วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สัมภาษณ์ท็อปจาก 10 asia.co.kr (end)


Q.เรามาพูดถึงหนังเรื่อง  ‘Commitment’ กันดีกว่า มันแตกต่างกันไม๊ครับกับตอนที่ยืนอยู่บนเวทีเปิดตัวหนังเรื่องใหม่กับการยืนอยู่บนเวทีเพื่อการเปิดตัวอัลบั้มใหม่??
CSH:อย่างแรกเลยเวลาที่ผมยืนอยู่บนเวทีร้องเพลง ผมจะไม่ค่อยเหนื่อยนะครับ เพราะผมสามารถที่จะหายใจไปกับผู้ฟังและได้รับผลตอบรับจากพวกเค้าเลย ถ้าผู้ฟังไม่ได้แสดงออกปฏิกริยาใดๆมาเลย ผมจะคิดว่า " หื้อ?? พวกเค้าไม่มีการตอบรับเลยนี่?? เราควรเปลี่ยนมาทำแบบนี้ดีไม๊?? " หรือว่า " ว้าวว พวกเค้าตอบรับอย่างดีเลยงั้นเราทำแบบนี้ต่อไปแหละ" การที่ได้ปลดปล่อยอารมณ์ที่รุนแรงแบบนั้นที่ผมเคยประสบมามันเป็นประสบการณ์ที่วิเศษที่สุดครับ ไม่ได้จะหมายความไปในทางไม่ดีนะครับแต่ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นครูฝึกม้าที่ได้คุมบังเหียนเอาไว้

สำหรับงานภาพยนตร์นั้น จะตรงกันข้ามกัน ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังเข้าสู่การฝึกจิตเลยทีเดียว เพราะมันไม่มีปฏิกริยาตอบรับกลับมาทันทีจากผู้ชม ผมจำเป็นต้องหาวิธีมาปลอบใจตัวเองเพื่อป้องกันตัวเองไม่ให้หมดแรงไปซะก่อน  เวลาที่คุณเอางานที่คุณลงแรงทำมาเป็นเดือนๆออกมาโชว์ คุณอาจจะถูกประณามจากสาธารณชนหรือได้รับเสียงปรบมือในคราวนี้คราวเดียวนี่แหละ วิธีที่ผมจะรู้สึกได้ถึงความสำเร็จในงานทั้งสองอย่างนี้ต่างกันมากๆเลยละครับ

Q. ถ้างั้น คุณคงรู้สึกว่างานภาพยนตร์เป็นงานที่เสียเปล่าจริงๆ ไม๊ครับ??
CSH: จริงๆผมรู้สึกโมโหนิดๆนะครับตอนนี้ ผมรู้สึกแบบนี้ตั้งแต่มีการพรีวิวหนังโดยสื่อไปเมื่อเช้า ยิ่งเวลาผ่านไปผมก็ยิ่งโมโหมากขึ้นอีก ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมตัวเองถึงโมโห นี่เป็นเพราะผมได้ผ่านความลำบากมามากมายในขั้นตอนการถ่ายทำภาพยนตร์มาเป็นปีๆงั้นเหรอ??ผมถึงได้อ่อนไหวและฉุนเฉียวง่ายแบบนี้ (Q. ก่อนที่จะได้ชมภาพยนตร์ก็รู้สึกแบบนี้ไม๊ครับ?) ครับ แม้กระทั่งก่อนที่จะดูหนังผมก็รู้สึกแบบนี้ และก็โมโหมากขึ้นๆเรื่อยๆในตอนที่เริ่มดู

Q. อะไรที่ทำให้คุณโกรธในตอนที่คุณดูหนังอยู่เหรอครับ??
CSH: ผมรู้สึกโมโหตัวเองที่เอาแต่มองหาว่าทำไมมีคนเล่นโทรศัพท์เวลาที่ดูหนัง หรือในตอนที่คนกำลังทานป็อปคอน ผมไม่ได้รู้สึกโมโหคนคนนั้นหรอกนะครับ แต่โมโหตัวเองที่ไปใส่ใจกับอะไรแบบนั้น ทุกอย่างล้วนทำให้ผมโมโหหงุดหงิด

Q. ในตอนที่่มาดูเรื่อง ’71 Into the Fire’มันเป็นยังไงบ้างครับ??
CSH: ย้อนกลับไป ผมคิดว่ามันดูสบายกว่านี้นะครับ ผมแค่รู้สึกตื่นเต้นกับการได้เห็นตัวเองบนจอใหญ่ๆ มันเป็นเรื่องน่าอายด้วยเช่นกัน แต่หลังจากที่ได้รับรางวัลมาหลายรางวัลจากภาพยนตร์เรื่อง 71 Into Fire ผมก็รู้สึกว่าต้องมีความรับผิดชอบ ผมรู้สึกว่าผมจำเป็นที่จะต้องทำงานให้จริงจังมากขึ้น ผมคิดว่างานภาพยนตร์ก็เป็นแบบนี้แหละครับ กระบวนการที่จะเข้าถึงตัวละครและสร้างตัวละครผ่านความคิดมากมายนั้นมันยิ่งใหญ่มาก แต่เมื่อคุณทำมันไปแล้ว คุณก็จะกลายเป็นคนที่อ่อนไหวมาก

Q. บางครั้งคุณได้ย้อนคิดไม๊ครับว่า " อาชีพนี้ทำให้เรามีความสุขไม๊น้า??" คุณคงต้องตั้งคำถามให้กับตัวเองเหมือนกันว่า" ทำไมฉันจะต้องมาทำให้ตัวเองกลายเป็นคนอ่อนไหวมากขนาดนี้ด้วย??" ??
CSH: มันเยี่ยมมากเลยครับที่คุณถามคำถามนี้ขึ้นมา สองสามวันให้หลังมานี้ผมก็คิดถึงเรื่องนี้อยู่ครับ ในท้ายที่สุด ผมไม่มีความสุขครับ ผมคิดว่าไม่เพียงแต่เพราะผมต้องอยู่ภายใต้แรงกดดันมากเท่านั้น แต่เพราะความรักที่ผมมีให้งานนี้มันมากเกินไป ผมรู้สึกผูกติดอย่างมากกับบทของมยองฮุนเพราะผมได้ลงทุนสร้างบุคคลิกและตัวละครนี้ขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อยในตัวเองมาเป็นเวลานานมาก มันให้ความรู้สึกเหมือนกับผมกำลังขว้างทิ้งตัวละครที่เปรียบได้กับลูกชายของผมเองทิ้งออกไปบนถนน เปลือยกาย ผมมีความรู้สึกมากมายปะปนกันไปหมดครับ 

Q.คุณได้อ่านพรีวิวคำวิจารณ์ที่มีต่อภาพยนตร์รึยังครับ?? 
CSH: ครับ ได้อ่านแล้ว ผมก็ยิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก ผมไม่ได้โกรธที่มีคนมาพูดถึงคุณภาพของภาพยนตร์นะครับ แต่ความรู้สึกที่โดนประเมินค่าในคราวเดียวเลยกับงานบางอย่างที่ผมทำมันมาเป็นเวลานานด้วยความหลงใหลและด้วยจิตวิญญาณนั้นมันรู้สึกแปลกๆ 

พูดตามตรงนะครับ ผมไม่ชอบรายการออดิชั่นอย่างรายการ ‘K-Pop Star.’ เลย ผมระมัดระวังในการที่จะพูดเรื่องนี้ออกมานะครับเพราะรายการนี้มีรุ่นพี่ของผมมากมายปรากฏตัวอยู่ในรายการ แต่ความรู้สึกที่แท้จริงของผมคือ ผมไม่ชอบมันเลยครับ

การที่จะมาประเมินค่าของคนที่เตรียมตัวมาเป็นเวลานานเพื่อที่จะเป็นนักร้อง เพื่อความสนุกของรายการ และแน่นอนเป็นเพราะโปรดิวเซอร์ทำให้คนต้องมาทำอะไรแบบนั้น แต่ความคิดในการที่จะประเมินพวกเค้าแบบนี้มันก็เสี่ยงตั้งแต่เริ่มแล้ว การให้คำแนะนำนั้นเป็นเรื่องที่ดีครับ แต่ การประณามดุด่าเป็นเรื่องที่อันตรายมากๆ ไม่มีใครรู้หรอกว่าผู้เข้าแข่งขันทั้งหลายจะกลายเป็นยังไง สำหรับผมแล้ว ผมไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่า พรสวรรค์ของคนคนนึงจะถูกประเมินค่าได้ด้วยความคิดเห็นส่วนตัวของใครคนใดคนนึงได้ยังไงกัน

Q. คุณคงรู้สึกแบบนั้นเพราะคุณก็ผ่านกระบวนการแบบนั้นมาก่อนในการที่จะเข้ามาเป็นสมาชิกวงบิกแบงนะครับ
CSH: คุณพูดถูกครับ เพราะผมเข้าใจความทุกข์ทรมานและความเจ็บปวดนั้นเป็นอย่างดี กับอะไรแบบนั้น 



Q. ผมคิดว่า" ชเวซึงฮยอนนี่เข้าถึงบทบาทจริงๆนะเนี้ย" ในตอนที่ผมดูหนัง ผมยังคิดไปอีกว่า "พวกนักแสดงนี่มีความปรารถนาที่แรงกล้าขนาดนี้เลยเหรอ??" คุณเป็นคนที่มักจะทุ่มทุกอย่างสุดตัวแบบนี้เสมอในทุกๆอย่างที่คุณแบบนี้เหรอครับ?? หรือมันมีอะไรเป็นพิเศษกับเรื่อง  ‘Commitment’ไม๊??
CSH:ผมรู้สึกว่าผมคงไม่สามารถแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมาได้ถ้าไม่ทุ่มสุดตัวแบบนั้น ครั้งแรกที่ผมเจอกับมยองฮุนผ่านบท ผมคิดว่าผมสามารถเข้าใจเค้าผิดได้ง่ายๆและบรรยายเค้าออกมาง่ายๆว่าเป็นเด็กผู้ชายที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เค้าไม่ค่อยมีบทให้พูดมากนักด้วย ดังนั้นผมจึงพยายามที่จะบรรยายสิ่งต่างๆผ่านทางสายตาของผม และผมก็กลายเป็นคนที่อ่อนไหวมากในการทำแบบนั้น 

บางครั้ง มันให้ความรู้สึกเหมือนกับการที่ผมไปออกคอนเสริต์เป็นตัวประกอบเท่านั้น ไม่มีเนื้อเพลงให้ร้อง ก็เหมือนกับมยองฮุนการกระทำของเค้าสำคัญมากๆเพราะไม่มีบทให้เค้าพูด และผมต้องหาสมดุลให้กับการกระทำความรู้สึกและคำพูดของตัวละครตัวนี้ มันต้องไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป ซึ่งมันยากมากๆ

Q. คุณอยู่ในเกือบทุกฉากในหนังเลยนะครับ ดังนั้นมันคงจะเป็นอะไรที่ยากมากขึ้นไปอีก
CSH: พูดตามตรงนะครับ ผมไม่คิดว่าจะมีฉากของผมเยอะมากขนาดนี้ ตามบทแล้วจะมีฉากของคุณ Lee Myung Hoon ประมาณ 60-70% ผมยังรู้สึกประหลาดใจเหมือนกันในตอนที่ได้ดูหนัง

Q.ผมคิดว่าผู้กำกับคงรัก ชเวซึงฮยอนนะครับ เพราะแทนที่จะใส่ฉากแอคชั่นเท่ๆลงไปในภาพยนตร์เท่านั้น ผมยังเห็นว่าเค้าพยายามที่จะใส่ฉากที่เต็มไปด้วยอารมณ์ของมยองฮุนลงไปด้วยอีก
CSH: ภาพยนตร์เรื่อง ‘Commitment’ นี้เป็นภาพยนตร์เปิดตัวของผู้กำกับ  Park Hong Soo ครับ มันเป็นภาพยนตร์เรื่องแรก เป็นนักแสดงคนแรก และเป็นตัวละครตัวแรกของเค้าดังนั้นเค้าจึงมีความผูกพันธ์กับตัวละครตัวนี้มาก ในฐานะที่เป็นนักแสดงผมรู้สึกขอบคุณนะครับ แต่ยังไงก็ดี ความที่เค้าผูกพันธ์กับตัวละครตัวนี้มากมันก็เป็นความกดดันอย่างมากให้กับผม (หัวเราะ) อีมยองฮุน เป็นตัวละครที่มีความลับอยู่ เค้าดูเข้มแข็ง แต่กับคนดูแล้ว ผมอยากจะแสดงออกถึงด้านที่เป็นเด็กของเค้าออกมา เค้าพยายามที่จะดูแข็งแกร่ง แต่เค้ากลับมีแต่ความเศร้าในใจ ผมคิดว่านั่นเป็นเสน่ห์ของมยองฮุนนะครับ ดังนั้นผมจึงพยายามทำให้ดีที่สุดในการที่จะแสดงออกทางสีหน้าที่มีแต่ผู้ชมเท่านั้นที่จะอ่านสีหน้านั้นได้ 

Q. คุณPark Eun Kyung จาก The Lampบริษัทผู้สร้างภาพยนตร์เรื่อง  ‘Commitment’ นี้กล่าวไว้ว่า " เมื่อเทียบกับนักแสดงที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ชเวซึงฮยอนมีความสามารถที่โดดเด่นมากในเรื่องตีความบทละครออกมา" ในตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมเธอถึงพูดไว้แบบนั้น คุณไปเรียนการตีความบทละครมาจากไหนครับ??
CSH: คุณคงไม่สามารถเว้นความจริงที่ว่าผมเป็นนักดนตรีออกไปได้นะครับ ผมเป็นนักแสดงที่ใช้อารมณ์ขับเคลื่อนมากกว่าเทคนิคในการแสดง นอกจากนี้ผมชอบดูหนังมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ผมมักจะใช้ลักษณะท่าทางที่ได้ดูจากภาพยนตร์นำเอามาใช้บนเวที และเรียนรู้จากตัวละครชื่อดังต่างๆในหนังเพื่อนำเอามาใช้กับตัวเอง อะไรแบบนี้แหละครับที่จะช่วยให้ความสามารถในการวิเคราะห์ตีความบทของผมพัฒนาขึ้นมา

Q. สำหรับความประทับใจที่มีต่อการแสดงของคุณ ผมคิดว่า ดวงตาของคุณนั้นสำคัญมากๆ หลังจากที่มีการพรีวิวภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมา ส่วนใหญ่ผู้คนจะพูดถึงสายตาของชเวซึงฮยอนกันทั้งนั้น สำหรับนักแสดงแล้วจะมีอะไรที่จะสำคัญไปกว่าสายตาได้อีกละ?? ถ้าคุณเลือกได้ระหว่าง  ความสามารถด้านเสียงร้อง ความสามารถด้านความรู้สึก ความจริงใจ ความสามารถในการแสดง และความสามารถในการวิเคราะห์ คุณจะเลือกอะไรครับ??
CSH: จากทั้งหมดที่กล่าวมา ผมคงจะต้องเลือกความจริงใจครับ แม้ว่าความสามารถในการวิเคราะห์จะสำคัญมากเหมือนกันก็ตามแต่ความสามารถนั้นน่าจะเป็นสิ่งที่โปรดิวเซอร์ควรจะมี นักแสดงก็จำเป็นที่จะต้องมีความสามารถนั้นด้วยเหมือนกันแต่เป็นเพราะโปรดิวเซอร์ควรจะมีมากกว่าผมเลยไม่ได้เลือกอันนี้ 

เหตุผลที่ผู้ชมร้องไห้ออกมาเวลาที่พวกเค้าดูนักร้องร้องเพลงผ่านรายการ  ‘I Am a Singer’ นั่นก็เพราะความจริงใจที่พวกเค้าสัมผัสได้ เราไม่ร้องไห้เวลาที่เราดูรายการ SBS ‘Inkigayo’ หรือรายการ MBC ‘Show! Music Core’. มันแตกต่างกันครับ มันไม่เกี่ยวว่าคุณจะมีเทคนิคอะไร หากคุณจริงใจคุณก็จะสามารถสัมผัสใจของผู้ฟังได้ 

Q. คุณคิดว่าตัวเองแสดงออกถึงความจริงใจออกมามากแค่ไหนในภาพยนตร์เรื่อง Commitment’?ฃครับ?
CSH: ผมพยายามที่จะแสดงมันออกมา100%ของความสามารถของผมครับ


Q. อีมยองฮุนเป็นตัวละครที่ต้องการความควบคุมตัวเองมากกว่าที่จะแสดงออกอารมณ์ออกมาเยอะๆ แล้วตัวคุณละครับ คุณมักจะแสดงออกความรู้สึกตัวเองออกมารึเปล่า??
CSH:ผมเป็นคนที่ซื่อสัตย์ต่ออารมณ์ความรู้สึกของตัวเองมากครับ ความรู้สึกของผมจะปรากฏบนใบหน้าของผมเลย ผมไม่สามารถที่จะซ่อนความรู้สึกของตัวเองได้ ผมเป็นคนที่ไม่ได้เรื่องในการโกหกด้วยละครับ

