเดียวกัน เราก็รู้สึกกังวล เพราะวายจีให้คำสัญญาอีกแล้ว คำสัญญาที่ทำให้มี hater เพิ่มมากขึ้น hater ที่เคยตราหน้าวายจีว่า " ไหนละสัญญาที่เคยบอกว่าจะนำ Seotaji and boys กลับมาตอนนี้จะดันมังกรไร้ชีวิตมาแทนหรอกเหรอ?? " " วายจีที่ไร้น้ำยาออกมาสัญญาอีกแล้ว " ด้วยส่วนแบ่งแฟนๆที่น้อยนิดในกลุ่มคนต่างๆในสังคม ด้วยกลุ่มแฟนๆที่น้อยนิดมากเข้าไปอีกในกลุ่มวันรุ่นหญิงที่จะชอบไอดอล คนที่เชื่อในบิกแบงมีน้อยมากๆในตอนนั้น แล้วอนาคตของพวกเค้าจะเป็นยังไงละ?? พวกเรากับบิกแบงและบริษัทวายจีต่างภาวนาให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี
และแล้ววันดีเดย์ก็มาถึง วันที่ 17 สิงหาคม 10 โมงเช้า มินิอัลบั้มก็ออกให้กดซื้อดาวน์โหลดออนไลน์ตามเวปไซด์ขายเพลงหลักๆทุกไซด์ และ มินิอัลบั้มก็ถูกปล่อยวางแผงตามร้านขายซีดีต่างๆ สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นสถิติได้ไม่ได้เกิดขึ้นในวันแรกที่มินิอัลบั้มออกขาย แต่เพลง Lie ก็สามารถติดอยู่ใน top 15 ได้ใน 3 วันแรกที่ออกวางแผง ซึ่งนั่นนับว่าเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ของวงไอดอลชายแล้ว เพราะ TVXQ หรือ SS501 ยังไม่สามารถเข้ามาได้ถึง top 20 แต่บิกแบงได้เข้ามาอยู่ในโซน top 15 พวกเราดีใจกันเกือบบ้า ขึ้นtop 15 ภายในเวลา 3 วัน วีไอพีดีใจกันมากๆเพราะสิ่งนี้หมายความว่า ผู้คนชอบเพลงนี้
นั่นเป็นเหมือนกับลางดีลางแรกแห่งความประสบความสำเร็จ ที่กลายมาเป็นสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตของบิกแบงเลยทีเดียว เมื่อพวกเค้าอยู่ที่อันดับ 14 ของชาร์ต MelOn อยู่ในอันดับ 15 ในชาร์ตMnet เราก็คิดว่านี่คงดีที่สุดที่เราจะทำได้แล้ว แต่ไม่เลย เป็นเพราะคำวิจารณ์และรีวิวทางอินเตอร์เนทกลายมาเป็นตัวเร่งให้เกิดความประสบความสำเร็จที่ยิ่งขึ้นไปอีก รีวิวที่มาเร็วที่สุดคือ มาในวันที่ 2 ที่ปล่อยเพลงออกมา และไม่มีคำวิจารณ์ไหนที่จะพูดในทางลบเลย ไม่มีเลยจริงๆ คุณ Kim Jiho นักวิจารณ์เรื่องโน้ตดนตรี จาก The Seoul Times กล่าวว่า
" คาดไม่ถึงจริงๆ เพลงที่เขียนโดยลีดเดอร์ของวง คือเพลง Lies และ Oh Ma Baby เป็นเพลงที่แข็งแกร่งที่สุดในอัลบั้มของวงน้องใหม่ที่เพิ่งออกมินิอัลบั้มออกมา มินิอัลบั้ม Always เป็นการผสมผสานระหว่างเพลง pop, rock และด้วยโทนที่แฝงความเป็น hip hop ไว้นี่เป็นโทนที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของวงบิกแบงและเป็นโทนที่เราไม่เคยได้ยินมาก่อนอีกด้วย "
ทางด้านหนังสือ Chosun Ilbo เรียก จีดราก้อนว่า เป็นอนาคตของวงการดนตรีไอดอล ทาง Korea Herald ยิ่งตอกย้ำว่า " จุดเปลี่ยนที่น่าตกใจที่แตกกิ่งก้านแตกต่างออกมาจากดนตรีเดิมๆที่คาดเดาได้ง่ายของยุควงไอดอลชาย ถ้าคุณจะเรียกเพลงจากวงเหล่านั้นว่าเป็นเพลงอะนะ" สื่อต่างๆและสื่อออนไลน์จู่ๆก็รีบประโคมข่าวและคำวิจารณ์ของนักวิจารณ์ต่างๆออกมาและยกย่องมินิอัลบั้ม ALWAYS กันอย่างมาก ในอาทิตย์นึงๆ จะต้องมีหนังสือพิมพ์หรือไม่ก็นิตยสารอย่างน้อย 2 ฉบับลงพรีวิวอัลบั้มและยกย่องเพลงโปรโมทอย่างเพลง Lies ออกมา เมื่อบิกแบงทำการแสดงคัมแบคบนเวที Inkigayo และ Music Core อันดับในการค้นหาคำว่า "บิกแบง" ในอินเตอร์เนทก้าวกระโดดไปถึง 2000% ตามที่ Daum ได้ออกข่าว ในอินเตอร์เนทที่เคยมีแต่พวก hater ครองอยู่ก็มี นักเล่นเนททั่วไปที่เข้ามาคอมเม้นซ์ว่าอัลบั้มวิเศษแค่ไหนและพูดถึงความพิเศษของเพลง Lies ตอนนั้นที่บิกแบงขึ้นแสดงในเวทีคัมแบครายการ Music Bank ในวันที่ 26 สิงหาคม เพลง Lies ก็สามารถ all-kill อยู่ในอันดับ 1 ในชาร์ตเพลงทุกเพลงของเกาหลีซึ่งเป็นวันที่ 6 ที่อัลบั้มถูกปล่อยออกมา ทาง Music Bank บอกกับพวกเราวีไอพีในอาทิตย์ถัดมาว่า เรทติ้งของเวทีคัมแบคเมื่อคราวที่แล้ว ได้เรทติ้งถึง 6% ซึ่งเป็นเรทติ้งที่มากที่สุดในบรรดารายการเพลง 6 รายการเพลงในช่วงนั้น เราใช้เวลาเพียง 2 อาทิตย์นับจากวันที่ออกวางแผง บิกแบง เพลง Lies และมินิอัลบั้ม Always ก็สามารถครองความสุดยอดในหมู่นักวิจารณ์และสังคมออนไลน์ได้
ไม่มีใครคิดว่า ใครที่ไหนก็ไม่รู้จะสามารถขึ้นมาสู่จุดสูงสุดได้ด้วยรูปแบบอัลบั้มหนูทดลองแบบนั้น บิกแบงได้ทำในสิ่งที่ Super Junior หรือ SS501 พยายามอยากที่ทำ แม้แต่ TVXQ ก็ยังทำไม่ได้ คือการนำเอาเพลงของวงไอดอลชายขึ้นสู่อันดับ 1 ในชาร์ต และเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปในสังคมและสามารถร้องเพลงนั้นได้อีกด้วย จู่ๆ คนธรรมดาๆที่ไม่มีใครรู้จักก็กลายเป็นดวงดาวในชั่วข้ามคืน
บิกแบงยังคงมีเรื่องมากมายให้ฉลองตลอดไปจนถึงเดือนกันยายน วายจีได้จัดงานคอนเสริต์ตามห้างสรรพสินค้าและมหาวิทยาลัยมากมาย วายจีเข้าถึงผู้คนในสังคมและสร้าง fandom ในหมู่วัยรุ่น พอถึงช่วงกลางเดือนกันยายน ทั้ง Nate, Daum, Naver, Google, Cyworld, และตามเวปไซด์ที่เป็นฐานในการหาข้อมูลก็ถูกครองด้วยคำว่า "บิกแบง" ความสำเร็จทั้งหมดนี้มาได้ทั้งๆที่บิกแบงไม่ได้ไปออกรายการทางทีวีเลยแม้แต่รายการเดียวยกเว้นรายการเพลงเท่านั้น ในวันที่ 7 กันยายน บิกแบงชนะตำแหน่ง mutizen เป็นครั้งแรก และร่วมฉลองกับพวกเราในบริษัทวายจี หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ยังไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่วายจีพูดในงานแถลงข่าว พวกเราถึงกับต้องร้องไห้ แต่หนึ่งเดือนให้หลังกลุ่มวีไอพีของพวกเรากลับไม่มีเวลาพักเอาซะเลยเพราะมีการกันที่นั่งพิเศษเอาไว้ให้ในงานทุกๆรูปแบบของหนุ่มๆ ไม่ว่าจะเป็นงานคอนเสริต์ และงานแสดงบนเวที งานโชว์ตัวต่างๆ จู่ๆบิกแบงก็มีงานต้องขึ้นเวทีในมหาวิทยาลัยและโรงเรียนมัธยมถึง 14 งานในเวลาเพียง 2 เดือน ไม่เพียงแต่บิกแบงที่เหนื่อยจนไม่ได้พักผ่อนแต่เราวีไอพีก็เหนื่อยตามไปด้วยในการวิ่งรอกสนับสนุนพวกเค้าในงานโน่นงานนี่เต็มไปหมด
เดือนถัดมายิ่งวุ่นวายเหมือนกับนั่งรถไฟเหาะตีลังกา เป็นเวลา 7 สัปดาห์มาแล้วที่ Lies อยู่ในอันดับ 1 ของชาร์ตเพลงทั้งประเทศ มันเป็นเพลงที่ถูกเล่น ถูกฉายมากทั้งทางวิทยุและทางโทรทัศน์ รวมถึงรายการวาไรตี้ ละคร และรายการทอล์กโชว์ล้วนใช้เพลง Lies เป็นเพลงเปิดคลอในรายการ ทั้งทางโทรทัศน์และอินเตอร์เนทต่างเป็นตัวเร่งให้เพลงนี้ยิ่งเป็นที่รู้จักมากขึ้นไปอีก และในช่วงกลางเดือนกันยายน ทั้ง นักเรียน อาจารย์ แม่ค้าขายของตามรถเข็น คนซื้อของตามรถเข็น ทนายความ แม้แต่โจร คุณแม่คุณลูก ชาวประมง คนขับรถเมล์ เด็กเล็กๆไปจนถึงคุณปู่คุณย่า สามารถร้องเพลง lies ในท่อน “I’m so sorry but I love you dageojitmal, iyamorasseo ijeya arasseo naega pirhyohae!” ได้ทั้งนั้น สังคมเกาหลีใต้จับไข้ Lies กันไปทั้งเมือง
