ในช่วงเช้าตรู่ มีรถต่อกันเป็นแถวยาวในช่วงถนนที่จะมุ่งหน้าออกจากกรุงโซล  มันคือวันที่ 1 พฤษภาคมวันศุกร์แรกก่อนที่จะมีวันหยุดยาว ในวันนี้ยังเป็นวันที่บิกแบงออกซิงเกิลใหม่อีกด้วย การคัมแบคของพวกเค้าในครั้งนี้ใช้เวลานับเป็นวันได้มากถึง 1157 วัน ปฏิกริยาที่ได้รับนั้น มีความกระตือรือร้นอย่างล้นเหลือ  เพลง Loser และ BaeBae นั้นกลายเป็นคำเทรนตามโลกออนไลน์และเพลงยังสามารถครองอันดับ1ตามชาร์ตเพลงในชั่ววินาทีที่ปล่อยออกมา ทั้งโลกเต็มไปด้วยเรื่องราวอึกทึกครึกโครมบอกเล่าเรื่องราวของบิกแบง 

ในเวลานั้น บิกแบงกำลังได้รับเวลาอิสระ แต่ก็ยังเรียกได้ว่าเป็นเช้าตรู่ที่แสนจะยุ่งเหยิงกลางทุ่งข้าวบาร์เลย์ในย่าน Ansung ใน Gyeonggido รถพ่วงที่ลากด้วยรถแทร็กเตอร์ที่บรรทุกนักท่องเที่ยวมาเต็มคันผ่านมาทุกๆ 15 นาที แต่กลับไม่มีใครคาดคิดว่า บิกแบงได้มาอยู่ที่นี่แล้ว 

เสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยสีสันถูกแขวนไว้กับไม้แขวนเสื้อและผิงไว้กับต้นไม้ กลุ่มทีมงานและรถที่พวกเค้าโดยสารมา ได้กลายร่างเป็นเหมือนป้อมปราการบางอย่าง ท้องฟ้านั้นเป็นสีฟ้าสดใสอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในอาคารโกดังเก็บของที่เคยถูกใช้เป็นฉากถ่ายละคร มีกลุ่มนางแบบที่แต่งหน้าเสร็จตั้งแต่ 7 โมงเช้ากำลังขยี้ตาให้คลายความง่วงและเริ่มมองไปที่กระจก จากลำโพงเพลงใหม่ของบิกแบงกำลังบรรเลงอยู่ซ้ำไปซ้ำมา ส่วนสมาชิกวงบิกแบงทั้ง 5 คนก็กำลังยืดเส้นยืดสาย  

“คุณว่าเพลงไหนเพราะฮะ?” คนแรกที่ลากเก้าอี้เข้ามาและเริ่มตั้งคำถามคือ แทยัง เป็นเวลาหนึ่งปีมาแล้วตั้งแต่ฉันเจอเค้าในช่วงที่เค้าทำกิจกรรมโซโล่ เค้าดูมีผิวสีแทนเข้มขึ้นและดูมีมัดกล้ามมากขึ้นกว่าแต่ก่อน "เมื่อวานผมอยู่ที่ทำงานจนถึงเที่ยงคืนตัดต่อ MV ละฮะ จากนั้นผมก็เคลียร์ใจและเตรียมดูว่าผู้คนจะมีปฏิกริยากับเพลงยังไง" เป็นเพราะพวกเค้ายังไม่ได้ไปออกรายการสดที่ไหนและยังไม่ได้ให้สัมภาษณ์กับที่ไหนมาเลย แทยังเลยออกจะอยากจะรู้อยากเห็นว่าเพลงใหม่นั้นจะถูกใจสาธารณชนหรือไม่ มันไม่ใช่ความกระหายใคร่รู้ว่าเพลงจะไปได้ดีในแง่ของการตลาดมากแค่ไหน แต่มันเป็นความอยากรู้อยากเห็นของเค้าเองล้วนๆ 100%

พูดตรงๆฉันต้องบอกว่า สองเพลงนี้เป็นเพลงที่ดีมากๆมากจนน่าตกใจ ถ้ายุคสมัยของวงบิกแบงจะสามารถแบ่งได้เป็น 2 ยุค คือ ยุคก่อนที่พวกเค้าจะออกเพลง Lie ออกมา กับอีกยุคคือยุคหลังเพลง Lie ฉันมีความรู้สึกว่าอัลบั้มใหม่นี้จะกลายมาเป็นจุดเปลี่ยนอีกครั้งสำหรับบิกแบง  มันเป็นเพลงในแบบบิกแบงจริงๆ มันไม่ง่ายนะที่จะหานักดนตรีที่จะสร้างสรรค์เพลงแบบนี้ออกมา ถึงจะมีคนที่ทำเพลงแบบนี้ออกมาได้แต่มันก็ยากมากอยู่ดีที่จะได้รับความโด่งดังจากเพลงแบบนี้ได้อย่างบิกแบงทำ นอกเหนือจากบิกแบงแล้วมีใครเคยพูดถึงเค้กข้าวและการต่อสู้กับอารมณ์ตัวเองในแบบที่สุดแสนจะคลาสลิกแบบนี้ได้ไม๊ละ??

 “สนุกใช่ไม๊ละฮะ??? เนื้อเพลงก็สนุกสนานด้วย เนื้อเพลงตอนแรกไม่ใช่จะร้อง "เค้กข้าว"ออกมานะฮะ แต่เป็นคำว่า "โทรเรียกตำรวจ" ทีแรกเรามีแค่จังหวะ และเราก็มาปรึกษากันว่าเนื้อเพลงควรจะเป็นอะไรได้บ้างและจู่ๆ "เค้กข้าว" ก็โผล่เข้ามาและผมก็ชอบมันมากๆ  เราว่าจะใช้คำว่าเค้กข้าวและเจลลี่ข้าวบักวีตด้วยกันแต่เราคิดว่ามันจะฟังแล้วเยอะไปหน่อยครับ "

เรื่องราวเบื้องหลังที่บอกเล่าเรื่องราวที่มาที่ไปของการทำเพลงเพลงนึงออกมาได้ยังไงนั้นเป็นเรื่องที่น่าสนใจเสมอ แต่สิ่งที่ฉันต้องการจะรู้คำตอบมากที่สุดคือ ผมยาวของแทยังใน MV BaeBae การที่ได้เห็นแทยังไม่ได้สวมเสื้อและมีผมยาวตรงกำลังขี่ม้าใน MV BaeBae นั้นน่าตกใจอย่างมาก

“มันเป็นไอเดียของผมเองครับ ผมอยากจะให้มันดูยั่วยวนและตลกในเวลาเดียวกันไม่ได้คิดว่าจะให้ออกมาเท่ๆแต่อย่างใด ดังนั้นผมเลยต้องทำออกมาให้ดูเวอร์ๆ ขนาดทีมงานในบริษัทของเราก็ยังมีทั้งคนที่ชอบมากๆและบางคนที่ไม่ชอบฉากนี้เหมือนกันครับ ก็ดังนั้นมันเลยออกมาอย่างที่เห็นครับ"

ฉันคิดว่าถ้าการถ่ายแบบวันนี้จะมีฉากแทยังขี่ม้ารวมอยู่ด้วยละจะเป็นยังไง??งั้นมาถามดูดีกว่าว่าเค้าไปเรียนขี่ม้ามาหรือยังไง?? " เปล่าเลยครับ ครั้งแรกที่ผมปีนขึ้นไปบนหลังม้าโดยที่ไม่ได้ผ่านการฝึกมาก่อนผมเกือบจะตกลงมาตายเลยละครับ แต่ถึงยังไงก็ตามทุกอย่างก็ผ่านมาได้ด้วยดีเพราะ ม้าเป็นม้าที่ผ่านการฝึกมาเป็นอย่างดี"  