Q. บางครั้งการเปิดเผยความรู้สึกของตัวเองออกมามากเกินไปก็อาจจะทำให้คนอื่นอึดอัดได้นะครับ??
CSH:ผมมักจะทำให้คนอื่นรู้สึกอึดอัดแหละครับ (หัวเราะ) ผมพยายามที่จะซ่อนความรู้สึกของตัวเองแล้วแต่ก็ไม่สามารถที่จะทำได้ ถ้าผมไปงานปาร์ตี้ที่ต้องดื่มกัน ผู้คนมักจะบอกว่า " ตามสบายนะทำตัวเหมือนอยู่บ้านได้เลย" ผมจะบอกว่า "ตอนนี้ผมผ่อนคลายสุดๆเลยครับ" เค้าก็จะพูดกลับมาว่า "แต่นายดูอึดอัดมากเลยนะ" (หัวเราะ)

Q. อะไรที่จะทำให้คุณรู้สึกอึดอัดครับ??
CSH: สถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคยครับ ผมจะอยู่ในสภาวะที่ตื่นตระหนกในสถานการณ์ที่ตัวเองไม่คุ้นเคย ถ้าเป็นสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคยในการทำงานก็ไม่เป็นไรเพราะผมก็แค่ทุ่มพลังของผมไปตั้งสมาธิในการทำงาน แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าถ้าผมต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่ตัวเองไม่คุ้นเคยในชีวิตประจำวันผมจะเอาแรงของผมไปป้องกันตัวเองไม่ให้รู้สึกจิตตกกับสถานการณ์นั้นๆ ซึ่งผมคิดว่ามันเสียพลังไปแบบเปล่าประโยชน์ครับ ผมอยากจะใช้พลังของผมให้มันเกิดประสิทธิภาพมากกว่านี้ และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมผมถึงชอบใช้เวลาอยู่คนเดียวครับ

Q.รายการ  ‘WHO IS NEXT:WIN’ ทำให้ผมนึกย้อนไปถึงบิกแบงในอดีตนะครับ มีอยู่หลายตอนเลยที่เด็กๆในรายการพูดว่า "จำไว้ว่าต้องอย่าลืมความตั้งใจแรกของเรานะ" แต่พูดตรงๆนะครับมันไม่ง่ายเลยที่จะทำแบบนั้นในงานสาขานี้ สำหรับคุณแล้วมันเป็นยังไงครับ?? คุณเปลี่ยนแปลงไปมากเลยไม๊จากตอนที่เริ่มเดบิว"
CSH: คุณเปลี่ยนแปลงไป ในเมื่อขอบเขตของคุณก็ขยายกว้างออก คุณก็เปลี่ยนไปครับ ก่อนอื่นเลยผู้ชายที่ชื่อชเวซึงฮยอนได้กลายเป็นเด็กเล็กๆ เพราะผมใช้ชีวิตอยู่ในนามของท็อปมากกว่า ชเวซึงฮยอนจึงเหมือนยังคงพักอยู่ตรงจุดเดิม และนั่นทำให้ผมมักจะบ่นเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์และอารมณ์แกว่งไปมาเสมอ  ในขณะเดียวกัน ขอบเขตของท็อปก็ขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆ หากคุณจะพูดให้ฟังดูดีแล้วละก็ ท็อปเค้าเป็นผู้ใหญ่ในเรื่องของดนตรี แต่ในท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่สำคัญอยู่ที่ว่าเราจะต้องจัดสรรปันส่วนระหว่างตัวเองในชีวิตประจำวันและตัวเองที่อยู่บนเวที ซึ่งการจัดสรรที่ว่านี้ก็คือ "ทักษะ" นั่นเอง คือการจัดระเบียบตัวเอง และนี่คือสิ่งที่เราทำครับ

Q. คุณอายุ 27 แล้ว คุณคิดยังไงกับการที่มีอายุ 27 บ้างครับ??
CSH: มันเป็นอายุที่ทำให้คุณกลายเป็นผู้กล้าครับ มีหลายคนพูดว่าคุณจะกล้าหาญมากที่สุดในช่วงอายุ 20-21 แต่ในตอนนั้นคุณแค่มีอารมณ์ที่รุนแรงและไฟแรงเท่านั้น ในตอนนี้ มันเป็นเรื่องของความกล้าหาญในการทำความเข้าใจเส้นทางที่คุณกำลังจะเดินไปมากกว่า ในเส้นทางนี้ ทุกอย่างตั้งแต่บิกแบงเดบิวเป็นเพียงแค่การอุ่นเครื่องเท่านั้น ผมคิดว่าในที่สุดผมก็ยอมเปิดตาของผมสู่สิ่งที่มีแต่ผมเท่านั้นที่ทำได้ นี่แหละครับ อายุ 27 สำหรับผม

Q. มีอายุไหนที่คุณตั้งหน้าตั้งตารอคอยไม๊ครับ??
CSH: อายุ 40 ครับ ในตอนที่ผมส่องกระจกในตอนนั้น ผมคงรู้ได้ทันทีเลยว่าผมใช้ชีวิตของผมมาแบบไหน ผมจะมองดูสภาพแวดล้อมของตัวเองและจะตัดสินใจว่าจะดำเนินอาชีพนี้ต่อไปไม๊?? 

Q. อะไรนะครับ?? นี่คุณกำลังพูดว่าคุณอาจจะคิดเรื่องที่จะเลิกอาชีพนี้ในวันใดวันนึงงั้นเหรอครับ??
CSH: ครับ ผมอยากจะมีอายุเพิ่มมากขึ้นด้วยคุณความดี ดังนั้นหากร่างกายและจิตวิญญาณของผมเหนื่อยล้าแล้ว ผมไม่คิดว่าผมจะยังคงปรากฏตัวต่อหน้าผู้ชมต่อไปนะครับ

Q. ถ้าคุณตัดสินใจที่จะเปลี่ยนอาชีพในตอนนั้น คุณจะทำอะไรครับ??
CSH: ผมอยากจะเรียนในสิ่งที่ผมชอบครับ อย่างเรื่องการออกแบบเฟอร์นิเจอร์หรือเรื่องสถาปัตยกรรม ( เค้าบอกว่าเค้าชอบสถาปนิกอย่างคุณ Jean Prouvé.)

Q. นั่นก็ดีนะครับ แต่ผมคงชอบที่จะเห็นท็อปมีความสุขในฐานะนักร้องและนักแสดงมากกว่าอยู่ดี แต่ขอบอกหน่อยนะ คุณไม่เก่งเอามากๆเลยนะเรื่องสบตาผมเนี้ย??
CSH: 555 ครับผมก็เป็นแบบนี้แหละครับ ผมไม่สามารถสบตากับคนที่ผมสนิทด้วยได้ด้วยซ้ำครับ ผมพยายามแล้วนะครับ แต่ก็ทำไม่ได้ รู้ไม๊ฮะ ความรู้สึกที่เหมือนกับสิ่งที่คุณคิดจะถูกเปิดเผยออกมาผ่านทางสายตาเวลาที่คุณมองลงไปในตาของคนอื่น อ่าาา ผมคิดมากไปเองครับ (หัวเราะ)

==============

credit:
Source: 10Asia http://tenasia.hankyung.com/archives/182035]
Eng Translation by @ IBEUNJN
Thai Translation by miss_mew 

===========

สัมภาษณ์ท็อปกับ 10asia.co.kr
10-asia-part-1.html
10-asia-korea-end.html 

สัมภาษณ์ ท็อปจาก 10 asia.co.kr (part 1)



10ASIA:ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสี่โมงวันศุกร์ เป็นเวลาที่ดีที่สุดของวันสำหรับคนที่รอคอยวันเสาร์ที่จะมาถึงนะครับ? 
Choi Seung Hyun: เห็นด้วยครับ พวกเค้าอาจจะกำลังวางแผนหาที่ดื่มกันคืนนี้ก็เป็นได้

Q. สำหรับชเวซึงฮยอนแล้ว บ่าย4โมงคือเวลาอะไรครับ?? ผมได้ยินมาว่าในตอนที่คุณถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Commitment คุณจะถ่ายตลอดวันตลอดคืนในวันจันทร์ อังคาีร พุธ พฤหัสและคุณก็จะมีทัวร์คอนเสริต์ในวันศุกร์
Choi Seung Hyun: มันจะเป็นเวลาสำหรับผมที่จะได้นอนบนเครื่องบินครับ มันเคยเป็นแบบนั้นมากว่าครึ่งปีเลยในช่วงที่ผมถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง ‘Commitment’. ส่วนตัวแล้วผมชอบใช้เวลาอยู่คนเดียวและเพราะอาชีพของผมไม่ได้ถูกจำกัดด้วยระยะเวลาใดๆ ดังนั้นผมไม่ได้รู้สึกมีความสุขมากกับช่วงใดของวันเป็นพิเศษ ผมคิดว่านั่นเป็นเพราะผมชอบใช้เวลาอยู่คนเดียวอยู่แล้ว ผมว่ามันเป็นเรื่องพิเศษนะครับ 

Q. คุณมีความสุขและชอบที่จะใช้เวลาอยู่คนเดียวมาโดยตลอดเลยเหรอครับ?? หรือว่าพึ่งจะมาชอบเอาตอนที่เริ่มทำงานแล้ว??
Choi Seung Hyun: ผมชอบอยู่คนเดียวมาโดยตลอดครับตั้งแต่ยังเป็นเด็กๆเลย แต่ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกว่าการได้ใช้เวลาอยู่คนเดียวนั้นเป็นเวลาที่มีประโยชน์ด้วยเช่นกัน เพราะถ้าหากผมไม่มีเวลาที่จะเอาตัวเองออกจากสิ่งต่างๆแล้ว ผมจะติดกับอยู่ในโลกของตัวเอง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น ผมจำเป็นต้องมีเวลาที่อยู่คนเดียวเพื่อที่จะคิดทบทวนเรื่องของตัวเองครับ 

Q. เวลาที่ถูกเรียกว่าชเวซึงฮยอนทัศนคติ จิตใจของคุณเปลี่ยนไปไม๊ครับจากตอนที่เป็น ท็อป ??
Choi Seung Hyun: ผมคิดว่าผมก็เป็นท็อปตลอดนะครับทั้งตอนที่เป็นนักร้องและเป็นนักแสดง ทั้งสองอย่างนี้ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของผม ในเวลาที่ผมใช้ชีวิตส่วนตัวในตอนนั้นผมจะเป็นชเวซึงฮยอน แต่ในเวลาที่ผมทำงาน ผมจะคือ TOP 


Q. งั้นทำไมคุณถึงใช้ชื่อ ชเวซึงฮยอนในอาชีพนักแสดงละครับ ทำไมไม่ใช้ TOP?? 
Choi Seung Hyun:ผมอยากจะแสดงในนามของท็อปครับ แต่ยังไงก็ดี ทีมงานและผู้คนรอบๆตัวผมต่างก็บอกกับผมว่ามันน่าจะดีกว่าที่ผมจะใช้ชื่อชเวซึงฮยอน และมันก็จะดูแปลกๆด้วยถ้าผมใช้ชื่อภาษาอังกฤษในเครดิตท้ายเรื่อง แต่ผมก็ยังอยากที่จะใช้ชื่อท็อปอยู่ดี ดังนั้นผมจึงได้ขอให้ทางทีมงานเพิ่มชื่อท็อปลงไปในเครดิตท้ายเรื่อง ถ้าพวกคุณดูดีๆก็จะเห็นคำว่า ท็อปอยู่ในวงเล็บถัดจากชื่อ ชเวซึงฮยอนนะครับ

Q. งั้นคือคุณแยกเรื่องส่วนตัวออกจากเรื่องงาน??
Choi Seung Hyun: ครับ พูดตรงๆคือผมกังวลว่าการใช้ชื่อชเวซึงฮยอนดูจะไม่เข้าท่ากับนักแสดงนะครับ

Q. หมายความว่ายังครับเนี้ย?
Choi Seung Hyun: ผมตั้งใจจะหมายถึงว่า ผมไม่คิดว่าจะเป็นการดีที่จะเปลี่ยนชื่อเวลาที่ผมทำงานด้านการแสดงนะครับ ในสายตาของผู้คน พวกเค้าก็จะพูดกันว่า" นั่นท็อปนี่" ไม่ใช่ว่า "นั่นชเวซึงฮยอนนี่" ผมไม่ได้พยายามที่จะเปลี่ยนอาชีพซักหน่อย หรือไม่ได้ตั้งใจจะเบนเข็มมาทำงานด้านการแสดงแบบเต็มตัวซักหน่อย ดังนั้นผมเลยรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อ ผมแค่ต้องการที่จะแสดงออกตัวตนของตัวเองที่เป็นท็อปในตอนที่ทำงานในฐานะศิลปินคนนึงก็เท่านั้นเองครับ

Q. ผมเชื่อว่าคุณคงได้พบกับผู้คนมากมายในนาม ท็อป มากกว่าในนามชเวซึงฮยอนสินะครับ?
Choi Seung Hyun: เป็นความจริงครับ แต่ผมพยายามที่จะสร้างสัมพันธภาพกับผู้คนในมุมมองของชเวซึงฮยอนด้วยนะครับ ผมไม่ใช่ประเภทที่จะพบผู้คนเพื่อเป็นคู่หูทางธุรกิจเพราะผมไม่ใช่นักธุรกิจ และผมก็ไม่ใช่คนดังที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานด้วย ดังนั้นผมพยายามที่จะเข้าหาผู้คนในนามชเวซึงฮยอนครับ

Q. คุณไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานเหรอครับ??
Choi Seung Hyun:ผมไม่ค่อยมีความกระตือรือร้นมากนักครับ ตามปกติแล้วคนที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานจะมีความกระตือรือร้นสูงและจะทำบางสิ่งบางอย่างอย่างไม่ลดละ  ถ้าเทียบแบบนั้น ผมจะเป็นคนที่สงบมากๆผมจะเป็นประเภทที่จะรอคอยมากกว่าจะเดินไปไขว่คว้า ผมจะแค่รอโชคชะตาของผมและพยายามที่จะเผชิญหน้ากับมัน ผมจะยอมรับในสิ่งใดก็ตามที่ผมจำเป็นจะต้องยอมรับและพยายามหลีกเลี่ยงอะไรก็ตามแต่ที่ผมจำเป็นจะต้องหลีกเลี่ยงมัน 

Q. คุณเผชิญหน้ากับโชคชะตายังไงครับ?? คุณคิดรึเปล่าว่าตัวเองได้ตัดสินใจถูกแล้ว??
Choi Seung Hyun: ผมไม่เคยประสบกับความล้มเหลวมาก่อน แต่ก็มีเหตุการณ์ที่น่าเสียใจอยู่บ้างนะครับ มีหลายครั้งที่ผมมักจะคิดว่า "ถ้าประหม่าน้อยลงกว่านี้หน่อยน่าจะดี" หรือ " ถ้าหากจะปล่อยวางอีกซักนิดนะ"

Q. แต่คุณก็ได้เป็นสมาชิกวงบิกแบง ต่อมาก็เป็นนักแสดง ผมว่าโชคเข้าข้างคุณอยู่นะครับ?
Choi Seung Hyun: ครับ ผมก็คิดแบบนั้น แต่ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยเมื่อย้อนไป ผมไม่เคยตระหนักเลยว่าตัวเองโชคดีแค่ไหนที่สามารถสลับเปลี่ยนไปมาจากการถ่ายทำภาพยนตร์มาแสดงคอนเสริต์ในชั่วข้ามคืนได้ ทุกอย่างมันหนักและเหนื่อยจนหมดแรง ผมพึ่งจะมาตระหนักรู้หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้นผ่านไปแล้ว เท่าที่ผมรู้ มีไม่กี่วงที่จะสามารถทำ worldtour ในระดับที่บิกแบงกำลังทำอยู่ และผมยังมีทีมงานถ่ายทำภาพยนตร์ที่รอคอยผมในสถานการณ์แบบนั้น มันเป็นพรอันยิ่งใหญ่จริงๆที่ผมสามารถที่จะทำทั้งสองอย่างนี้ได้ 



Q. คุณคงรู้สึกภูมิใจในตัวเองนะครับ แต่ในขณะเดียวกันผมก็รู้สึกถึงแรงกดดันและความรับผิดชอบจากคุณด้วย อะไรเป็นแรงจูงใจให้กับคุณครับ??
Choi Seung Hyun: ความรับผิดชอบครับ ในการที่จะเป็นคนมีความรับผิดชอบ ผมพยายามที่จะสร้างเกียรติยศในตัวเอง หากความมั่นใจในตัวเองของผมมีมากจนเกินไป ผมก็จะกลายเป็นคนเกียจคร้าน ดังนั้นผมพยายามที่จะบังคับตัวเองให้ไปสู่จุดที่อยู่ใต้แรงกดดัน ผมมักจะเตือนใจตัวเองแบบนี้เสมอ และ พยายามสร้างความสมดุลระหว่างสิ่งต่างๆ 

Q. คุณพูดว่าตัวเองยังไม่เคยประสบกับความล้มเหลวมาก่อน ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆที่คุณรู้เรื่องนี้ได้ด้วยตัวคุณเองนะครับ?
Choi Seung Hyun:ผมมักจะเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความล้มเหลวอยู่เสมอ เพื่อป้องกันตัวเองไม่ให้บาดเจ็บนะครับ 