นอกเหนือจากนั้น ในวงการวัฒนธรรรมป็อป แฟชั่นบล็อคเกอร์ทั้งหลายต่างเริ่มสังเกตเรื่องแฟชั่นของวงด้วย ในช่วงเดือนกันยายน มีการโพสรวมคอลเลคชั่นผ้าพันคอที่จียงใส่ลงในอินเตอร์เนท และพวกหนุ่มๆก็ทำให้รองเท้าผ้าใบแบบ high top sneakers เป็นของยอดฮิตในสังคม แฟชั่นของหนุ่มๆทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็น เสื้อเปิดอกของแดซอง แว่นตาดำแบบท็อป เสื้อแขนกุดแบบของซึงรี และหมวกของแทยัง ถูกเขียนถึงในบทความทางแฟชั่นของทุกนิตยสาร ในเดือนตุลาคม ถ้าคุณได้มาเดินในสถานนีรถไฟใต้ดินในกรุงโซลหรือตามห้างสรรพสินค้า คุณจะต้องเจอเด็กวัยรุ่นชาย อย่างน้อยๆ 2 คนที่แต่งตัวในแบบบิกแบง การเดินเล่นในห้างสรรพสินค้าจะทำให้คุณรู้โดยง่ายดายเลยว่าบิกแบงไม่ได้สร้างความปั่นป่วนให้กับวัยรุ่นหญิงเท่านั้นแต่กับกลุ่มวัยรุ่นชายด้วย
สิ่งที่น่าสนใจมากเข้าไปอีกคือ บิกแบงได้รับความโด่งดังมากจนถูกนำเอาเพลงของพวกเค้าไปใช้เป็นเพลงแบล็คกราวน์ของเกมส์ออนไลน์ ซึ่งนั่นยิ่งทำให้บิกแบงเชื่อมต่อกับกลุ่มวัยรุ่นชายได้มากขึ้นไปอีก สาวน้อยอยากจะได้บิกแบงเป็นแฟน ในขณะที่วัยรุ่นหนุ่มๆก็อยากจะเป็นแบบ บิกแบง
ทั้งมิวสิควีดีโอและเทปบันทึกการแสดงบนเวทีถูกฉายซ้ำแล้วซ้ำอีกตามสถานที่สาธารณะ ความโด่งดังไม่ได้หยุดที่เสียงเพลงแต่เป็นเพราะแฟชั่นของวงด้วย ซึ่งทุกอย่างเกิดขึ้นภายในเวลา 2 เดือนทั้งๆที่ไม่ได้มีการไปปรากฏตัวตามรายการทางโทรทัศน์เลย เราทำเพียงการแสดงบนเวทีและปรากฏตัวในรายการเพลงทางโทรทัศน์เท่านั้น
ในตอนนั้น เกาหลีใต้กำลังสนใจในเสียงเพลงและอาชีพของหนุ่มๆทั้ง 5 G-Dragon, Tae Yang, T.O.P, Dae Sung, และ Seung Ri.
================
ขอบคุณ วีไอพีคนเขียน Cristina Kang + UKBigbang+รวมถึง Trollingforkpop at 6Theoryและ WhySoPerfectBB and Me mewmew in mew mini museum the translator >_<
สามารถอ่านตอนแรกได้ที่
วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2554
Long Journey Of BigBang ตอนที่ 1
จริงๆ ตามต้นฉบับเค้าเรียกสิ่งที่เรากำลังจะได้อ่านนี้ว่าเป็น จดหมายเปิดผนึกจาก KVIP สู่ IVIP ค่ะแต่มิวอยากจะเรียกว่าเป็น ความในใจ ของ KVIPมาเล่าสู่เราๆฟังมากกว่า รู้เลยว่าคนเขียนต้องรักน้องๆมากแน่ๆ
น้องแป๋มส่งลิงค์มาให้อ่านได้ซักพักแล้ว มิวมัวตามเก็บรูปและคลิปคอนครอบครัว เลยคาดดาวไว้ไม่ได้อ่านซักที วันนี้เงียบๆไม่ยุ่ง เลยตั้งใจว่าจะอ่าน ไม่ได้ตั้งใจจะแปลเลย แต่พออ่านตอนแรกจบไปก็เริ่มอยากจะแปลทั้งหมดเก็บไว้
==================
บิกแบง ตำนานไอดอลระดับประเทศ
คุณเป็นห่วงเรื่องยอดขายอัลบั้มของพวกเค้ารึเปล่า?? แล้วเรื่องความโด่งดังละ?? เรื่องภาพพจน์ละ?? แล้วเรื่องสัญญาการเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าต่างๆของพวกเค้าละ??
ถ้าคำตอบในใจคุณตอนนี้ คือ คุณกำลังเป็นห่วงพวกเค้า งั้นคุณก็ประเมินค่า บิกแบงต่ำไปแล้วละ ฉันเข้าใจนะว่าทำไมคุณถึงรู้สึกแบบนั้นเพราะพวกคุณทั้งหมดอยู่ในประเทศอื่น พวกคุณไม่ได้อยู่เห็นช่วงที่พวกเค้าขึ้นสู่จุดสูงสุด คุณไม่ได้มาร่วมประสบกับปรากฏการณ์ " การระเบิดครั้งใหญ่ของบิกแบง" คุณไม่ใช่ส่วนนึงของพวกเรา คุณไม่ใช่ KVIP คุณไม่ได้เป็นพลเมืองชาวเกาหลี
ฉันไม่ได้กำลังดููถูกอะไรพวกคุณนะค่ะ จริงๆแล้ว ฉันรู้สึกขอบคุณพวกคุณที่รู้จักบิกแบง พวกคุณพูดคุยเรื่องของพวกเค้าผ่านทวิตเตอร์ facebook และใน allkpop และเป็นเพราะการพูดคุยนี้ ทำให้บิกแบงของพวกเรา สามารถที่จะไปแสดงที่กรุงเทพ สิงคโปร์ กัวลาลัมเปอร์ เมืองอีกหลายๆเมืองที่ญี่ปุ่น ไปนิวยอร์ก ไป แอลเอ ไปเวกัส และ เบลฟาสต์ ถ้าไม่ใช่เพราะพวกคุณและแรงสนับสนุนจากพวกคุณ หนุ่มๆที่รักของพวกเราคงไม่สามารถที่จะเดินทางไปรอบโลกด้วยเสียงเพลงของพวกเค้าได้แบบนี้ ขอบคุณนะค่ะ จากใจทั้งหมดของฉันฉันรู้สึกขอบคุณมากๆ