ใน MV ท็อปสวมคอนแทคเลนซ์ตาแมวและปรากฏตัวพร้อมกับ กวาง งานศิลปะของคุณ  Kohei Nawa เหมือนกับใน MV เพลงโซโล่ของเค้า Doom DaDa ที่เค้าปรากฏตัวกับกวางของคุณ Kim Hwan Ki ซึ่งนับว่าเป็นอีกครั้งแล้วที่เค้านำเอาศิลปะร่วมสมัยเข้ามาสู่ภาพลักษณ์ในแบบบิกแบง ตัวท็อปเองไม่เพียงแต่จะเป็นที่รู้จักกันดีในนามของผู้สะสมเฟอร์นิจเจอร์ แต่เค้ายังเป็นที่รู้จักในนามของคนที่รักศิลปะอย่างมากด้วย “คุณ Kohei Nawa และผมเป็นเพื่อนกันครับ ผมปรากฏตัวในMV โดยที่มีตาธรรมดาข้างเดียวและ เนื้อเพลงมีคำว่า " ดวงตาสวยเหมือนตากวาง" ซึ่งเป็นคำเปรียบเปรยในสมัยโบราณ เป็นเพราะว่าจะต้องแสดงให้เหมือนกับว่าผมต้องตกหลุมรักกับผู้หญิงคนนึงเมื่อเห็นเธอซึ่งผมไม่มี ผมเลยแสดงออกมาในรูปแบบนี้แทนครับ นอกจากนี้ท่อนแร๊พของผมจะพูดถึงความสวยงามในแบบธรรมชาติ และชิ้นงานศิลปะนี้เป็นการนำเอากวางตามธรรมชาติมาสตัฟฟ์ ครับ"

พวกเค้าใส่ความพยายามลงไปใน MV แต่ละตัวมากมายขนาดไหนกันนะเนี่ย?? เป็นเพราะโปรเจคการเปิดตัวปล่อยเพลงในคราวนี้เป็นโครงการที่พิเศษ ทางท่านประธานได้กล่าวว่าแทนที่จะออกอัลบั้มในแบบปกติออกมาทีเดียว ในครั้งนี้บิกแบงจะออกอัลบั้มที่มีแต่ซิงเกิล 4 ครั้ง คือ ซิงเกิล M, A, D, E ในแต่ละซิงเกิลจะมี 2 เพลงและจะออกซิงเกิลในวันที่ 1 ของเดือนเริ่มจากเดือน พฤษภาคมไปจนถึงเดือนสิงหาคมและในเดือนกันยายนจะได้คำว่า Made ซึ่งจะเป็นชื่ออัลบั้มเต็มสมบูรณ์ออกมา

เพลงนั้นได้ทำออกมาหมดแล้ว แต่ ลิสต์รายชื่อนั้นยังไม่ได้รับการยืนยัน ถ้าในระหว่างนี้พวกเค้าทำเพลงที่ดีกว่าออกมา ในรายชื่อเพลงก้อาจจะมีการเพิ่มเข้ามา หรือ มีการเปลี่ยนบางเพลงออกไปซึ่ง ก็ยังเป็นความลับอยู่ว่าจะมีเพลงเพิ่มเข้ามามากแค่ไหนในอัลบั้มเต็มสุดท้ายที่จะออกมา 

TOP  “ผมบอกคุณไม่ได้หรอกฮะ เราก็ต้องดูเท่เหมือนกันใช่ไม๊ละฮะ?? " สิ่งเดียวที่พวกเค้าจะสามารถพูดออกมาเพิ่มจากที่เคยพูดออกมาแล้วนั่นคือ เรื่องของแนวเพลงที่ในอัลบั้มนี้แนวเพลงจะไม่ถูกจำกัดอยู่ที่แนวแนวเดียวและเพลงทุกเพลงทำเสร็จออกมาแล้ว