Q.คุณไม่คิดเหรอครับว่ามันคงเป็นบาดแผลที่ลึกที่เดียวนะ ถ้าคุณพบกับความล้มเหลว?
Choi Seung Hyun: ไม่หรอกครับ เพราะผมมักจะเตือนใจตัวเองเอาไว้เสมอ ผมไม่คิดว่าตัวเองจะบาดเจ็บหรอกครับ

Q. ยังไงก็ดี อะไรที่คุณไม่อยากจะให้มันล้มเหลวเลย??
Choi Seung Hyun: อืม…… (ใช้เวลาคิดอยู่นาน) ความรักครับ ผมไม่อยากจะพบกับความล้มเหลวในเรื่องของความรัก หากความสัมพันธ์กับคนที่ผมคบหาดูใจและสุดท้ายเรียกได้ว่าความรักแล้ว ต้องล้มเหลวไป ผมคงจะรู้สึกว่างเปล่า และคงจะเต็มไปด้วยความละอายใจครับ 

Q. คุณเป็นชเวซึงฮยอนที่แสนจะโรแมนติกนี่เอง
Choi Seung Hyun ผมไม่ได้เป็นแบบนั้นเพราะผมขี้อายหรือยังไงนะครับ แต่ผมมีจิตใจอยู่ในโลกของเทพนิยาย ผมไม่ใช่คนที่สนใจในเรื่องการปฏิบัติได้จริง ผมมีอาการหลงผิดมากมาย ผมเป็นคนที่จะจมลึกไปกับความคิดของตัวเอง ผมสรุปว่าตัวเองเกิดมาแบบนี้แหละครับ (หัวเราะ) คุณเข้าใจใช่ไม๊ฮะ?? ก็เหมือนกับเรื่องของโชคชะตานั่นแหละ ผมคิดว่าผมเกิดมาเพื่อที่จะต้องมาทนทุกข์ทรมาน

Q. เป็นคนเหงาไม๊ครับเนี้ย?
Choi Seung Hyun: ผมเป็นคนเหงาครับ ผมเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ยังเป็นเด็กแล้ว แต่ผมคิดว่าผมจำเป็นจะต้องอยู่คนเดียวเหงาๆแบบนี้แหละครับ พูดตรงๆ ผมจะไม่รู้สึกถึงแรงผลักดันอะไรเลยถ้าตัวเองไม่เหงา เวลาที่ผมมีผู้คนห้อมล้อม หรือพูดอีกอย่างคือในตอนที่มีคนที่ผมรักอยู่ใกล้ๆผม ผมจะรู้สึกประหม่ามากๆและกระวนกระวาย

Q. อ่าา นี่คุณกลัวว่าความสุขของคุณจะต้องจบลงรึเปล่าครับ??
Choi Seung Hyun: นั่นก็ด้วยครับ ผมไม่ชอบนะเวลาที่ตัวเองมีความสุข ผมไม่ชอบตัวเองที่อยู่ในสภาวะคงที่ ผมคิดว่าตัวเองจะอยู่ในสภาวะนั้นเวลาที่ผมอยู่กับคนที่ผมรัก ในชั่วเวลาหนึ่งผมจะมีความสุขที่ได้ใช้เวลากับแฟนของผมแต่ในขณะเดียวกันผมจะประหม่าด้วย ผมจะรู้สึกกระวนกระวายและรู้สึกว่าจำเป็นต้องหาอะไรทำ ผมเกลียดตัวเองที่ผ่อนคลายมากไปครับ

Q. ทำไมคุณไม่สามารถที่จะปล่อยให้ตัวเองมีความสุขไปละครับ?
Choi Seung Hyun: อืมม… บางทีอาจจะเพื่อการใช้ชีวิตที่มีความสุขในอนาคตมั้งครับ?? ผมก็ยังไม่รู้เลยครับว่าเพราะอะไร ผมแค่เป็นประเภทที่ไม่สามารถมีความสุขกับสภาวะคงที่หรือสภาวะที่เป็นสุขมากๆก็เท่านั้นเอง 

Q. ดูคุณมีความสุขในตอนที่อยู่บนเวทีร้องเพลงนะครับ คุณดูสนุกไปกับมันด้วยนะครับ
Choi Seung Hyun: ครับ มันเป็นตอนที่ผมรู้สึกผ่อนคลายที่สุดนะครับ

Q.แล้วตอนที่คุณแสดงหนังละครับ?? 
Choi Seung Hyun:ผมจะผ่อนคลายมากที่สุดเวลาที่ตัวเองอยู่หน้ากล้องครับ ผมรักเวลาที่ตัวเองกำลังมุ่งความตั้งใจไปกับการแสดง 

Q. เวลาที่ผมฟังคุณเล่าเรื่องของตัวเองมานี่ ผมคิดว่าคุณเป็นประเภทที่จะผ่อนคลายได้หากคุณรู้ว่าตัวเองกำลังทำสิ่งๆหนึ่งอย่างเต็มที่ที่สุดแล้ว??
Choi Seung Hyun: อ่า คุณพูดถูกครับ ผมคิดว่าตัวเองเป็นแบบนั้นนะครับ   

================

credit:
Source: 10Asia http://tenasia.hankyung.com/archives/182035]
Eng Translation by @ IBEUNJN
Thai Translation by miss_mew

===============

สัมภาษณ์ท็อปกับ 10asia.co.kr
10-asia-part-1.html
10-asia-korea-end.html

วันพุธที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2556

TOP “Let’s talk at home (IN MY ROOM) L’OFFICIEL /11-2013 (end)


LH: อ่าใช่ๆ ฉันได้ยินมาว่าคุณช่วยแทยังในการออกแบบตบแต่งภายในบ้านใหม่ของเค้ามากเลยใช่ไม๊คะ??
Choi Seung Hyun: อ่าา , ก็ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ จริงๆผมไม่ได้ทำอะไรมากเลย แทยังเค้าเลือกจัดออกมาได้ดีด้วยตัวเค้าเองครับ อย่างที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้ ผมรักเฟอร์นิเจอร์ครับ ผมชอบในเรื่องของสถาปัตยกรรม ดังนั้นผมจึงเริ่มอ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ด้วย จริงๆแทนที่จะเรียกว่าบ้านผมมีโกดังเก็บของส่วนตัวที่ที่ผมจะสะสมพวกอุปกรณ์ในห้องน้ำ เฟอร์นิเจอร์ เช่น เก้าอี้และโต๊ะ และพวกรูปปั้นๆต่างๆ เอาไว้ครับ 

LH: โอ้ว จริงเหรอคะเนี้ย?? นี่เป็นวิธีคลายเครียดของคุณเหรอคะ??
Choi Seung Hyun: ครับ ผมคิดว่าผมชอบทุกอย่างที่ดูน่ารัก ผมเดาเอาว่าตัวเองหลงใหลในสิ่งที่สวยงาม ร่างกายของผมจะสามารถพักผ่อนได้ในขณะที่ได้มองสิ่งที่สวยงาม ในตอนที่ผมยังเด็กผมจะชอบเสื้อผ้ามากเลยครับ ผมซื้อมาเยอะเลยและสะสมมัน ตอนนี้ผมอยู่ในช่วงปลายอายุ 20 แล้ว ความปรารถนาในเรื่องเสื้อผ้าของผมก็ลดลงไปด้วย 

LH: ได้ยินมาว่าคุณมี  Mark Ronson…เป็นแบบอย่างเหรอคะ??
Choi Seung Hyun: ไม่ครับ ผมไม่เคยพูดเลยว่าเค้าเป็นแบบอย่างของผม ไม่เคยเลยฮะ ผมสงสัยว่าเรื่องนี้มาจากไหนครับเนี้ย?? ใครเป็นคนพูด ??ผมจะไปเหมือนคนที่ยังมีชีวิตอยู่ร่วมยุคกับผมได้ยังไงกัน?? ผมไม่ใช่แบบนั้นนะฮะ  มันแค่เป็นสไตล์ที่ดังมากๆที่ยุโรป งั้นคุณก็สามารถพูดได้ว่าทุกคนที่อังกฤษและฝรั่งเศสก็อบบี้สไตล์ของ  Ronson มาแบบนี้จะได้เหรอฮะ??? ถ้าพูดว่าผมมี David Bowie เป็นแบบอย่างแบบนี้ผมยอมรับนะครับ 

ยังไงก็ตามแต่กลับมาที่คำถามนะครับ ในเวลาที่รู้สึกเป็นทุกข์ผมตระหนักว่าผมจะรู้สึกผ่อนคลายปล่อยวางเวลาที่ได้เห็นรูปวาดหรือเฟอร์นิเจอร์ แม้แต่ในช่วงที่ไปทัวร์คอนเสริต์ในต่างประเทศ ผมจะหาเวลาไปพิพิธภัณฑ์ศิลปะหรือแกลลอรี่ด้วยตัวเอง ตอนนี้ผมอินไปกับศิลปะในแบบ surrealismมากๆเลยครับ 

LH: ให้ฉันเดานะคะ  Dali! ใช่ไม๊??
Choi Seung Hyun: อ่า ใช่ครับ จริงๆผมมีเฟอร์นิจเจอร์ที่ออกแบบโดยมีงานของดาลีเป็นแรงจูงใจด้วย ผมชอบเฟอร์นิจเจอร์ที่ดูบิดๆเบี้ยวๆงานดีไซน์ของGaudi มากๆด้วยเหมือนกัน ในตอนที่ผมสะสมงานแบบนี้ได้มากพอ ผมกำลังคิดว่าอยากจะเปิดพิพิธภัณฑ์เล็กๆ ของเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผมไม่ได้มีโอกาสได้เห็นในตอนที่เป็นเด็ก ในตอนที่ผมแก่ตัวลงและในตอนที่ผมสามารถที่จะสะสมของให้เพิ่มมากขึ้นอีกๆ ผมต้องการพื้นที่ที่แม้แต่เด็กเล็กๆก็เข้ามาเยี่ยมชมได้ ซึ่งตอนนี้มันยังเป็นแค่สิ่งที่ผมหวังไว้ครับ



"กลุ่มพี่ชายที่โตกว่ามาก" ที่ชเวซึงฮยอนพูดถึงนั้นเป็นดาราระดับแนวหน้าที่อย่างน้อยๆต้องมีอายุมากกว่าเค้า 10 ปี ได้แก่ คุณ  Jung Woo Sung, Lee Jung Jae และ Lee Byung Hun พวกเค้าสามารถพูดคุยกันได้ทั้งคืนขอแค่มีเหล้าขวดเดียวก็พอแล้ว ชเวซึงฮยอนเรียนรู้เรื่องการแสดงและการควบคุมมันจากพวกพี่ๆเหล่านี้ คนที่เป็นกำลังใจคอยเชียร์ให้ท็อปอ่านบทหนังเรื่อง Alumni ก็เป็นถึง CEO บริษัทสร้างภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ในวงการ แต่ท็อปไม่เคยที่จะกล่าวถึงพวกเค้าเหล่านี้เลยในการให้สัมภาษณ์ เค้ายังมีเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นงานชิ้นดังจากต่างประเทศที่มีเรื่องราวเป็นเอกลักษณ์เฉพาะแต่ละชิ้นเก็บไว้อีกด้วย แต่เค้าไม่เคยเอาเรื่องแบบนี้มาอวดอ้างเลย เค้าเป็นคนที่ระมัดระวังตัวแบบนี้แหละ 

ชเวซึงฮยอนผู้ซึ่งมีความสนใจในเฟอร์นิเจอร์ ไม่ใช่แค่ไอดอลผู้ร่ำรวยมีชีวิตหรูหราทั่วๆไปนะคะ ทุกวันนี้เค้ากำลังสร้างเก้าอี้ในหัวของเค้าอยู่ เค้ากำลังสร้างโครงการและร่างภาพสเก็ตของมัน เค้ากำลังค่อยๆฝันอย่างระมัดระวังถึงวันที่เค้าจะสามารถสร้างเก้าอี้ในหัวตัวนี้ออกมาเป็นเก้าอี้จริงๆได้ 

เราสามารถเห็นท็อปหัวเราะและเล่นตลกเมื่อเราเริ่มพูดถึงงานอดิเรกของเค้า โดยที่ไม่คาดฝันมาก่อนก่อนที่เราจะมาพูดคุยกันเรื่องนี้ ริมฝีปากของเค้าสั่น ขาของเค้าก็สั่นด้วย เค้ามีแอปเปิ้ลเขียวถือไว้ในมือและเค้าก็เอาแต่จ้องกำแพงตลอดเวลาในตอนที่เค้าเริ่มพูด เค้าเป็นคนที่มีเสน่ห์น่าภาคภูมิอย่างมากบนเวที แต่กลับมีอาการประหม่าขนาดนี้ในการสัมภาษณ์นิดๆหน่อยๆ มันเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจอย่างมาก

LH: คุณไม่ชอบให้สัมภาษณ์แบบนี้เหรอคะ?? ยังไงเราควรจะพักกันหน่อยดีไม๊??
Choi Seung Hyun: ผมไม่ได้เกลียดมันหรอกฮะแต่ผมไม่ค่อยมีโอกาสได้ทำอะไรแบบนี้บ่อยๆเท่านั้นเอง แต่ผมชอบที่ผู้สัมภาษณ์ผมในวันนี้ไม่ใช่ผู้ชายนะครับ ผมชอบให้สัมภาษณ์กับผู้หญิงมากกว่าเหมือนในวันนี้ (หัวเราะ) มันเป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอฮะที่เราจะชอบทำอะไรบางอย่างกับเพศตรงข้ามมากกว่า?? 

LH: เช่นอะำไรคะ??
Choi Seung Hyun:อืมๆ ระยะหลังๆมานี้ผมอยากจะตกหลุมรัก

LH: จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณอยู่ในห้วงรักคะ??
Choi Seung Hyun: ผมจะเต็มไปด้วยอารมณ์ครับ ทุกอย่างที่ผมทำจะออกมาดีเพราะผมอยากจะดูเท่ต่อหน้าแฟนของผม (หัวเราะ) 

LH: คำถามที่งี่เง่าที่สุดที่คุณเคยได้ยินมาคือคำถามอะไรคะ??
Choi Seung Hyun: “แฟนเพลงที่ไหนเป็นแฟนเพลงคนโปรด??" และ " แฟนเพลงที่ไหนสร้างความประะทับใจมากที่สุด" ครับ แฟนๆทุกคนล้วนมีค่ากับผมดังนั้นแล้วผมจะพูดออกมาได้ยังไงว่าผมชอบใครมากที่สุดหรือชอบใครน้อยที่สุด?? ผมพูดไปแล้วก่อนหน้านี้ว่า ผมทำงานด้วยความรับผิดชอบที่ผมรู้สึกต่อแฟนๆของผม ความรับผิดชอบนั้นเป็นแรงจูงใจให้กับผม อืม.....นี่เป็นครั้งแรกที่ผมพูดเรื่องนี้ออกมานะครับ  แต่จริงๆแล้วผมกำลังเตรียมงานในอัลบั้มของตัวเองอยู่

LH: ตอนนี้คุณรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นแล้วสินะคะ
Choi Seung Hyun: ผมยังไม่รู้ว่าเป้าหมายจริงๆแล้วเป็นยังไงหรือยังไม่ได้มีวันที่เฉพาะเจาะจงลงไปในเรื่องนี้หรอกนะครับ แต่ผมรู้สึกเสียใจแทนแฟนๆของผมมากเลยเพราะตัวผมไม่ค่อยมีงานออกมา ดังนั้น ก็ใช่ครับ ผมกำลังทำมันอยู่ในตอนนี้

LH: อัลบั้มนี้คุณทำออกมาในฐานะที่เป็น แร๊พเปอร์ ท็อปใช่ไม๊คะ??
Choi Seung Hyun: ครับ แต่บางทีมันอาจจะไม่มีอะไรเหมือนกับท็อปที่คุณเคยเห็นมาก่อนเลยนะครับ ผมอยากจะให้มันออกมาในแนวที่ผมอยากจะให้มันเป็นจริงๆ ผมอยากจะเขียนเพลงและออกความคิดเห็นในเรื่องการโปรดิว ผมอยากให้ตอนเซ็บของมิวสิควีดีโอออกมาเป็นที่น่าตกใจมากๆด้วย 

ผมบอกเรื่องนี้กับพี่ผู้จัดการและเค้าก็บอกว่า "มันจะต้องจบเห่แนุ่ถ้านายจะทำออกมาในแบบที่นายอยากทำ" แล้วก็ถอนหายใจ (หัวเราะ) เค้าบอกว่าสิ่งที่ผมชอบนั้นมันดูไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนจะชอบเท่าไหร่ แต่ก็เหมือนอย่างภาพยนตร์เรื่องนี้ถ้าผมรู้ว่ามีคนที่สามารถทำได้ดีกว่านี้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ผมคงจะไม่เริ่มต้นทำหรอกครับ ผมไม่ได้จะดูว่าสาธารณชนนั้นชอบซิงเกิลใหม่ของผมมากแค่ไหน แต่ผมแค่อยากจะให้พวกเค้าคิดว่า " อ่า เค้าพยายามทำอะไรใหม่ๆออกมาอีกแล้ว" หรือ "เวลาที่เค้าลงมือทำอะไรเค้าทำมันออกมาได้แตกต่างไปเลยนะ"  แค่นั้นก็เพียงพอแล้วฮะ ผมหวังว่าพวกเค้าจะสามารถมองเห็นรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่ผมใส่เข้าไป 