ฉันรู้สึกขอบคุณ แต่ในขณะเดียวกันก็อยากจะอธิบายบางเรื่องให้พวกคุณฟังด้วย สิ่งที่คุณได้อ่านออนไลน์ สิ่งที่คุณคิดว่าคุณรู้ พวกมันอาจจะจริงแต่ไม่ใช่ทั้งหมดที่จะเป็นเรื่องจริง ถ้ามีใครมาทำให้คุณกลัวโดยการบอกว่าคนที่เกาหลีกำลังจะโค่นวายจีและบิกแบงด้วยคำด่า อย่าให้ความจริงข้อนี้มาหลอกคุณเลย คำพูดก็คือคำพูด คำพูดไม่ใช่เม็ดเงิน โลกในอินเตอร์เนทเป็นแค่ที่โง่ๆของใครก็ตาม แหล่งข่าวที่มีแต่พวก hater อย่าง Nate, Dispatch, หรือบางบทความของ e-news ไม่สามารถที่จะพรากเอาอาชีพของไอดอลระดับประเทศทั้ง 5 คนนี้ไปได้ , ไม่ใช่ตอนนี้
พวกเรารู้จัก จียงและยองเบตั้งแต่พวกเค้าเพิ่งจะเป็นวัยรุ่นที่ไม่มีเงิน ไม่มีอาหาร มีแต่รอยยิ้มน่ารักและศักดิ์ศรีติดตัว เราเติบโตมาพร้อมกัน เรานั่งรถไฟใต้ดินด้วยกันหลังจากที่พวกเค้าเสร็จจากการฝึกซ้อม เราเฝ้าดูพวกเค้าแสดงตามสวนสาธารณะ เรารู้จักพวกเค้าตั้งแต่พวกเราอายุแค่ 15 ช่วงอายุที่คิดว่าอะไรๆในชีวิตก็ง่ายไปหมด แต่ฉันไม่ได้บอกนะว่าเราเป็นเพื่อนกับจียงและยองเบ เพราะเราไม่ใช่เพื่อนกัน เราเป็นแค่แฟนเพลงที่ภัคดี ที่ฉันต้องการจะบอกคือ เรารู้จักพวกเค้าก่อนที่พวกเค้าจะสร้างบ้านในย่านคนรวย Chungdam dong ก่อนที่พวกเค้าจะซื้อรถAudis และ Bentleys เราไม่ได้ชอบพวกเค้าเพราะเห็นภาพลักษณ์ไอดอลที่เพียบพร้อมเหมือนในตอนนี้ เรากลายมาเป็นแฟนเพลงของพวกเค้าเพราะเรามองเห็นความหลงใหล ความอดทน และความมุ่งมั่นที่พวกเค้ามีในการที่อยากจะเป็นศิลปิน และพวกเค้าก็ประสบความสำเร็จในระดับประเทศจริงๆซะด้วย ซึ่งมันทำให้เราภูมิใจมากๆ
ฉันอายุ 17 ตอนที่ได้พบกับ พี่ซึงฮยอน แดซอง ฮยอนซึง และซึงฮยอน พวกเค้าต่างออกไป ฉันไม่เห็นพรสวรรค์เน้นๆและความหลงใหลต่อดนตรีในแบบที่ฉันเห็นในตัวจียงและยองเบ ฉันรู้สึกว่าพวกเค้าเข้ามาง่ายๆ ต้องใช้เวลาระยะหนึ่งเลยกว่าที่พวกเราจะเริ่มรู้สึกว่าพวกเค้าก็ล้วนเหมือนจียงและยองเบเหมือนกัน พวกคนหนุ่มกลุ่มนี้ต่างก็ไล่ตามความฝันของพวกเค้า เวลาร่วมเดือนผ่านไปเราเริ่มเห็น จียงและยองเบ สนิทกับอีก 4 คนในกลุ่ม พวกเค้าเหมือนเป็นพี่น้อง พวกเค้ามีสายใยผูกกันไว้อย่างแน่นหนาน่าประทับใจ
พวกเค้ามีพลังของความเป็นนักฝัน นักสู้และเป็นครอบครัว จียงและซึงฮยอนอุปป้ามักจะเล่นกันเสมอ ยองเบและฮยอนซึงมักจะขึ้นรถเมล์ด้วยกันตลอด แดซองและซึงฮยอนต้องใช้เวลาซักพักที่จะสนิทกัน แต่จียงและยองเบต่างก็ให้คุณค่าและรักพวกเค้า ฉันรักพวกเค้ามากขึ้นๆในทุกทุกวันที่ผ่านไป ความชื่นชอบในตัวพวกเค้าก็เพิ่มมากขึ้นด้วย
ฉันขึ้นเรื่องมายืดยาวแบบนี้เพื่อที่จะทำให้คุณเห็นว่า เราพวก KVIP รู้สึกยังไง ฉันไม่ได้พูดว่า KVIP ทั้งหมดจะคิดแบบนี้แต่ฉันบอกได้เลยว่าฉันมั่นใจว่าสิ่งที่ฉันพูดอยู่ในใจของ KVIP ทุกคน เราอยากให้พวกคุณเห็นในสิ่งที่เราเห็น ได้ฟังในสิ่งที่เราได้ยิน ได้อ่านในสิ่งที่เรารู้ ได้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพื่อที่เรียกเอาความเชื่อมั่นของคุณและศักดิ์ศรีอันแรงกล้าในชื่อของ "บิกแบง" กลับมาอีกครั้ง
=====================
หลายปีที่ผ่านมา มีไอดอลเป็นร้อยๆเดบิวในวงการเล็กๆนี้ ด้วยยอดขายเป็นเม็ดเงินรวมกว่า 30 ล้านของอัลบั้มเพลงที่ขายในแต่ละปี แต่มีเพียงแค่ 2 ล้านที่มาจากยอดขายเพลงของวงไอดอล