LH: นักแสดงที่ชื่อ ชเวซึงฮยอน กับ แร๊พเปอร์ที่ชื่อท็อป มีความแตกต่างกันไม๊คะ?
Choi Seung Hyun: ทั้งคู่ก็คือ ท็อปแหละครับ ผมไม่คิดว่ามันจะมี ชเวซึงฮยอน จริงๆหรอกครั

LH: ดูคุณจะเคร่งครัดในเรื่องนี้มากเลย คนไหนกันคะที่ดูใกล้เคียงกับชเวซึงฮยอนตัวจริงมากที่สุด??
Choi Seung Hyun: นั่นก็ฟังดูไม่สมเหตุสมผลอยู่ดีแหละฮะ มันไม่สามารถมีซึงฮยอนได้หรอกครับ ผมไม่เคยมีสถานที่ที่ใดที่ผมจะเอาซึงฮยอนล้วนๆออกมาแสดงได้ ผมมีสิ่งที่อยากจะซ่อนเอาไว้และมีบางสิ่งที่จำเป็นต้องซ่อนเอาไว้ 

การเริ่มจับงานแสดงไม่ใช่ทางเลือกของผมตั้งแต่แรก ผมไม่อยากจะโกหกและพูดออกมาว่าผมเข้ามาทำงานด้านการแสดงเพราะความหลงใหลที่ยิ่งใหญ่ในการแสดงตั้งแต่เริ่มต้น ไม่นับว่าถ้าคุณเป็นคนที่โชคดีที่ไปอยู่ในสถานการณ์ใดก็มักจะทำอะไรต่างๆที่คุณอยากทำออกมาดีได้ตลอดเวลา  ผมคิดว่ามันมีบางอย่างในชีวิตนะ ที่คุณจะสามารถทำอะไรออกมาได้ดีในเวลาที่ถูกต้องเท่านั้น

ผมต้องการที่จะทำการแสดงและทำงานเพลงตราบเท่าที่ผมจะทำได้ ผมคงจะหยุดเมื่อผมรู้สึกว่าตัวเองไม่มีพรสวรรค์ในด้านนี้อีกแล้ว มันไม่ใช่ความทะนงตัวนะครับแต่มันเหมือนกับการที่มีพลังงานมากกว่าคนอื่นเท่านั้นเอง ผมทำตัวเป็นปกติและเวลาที่ขึ้นเวที ผมก็มีความสุขที่จะได้ทำบ้าบอเหมือนโดนสิงบนเวที แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผมมีความสุขในทุกๆอย่างในชีวิต มันไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆเหมือนกันครับ แต่ผมจะต้องระเบิดพลังออกมาอีกครั้งแน่ๆครับ

LH: รู้ไม๊คะว่าคุณพึ่งจะยอมสบตาฉัน??
Choi Seung Hyun: (ยิ้มเขิน ) ผมอายเกินไปครับ

LH: เอาละค่ะ ฉันจะมอบโอกาสให้คุณได้นิยามความเป็นตัวเอง อธิบายตัวเองในหนึ่งประโยคนะ 
Choi Seung Hyun:  อ่า นี่น่าจะดีนะครับ " สวัสดีครับ ผมเป็นคนที่กลับมาปรากฏตัวแล้วครับหลังจากที่หายไปนาน" นี่เป็นความจริงนะครับ ดังนั้นมันน่าจะโอเคใช่ไม๊ครับ?? ในตอนที่ผมยังเป็นเด็กกว่านี้ ผมมักจะแนะนำตัวเองว่า " สวัสดีครับผมคือคนที่มักจะเมาอยู่เสมอ" เพื่อนๆของผมล้วนแปลกประหลาดกันไปหมดเลยครับและผมก็นับว่าค่อนข้างปกติเลยนะเวลาที่อยู่กับพวกเค้า 

อ่าาา คือผมไม่ได้จะบอกนะครับว่าผมมักจะเมาเสมอในช่วงที่เป็นเด็ก ช่วยเขียนย้ำกำกับลงไปด้วยนะครับว่า เมาในช่วงอายุต้น 20 (หัวเราะ) 

LH: โอเคอย่ามาทำตัวซีเรียสหน่อยเลยหน่า


Englisn Translation by BIGBANGISVIP 
Thai Translation by miss mew 
magazine  by L'official Homme 

================

ตามอ่าน L'official ตอนอื่นๆได้ตามนี้ 
top-lets-talk-at-home-in-my-room part1.html
top-lets-talk-at-home-in-my-room End.html 

TOP “Let’s talk at home (IN MY ROOM) L’OFFICIEL /11-2013 part 1


ก่อนทำการสัมภาษณ์ มันทำให้ฉันเกิดความลังเลอยู่ว่าจะเรียกเค้าว่า ท็อป จากวงบิกแบงหรือเรียก ชเวซึงฮยอนดี แต่เมื่อเค้าเดินเข้ามาในกองถ่าย สุดท้ายฉันก็นึกคำตอบออก เค้าคือ ชเวซึงฮยอนแน่ๆในวันนี้ เค้าผอมและดูเฉียบคมเอามากๆ

ภาพยนตร์เรื่อง Alumni (The Commitment) ที่จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ในเดือนพฤศจิกายนนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กชายจากเกาหลีเหนือ  Lee Myung Hoon ที่ต้องมีชีวิตอยู่ด้วยการปลอมตัวเป็น  Kang Dae ho เพื่อช่วยชีวิตน้องสาวคนเดียวของเค้า  Hye in (รับบทโดย Kim Yoo Jeong) พร้อมทั้งเจออุปสรรคมากมายที่เค้าต้องอดทนฟันฝ่า ในฐานะที่เป็นคนที่ถูกตามล่า เค้าไม่ได้รับอนุญาติให้สร้างมิตรภาพหรือมีความรู้สึกเหมือนกับเด็กทั่วไป และสิ่งเหล่านั้นกลายเป็นรอยแผลเป็นติดตัวเค้าอยู่

คนที่จะต้องพูดคุยเรื่องราวที่สลับซับซ้อนนี้ให้เราฟังในวันนี้ก็คือ ชเวซึงฮยอน พระเอกของเราในวันนี้ค่ะ

L’officiel Hommes : วันนี้เราสัมภาษณ์คุณในฐานะนักแสดงไม่ใช่นักร้องนะคะ ฉันได้ยินมาว่าทางบริษัทภาพยนตร์ได้เตรียมภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยในใจพวกเค้ามีคุณรับบทแสดงนำตั้งแต่แรกเลยทีเดียว
Choi Seung Hyun: ครับ ต้องขอขอบคุณมากเลยครับ จริงๆมันเป็นเรื่องที่น่าตลกนะครับ ผมไม่เคยได้อ่านบทหรืออะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลังจากที่พี่ผู้จัดการเอามันมาวางไว้ในห้องผม ผมมักจะมองมันจากที่ไกลๆและเดินผ่านตลอดไม่เคยจะหยิบมามองเลยครับ หน้าปกของบทภาพยนตร์เขียนเอาไว้ว่า ‘Alumni’ และผมก็คิดว่า "นี่เป็นหนังรังเอาใจเด็กหนุ่มสาวหรือเปล่า? หรือว่าเป็นหนังรักเหนือจริงเมโลดราม่าของเด็กมักธยมรึเปล่า?? " แล้วก็ปล่อยให้บทมันอยู่ตรงนั้น แต่หลังจากนั้นประมาณ 1 เดือน มีบางคนโทรหาผมครับ เค้าถามว่าผมได้อ่านบทรึยัง?? และนั่นทำให้ท้ายที่สุดแล้วผมจึงเริ่มหยิบบทเปิดหน้าแรกออกอ่าน

LH: คุณไม่ชอบรับบทบาทที่เหมือนเป็นตัวแทน ดาราไอดอลแบบนั้นเหรอคะ??
Choi Seung Hyun: ไม่ใช่ว่าผมเกลียดมันหรืออะไรนะครับ แต่ผมต้องการจะทำอะไรที่มันจริงจังมากกว่าบางทีนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงไม่ได้รับแสดงภาพยนตร์หลายๆเรื่อง มันเป็นความดีใจแต่ในขณะเดียวกันมันก็ถือว่าเป็นภาระเหมือนกัน เมื่อ3ปีก่อน ในตอนที่ผมถ่ายทำละครเรื่อง IRIS มันไม่ใช่เรื่องปกตินะครับที่ไอดอลจะได้มาร่วมทำงานในละครที่มีโปรดักชั่นยิ่งใหญ่แบบนั้น หลังจากที่ผมเล่นละครเรื่อง I am Samในปี 2007 ผมตระหนักว่ามันผ่านมากว่า 6 ปีแล้วนะ ผมตัดสินใจว่าผมควรจะเริ่มแสดงออกถึงด้านที่แตกต่างในตัวเองออกมาได้แล้วโดยการรับแสดงในภาพยนตร์ที่มีความแตกต่างหรือละคร ทีละเรื่องทีละเรื่องไปครับ

LH: ถ้าฉันมองจากงานที่ผ่านมาๆของคุณ คุณมักจะรับบทที่ไม่ค่อยมีบทพูดมากเท่าไหร่นัก คุณอาจจะชอบบทเหล่านี้เพราะคุณไม่จำเป็นต้องจำบทมากรึเปล่าคะ?? คุณเป็นคนที่จำบทเก่งรึเปล่า??
Choi Seung Hyun: โชคดีที่ผมค่อนข้างเก่งเรื่องการจำบทครับ ถ้าหากว่าผมไม่เข้าใจบทของภาพยนตร์ทั้งหมดอย่างถ่องแท้ ผมก็จะไม่สามารถที่จะแสดงบทบาทของตัวละครนั้นออกมาได้อย่างสมบูรณ์ จริงๆผมคิดว่านี่เป็นเรื่องปกตินะครับ แต่พอผมเริ่มทำ ผมจะคิดด้วยตัวเองเยอะมากและผมก็จะเอาแต่จัดระเบียบความคิดของตัวเองอย่างต่อเนื่อง เวลาที่ผมได้อะไรมาใหม่ผมจะอยู่ในภาวะที่เครียด ดังนั้นผมพยายามที่จะควบคุมจิตใจตัวเองให้ได้มากขึ้นอีกนิดครับ

LH: พูดแล้วทำให้ฉันนึกถึงภาพยนตร์เรื่อง 71: Into the Fireนะคะ พูดตามตรงว่าฉันไม่ได้คาดหวังอะไรมากจากภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่คุณกลับไม่ได้โดนรัศมีจากดาราใหญ่คนอื่นๆในเรื่องบดบังเลย ซึ่งถ้ามองอีกแง่นึง การที่คุณไม่โดนดาราคนอื่นเบียดบังเป็นเพราะว่านี่เป็นภาพลักษณ์ที่ขยายส่วนออกมาจาก ท็อปวงบิกแบงรึเปล่าคะ
Choi Seung Hyun: (พยักหน้า) แต่ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้แตกต่างไปนะครับ ในตอนที่ผมอ่านบท สิ่งแรกที่เข้ามาในใจผมคือ " ว้าวว นี่มันยากนะ" แต่ผมก็เกิดความคิดขึ้นมาอีกว่า " แต่ถ้าเราทำได้ดี มันจะกลายเป็นดีมากๆเลยนะ กลายเป็นภาพยนตร์ที่ดูลึกซึ้งเลยทีเดียว"

ความจริงที่ว่า การที่ผมเป็นคนที่มาจากเกาหลีเหนือและใช้ชีวิตเป็นนักเรียนในเกาหลีใต้นั้นมันก็เป็นนิยายมากเกินพอแล้ว และผมคิดว่าถ้าการถ่ายทอดอารมณ์ของผมมันออกมามากเกินไปมันก็จะดูไม่สมจริงดังนั้นผมควรที่จะควบคุมมัน  ผมมักจะุถามตัวเองแบบไม่จบไม่สิ้นว่า " ทำไมเราต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วย?? อะไรคือสิ่งที่เราจะต้องเข้าใจจากเหตุการณ์นี้ ??" 

LH: มีใครเป็นพิเศษที่คอยช่วยคุณในตอนที่คุณเตรียมตัวสำหรับแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ไม๊คะ??
Choi Seung Hyun: มีหลายคนมากจนผมไม่สามารถเลือกใครออกมาได้เลยครับ ขอบคุณผู้กำกับและนักแสดงรุ่นพี่ทั้งหมดที่คอยตอบคำถามทั้งหมดของผม แต่ยังไงก็ตามแต่นี่ก็เป็นงานของผม ผมก็ยังคงต้องมีความรับผิดชอบมากอยู่  ภาพยนตร์นั้นจะต้องสามารถทำให้คนดูรู้สึกคล้อยตามได้ซึ่งผลสุดท้ายหนังจะออกมาเป็นยังไงก็อยู่ที่ตรงนี้แหละครับ จะได้คำชื่นชมหรือจะเหมือนโดนผู้ชมตบหน้าก็ตรงนี้

LH: คิดไปคิดมานี่เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของคุณในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเลยนะคะ
Choi Seung Hyun: ใช่ครับ ทุกครั้งที่ผมถ่ายทำภาพยนตร์ ผมก็มักจะทำงานในอัลบั้มไปด้วย จริงๆยังไม่ได้มีการตัดสินใจใดๆแต่ตอนนี้อย่างน้อยผมก็พยายามที่จะทำอะไรออกมาบ้าง ผมรู้สึกถึงความรับผิดชอบที่ผมมีต่อแฟนๆของผมเพราะผมไม่ค่อยจะมีการทำงานโปรโมทในงานเดี่ยวเลย ผมคิดเรื่องนี้เยอะมากในการใช้ชีวิตประจำและในช่วงเวลาที่ตรวจสอบตัวเอง มันเหมือนเป็นเวลาที่ผมจะถามคำถามกับตัวเองและหาคำตอบนั้นด้วยตัวเองครับ

LH: ช่วงเวลาตรวจสอบตัวเองเหรอคะ?? โอ้ ฉันไม่ได้ยินคำคำนี้มานานมากแล้วนะเนี้ย?
Choi Seung Hyun: (ทำหน้าจริงจัง) ผมไม่ได้ล้อเล่นนะครับ ผมจะจริงจังมากในการคิดถึงตัวเองและสิ่งที่ทำไปในแต่ละวัน ซึ่งอย่างน้อยๆผมจะถามตัวเองอยู่ตลอดทุกวันว่า " ตอนนี้ผมเดินมาในทางที่ถูกแล้วใช่ไม๊??" ผมจะถามตัวเองครับ ผมอาจจะมีภาพลักษณ์ดื้อๆ กบฏๆเป็นแร๊พเปอร์ที่มีความทนงตัว แต่จริงๆแล้วในตัวผมมีด้านมืดอยู่ด้วย และ มยองฮุนในภาพยนตร์ก็มีด้านมืดและมีบุคคลิกที่ซับซ้อน ตัวละครนี้เค้าเหมือนกับพบภัยอันตรายที่ไม่คาดคิดมาก่อนและจมดิ่งลงไปจุดที่ต่ำสุด บทนี้จำเป็นต้องอาศัยอารมณ์ที่กดดันลึกๆมากมาย เค้าอาจจะดูเหมือนกับนักฆ่าในเรื่อง IRIS นะครับแต่บทนี้แตกต่างไปครับ มันไม่ใช่ภาพลักษณ์ของ ท็อปวงบิกแบงเลยแม้แต่น้อย

LH: คุณคงต้องพยายามอย่างมากเลยนะคะ ในการรับบทเป็น มยองฮุนในครั้งนี้
Choi Seung Hyun: ผมอยากให้ด้านมืดที่ผมไม่เคยแสดงออกมาเลยบนเวทีออกมาปรากฏให้ได้เห็นบนจอภาพยนตร์ ผมอยากจะให้ตัวเองดูโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงามากที่สุดเพียงแค่ยืนเฉยๆเท่านั้น วิธีที่ดีที่สุดที่จะเรียนรู้ให้สามารถแสดงออกมาแบบนั้นได้คือผมต้องอยู่ตัวคนเดียว ผมไม่ได้พบใครเลยเป็นเวลาเกือบ 1 ปี ผมใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับตัวเอง ผมถึงขนาดบอกกับทางบริษัท YG ว่า ผมไม่อยากทำงานโปรโมทอะไรใดๆทั้งสิ้น ดังนั้นอย่าวางแผนงานใดๆลงไปในตารางงานของผม ทำแบบนี้มันต้องสร้างความลำบากให้กับพี่ผู้จัดการแน่ๆ เพราะเค้าต้องยกเลิกคำเชิญที่จะให้ผมไปปรากฏตัวตามรายการ TV และงานอื่นๆอีกทุกๆงานที่เข้ามา

LH: ฉันเดาเอาว่าสำหรับพี่ผู้จัดการแล้วคุณคงเป็นนักแสดงที่จู้จี้น่าดู 
Choi Seung Hyun: อาจจะนะครับ ผมจะทำทุกอย่างที่ผมอยากจะทำ และจะทำแต่สิ่งที่ต้องการจะทำเท่านั้น ไม่ใช่แค่เรื่องภาพยนตร์เท่านั้นแต่ในวง บิกแบงก็ด้วย หลังจากที่การถ่ายทำจบลงและในที่สุดก็มีการประกาศวันออกฉาย   น้องๆสมาชิกในวงมาบอกกับผมว่า " ฮยองฮะ เราจะไปดูหนังกันนะฮะจะได้ไปดูว่าหนังนั้นยอดเยี่ยมแค่ไหน" ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะฮะแต่จะเห็นได้ชัดเลยว่าในช่วงที่ทำทัวร์สมาชิกในวงพยายามที่อยู่ห่างๆผมเอาไว้เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะมีเรื่องขัดแย้งกับผม พวกเค้าพูดว่าพวกเค้าไม่กล้าที่จะคุยกับผมด้วยซ้ำ เพราะ ผมดูอ่อนไหวและดุดันมากในตอนนั้น 


มันไม่ได้ใช้เวลานานเลยในการที่ท็อปจะกลายเป็น ชเวซึงฮยอนและไม่นานเลยที่ชเวซึงฮยอนจะกลายมาเป็นมยองฮุน ภาพยนตร์เริ่มถ่ายทำในช่วงเดือนมกราคมที่หนาวเหน็บและจบลงในช่วงกลางฤดูร้อนชเวซึงฮยอนสารภาพว่าเค้าใช้เวลายาวนานเกินไปในการหลบซ่อน  ในตอนแรกเค้าวางแผนว่าจะตั้งใจมากขึ้นในภาพยนตร์เรื่องนี้เพราะต้องการให้ผู้ชมนั้นได้เห็นเค้าในด้านที่แตกต่างออกไปจากที่เคยเห็นในฐานะบิกแบง  แต่แม้กระทั่งการถ่ายทำภาพยนตร์จบสิ้นลงไปแล้ว มยองฮุนกลับยังอยู่ในตัวเค้า

หลายเดือนก่อนที่หนังจะประกาศวันออกฉาย ชเวซึงฮยอนไม่สามารถทำงานโปรโมทใดๆได้เลย เค้าเอาแต่นอนบนเตียงและดื่มจนเมาที่บ้านเป็นเวลากว่า 5 เดือน เค้ากล่าวว่าเค้ารู้สึกขอบคุณบริษัทต้นสังกัดมากที่เข้าใจในสถานการณ์ที่เค้ากำลังเผชิญอยู่ เค้ากลัวว่าเค้าอาจจะยิ่งจมดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆในสภาวะที่หดหู่แบบนี้ เค้าจึงพยายามดึงตัวเองออกจากบ้านไปพบปะผู้คนบ้าง และนั่นเป็นจุดที่เค้าเริ่มที่จะรวบรวมตัวตนของตัวเองให้กลับมาเข้าที่เข้าทางอีกครั้ง และ สุดท้าย ในตอนนี้เค้ากลับมายืนใต้แสงสปอต์ไลท์ได้อีกครั้ง 

LH: คนที่มีความลึกซึ้งนี่เค้าจะเต้นทันทีที่เข้ามาถึงในสตูดิโอกันแบบนี้เลยเหรอคะ คุณเต้นไปตั้งสองครั้งหนะนะ?? 
Choi Seung Hyun: จริงๆแล้วผมเป็นคนที่บอบบางมากนะครับ (หัวเราะ) จริงๆแล้วผมเป็นคนที่อ่อนไหวเซนซิทีฟครับ แม้แต่ในตอนที่ยังไม่ได้เป็นคนดัง ตั้งแต่เด็กมาแล้ว ผมยังเป็นเหมือนเดิม เวลานอนผมยังสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกหลายๆครั้ง แต่ผมก็เป็นคนที่ไม่ได้นอนหลับเพลินเหมือนกัน  แม้ว่าวันที่ไม่มีงานในตารางผมก็ยังคงจะตื่น 10 โมงเช้าตลอดครับ 

LH: ฉันมองออกว่าคุณเป็นคนที่ขี้อายจริงๆ
Choi Seung Hyun: ไม่ว่าจะเป็นใน TV หรือในภาพยนตร์ จะมีคนมากมายที่มีออร่าเปล่งประกายออกมามากเลยครับ เราเรียกอารมณ์แบบนี้ว่า สงครามจิตวิทยา และผมไม่ชอบที่จะอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นเลย ผมพยายามที่จะหลีกเลี่ยงมัน พูดตรงๆคือผมไม่อยากจะเอาพลังงานของผมไปเสียเปล่ากับอะไรแบบนั้น ผมจึงพยายามเทพลังงานออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ลงไปต่อหน้ากล้องหรือบนเวที ดังนั้นการถ่ายภาพและการสัมภาษณ์แบบนี้จะทำให้ผมรู้สึกเขินครับ และนั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงเริ่มเต้นทันทีที่ผมมาถึงสตูดิโอ (หัวเราะ)

LH: ในปีนี้คุณจะมีอายุ 27 ปีแล้ว ขนาดผู้ชายธรรมดาในช่วงอายุนี้ เค้าคงต้องเริ่มคิดอะไรที่จริงจังๆในความเป็นจริงแล้วไม๊คะ?? 
Choi Seung Hyun: อืมมม หากเทียบกับก่อนหน้านี้ ผมพยายามที่จะมีความสุขในงานอดิเรกของผมให้มากขึ้นครับ เช่น ผมมีความสุขที่จะได้ไป แกลลอรี่และร้านเฟอร์นิเจอร์ มันช่วยให้ผมตั้งจุดหมายในสิ่งใหม่ๆได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น ผมคิดว่าผมสามารถพูดได้เลยนะว่ามันสร้างแรงบันดาลใจให้กับผม

LH: พวกคุณไม่ได้สนใจไปที่รองเท้าและเสื้อผ้ามากกว่าเหรอคะ?? ฉันจำได้ว่าคุณเคยพูดในการให้สัมภาษณ์ที่ผ่านมาด้วยเหมือนกัน ตอนนี้คุณสนใจพวกเฟอร์นิเจอร์แล้ว เหมือนกับว่าคุณมองมันโดยรวมๆทั้งบ้านเลยรึเปล่า?? ถ้าแบบนั้นคุณมีมุมมองที่กว้างขึ้นในระดับโลกเลยไม๊?? 
Choi Seung Hyun: คือ งี้ครับ งานของผมก็เหมือนกับตัวตลก การเป็นนักร้องหรือนักแสดงนั้นเป็นงานที่คุณต้องโฆษณาตัวเองเอาตัวเองออกขาย มันไม่ได้มีแค่ผมที่ทำแบบนี้คนเดียว และ ผมก็ต้องทำตัวให้กลายเป็นคนอีกคนนึงอยู่เสมอ เมื่อผมนึกถึงโต๊ะหรือเก้าอี้ที่อยู่ในร้าน ชิ้นงานศิลปะเหล่านั้นมันดูแตกต่างไปและมันทำให้ผมเริ่มรู้สึกว่าผมแตกต่างไปด้วย เพราะผมสามารถเห็นว่าดีไซเนอร์ได้เทใจในการดีไซน์ลงไปในชิ้นงานเพื่อที่จะพยายามทำให้ผู้คนต้องการมันและทำให้มันเป็นที่สะดุดตา ผมก็สามารถเป็นสินค้าที่ถูกสร้างออกมาอย่างดีแบบนั้นได้เหมือนกัน 

เวลาที่ผมมีเวลาว่างผมชอบที่จะไปแกลลอรี่หรือดูนิทรรศการด้วยตัวของผมเอง ผมได้เจอผู้คนที่มีความสนใจอย่างมากในเรื่องของการตบแต่งภายในและเฟอร์นิเจอร์บ่อยๆที่นั่น  พวกเค้าต่างก็มีอายุมากกว่าผมมากแต่ผมไม่รู้สึกว่ามีช่องว่างระหว่างวัยใดๆเลยเวลาที่เราพูดคุยกันเรื่องต่างๆ จริงๆแล้วมันสนุกมากทีเดียวครับ 

Englisn Translation by BIGBANGISVIP 
Thai Translation by miss mew 
magazine  by L'official Homme 

=============

ตามอ่าน L'official ตอนอื่นๆได้ตามนี้ 
top-lets-talk-at-home-in-my-room part1.html
top-lets-talk-at-home-in-my-room End.html

วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2556

TOP "Running on empty" จากนิตยสาร W / 11-2013 (end )




มีสัมภาษณ์มากมายเลยที่คุณสัมภาษณ์ร่วมกับสมาชิกในวง บิกแบง แต่พูดตรงๆนะคะคุณไม่ได้ดูเป็นผู้ใหญ่เท่าไรเลยทั้งๆที่คุณเป็นพี่ใหญ่ของวง
TOP:ผมพยายามที่จะสบายๆเวลาที่ผมอยู่กับสมาชิกในวงครับ ผมคิดว่าสมาชิกในวงก็ชอบให้เป็นแบบนี้มากกว่าเพราะพวกเค้ายังเป็นเด็กกันอยู่เลยและบรรยายในการทำงานนั้นเต็มไปด้วยความเครียด เวลาที่เราทำงานมันจะช่วยได้มากเลยถ้ามีใครจะเล่นตลกปล่อยมุกและให้กำลังใจทุกคน ผมคิดว่ามันดีนะครับสำหรับพี่ใหญ่ที่สุดที่จะรับหน้าที่นี้ไป 

บางทีที่คุณทำแบบนั้นออกไปเป็นเพราะพวกคุณสนิทกันก็ได้นะคะ แต่คุณคงไม่ได้ทำแบบนั้นบ่อยๆเวลาที่ถ่ายทำภาพยนตร์ใช่ไม๊คะ??
TOP:ผมมักจะเล่นตลกไปทั่วแหละครับแม้กระทั่งในตอนที่ถ่ายหนังก็ด้วย ผมเต้นต่อหน้ากล้องไปด้วยครับ เราวางแผนว่าจะทำ making film และออกวางขายพร้อมสมุดภาพภาพยนตร์ Alumniครับ

ฉันได้ยินมาว่าบิกแบงก็กำลังจะคัมแบคเร็วๆนี้ใช่ไม๊คะ? 
TOP:จริงๆมันถึงเวลาที่เราจะทำงานเพลงใหม่ของเราแล้วละครับ แต่เรายังคงไม่ได้ทำเลยเพราะเราต่างก็ยุ่งกันมาก ดังนั้น วันที่คัมแบคยังไม่ได้กำหนดหรอกครับ

เร็วๆนี้คุณได้ไปฟีืเจอริ่งกับ Diplo (Major lazer)ในเพลง ‘Bubble Butt’…นี่คะ
TOP:โดยไม่ได้มีหัวข้อหรือออดิโดนำใดๆ พวกเค้าบอกให้ผมทำอะไรก้ได้ที่อยากจะทำออกมา เป็นเพราะผมเป็นชาวเกาหลี ผมมักจะพกเอาความภาคภูมิในความเป็นคนเกาหลีของผมไปในทุกๆที่เวลาที่ต้องออกไปทำงานในต่างประเทศ ชาวต่างชาติมันจะพูดว่าชาวเกาหลีนั้นมีเสียงที่ดูแข็งกระด้าง แต่ผมอยากจะทำให้เห็นว่าการแร๊พในภาษาเกาหลีนั้นสามารถทำให้เซ็กซี่ได้ด้วยการเขียนเนื้อเพลง แต่สารภาพนะครับเพลงนั้นผมทำเสร็จเมื่อ 2 ปีก่อนแล้วละครับ แต่มันพึ่งออกมาให้ได้ฟังกันเท่านั้นเอง

ฉันรู้สึกได้ว่า เวลาที่คุณทำงานแสดงคุณก็ต้องการอยากทำเพลง เวลาที่คุณทำงานเพลงคุณก็อยากจะทำงานการแสดงด้วยแบบนั้นใช่ไม๊คะ? 
TOP:ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆแหละครับ เหตุผลที่ผมไม่สามารถขี้เกียจได้เลยก็เพราะเวลาที่ผมทำงานเพลง ผมก็ต้องการอยากจะแสดงในภาพยนตร์ด้วย และในตอนที่ผมถ่ายทำภาพยนตร์ผมก็ต้องการอยากจะทำงานเพลงอีก ผมคิดว่าพลังงานนี้มันถูกชาร์ตใหม่ในทุกๆครั้ง แต่บางครั้งผมรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองใช้ความแข็งแกร่งตรงนี้ไปในทางที่ผิดยังไงก็ไม่รู้ครับ

งั้นคุณคงต้องรู้สึกอยากขึ้นเวทีให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เลยใช่ไม๊คะ?
TOP:ผมต้องการจะพบแฟนๆของผมผ่านทางงานเพลงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เลยครับ ผมรู้สึกเสียใจขอโทษกับคนที่ยังคงรอคอยและมีศรัทธาในพรสวรรค์ของผมในด้านนี้ ดังนั้นผมต้องการที่จะเตรียมการให้พร้อมและคัมแบค เหมือนกับเป็นการมอบของขวัญให้กับพวกเค้าที่รอคอยอยู่ครับ 

คุณพูดแบบนั้นในเรื่องของการออกเดทด้วยรึเปล่าคะ??
TOP:พวกผู้หญิงไม่ชอบเหรอฮะที่แฟนของพวกเธอจะมอบรองเท้าพร้อมกับแหวนให้กับพวกเธอ แทนที่จะมอบแหวนให้แค่อย่างเดียว??

คุณมีมุมมองความรักเป็นที่น่าปรารถนาจริงๆนะคะ 
TOP:ถ้าผมเป็นผู้ชายประเภทที่แสนดีเสมออยู่แล้ว มันก็คงจะไม่น่าปรารถนาอะไรหรอกครับ แต่ผมอยากจะเป็นผู้ชายประเภทที่บางครั้งก็จะตระเตรียมเหตุการณ์ที่ดูจริงใจให้กับคนรักของผมบ้าง

ก่อนหน้านี้คุณพูดเกี่ยวกับช่วงอายุ 30 ไปแล้ว คุณคิดว่าคุณจะเป็นยังไงในตอนที่คุณมีอายุ 30 คะ??
TOP:มันเร็วๆนี้แล้วนะครับ แค่อีก 3 ปีจากนี้ คุณไม่คิดเหรอว่าผมน่าจะยังเหมือนในตอนนี้นะฮะ?? 

แต่ถ้าคุณคิดว่าถ้าเทียบตอนนี้กับเมื่อ 3 ปีก่อน คุณไม่คิดเหรอคะว่ามีอะไรแตกต่างไปอยู่นะ??
TOP:ตอนนี้เมื่อผมมาคิดๆดูแล้ว ผมคิดว่าผมเคยบอบบางและอ่อนโยนเมื่อ 3 ปีก่อนและผมคิดว่าตอนนี้ผมเริ่มที่จะมีทักษะมากขึ้นและมั่นคงขึ้น แต่สิ่งที่ดูจะเฉียบคมมากไปในตอนนั้นตอนนี้กลับอ่อนลง  และในตอนนี้ผมหยุดที่จะยึดติดในสิ่งเล็กสิ่งน้อยและเข้มแข็งมากขึ้น ดังนั้นผมคิดว่าสิ่งที่ผมได้เรียนรู้คือ การที่จะหาสมดุลต่างๆให้กับตัวเองมากกว่าที่ผมเป็นเมื่อ 3 ปีก่อน 

ผมหวังว่าผมจะกลายเป็นคนที่มีประสบการณ์ในการควบคุมสิ่งต่างๆและแสดงออกแต่ในด้านดีๆของตัวเองและสามารถที่จะสร้างสิ่งใหม่ๆและขัดเกลามันออกมาได้ด้วย ผมคิดว่าผมกล้าหาญขึ้นนะ  



lสมาชิกในวงบิกแบงกำลังทำอะไรกันอยู่บ้างคะ? 
TOP:GD กำลังยุ่งอยู่เสมอกับการทำอะไรหลายสิ่งหลายอย่าง อัลบั้มของแทยังกำลังจะออกมาแล้วนะครับ แดซองงี ก็มีคอนเสริต์หลายรอบเลยที่ญี่ปุ่น และซึงรีก็กลายเป็นพิธีกรในรายการทีวีของญี่ปุ่นไปแล้ว ผมคิดว่าแฟนๆรู้ดีกว่าผมเยอะนะครับว่าสมาชิกในวงกำลังทำอะไรกันอยู่ 
  
อะไรที่คุณกำลังสนใจอยู่อีกบ้างคะในตอนนี้นอกเหนือจากเรื่องงาน
TOP:จริงๆตอนนี้ก็ไม่มีอะไรครับ ผมเคยสะสมพวกของเล่นในเชิงศิลปะ (art toys) แต่ผมรู้สึกว่าผมบรรลุกับมันแล้วครับ คุณแม่ของผมบอกว่าไม่มีที่จะเก็บแล้วและเธอก็เอาพวกมันทั้งหมดใส่ในห้องเก็บของของผมและบอกให้ผมหยุด 

ผมชอบสะสมเฟอร์นิจเจอร์เริ่มมานานแล้วละครับและผมก็ยังสะสมพวกมันต่อไป ผมชอบเก้าอี้สไตล์โมเดริ์นของดีไซเนอร์ยุค60ชาวอิตาเลี่ยนคุณ Antonio Citerrio มาก ผมชอบมันเพราะมันดูกล้าหาญและองอาจแข็งแกร่ง มันให้แรงบันดาลใจกับผม ก็เหมือนกับบิกแบง ครับ มันทำให้ผมนึกถึงความกล้าหาญของบิกแบงในวัยหนุ่ม ลักษณะจำเพาะที่องอาจ และผมพยายามที่จะสร้างแรงบันดาลใจจากมัน