ในปี 2000 กลุ่มไอดอลเหล่านั้นก็เริ่มจะโดดเด่นขึ้นมาบ้าง บริษัท SM เริ่มที่จะเตรียมการที่จะชักนำพวกวัยรุ่น ฉันไม่รู้จะอธิบายให้พวกคุณเห็นภาพในระดับใหญ่ๆยังไง เอาเป็นว่า สมัยก่อนไม่มีใครมานั่งกรี๊ดนักร้องที่มีอายุแค่ 13 เหมือนกับที่ดีสนีย์ส่ง Miley Cyrus และ JB ออกมาทำเงินได้มหาศาลแบบตอนนี้ แต่ SM ได้เริ่มทำในเกาหลีด้วยการสร้างวงอย่าง HOT, Shinhwa,และ SES. ออกมาได้ตรงจุด พวกเค้ายังคงตีตรงจุดเดิมต่อเนื่องกับ BoA และ TVXQ ในขณะที่บริษัทอื่นก็เข้ามาตีเหล็กในขณะที่ไฟกำลังร้อนกับ Fin.K.Lและ Sech.Kies จากค่าย DSP ต่อด้วย Yee Hyori ด้าน JYP ก็มี G.O.D และ Rain ทาง YG ก็มี 1tym และ Se7en จนกลายเป็นกลไกใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ทุกๆปีมีการผลิตวงไอดอลออกมาต่อวงแล้ววงเล่า
มีไอดอลเป็นร้อยๆในวงการนี้ วงกลุ่มชาย วงกลุ่มหญิง เดี่ยวชาย เดี่ยวหญิง รวมเป็นร้อยๆคนแต่มีไม่กี่คนในนี้ที่สามารถครองใจคนหลายหลายกลุ่มได้ ซึ่งในร้อยๆคนนี้ฉันจะยกตัวอย่างไอดอลที่มีบทบาทจริงๆ ผู้ที่ส่องแสงประกาย ผู้ที่สามารถสร้างผลกระทบต่อวัฒนธรรมในชาติเรา ผู้ที่สามารถเปลี่ยนใจคน ผู้ที่กลายเป็นผู้นำกระแส และเป็นคนที่ ประชาชน รู้จักและสนใจ มาให้ฟังกัน คือ S.E.S , Fin.K.L, BoA ,Yee Hyori , Ivy ,Wonder Girls ,IU ,So Nyeo Shi Dae HOT, Shinhwa, TVXQ, Super Junior, Shinee, god, 2PM, Sech.Kies, SS501, 1tym…
===============
ปีแ้ล้วปีเล่าที่เราเห็นชายที่มีรูปแบบเหมือนกันด้วยท่าเต้นพร้อมเพรียงเหมือนหุ่นยนต์มาเขย่าใจสาวๆ ฉันยอมรับว่าฉันก็เป็นหนึ่งในสาวๆพวกนั้น พวกเค้าทำให้สาวตั้งแต่วัยรุ่น ผู้ใหญ่ ผู้หญิงทุกคนแหละตกหลุม พวกเค้ามีกลยุทธที่จะมัดใจอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งรูปร่างหน้าตา เสื้อผ้า ทรงผม ท่าเต้น ทุกอย่างล้วนเอื้อให้คนเหล่านี้ครองใจคนทั้งประเทศ เอาเป็นว่าเหมือนกับในอเมริกาทุกคนต้องเชียร์Twilight และในยุโรป ทุกคนต้องเชียร์ Harry Potter สาวๆในเกาหลีก็ต้องเชียร์ไอดอล
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะสร้างผลกระทบให้กับสังคมได้ ไม่มีใครในกลุ่มนี้ที่สามารถจัดอยู่ในแนวหน้าระดับประเทศ ไม่มีใครที่จะตั้งกฏใหม่ขึ้นมา ไม่มีใครในกลุ่มนี้เลยที่หักเหออกไปจากระดับที่เหมือนเป็นสูตรสำเร็จคือ หน้าตาดี มีท่าเต้นพร้อมเพรียงและร้องเพลงป็อปเลย จะว่าไป G.O.D ทำได้อยู่พักนึง แต่หลังจากที่มีเพลงฮิตดังระเบิดได้สองสามเพลง พวกเค้าก็ไม่สามารถไปได้ไกลกว่าวงที่เคยมีเพลงฮิต เรื่องนี้น่าจะต้องโทษ บริษัท JYP ที่พาเรนมาขโมยความสนใจไป
ตอนนั้นไม่มีวงไอดอลผู้ชายวงไหนที่จะสามารถกำหัวใจของคนที่มีอายุมากกว่า 18 หรือกลุ่มผู้ชายได้ ตอนนั้นเป็นปีที่ไอดอลหญิงครอบครองทุกอย่าง จาก เพลงฮิตอันดับ 1 แฟชั่นอันดับ 1 เรทติ้งรายการทีวีอันดับ 1 อันดับ 1 เพลงที่ออกอากาศมากที่สุด อันดับ 1 ที่มีคนเขียนข่าวถึงมากที่สุด อันดับ 1 ที่สร้างความคลั่งไคล้ให้กับผู้คน อันดับ 1 ในความโด่งดัง กลายเป็นอันดับ 1 ระดับประเทศ สิ่งที่ไอดอลชายทำได้มีแค่ยอดขายอัลบั้มกับจำนวนแฟนเพลงผู้หญิงเท่านั้น สถานการณ์คือ ไอดอลชายเอายอดขายกับกลุ่มแฟนคลับไป แต่ไอดอลหญิงจะครองเรื่องภาพลักษณ์ในสังคม ความโด่งดัง และ ยอดขายในเรื่องอื่นๆทั้งหมด
ที่เกาหลีใต้จะมีคำตราหน้าอย่างไม่ยุติธรรมต่อไอดอลชายว่า พวกเค้าเหมือนกับหุ่นยนต์ น่าเบื่อ กลวง ไม่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง และ ไม่มีสาระ