ผมคิดว่าผมพอใจบรรลุกับสไตล์ของ Ettore Sottsass แล้วนะครับผมชอบอะไรที่ดูคลาสลิกมากขึ้นในตอนนี้ เมื่อนานมาแล้ว ผมเคยต้องการที่จะพยายามลองแฟชั่นในหลากหลายสไตล์แต่มันก็จบลงที่ผมจะหยิบมันมาสวมใส่แค่ 2-3 ครั้งเท่านั้น ดังนั้นผมคิดว่ามันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ปกติของคนในวัย 30 นะครับที่จะย้อนกลับไปหาอะไรที่เป็นพื้นฐานสวมใส่อะไรที่เรียบง่าย 

ผมเดาเอาว่าช่วงอายุ 30 คงเข้ามาสู่ตัวผมแล้วละในตอนนี้ และผมคิดว่าผมเป็นคนประเภทที่จะเบื่ออะไรง่าย เวลาที่ผมชอบอะไรบางอย่างผมจะเห็นจุดจบของสิ่งนั้นด้วยเสมอดังนั้นผมจึงเบื่อมันได้ง่ายๆครับ
  
ในภาพยนตร์เรื่อง 71: Into the Fire บทบาทของคุณจะตรงกันข้ามกับบทบาทที่ Kwon Sangwooได้รับเลย แต่มันกลับไปได้ด้วยดีสำหรับคุณสองคน ในการทำงานภาพยนตร์ มันเป็นยังไงบ้างคะในการทำงานร่วมกับนักแสดงคนอื่นๆ? 
TOP: ผมคิดว่าพวกเราต่างก็มีความสัมพันธ์ไปในเชิงบวกด้วยกันทั้งนั้นนะครับ นักแสดงแต่ละคนล้วนมีจำนวนฉากที่จะต้องมาเข้าฉากกับผมในจำนวนที่พอๆกันทุกคน ความน่าสงสารที่ใหญ่ที่สุดในภาพยนตร์จะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างผมกับยูจอง แต่จำนวนฉากที่ผมต้องเข้าฉากเจอกับยูจองนั้นก็จะมีจำนวนพอๆกับฉากที่ผมต้องเจอกับรุ่นพี่ เชมูน ดังนั้นมันเลยไม่ดูเยอะไปหรือน้อยไปแต่กลายเป็นเอกลักษณ์ 

แต่มันยากที่จะแสดงบทบาทนี้ออกมาเพราะตัวบทต้องทำมันออกมาให้กลมกลืนกับนักแสดงคนอื่นทั้งหมดด้วย เวลาที่ผมเข้าฉากกับนักแสดงที่ต่างกันออกไป ด้านใหม่ๆที่แตกต่างของตัวละครนี้ก็จะปรากฏออกมาด้วย ผมรู้สึกว่ามันจะออกมาดีมากเป็นพิเศษในฉากที่ผมเข้าฉากกับ คุณ Han Yeri นะฮะ

คุณเคยพูดว่าคุณจะกลับไปสู่พื้นฐานและอยู่กับแฟชั่นในแบบคลาสลิก นี่หมายความว่าคุณจะหยุดลองทำสีผมสีเด่นๆไปเลยหรือเปล่าคะ?? 
TOP:ผมอยากจะจัดการเสื้อผ้าและสไตล์ของผมให้อยู่ในแบบคลาสลิกครับแต่ผมก็ไม่ขอที่จะไปไกลเกินกว่าสีหลักๆพื้นฐานเหมือนกันในเรื่องของสีผม ผมอยากให้ตัวเองดูเป็นคนหนุ่มที่สุขุมในขณะที่สวมใส่เสื้อผ้าและมีสไตล์ที่คลาสลิก แทนที่จะดูเป็นพวกเรียบร้อยเนี๊ยบไปทุกกระเบียดนิ้ว ผมคิดว่าผมกลายเป็นไม่ค่อยชอบแฟชั่นในแบบ หัวก้าวหน้ามากเท่าไหร่แล้ว

(mew's note: แฟชั่นในแบบ หัวก้าวหน้า (avant-garde) จะเป็นแฟชั่นแนวใหม่ๆที่มักจะลองอะไรนอกกรอบ แปลกใหม่ทำในสิ่งที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อนค่ะ)

ดีไซเนอร์คนโปรดมีใครบ้างคะ?? 
TOP:ผมชอบ Tomford ครับ ผมรัก Saint Laurent เหมือนกันแต่ผมไม่คิดว่ามันจะเหมาะกับรูปร่างในแบบผม ผมคิดว่า Hedi Slimane นั้นเก่งเหมือนกันครับ แต่ผมรักงานของ Yves Saing Laurent ด้วย ในตอนที่ผมกลายเป็นคุณปู่ในอนาคตผมอยากจะกลายเป็นคนอย่าง Laurent ผมอยากจะรับบทบาทพิเศษจำเพาะในเรื่องวัฒนธรรมในสังคม ผมอยากจะเป็นคนที่อยู่ในความทรงจำของผู้คนครับ

คุณได้ดูสารคดีเรื่อง L’amour fou ที่บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของ Yves Saint Laurent รึยังคะ?
TOP:มันเป็นภาพยนตร์ที่ผมรักมากจริงๆครับ ภาพยนตร์นั้นน่าประทับใจและนิสัยใจคอของเค้านั้นคล้ายกับผมมากทีเดียวครับ 

Yves Saint Laurent มีคู่หูชื่อ Pierre Berge คุณมี??
TOP:ผมก็มีชาร์ลีครับ

ชาร์ลีเหรอคะ?
TOP:เค้าเป็นสุนัขพันธ์ cocker spaniel ของผมเองฮะ 
ในตอนที่ผมตายไป เจ้าชาร์ลีคงเอาเฟอร์นิเจอร์ที่ผมสะสมไว้ ออกประมูล

==============

 Englisn Translation by BIGBANGISVIP
Thai Translation by miss mew 
magazine scan by ShrimpLYJ

============ 

สามารถตามอ่าน ตอนอื่นๆ ได้ตามนี้ค่ะ 
top-running-on-empty-w-11-2013-part-1.html 
top-running-on-empty-w-11-2013-part-2.html 
top-running-on-empty-w-11-2013-end.html 



TOP "Running on empty" จากนิตยสาร W / 11-2013 (part 2 )


ฉันคิดว่านักร้องทุกคนที่ขึ้นแสดงต่างก็มีด้านนั้นนะคะที่ว่าเหนื่อยแต่ก็มีความสุขที่ได้ทำ แต่ดูเหมือนคุณกำลังสวมบทบาทตัวละครที่ชื่อ TOP ออกมาเวลาแสดงบนเวทีใช่ไม๊คะ? มันไม่ยากหรอกเหรอคะที่จะแสดงเป็นท็อปแทนที่จะแสดงออกตัวตนของคุณในแบบตามธรมชาติออกมา?? 
TOP:ผมพยายามที่จะทำแบบนั้นเองแหละครับ ผมคิดว่าเราควรจะทำแบบนั้น ผมคิดว่าผู้คนจะเกิดอาการเบื่อหน่ายผมเอาง่ายๆหากผมแสดงออกตัวตนที่แท้จริงของตัวเองออกไปมากจนเกินไป ดงนั้นผมมักจะคิดถึงการเปลี่ยนแปลงและผมก็จะพยายามที่จะแสดงออกถึงท็อปที่ดีขึ้นเสมอๆ ออกมา ทำแบบนี้มันเหมือนกับเป็นกลเม็ดเคล็ดลับนะครับ


ในตอนที่ดารานักแสดงยากที่จะเข้าถึงผู้คนผ่านทางสื่อต่างๆ ผู้คนก็ชื่นชอบดาราในแบบคลาสลิกที่เป็นแบบนั้นคือยากต่อการเข้าถึง แต่ตอนนี้คุณไม่คิดเหรอคะว่าผู้คนน่าจะชอบดาราที่ดูเป็นมิตรมากขึ้น??
TOP:ผมคิดในทางตรงกันข้ามนะครับ ผมคิดว่าความชื่นชอบในแบบสมัยก่อนกำลังจะกลับมาฮิตใหม่ โดยเฉพาะเนื่องจากประเทศเราเป็นประเทศเล็กๆ ผู้คนจะเริ่มเบื่อดาราหรือคนดังที่เปิดเผยตัวตนออกมามากจนเกินไป การที่เป็นคนดังก็เหมือนกับการมีแฟนแหละครับ คุณจะไม่เบื่อหรอกเหรอฮะถ้าจะต้องเจอใครคนนึงบ่อยๆหรือยาวนานเกินไป?? ดังนั้นผมจึงพยายามที่จะแอบซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้และแสดงมันออกมาในตอนที่ผมจะต้องแสดงออก แทนที่จะแสดงออกถึงอะไรบางอย่างที่ดูไม่สมบูรณ์และน่ากระอักกระอ่วนใจ ผมพยายามที่จะแสดงออกถึงสิ่งที่แปลกใหม่และสมบูรณ์แบบ มากกว่า 

คุณต้องเข้มงวดกับตัวเองมากเลยนะคะ?
TOP:ผมคิดว่าวิธีที่คนดังเราทำงานก็เหมือนกับวิธีการที่พวกเราใช้กับความรักแหละครับ แม้ในตอนที่ผมออกเดทผมก็มักจะรักษาระยะห่างเอาไว้ในจุดนึงเสมอ ผมจะพูดจาสุภาพเรียบร้อยตลอดเวลาและผมจะไม่นัดเจอกันบ่อยๆ

ผู้ชายแบบนี้นี่มักจะทำให้ผู้หญิงเจ็บปวดนะคะ 
TOP:ผมก็เป็นเรื่องยากสำหรับทางผมเหมือนกันนะครับ (หัวเราะ) ผมก็จะคิดถึงเธอด้วยเหมือนกัน

แต่คุณก็ยังคิดว่ามันน่าดีกับสัมพันธภาพที่มี ที่จะห่างๆกันเอาไว้ ??
TOP:ผมกลัวว่าคนรักจะเบื่อผมครับ

แล้วความสัมพันธ์จะคงอยู่ยืดยาวกว่าหากคุณรักษาระยะห่างเอาไว้หนะเหรอคะ? 
TOP:ผมก็ไม่ได้มีประสบการณ์มากขนาดนั้น ดังนั้นผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่การรักษาระยะห่างนี้มันจะช่วยกันคุณจากการทะเลาะกัน หากคุณใกล้ชิดกันมากเกินไป คุณจะทะเลาะกันมากขึ้น มันเหมือนกับว่าคุณอาจจะพูดสิ่งที่คุณไม่ได้ตั้งใจจะพูดออกไปก็ได้เวลาที่คุณพูดมากเกินไป

คุณมีเสียงที่เป็นเอกลักษณ์นะคะไม่ว่าเวลาที่แสดงหนังหรือเวลาที่แร๊พ ฉันคิดว่าโทนเสียงของคุณเหมาะกับการแสดงนะ
TOP: ผมได้ยินคนมากมายพูดแบบนั้นเหมือนกันครับ แต่ผมไม่เคยคิดจริงๆว่ามันจะเป็นข้อได้เปรียบ จริงๆแล้วโทนเสียงแบบนี้มันไม่ได้ช่วยอะไรเลยในการแสดง มันมีความเป็นเบสมากเกินไปและเสียงที่ออกมาก็จะเป็นโทนต่ำเสมอดังนั้นการออกเสียงออกมามันจะไม่ชัดเจนเท่ากับโทนเสียงแบบคนทั่วๆไป 

ผู้คนมักจะบอกผมว่าผมมีโทนเสียงที่ดีต่อการเป็นแร๊พเปอร์แต่จริงๆแล้วมันยากมากเลยในการที่จะส่งผ่านเนื้อเพลงออกมาได้ แต่สิ่งที่จะทำให้โทนเสียงแบบนี้ฟังแล้วเพราะก็คือ "ทักษะ"  

มันทั้งมีข้อดีและเป็นการเสี่ยงอยู่แต่การที่ผมจะใช้เสียงแบบนี้ออกมายังไงนั้นเป็นสิ่งที่ผมต้องคิดหาทางครับ หากผมแสดงในหนังแบบการ์ตูนและพูดบทแปลกๆออกมา มันก็จะฟังดูตลก  หากผมแสดงในหนังซีเรียสและทำเสียงซีเรียสมันก็จะออกมาจริงจังมากไปได้เหมือนกัน ซึ่งเหนือสิ่งอื่นใดเลยมันขึ้นอยู่กับผมที่จะตัดสินใจใช้พรสวรรค์ที่ได้มานี่อย่างไร มันอาจจะเสี่ยงแต่ผมก็จะพยายามอย่างหนักหาดูว่าจะใช้มันยังไงดี 

งั้นฉันเดาเอาว่าในตอนนี้คุณอยู่ในระหว่างการเรียนรู้ว่าจะใช้เสียงคุณยังไงในการแสดงใช่ไม๊คะ? 
TOP:ผมกำลังพยายามอยู่ครับ เพราะผมเป็นนักดนตรี หูของผมจึงจะอ่อนไหวและตรวจจับทุกสิ่งที่ผมพูดออกมา

อะไรคือสิ่งที่ยากที่สุดในการทำภาพยนตร์เรื่องนี้คะ?? 
TOP:สิ่งที่ยากที่สุดคือการทำฉากแอคชั่นครับ ร่างกายของผมไม่ได้พริ้วขนาดนั้นและเพราะเวลาที่ผมเต้นบนเวที ผมจะขยับตัวไปกับจังหวะไปกับทำนองเพลง ดังนั้นมันจึงยากที่จะโยนเอาความเคยชินนั้นทิ้งไป แต่ผมก็พยายามอย่างหนักที่จะทำออกมาให้ดีที่สุดในหนังแอดชั่นของผมเรื่องนี้ครับ 

คุณพูดว่าคุณจะรับบทเป็นเด็กวัยรุ่นไปตลอดเท่าที่จะทำได้ นี่เป็นเพราะคุณไม่ได้ใช้เวลาในโรงเรียนแบบเด็กปกติรึเปล่าคะ??เพราะในตอนที่คุณเป็นวัยรุ่นคุณก็มาเป็นศิลปินฝึกหัดแล้ว??
TOP:ไม่ใช่หรอกครับ พูดตรงๆผมมาเป็นศิลปินฝึกหัดแค่ 1 ปีเท่านั้น ผมมาอยู่ที่ YG เพียงปีเดียวก่อนที่บิกแบงจะมีการเดบิวและผมก็เป็นแร๊พเปอร์ใต้ดินมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ผมเหมือนกับพี่ชายที่จียงและแทยังจะมาคุยเรื่องดนตรีด้วย ผมไม่ได้หลงใหลกับบทเด็กวัยรุ่นเพราะตัวเองไม่ได้ใช้เวลาสนุกในโรงเรียนแบบวัยรุ่นทั่วไป

แร๊พเปอร์มักจะใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งอยู่คนเดียว คิดและเขียนเนื้อเพลงแร๊พ จากนั้นเป็นต้นมาผมมักจะมีความรู้สึกไม่มั่นคงปลอดภัยและอ่อนไหว อีโก้ในตัวของผมนั้นมันมีมากและมันยากที่ผมจะรับมือกับมันด้วยตัวเอง และแบบนี้แหละครับที่ผมมักจะถูกดึงดูดด้วยบทบาทของเด็กชายที่มักจะมีความไม่มั่นคงปลอดภัยในอารมณ์แบบนั้นเหมือนกัน เวลาที่มีคนที่รู้จักพลังของอารมณ์ที่ไม่มั่นคงนั้นเข้าใจในความรู้สึกนั้นได้มารับบทบาทแบบนี้ มันจะสามารถที่จะส่งผ่านความตึงเครียดไปสู่คนดูได้มีประสิทธิภาพมากกว่านะครับ   

คุณพูดว่าอยากจะรับบทเด็กในวัย 20 ในตอนที่คุณอยู่ในวัย 30 ใช่ไม๊คะ?? 
TOP:จริงๆนั่นเป็นมุกตลกนะครับ (หัวเราะ) ตอนนี้ผมอยากจะถูกจับแต่งตัวและแสดงเป็นคุณปู่นะครับถ้าผมสามารถจะทำได้ แต่ทำไม่ได้ผมเลยไม่ได้ทำนะครับ 

มันจะสำคัญกว่าไม๊คะที่จะมองไปถึงบทบาทที่ได้รับว่ามีอะไรที่เหมือนกับเราไม๊?? มากกว่าที่จะมองที่อายุ??
TOP:ผมคิดว่ามันสำคัญมากที่คุณจะต้องรู้ว่าตัวคุณจะเป็นผู้นำเนื้อเรื่องไปยังไง ซึ่งถ้าคุณถามว่า ผมจะนำเนื้อเรื่องไปยังไง ผมขอตอบว่าผมจะไปในทางที่อารมณ์ของผมพาไป