ฉันเดาเอาว่าคำตราหน้าเหล่านี้มันมาจากที่ว่า นักร้องชายที่ไม่ใช่ไอดอลชายของเกาหลีส่วนใหญ่จะเป็นคนที่โชว์เสียงร้องแบบมีคุณภาพเรามีมาตรฐานสูงมากในตัวนักร้องชาย เพราะเรามีนักร้องระดับตำนานอย่าง Jo Yong Pil, Yee Seungchul, Yoon Doo Hyun Band, และ Seo Taiji and the Boys พวกนี้โด่งดังเพราะความสามารถทางด้านดนตรี ไม่ใช่พวกไอดอล พวกไอดอลชายเทียบได้กับดาวดวงน้อยในขณะที่นักร้องชายเหล่านั้นเป็นพระอาทิตย์ที่ส่องแสงสว่าง และนี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเรนถึงส่องแสงสว่างออกมาท่ามกลางกลุ่มไอดอลชายคนอื่น เราไม่ได้นับว่ายุคของSeo Taiji and the Boys เป็นยุคของไอดอลชาย แต่ 10 ปีให้หลังมาตั้งหาก
เรนปรากฏตัวตามรายการทีวี ในภาพยนตร์ และแพร่กระจายความเป็นกระแส Hallyu ให้ขยายวงกว้าง เค้าเป็นคนกระจายวัฒนธรรมของเราออกไป ถึงแม้ว่าเค้าจะไม่ได้มีพรสววรค์เหมือนกับ Lee Seung Chul หรือ Kim Gunmo สังคมเกาหลีก็มองว่าเค้าเป็นดาราระดับโลก
เรนได้กลายเป็นไอดอลในระดับสากลและประสบความสำเร็จในระดับโลก แต่ก็นั่นแหละ เค้าเป็นดาราระดับโลกของเรา แต่ในรายชื่อดาราเกาหลีที่ดังไกลทั่วโลกตอนนั้น มันมีอะไรขาดไปว่าไม๊ค่ะ?? เราขาดกลุ่มไอดอลชาย เนื่องจากว่า ระดับและมาตรฐานที่สูงมากๆยังคงดำเนินต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าเราจะมียุครุ่งเรืองสุดๆของกลุ่มไอดอลชายอย่าง TVXQ และ SS501 ผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมที่หลากหลายอาชีพก็ยังคงมีความรู้สึกเฉยๆ กับกลุ่มไอดอลชายเหล่านี้ มันไม่ได้สร้างผลกระทบในสังคมอย่างที่ คนรุ่นคุณยายก็รู้จักเพลงของวงไอดอลหญิง Fin.K.L เพื่อนคนรุ่นคุณพ่อคุณแม่ร้องเพลงของ Wonder Girls ได้ ลุงของฉันก็ชื่นชม Hyori คุณลุงที่ขับรถเมล์ก็เต้นเพลงของ SNSD ได้ ส่วนคุณป้าที่ขาย ddeokbokki ก็ยังต้องการอยากให้ลูกชายแต่งงานกับ IU
คนเหล่านี้ในสังคมไม่สน วงไอดอลชายเลย ไม่จนกระทั่งในปี 2007 และปี 2008 ปีที่จักรวาลอันเคว้งคว้างนี้ได้รู้จักการระเบิดครั้งใหญ่ ที่ชื่อว่า " บิกแบง"
================
จบตอนแรก!! เรียกได้ว่าเป็นเหมือนกับบทนำนะค่ะ 55555 จากนี้ไปเส้นทางยังอีกยาวไกล ในโลกที่มีแต่ไอดอลหญิงครองโลกน้องๆเราจะเข้ามาขอแทรกในสนามรบนี้ได้ยังไง รออ่านตอนสองและสามกันค่ะ
ขอบคุณ วีไอพีคนเขียน Cristina Kang + UKBigbang+รวมถึง Trollingforkpop at 6Theoryและ WhySoPerfectBB and Me mewmew in mew mini museum the translator >_<
วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2554
สัมภาษณ์ GD 1st Japanese Pictorial ตอนที่ 4
ในตัวของคุณเต็มเปื่ยมไปด้วยจังหวะและเสียงเพลงเลยทีเดียว บอกเราหน่อยได้ไม๊ว่าคุณรู้สึกยังไงที่ได้ยินเสียงเชียร์จากแฟนๆชาวญี่ปุ่น??
พูดจริงๆนะครับ มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อมากที่มีคนมากมายรู้จักเรา เราร้องเพลงเป็นภาษาเกาหลีแต่มีแฟนๆชาวญี่ปุ่นสามารถที่จะร้องตามไปกับเราได้ด้วย ผมรู้สึกดีใจมากๆที่สุด แต่เป็นเพราะมีกฏข้อห้ามมากมายทำให้เราไม่สามารถที่จะ ใกล้ชิดแฟนๆได้เท่ากับที่เราทำในคอนเสริต์ที่เกาหลี ในตอนนั้นมันทำให้ผมรู้สึกกังวลเหมือนกันนะครับเพราะตัวผมเองให้ความสำคัญกับการใกล้ชิดกับแฟนๆมาก เพราะผมเคยมีประสบการณ์ในเรื่องนี้มาก่อน คือในตอนที่ยังเป็นเด็กผมได้ไปดูคอนเสริต์นักร้องคนโปรดของผม ในระหว่างการแสดงผมได้มีโอกาสจับมือเค้าด้วยมันทำให้ผมรู้สึกดีใจมากๆ ผมจะไม่มีวันลืมความรู้สึกแบบนั้นได้เลย จึงอยากจะส่งผ่านความรู้สึกแบบนั้นไปให้แฟนๆของผมด้วยครับ
อ่า...สิ่งที่จีดราก้อนต้องการมากที่สุดในตอนนี้คืออะไร??