ฉันดูออกว่าคุณฟังเพลงมาตั้งแต่ยังเด็กมาก แล้วภาพยนตร์ละคะ?? คุณมีนักแสดงคนโปรดบ้างรึเปล่า??
TOP:ผมรู้สึกเขินเวลาที่จะต้องพูดถึงนักแสดงนะครับ ผมชอบหนังดังของดาราคนดัง อย่างการแสดงของ Robert De niro โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องTaxi Driver ทุกครั้งที่ผมดูหนังของเค้าในแต่ละทีผมจะสามารถตีความอะไรออกมาแตกต่างกันไปเสมอ ในตอนที่ผมยังเป็นเด็กกว่านี้ผมชอบการแสดงของ Al Pacino แต่ยิ่งผมดูมากเท่าไหร่ผมก็ยิ่งชอบรายละเอียดเล็กๆน้อยๆในการแสดงของเดอนีโรครับ ผมรักที่การแสดงของเค้ามีเอกลักษณ์และเร้าอารมณ์ แม้กระทั่งการที่เค้าโบกมือแทนที่จะแสดงออกอารมณ์บรรยายออกมาตรงๆ 

แล้วภาพยนตร์เรื่องโปรดละคะ??
TOP:ผมไม่ได้สนใจเกี่ยวกับประเภทของหนังเลยครับ แต่ผมชอบหนังที่เกี่ยวกับ อัตลักษณ์ อย่างเรื่อง Gattaca และ A.I. ในตอนที่ผมเห็นบทภาพยนตร์เรื่อง Alumni เป็นครั้งแรก ผมคิดว่ามันมีความเหมือนกับเรื่อง A.I. ดังนั้นผมจึงอยากที่จะทำงานในภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมยังจำสายตาเยือกเย็นของหุ่นยนต์ตัวหลักในเรื่องได้ แบบนั้นแหละครับ ผมชอบสไตล์การแสดงที่ดูเหมือนไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆออกมาเลยแต่จริงๆแล้วมันเต็มไปด้วยอารมณ์  ผมคิดว่าผมอาจจะสามารถสร้างความประทับใจให้กับตัวละครในเรื่องAlumniนี้ได้หากผมพยายามที่จะดึงรายละเอียดในตรงนี้ออกมา มันเป็นบทบาทที่ยากเพราะถ้าผมแสดงออกมามากจนเกินไป มันก็จะกลายเป็นมากเกินไปครับ 

การที่ฉันได้ยินคุณพูดมา คุณไม่ชอบอะไรที่เห็นชัดเจน มากจนเกินไป และดูเยอะใช่ไม๊คะ? 
TOP:นั่นเป็นเพราะผมคนเก่าเป็นแบบนั้นครับ เหมือนกับตัวผมบนเวทีในช่วงแรกๆของบิกแบงหลายๆงาน ในตอนนี้พอผมมองย้อนไป ผมเห็นนักร้องที่ยังไม่ผ่านการขัดเกลาชื่อท็อป ผมสามารถเห็นตัวเองที่พยายามอย่างหนักที่จะดูเท่ ผมไม่รู้ว่าคนอื่นจะสามารถมองเห็นอะไรแบบนี้รึเปล่า?? แต่ผมพยายามอย่างหนักมากเกินไปจริงๆในตอนนั้น

คุณมีทัศนคติที่แตกต่างออกไปบ้างไม๊คะในตอนนี้??
TOP:ผมพยายามที่จะค่อยๆควบคุมสิ่งต่างๆค่อยๆขัดเกลามันไปทีละน้อย ผมคิดว่าการกระทำแบบนี้เรียกว่า "ทักษะ" นะครับ แทนที่จะแสดงออกถึงความสามารถที่คุณมีออกมาทีเดียวเลย การค่อยๆตัดมันและแสดงพวกมันออกมาให้ดีเยี่ยมแบบนั้นแหละที่ เราเรียกว่าทักษะ ทุกคนสามารถที่จะทำอะไรได้สารพัดสิ่งแต่เมื่อคุณเริ่มที่จะทำอะไรจนมากเกินไป มันก็จะไม่มีจุดจบ ผมได้เรียนรู้และพยายามอย่างมากที่จะไม่เป็นแบบนั้นครับ 

นี่เป็นบางอย่างที่คุณได้เรียนรู้หลังจากที่มีประสบการณ์ในการลองผิดลองถูกมาแล้วมากมาย คุณคิดไม๊คะว่าสามารถที่จะเอาแนวคิดแบบนี้มาใช้ในการแสดงด้วยเหมือนกัน?? 
TOP:บางครั้งในภาพยนตร์คุณจะสามารถเห็นทักษะที่นักแสดงชั้นยอดเลือกใช้ในการแสดงได้นะครับ ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด บางทีใบหน้าของพวกเค้าจะไม่แสดงความรู้สึกใดๆออกมาเลย แต่พวกเค้าสามารถที่จะทำให้คนดูรู้สึกได้ถึงความตึงเครียดที่เกิดขึ้น แบบนั้นแหละครับ ผมอยากจะเป็นคนที่สามารถควบคุมและเล่นกับสถานการณ์แบบนั้นได้ 

ผมไม่ต้องการให้ตัวเองต้องออกจากจอไปอยู่ต่อหน้าผู้ชม แต่ผมต้องการจะดึงผู้ชมเข้ามาในจอ เพราะพวกเค้าเกิดความอยากรู้อยากเห็นว่า ผมคิดอะไรอยู่?? ผมอยากจะทำให้คนดูอินไปด้วยแม้กระทั่งกับการกระทำธรรมดาๆสามัญ ในแง่มุมนั้น มันเหมือนกับว่าผมจะร้องไห้จะกรีดร้องออกมาอยู่แล้วแต่ผมไม่ได้ทำ ผมพยายามควบคุมมันไว้ แบบนั้นแหละครับ 

ดังนั้นในตอนนี้นักแสดงคนโปรดของผมคือ  Ryan Goslingเค้าไม่ได้มีบทพูดมากมายเลยในภาพยนตร์เรื่อง  Drive แต่การแสดงที่เต็มไปด้วยการควบคุมของเค้านั้น ทรงพลังมาก 

คุณได้ดูภาพยนตร์เรื่องใหม่ของRyan Gosling เรื่อง Place beyond the pinesรึยังคะ?
TOP:ผมจะเก็บมันไว้ดูหลังจากนี้ครับ ผมอยากจะดูเรื่อง Only God Forgives ก่อนเพราะว่าเป็นงานของผู้กำกับคนเดียวกันกับเรื่อง Drive แต่บท Lee Myunghoon ในเรื่อง Alumni นั้นมีความคล้ายคลึงกับบทนำในเรื่อง  Drive เหมือนกันนะครับ เพราะตัวนำในภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องนั้นไม่ได้พูดอะไรมากนักแต่ทั้งคู่ต่างก็แสดงออกถึงการควบคุมอารมณ์เอาไว้เป็นอย่างดี 

หลังจากถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้จบลง ผมตัดสินใจว่าผมจะไม่แสดงภาพยนตร์ที่ต้องการการควบคุมอารมณ์แบบนี้อีกแล้ว ผมพบว่ามันยากที่จะแสดงอะไรแบบนั้นออกมา ในตอนที่ดูเหมือนว่าบทละครตัวนี้ควรจะพูดออกมาเค้ากลับปิดปากเงียบ และเวลาที่ดูเหมือนว่าเค้าไม่ควรจะพูด เค้ากลับพูดออกมา 

อ้าว คุณพึ่งพูดว่าคุณเลือกภาพยนตร์เรื่องนี้เพราะเหตุผลนี้ไม่ใช่เหรอคะ? 
TOP:ฮะ เพราะผมมีรสนิยมที่แปลกประหลาด (หัวเราะ)

คุณไม่คิดเหรอคะว่าุคุณก็จะยังรับแสดงในภาพยนตร์ที่่คล้ายๆกันอีกแบบนี้ จากนี้ไป?? 
TOP:ไม่ครับ ผมคิดว่าคงจะทำอะไรบางอย่างที่น่าสนใจกว่านี้สำหรับผม แม้ว่ามันจะยากขึ้นก็ตาม

ดูเหมือนว่าคุณจะเป็นพวกไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองสบายเลยนะคะ?
TOP:สบายๆผ่อนคลายมันไม่ใช่เรื่องสนุกสำหรับผมครับ ผมชอบอะไรที่ยากและเจ็บปวด

ฟังดูโรคจิตนะคะเนี่ย ฉันล้อเล่นนะ
TOP:ผมเดาว่าผมน่าจะมีส่วนที่บิดเบี้ยวในตัวนะครับ เพราะไม่งั้นทำไมผมถึงได้ทำงานอะไรแบบนั้นออกมาได้ละจริงไม๊ฮะ?? แต่ความชอบทางเพศของผมไม่ได้เป็นแบบนั้นเลยนะครับ (หัวเราะ)

===================

Englisn Translation by BIGBANGISVIP
Thai Translation by miss mew 
magazine scan by ShrimpLYJ

สามารถตามอ่าน ตอนอื่นๆได้ตามนี้ค่ะ 
top-running-on-empty-w-11-2013-part-1.html 
top-running-on-empty-w-11-2013-part-2.html 
top-running-on-empty-w-11-2013-end.html

TOP "Running on empty" จากนิตยสาร W / 11-2013 (part 1 )


ได้ยินมาว่าคุณพึ่งกลับมาจากงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติปูซานเมื่อวานนี้ใช่ไม๊คะมีประสบการณ์ไหนที่สร้างความประทับใจให้กับคุณบ้าง? 
TOP: เป็นครั้งที่2 ครับที่ผมได้ไปร่วมงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติที่ปูซานหลังจากที่เคยไปร่วมงานเพื่อภาพยนตร์เรื่อง 71:Into the Fire มาแล้ว ผมเป็นคนขี้อายครับดังนั้นผมไม่ได้ไปเข้าสังคมสังสรรค์ในที่ที่มีคนมากๆ แทนที่จะทำยังงั้น ผมดื่มไวน์ที่โรงแรมและไปที่ร้านเหล้ารถเข็น ที่นั่นผมพบกับเพื่อนสนิทของผม ลีฮยอกซู ครับ

ผมชอบปูซานเพราะมันมีชายหาดที่นั่น ผมเดาเอาว่าเพราะบรรยากาศที่สถานที่ปล่อยออกมา ผมคิดว่าพลังงานนั้นได้ส่งผ่านมาถึงผมด้วยเหมือนกัน มันมีผลกระทบต่อผมมากจริงๆและผมพึ่งเริ่มที่จะโปรโมทภาพยนตร์ของผม Alumni ด้วยนอกจากนี้ยังจะได้เห็นปฎิกริยาของผู้คนอีกดังนั้นผมจึงรู้สึกดีมากครับ

มันใช้เวลาหลายเดือนอยู่นะคะกว่าหนังจะถูกปล่อยออกมาหลังจากที่ถ่ายทำเสร็จสิ้นกันไป ดังนั้นนักแสดงบางคนเคยพูดเอาไว้ว่ามันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าพวกเค้าได้กลับมาพบกับภาพยนตร์ที่เค้าทำอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้เจอมานาน
TOP:เป็นช่วงสิ้นเดือนมกราคมครับตอนที่การถ่ายทำจบลง มันก็นานพอสมควรตั้งแต่การถ่ายทำเสร็จสิ้นแต่เรื่องราวในภาพยนตร์ทั้งเรื่องยังคงอยู่ในหัวของผม ผมไม่ได้รู้สึกเหมือนกับว่าผมกลับมาพบมันอีกครั้งหลังจากที่ลืมไปแล้วหรอกครับ จริงๆมันใช้เวลาระยะหนึ่งเลยสำหรับผมในการที่จะออกจากบทบาทที่ได้รับ และผลระยะยาวมันอยู่ในตัวผมเป็นเวลายาวนานเหมือนกับแผลในใจ มันเป็นบทบาทที่ผมต้องสวมบทบาทมาเกือบจะหนึ่งปีเต็มๆ ดังนั้นผมจะรู้สึกว่าผมได้กลับมาตรวจสอบเช็คดูมากกว่าว่ามีอะไรตรงไหนที่ผมพลาดไปรึเปล่าในตอนที่ผมได้ดูภาพยนตร์ 

แล้วเป็นยังไงบ้างคะหลังจากที่ได้ดูภาพยนตร์ที่ผ่านการตัดต่อแก้ไขมาแล้วบนจอภาพ?
มันเคร่งเครียดและควบคุมอารมณ์มาก มันไม่ใช่หนังที่ดูเล่นๆเลย ดังนั้นผมชอบมันครับ

ฉันได้ดูตัวอย่างหนังแล้วและในนั้นไม่มีฉากไหนเลยที่คุณจะสามารถผ่อนคลายและหัวเราะได้ 
TOP:คุณจะได้เห็นในตอนทีุ่คุณดูภาพยนตร์ครับแต่มันไม่ใช่ตลกในสถานการณ์ที่ปกตินะครับแต่มันจะมีฉากให้ตลกกันในที่ที่ไม่คาดคิดมาก่อนและมันจะทำให้คุณหัวเราะ
  
คุณคงจะพิจารณาไตร่ตรองอย่างมากเลยในการที่จะเลือกบทภาพยนตร์เรื่องที่2ที่คุณจะแสดง มีเหตุผลอะไรที่คุณเลือกภาพยนตร์เรื่อง Alumni นี้คะ ??
TOP:ผมเป็นนักดนตรีครับและผมไม่ได้ตั้งใจจะเบนเข็มไปเป็นนักแสดงดังนั้นมันไม่ใช่จุดมุ่งหมายที่ผมตั้งเอาไว้ในการที่จะแสดงภาพยนตร์หลายๆเรื่อง ดังนั้นผมได้รอคอยภาพยนตร์ที่จะทำให้ผมสามารถอุทิศความอ่อนเยาว์ของผมในวัย 27 และอารมณ์ความรู้สึกของผมในการที่จะสามารถบรรยายเล่าเรื่องราวที่จริงจังออกมาได้ และผมยังสามารถที่จะสื่อความคิดเห็นของตัวเองสื่อลงไปได้อีกด้วย ดังนั้นนี่แหละเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงรอถึง 3 ปีกว่าที่จะลงมือแสดงในภาพยนตร์เรื่องที่ 2 หลังจากที่ได้อ่านบทAlumni แล้ว ผมรู้สึกมั่นใจว่าผมจะสามารถที่จะทำมันออกมาได้ดีแน่ๆ ดังนั้นผมจึงเลือกเรื่องนี้ครับ

อะไรที่ทำให้คุณรู้สึกมั่นใจว่าตัวเองจะทำออกมาได้ดีคะ??
TOP:เพราะลักษณะจำเพาะที่มีของบท และลักษณะจำเพาะของตัวภาพยนตร์ครับ มันน่าสนใจเพราะมันไม่ใช่บทบาทที่ดูเป็นบทละครจนเห็นได้ชัดจนเกินไป ครั้งแรกที่ผมได้รับบทมา แทนที่จะมีแนวทางกำกับอย่างระเอียดมันมีเพียงแนวทางคร่าวๆเท่านั้น หากว่าผมต้องแสดงไปตามสิ่งที่ได้วางแผนเอาไว้แล้วในบทละก็ ผมคิดว่าผมก็คงจะไม่สนใจมันขนาดนี้

แนวทางการกำกับของผู้กำกับ Park Heung Soo ก็เป็นไปในแนวทางนั้นไม๊คะ??
TOP:เค้าเป็นประเภทที่ปล่อยให้ผมตัดสินใจในหลายๆเรื่องครับ บางครั้งผมจะถามเค้าว่าสิ่งที่ผมกำลังโฟกัสอยู่นี้มันดูน่าเบื่อจนเห็นได้ชัดเกินไปรึเปล่า?? ผมพยายามที่จะทำให้ในทุกๆฉากนั้นมีความเฉียบคมและผมต้องการที่จะแสดงออกแม้กระทั่งในสิ่งที่เป็นเรื่องธรรมดาให้ออกมามีอารมณ์ที่แตกต่าง

ทำแบบนั้นมันจะไม่ประสาทเสียเหรอคะเพราะคุณเป็นนักแสดงหน้าใหม่ที่ไม่ได้มีประสบการณ์ด้านการแสดงมามาก มันน่าจะง่ายต่อคุณมากกว่านะคะที่จะทำตามแนวทางที่คุณได้รับหรือทำงานตามสิ่งที่ผู้กำกับแนะนำแนวทางมาให้อย่างเคร่งครัด?? 
TOP:ผมไม่ใช่คนที่ชอบเดินทางตามแนวทางที่ถูกวาดเอาไว้แล้วนะครับ แม้แต่ในเรื่องของการทำเพลง ผมคิดว่ามันจะออกมาเป็นธรรมชาติมากกว่าถ้าผมจะทำไปตามสิ่งที่ร่างกายผมอยากจะให้เป็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแสดงหรืองานเพลง ผมไม่คิดว่าการที่จะมองหาคำตอบเฉพาะตายตัวเหมือนกับเปิดหาในหนังสือเรียนนั้นจะเป็นเรื่องน่าสนุก