อิสรภาพครับ
(หัวเราะ) งั้น คุณคิดว่าอะไรเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต??
ผมคิดว่าน่าจะเป็นมิตรภาพครับ ผมไม่กลัวที่จะทำอะไรเลยในตอนนี้เพราะเราคือบิกแบง แต่ถ้าหลังจากที่ผมต้องออกจากวงนี้ไปในอนาคตผมก็ยังคงต้องการที่จะมีเพื่อนอยู่ใกล้ๆไม่ว่าผมจะไปที่ไหนก็ตามครับ ถึงแม้ว่าผมจะเริ่มที่จะสานสัมพันธ์รักกับใคร ผมก็เป็นคนประเภทที่จะไปออกเดทพร้อมกับกลุ่มเพื่อนๆผมมักจะแวดล้อมไปด้วยกลุ่มเพื่อนๆที่มีเสน่ห์ส่วนตัวของแต่ละคนอย่างชัดเจน ผมมักจะรู้สึกว่าพวกเค้านำทางให้ผมก้าวไปข้างหน้าครับ
ความใฝ่ฝันในอนาคตที่คุณมีต่อวงบิกแบงและในเรื่องอนาคตของตัวเอง คือ??
ผมไม่ต้องการที่จะเป็นเหมือนลูกโป่งที่ลอยขึ้นสูงบนท้องฟ้าจากนั้นจู่ๆก็ต้องแตกไป ผมอยากที่จะเติบโตไปพร้อมกับแฟนๆไม่ว่าจะไม่กี่ปีหรืออีก 10 ปีต่อจากนี้ผมอยากที่จะให้คนย้อนกลับไปมองและจำได้ว่าผมเป็นยังไงบ้างเมื่อทำงานกับบิกแบง ผมอยากจะให้พวกเค้าจดจำเพลงของเราได้ตลอดไป เหมือนกับที่เพลง hiphop ได้เข้ามาเป็นส่วนนึงของชีวิตผม ผมอยากให้คนไม่มีทางลืมวงของพวกเรา ผมไม่ใช่คนประเภทที่จะมุ่งเป้าหมายของตัวเองไปที่อันดับ 1 แต่ผมก็ไม่อยากจะเป็นที่ 2 เช่นกัน ถ้าผมรู้ว่าตัวเองจะต้องมาเป็นที่ 2 ผมคิดว่าตัวเองคงจะไม่ตัดสินใจมาเป็นนักร้องตั้งแต่เริ่มแรก
ส่วนภารกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตคือ การที่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ผมเห็นว่ามันเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ครับ แต่กระนั้นผมก็ต้องการที่จะทำในสิ่งใหม่ๆท้าทายตัวเองในการลองทำงานเพลงในหลายๆแนวและผมหวังว่าผมเองจะสามารถหาแนวของตัวเองในอีก 10 ปีข้างหน้าได้ ถึงยังไงก็ตาม เสียงเพลงเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเก็บไว้ชื่นชมคนเดียวจริงไม๊ฮะ หากแฟนๆสามารถที่จะทำฝันให้เป็นจริงหลังจากที่ได้ฟังเพลงของผมหรือเพลงของผมช่วยปลอบใจและจิตวิญญาณของพวกเค้าเมื่อพวกเค้ารู้สึกเศร้าได้ ผมก็จะยังคงทำเพลงที่แตกต่างหลากหลายสไตล์ออกมา ตราบใดที่เสียงเพลงของผมจะสามารถอยู่คู่กับแฟนๆได้ตลอดไปครับ
สุดท้ายนี้ คุณช่วยฝากข้อความให้กับผู้อ่านของเราด้วยครับ
ถ้าการอ่านบทสัมภาษณ์นี้ช่วยทำให้คุณเข้าใจในบิกแบงมากขึ้น ผมก็จะดีใจมากเลยครับ แต่คุณจะเข้าใจในตัวเรามากขึ้นถ้าได้มาดูเราแสดงสดนะครับ หวังว่าพวกเราจะพบคุณทุกคนที่งานคอนเสริต์ครั้งต่อไปนะครับ
Eng translation by JwalkerVIP Thai Translation by mew mini museum
============
ยิ่งแปลยิ่งคุ้นว่าเคยแปลแล้วแต่ไป แต่ไปตามหาไม่เจอแฮะ สงสัยไม่ได้เก็บไว้ -_-!!
จบ 4 ตอนของน้องจีแล้วนะค่ะรอลงมืออีกทีคราวทาบิแล้วกัน เดี๋ยวว่างๆจะทยอยปั่น shout of the world ให้เสร็จๆไปอีก
สามารถตามอ่านตอนก่อนหน้านี้ได้ ตามนี้ค่ะ
สัมภาษณ์ GD จาก 1st Japanese Pictorial ตอนที่ 1สัมภาษณ์ GD จาก 1st Japanese Pictorial ตอนที่ 2
สัมภาษณ์ GD จาก 1st Japanese Pictorial ตอนที่ 3
วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2554
HAPPY YG FAMILY CONCERT 2011
เสาร์อาทิตย์ ที่ 3-4 ที่ผ่านมาครอบครัวเรามีคอนเสริต์ค่ะ เป็นคอนเสริต์แรกหลังจากที่น้องแดมีเรื่องอุบัติเหตุ เวทีนี้เป็นเวทีคัมแบคแรกก็ว่าได้ที่ขึ้นครบ 5 คนอีกครั้ง แถมมีสาวๆ พี่จีนูพี่ชอร์น พี่ไซ ทาโบล กอมี่และเจ็ด ขึ้นเวทีร่วมกันด้วยค่ะ มีร้องเพลงร่วมกันหลายเพลงเพราะๆทั้งนั้น ดูจากแฟนแคมแล้วเหมือนมาเฮฮากันมากกว่าที่จะมาทำงาน
ก่อนที่จะมีคอนเสริต์ ได้อ่านที่น้องแป๋มส่งให้เรื่องที่ KVIP เป็นห่วงน้องจีและไม่อยากให้ขึ้นคอนครั้งนี้เท่าไหร่เพราะคดีสมุนไพรเพิ่งผ่านไปได้ไม่นานคนยังไม่ลืมความผิดในครั้งนั้นถ้ามีลัลลาจะยิ่งทำให้แอนตี้เดือด แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี
เห็นข่าวเกี่ยวกับคอนเสริต์ออกมาเยอะนะค่ะ มีสามสี่ข่าวที่มีคนแปลให้อ่านกัน ที่สำคัญๆ มีดังนี้ค่ะ
=================
แดซองและจีดราก้อน ขอโทษแฟนๆเรื่องเหตุการณ์ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
ในงานคอนเสริต์วายจีเป็นครั้งแรกที่จีดราก้อนและแดซองได้เปิดใจพูดเป็นครั้งแรกเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา
หลังจากร้องเพลง "Tonight" จบ ท็อปเป็นคนแรกที่เริ่มพูดในเรื่องนี้โดยกล่าวว่า " เป็นเรื่องที่น่าตื้นตันใจมากเลยครับที่สมาชิกในวงบิกแบงทุกคนได้กลับมายืนร่วมกันบนเวทีอีกครั้ง " ทำเอาแฟนๆที่ไปร่วมคอนเสริต์นับพันต่างน้ำตาคลอ "ผมรู้สึกดีใจมากที่ได้มาขึ้นเวทีคอนเสริต์ฉลองบริษัทวายจีครบรอบ 15 ปีในครั้งนี้ ในปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ยุ่งๆและเป็นปีที่บริษัทของเราเต็มไปด้วยเรื่องต่างๆมากมาย แต่แฟนๆก็ยังคงยืนหยัดเคียงข้างเราและสนับสนุนเรา พวกเราขอบคุณมากนะครับ"
แดซองได้เพิ่มเติมว่า " เป็นเวลานานมากเลยนะครับตั้งแต่ที่ผมขึ้นเวทีครั้งสุดท้าย ผมมีแต่ความดีใจที่ได้มาอยู่ตรงนี้ ความยากลำบากที่ผมต้องเผชิญมาได้มอบโอกาสให้ผมได้รู้ว่าเสียงเพลงและการแสดงบนเวทีนั้นมีค่ามากแค่ไหนสำหรับผม ผมจะรู้สึกขอบคุณเสมอเมื่อได้ขึ้นเวทีครับ"
จีดราก้อนได้กล่าวว่า " ผมขอโทษอย่างมากเลยครับที่เป็นต้นเหตุของปัญหาหลายอย่างที่มันเกิดขึ้นจากความผิดพลาดของผม ผมจะพยายามไม่ทำผิดซ้ำที่เดิมอีก ผมคิดว่าทางเดียวที่จะแสดงให้เห็นว่าผมรู้สึกขอบคุณคือการกลับมาพร้อมกับเพลงและการแสดงที่ดีขึ้น ผมจะทำให้สุดความสามารถเพื่อเป็นของขวัญให้กับแฟนๆครับ"
แดซองได้หยุดกิจกรรมในนามของบิกแบงไปเนื่องจากอุบัติเหตุในเดือนพฤษภาคมส่วนจีดราก้อนมีเรื่องพัวพันในคดีการสูบกัญชาในเดือนตุลาคม
คอนเสริต์ครอบครัววายจี 3 รอบที่เกาหลีจบลงไปอย่างประสบความสำเร็จ ในปีหน้าจะมีคอนเสริต์ครอบครัวอีกครั้งที่โอซาก้าประเทศญี่ปุ่น ในวันที่ 7 +8 มกราคม และอีก 2 รอบที่โตเกียวในวันที่ 21+22 มกราคมค่ะ
==============================
แฟนๆศิลปินครอบครัววายจี บริจาคข้าวสารจำนวน 5.6 ตันเพื่อการกุศล
ข้าว 2.34 ตันมาจากช่อดอกไม้แสดงความยินดีในงาน คอนเสริต์ครอบครัวที่จัดเมื่อวันที่ 3-4ธันวาคม ในขณะที่ข้าวสาร 2.17 ตัน มาจากช่อดอกไม้แสดงความยินดีในงานคอนเสริต์ Nolza ของสาวๆ 2ne1 เมื่อเดือนสิงหาคม และ 1.06 ตันมาจากคอนเสริต์ Bigshow2011 ของบิกแบงเมื่อเดือนกุมภาพันธ์
ข้าว 5.6 ตันนี้ จะแบ่ง 510 กิโลส่งไปที่สำนักงานใหญ่ของ Rice Share Movement เพื่อทำการส่งต่ออย่างเหมาะสม ในขณะที่ 1.55 ตันจะถูกส่งไปยังศุนย์พักพิงเยาวชน 52 แห่งทั่วประเทศ ผ่านโครงการ Dreame ซึ่งเป็นโครงการที่รณรงค์ให้มีการมอบข้าวมากับช่อดอกไม้แทนการส่งช่อดอกไม้อย่างเดียวในแบบเก่า เหลือ 3.6 ตันจะถูกส่งมอบให้กับมูลนิธิอื่นๆทันทีที่เมื่อเห็นว่าที่ไหนมีความต้องการค่ะ
====================
Eng Translation: hannacha @ Korea.com + Soompi
Thai Translation by mew in mini museum