ฉันคิดว่ามีความเหมือนกันอยู่นะคะในบทบาทเรื่อง 71: Into the Fire และเรื่อง Alumni นี้ พวกเค้าต่างก็เป็นเด็กผู้ชายและพวกเค้าต่างก็เสียสละตัวเองเพื่อประเทศและเพื่อครอบครัว 
TOP:ข้อเหมือนข้อเดียวคือพวกเค้าต่างเป็นเด็กผู้ชายอยู่เลย และนั่นเป็นเพราะผมรู้สึกหลงใหลในบทของคนหนุ่มครับ (หัวเราะ)

ทำไมคะ?
TOP:ผมต้องการที่จะรับบทเป็นเด็กวัยรุ่นไปจนกว่าผมจะทำไม่ได้ และในตอนที่ผมอายุ 30 ผมก็จะรับบทเป็นเด็กในช่วงอายุ 20 แทน (หัวเราะ) 

นั่นไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่นักแสดงแสดงออกมาเหรอคะ?? คุณ Han Yeri ที่ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องเดียวกับคุณ ตอนนี้อายุ 30 แล้วเธอก็ยังสามารถรับบทเป็นเด็กมัธยมออกมาได้ยอดเยี่ยมเช่นกันนะ
TOP: Yeri นูน่านั้นมีใบหน้าที่อ่อนเยาว์เหมือนเด็กครับ ผมคิดว่าผมยังคงมีหัวใจแบบ PeterPan อยู่ ผมคิดว่าผมชอบภาพยนตร์ที่แสดงออกถึงด้านที่บริสุทธิ์ของวัยรุ่นแทนที่จะรับบทผู้ใหญ่  หากจะให้เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างบทสองบท ในภาพยนตร์เรื่อง 71: Into the Fire ผมเป็นคนที่หนักแน่นผู้ที่เชื่อมั่นศรัทธาในความหวัง แต่ในเรื่อง Alumni Lee Myunghoon กำลังใช้ชีวิตในแบบที่แตกต่างกันสองด้าน ในตอนเช้าเค้าปลอมตัวเป็นเด็กนักเรียน แต่ในตอนกลางคืนเค้ากลับเป็นนักฆ่าผู้เลือดเย็น 

โชคชะตาที่มีสองด้านของตัวละครนี้สร้างความสนใจให้กับผม หากผมแสดงออกมามากจนไป ภาพยนตร์เรื่องนี้จะออกมาดูเป็นนิยายจนเกินไป ดังนั้นผมพยายามที่จะแสดงออกบรรยายอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครออกมาในแบบที่เรียบง่ายแต่มีความหมายลึกซึ้ง การแสดงแบบนี้มันยากครับแต่มันก็สนุกด้วย

ฉันลองมองดูเค้าโครงร่างแล้ว มันทำให้ฉันนึกถึงบทบาทในหนังบางเรื่องขึ้นมาอย่าง บทของ  Won Bin ในเรื่อง The Man from Nowhereและบทของ Kang Dongwon ในเรื่อง Secret Reunionนะคะ
TOP:บทบาทเหล่านั้นแตกต่างไปจากบทของผมอย่างสิ้นเชิงนะครับ แต่หัวเรื่องและประเภทของภาพยนตร์นั้นอาจจะมีความเหมือนกันอยู่บ้าง หากพูดถึงเรื่องของชายหนุ่มที่ถูกส่งมาจากเกาหลีเหนือมันก็จะไปเหมือนเรื่อง Secret Reunion หากมองในเรื่องของความพยายามที่จะช่วยเหลือเด็กผู้หญิงคนนึง มันก็จะไปเหมือนเรื่อง The man from nowhere แต่หากถ้าคุณมองมันในลักษณะนี้ คุณก็จะหาสิ่งที่มันเชื่อมถึงกันได้ไม่รู้จบหรอกครับ ถึงขนาดที่ว่าคุณสามารถจะพูดได้ด้วยว่ามันไปเหมือนกับภาพยนตร์เรื่อง Taken ด้วยอีก 

ในเรื่องของความเหมือน ไม่ว่าจะเป็นการจัดฉากหรือประเภทของหนัง มันขึ้นอยู่กับว่าผู้ชมจะประเมินตีค่าความเปลี่ยนแปลงของบทที่มันเปลี่ยนไปยังไงและวิธีการที่ผู้กำกับสร้างเรื่องราวขึ้นมามากกว่า ผมพยายามที่จะเปลี่ยนลักษณะจำเพาะของบทบาทที่ได้รับมานิดหน่อยและผมต้องการที่จะแสดงออกบทบาทนี้ในแบบที่ไม่เป็นเกาหลีใต้มากจนเกินไป ผมเลือกเสื้อผ้าและให้ความสำคัญแม้กระทั่งในรายละเอียดที่เล็กที่สุดครับ 

ในตอนที่ฉันดูตัวอย่างภาพยนตร์ คุณดูเหมือนดาราหนังฮ่องกงเลย ดูเป็นคนหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาแต่ดูอ่อนไหวไม่มั่นคงและดูเศร้า 
TOP:ผมชอบโศกนาฎกรรมและความรู้สึกอ่อนไหวไม่มั่นคงปลอดภัยแบบนี้แหละครับ ยุวชนทหารในเรื่อง 71: Into the fire ก็เป็นแบบนั้นด้วยเหมือนกัน และบทบาทในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ดึงดูดใจผมเพราะความรู้สึกนี้เหมือนกัน บางครั้งผมรู้สึกสนุกมีความสุขไปกับความอ่อนไหวไม่มั่นคงนี้และผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ทรงพลังที่คุณสามารถทำให้คนที่ดูคุณอยู่นั้นรู้สึกเหมือนกับคุณได้ และผมคิดว่าผมมีอารมณ์ที่หลากหลายแบบนั้นในตัวผม

ความรู้สึกไม่มั่นคงปลอดภัยนั้น สามารถมองเห็นได้จากตาของคุณ
TOP:ตั้งแต่เริ่มแรกในภาพยนตร์ ผมพยายามที่จะเริ่มต้นจากการแสดงออกอารมณ์ความรู้สึกผ่านทางสายตาของเด็กผู้ชายที่อยู่ในห้วงของความสิ้นหวัง ดังนั้นในด้านจิตใจแล้วมันยากและสร้างความเจ็บปวดให้กับผมในการแสดงแบบนี้

คุณพูดว่ามันยากที่จะดึงตัวเองออกจากเรื่องราวในภาพยนตร์และมีนักแสดงหลายคนพูดว่ามันยากที่จะเอาตัวออกจากบทบาทที่สวมอยู่หลังจากที่ต้องแสดงในฉากที่เร้าอารมณ์และฉากที่เคร่งเครียด 
TOP:จู่ๆผมก็กลายเป็นเหนื่อยหน่ายเฉื่อยชาไปเลยหลังจากที่การถ่ายทำภาพยนตร์เสร็จสิ้นลง จากเดือนมกราคมจนถึงเดือนพฤษาคม ผมไม่ได้ทำอะไรเลยและผมก็นอนอยู่บนเตียงตลอดทั้งวัน ในระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์ ผมยังมีworldทัวร์คอนเสริต์กับบิกแบงด้วย ตารางงานในตอนนั้นทำเอาผมเกือบตาย ผมถ่ายทำภาพยนตร์ในวันจันทร์จนถึงวันพฤหัสโดยที่ทำงานตลอดคืนจนเช้า จากนั้นในวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ผมต้องเดินทางไปต่างประเทศและแสดงคอนเสริต์ ผมนอนหลับบนเครื่องบิน และกลับเข้าสู่การทำงานในตารางงานแบบนี้อีกครั้ง 

ผมคิดว่าผมเกิดอาการสับสนทางสภาพจิตใจและอัตลักษณ์ตัวตนของผมนั้นถูกสลับไปมาในตอนนั้น ในตอนเช้าผมต้องเข้าฉากที่เห็นเลือดและมีการฆ่าคน จากนั้นในช่วงสุดสัปดาห์ผมต้องแสดงออกบนเวทีต่อหน้าคนนับพันด้วยการแสดงบนเวทีอันทรงพลัง เวทีที่ตระการตาและสถานการณ์ที่ต้องจมลงจนถึงขีดสุดในภาพยนตร์มันซ้อนทับกันไปมาและมันสร้างความหดหู่ให้กับผมและผมก็เริ่มที่จะอ่อนไหวอย่างมาก 

และในตอนที่ทัวร์คอนเสริต์จบลง และการถ่ายทำภาพยนตร์จบลงด้วย หลังจากนั้นผมไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลย ผมแค่หยุด และ นั่งลงพักชั่วขณะนึง

เวลาได้ช่วยให้คุณกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมไม๊คะ??
TOP:ผมนอนบนเตียงเป็นเวลา 4-5 เดือนเลยทีเดียวและผมรู้สึกว่าชีวิตของผมต้องพังพินาศแน่ๆถ้าขืนยังอยู่แบบนี้ต่อไป ในตอนนั้นเป็นช่วงที่ผมควรจะเตรียมงานเดี่ยวของตัวเองแต่ผมไม่สามารถที่จะคิดหรือทำอะไรได้ ผมไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลยในตอนนั้น ผมค่อยๆบังคับตัวเองให้ออกมาข้างนอกและทานอาหารร่วมกับคนอื่นในช่วงสุดสัปดาห์และนั่นเป็นช่วงที่ผมรู้สึกว่าตัวเองได้ตื่นขึ้นมาจริงๆ ในตอนนั้น ผมรู้สึกได้เลยว่าตัวเองกำลังจะกลายเป็นคนที่ไม่ชอบสังคมไปแล้ว 



เวลาผู้คนได้ยินว่านักร้องแสดงหนังไปด้วย ร้องเพลงไปด้วย พวกเค้าคงไม่ได้คิดถึงความยากลำบากเหล่านี้เลยนะคะ
TOP:เหตุผลเดียวที่ผมไม่สามารถไปปรากฏตัวในรายการทีวีบ่อยๆหรือผมไม่สามารถที่จะออกเพลงหลายๆเพลงออกมาทีเดียวได้ เพราะผมเป็นคนที่จะตั้งใจตั้งเป้าหมายและทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างที่มีลงไปในสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ เวลาที่ผมลงมือทำอะไรแล้ว ผมจะทำงานอย่างหนักมากและอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมดลงไปในงานนั้น ดังนั้นหลังจากที่ทุ่มเทลงไปแบบนั้นแล้ว ผมก็เหมือนกับหมดแรงไปเลย เมื่อคนเราหมดแรงหมดพลังไปอย่างสิ้นเชิงแบบนั้นแล้ว ผมไม่คิดว่างานของพวกเค้าไม่ว่าจะเป็นงานแสดงหรืองานเพลงจะมีพลังใดๆออกมาได้ ดังนั้นมันไม่มีประโยชน์เลยที่จะฝืนทำงาน ผมคิดว่าคุณควรจะหยุดพักจนถึงเวลาเช่นนี้แหละ และนี่เป็นสิ่งที่ผมใช้ในการประเมินตัวเองอย่างเคร่งครัดครับ 

เพราะว่างานเหล่านั้นเป็นงานที่คุณต้องแสดงออกถึงตัวตนของคุณออกมานะึคะ แต่ว่าคุณไม่สามารถที่จะเอาแต่นอนบนเตียง 4-5 เดือนไปในทุกๆครั้งที่คุณรับแสดงภาพยนตร์เรื่องใหม่ได้นะคะ (หัวเราะ) คุณคงจะต้องเปลี่ยนวิธีการแล้วนะถ้าคุณยังจะทำงานต่อไปในด้านการแสดงพร้อมๆกับเป็นนักร้องไปด้วย อย่างน้อยก็ควรจะต้องทำงการจัดการงานในตารางให้ดีๆ
TOP:ถึงแม้ว่าบิกแบงจะอยู่ในช่วงพักและผมมีเวลาที่จะไปถ่ายหนัง ผมก็ทำแบบนั้นไม่ได้ จนกว่าผมจะมีหนังที่ผมชอบที่ผมอยากจะแสดง ดังนั้นผมจึงเหมือนกับว่าทิ้งให้โชคชะตาเป็นผู้กำหนดและรอคอยเท่านั้น พูดตรงๆคือผมเป้นคนประเภทที่อันตรายนะครับ เวลาที่ผมตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง ผมจะทำไปตามสันชาตญาณของตัวเอง " เลือกทางนี้เถอะเพราะมันเป็นสิ่งที่ผมต้องการในตอนนี้ " ผมจะไม่คิดวิเคราะห์ใดๆเลย แบบนั้น

แทนที่จะใช้หัวสมองคิดเหตุผล คุณเลือกที่จะทำตามสิ่งที่หัวใจคุณรู้สึก?
TOP:ผมเลือกที่จะทำตามความรู้สึกและสันชาตญาณของผม

ฉันคิดว่า GD น่าจะเป็นประเภทที่ใช้หัวสมองมากกว่า
TOP:จียงแค่ทำหลายสิ่งหลายอย่างสเปะสปะไปหมดก็เท่านั้นเองฮะ (หัวเราะ)

จากบทสัมภาษณ์ที่ผ่านมา คุณกล่าวว่าคุณไม่ชอบภาพลักษณ์ในแบบ "น้องชายแห่งชาติ" ใช่ไม๊คะ?? 
TOP:ไม่สามารถที่จะเรียกผมในแบบนั้นได้ด้วยซ้ำครับ แต่ผมก็ยังกล้าที่จะพูดมันออกมานะ (หัวเราะ) ผมคิดว่าบทบาทในเรื่องนี้นั้นมันมีความเฉพาะตัวมาก ผู้ชมจะรู้สึกประหม่าอึดอัดเวลาที่ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ คุณจะรู้สึกลุ้นว่าตัวละครตัวนี้จะตัดสินใจถูกไม๊ แทนที่จะตกหลุมรักในตัวละครนี้ 

เพราะบทบาทที่ผมได้รับเป็นคนที่มีปัญหาวิกฤตในเรื่องของความมีตัวตนของตัวเอง (เพราะเป็นสายลับต้องปลอมตัว) มันเลยทำให้ผมกลายเป็นคนที่อ่อนไหวไปด้วย หลังจากถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้เสร็จ มีครั้งนึงที่บิกแบงไปทานอาหารค่ำร่วมกันทั้ง 5 คน สุดท้ายสมาชิกในวงก็มาบอกผมจนได้ว่า ผมอ่อนไหวมากๆในช่วงทัวร์จนพวกเค้าไม่มีใครกล้าที่จะเข้ามาพูดกับผมเลย 

คุณเคยพูดแบบนี้เหมือนกันนะคะในตอนที่สัมภาษณ์หลังจากถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง 71
TOP:Ah เหรอครับ?? ผมคิดว่าผมกลายเป็นคนอ่อนไหวเพราะว่าต้องเห็นใครบางคนตายอยู่ตลอดเวลา เพราะ......จริงๆแล้วผมเป็นคนที่บอบบางนะครับ (หัวเราะ) 

ฉันเดานะคะว่ามันไม่มีหรอกที่จะถ่ายทำภาพยนตร์ที่มีเนื้อเรื่องซีเรียสได้อย่างผ่อนคลายสบายใจ ปราศจากความตึงเครียดในด้านของอารมณ์
TOP:มันคงจะง่ายกว่านี้มาก ถ้าผมแค่คิดว่านี่มันเป็นไม่ใช่เรื่องจริง หรือ มันเป็นเหมือนกับเกมส์เกมส์นึงเท่านั้น แต่ในเวลานั้นผมไม่สามารถที่จะคิดแบบนั้นได้จริงๆ ผมคิดว่าผมอินไปในเนื้อเรื่องจริงๆ เพราะผมเอาแต่คิดว่าตัวเองจะต้องจมดิ่งลงไปให้ลึกลงไปอีกในบทบาทที่ได้รับ 

แต่คุณก็ยังคงเอาแต่เลือกรับงานภาพยนตร์ประเภทที่ยากลำบากแบบนี้ต่อไปเองนี่คะ?
TOP:คนที่มีความสุขในความเจ็บปวดแบบนี้ก็จะยังคงทำแบบนี้ต่อไปแหละครับ ก็เหมือนกับงานเพลง ถ้าผมแสดงออกสิ่งที่ดุเดือดลงไปบนเวที เวลาที่ลงจากเวทีผมก็จะรู้สึกเหนื่อยมากๆ มันเหมือนกับคุณเทพลังงานทั้งหมดที่คุณมีลงไปต่อหน้าผู้ชม แต่นั่นก็เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ผู้คนสามารถรู้สึกได้ถึงเสน่ห์และพลังงานจากคุณ หลังจากที่ผมเหนื่อยจนหมดแรงแบบนั้นแต่ผมก็มีความสุขมากบนเวที ดังนั้นผมก็จะทำมันต่อไปครับ 

ทำไมคุณต้องหาเรื่องลำบากมาใส่ในชีวิตมากมายขนาดนี้น้า?
TOP:ก็เพื่อเมื่อผมแก่ตัวลงผมจะพบความสบายและพบนิพพานในภายภาคหน้าไงครับ (หัวเราะ)

====================

Englisn Translation by BIGBANGISVIP
Thai Translation by miss mew 
magazine scan by ShrimpLYJ


สามารถตามอ่าน ตอนอื่นๆ ได้ตามนี้ค่ะ 
top-running-on-empty-w-11-2013-part-1.html 
top-running-on-empty-w-11-2013-part-2.html 
top-running-on-empty-w-11-2013-end.html