แน่นอนว่า จีดราก้อนได้เริ่มการเตรียมการสำหรับอัลบั้มนี้ตั้งแต่พวกเค้าจบกิจกรรมโปรโมทอัลบั้ม 
Still Alive แต่พึ่งจะเป็นช่วงต้นปีนี้เองที่บิกแบงมีเวลามารวมตัวกันและเพลงดีๆเหล่านี้ก็ถูกสร้างขึ้นให้เป็นรูปเป็นร่าง สิ่งต่างๆถูกสร้างขึ้นมาโดยธรรมชาติท่ามกลางเสียงหัวเราะและในตอนที่พวกเค้าเล่นสนุกกัน พวกเค้าเอาเพลงเก่าๆทิ้งไปโดยไม่ได้ย้อนกลับมาเสียใจ TOP “ตอนนั้นเป็นช่วงที่เราสนุกกันมากที่สุดเลยครับ ราวๆเดือนมีนาเมษาเป็นช่วงที่เราเสร็จสิ้นการบันทึกเสียงกัน และเราก็ตัดสินใจที่จะมานั่งฟังเพลงทั้งหมดในวันนึง เราดื่มไวน์แกล้มชีสอยู่ในสตูดิโอเราเต้นและสนุกกับเพลงที่เราเขียนขึ้นมามันสนุกมากๆครับ" ฉันนึกภาพออกเลยละค่ะว่า MV We Like 2 Party จะออกมาเป็นยังไง 


ความสนุกของบิกแบงในการถ่ายแบบก็ไม่ได้มีความแตกต่าง แทยังบอกว่าแดซองที่สวมหมวกแบเร่ห์ดูเหมือนพนักงานหญิงประจำรถโดยสารที่คอยพูดว่า “Ohri~” ซึ่งแดซองก็เต้นเป็นการตอบแทน เป็นพักใหญ่แล้วสำหรับแดซองผู้ซึ่งไม่ยอมออกจากบ้านเลยยกเว้นว่าจะออกไปทำงานได้ออกมาอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าแบบนี้ ที่คอนเสริต์ที่ Olympics Stadium ก่อนที่จะออกอัลบั้มนี้ ซึงรีถึงกับคอมเม้นซ์เกี่ยวกับแดซองว่า "เค้าไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากเล่นกลองอยู่ที่บ้าน"

แดซอง "มันเป็นเรื่องจริงครับ ผมไม่ค่อยชอบออกไปข้างนอก ผมอยากจะเรียนตีกลองตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นผมเลยเริ่มเรียนหลังจากที่จบการทัวร์คอนเสริต์เดี่ยวของผมที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งก็เป็นเวลากว่า 2 ปีมาแล้วมันสนุกมากครับ" แล้วปฏิกริยาจากสมาชิกในวงในตอนที่เห็นคุณตีกลองละคะ??

แดซอง" คุณรู้จักหนังเรื่อง Whiplash ไม๊ฮะ มันเป็นแบบั้นแหละฮะ " มือกลองที่บ้าคลั่งและแสนตลกคนนี้นี่ไม่สนเรื่องอะไรจริงๆนะคะ เพื่อการถ่าย MV เพลง ‘LOSER’ แดซองได้เปลี่ยนทรงผมของเค้าเพื่อสร้างภาพลักษณ์แห่งความเดียวดายขึ้นมา " เวลาที่ผมเอาผมมาปิดตาและเปลี่ยนภาพลักษณ์ ผมกลายเป็นคนระมัดระวังและเงียบขรึม พูดตามตรงคือ ผมมองไม่ค่อยเห็นครับ " แดซองที่เคยเรียนรู้ที่จะสื่อสารออกมาทางสายตาเลยกล่าวว่า " ดังนั้นในตอนนี้ผมจึงเรียนรู้ที่จะแสดงออกแค่ช่วงล่างของใบหน้าแทนครับ"

แดซองนั้นยุ่งกับงานเดี่ยวของเค้าที่ญี่ปุ่นมาได้ระยะนึงแล้ว พวกพี่ๆได้พูดถึงเรื่องความโด่งดังของแดซองว่า " ที่ญี่ปุ่น แดซองนั้นได้รับความนิยมสูงสุดรองจากท่านจักรพรรดิญี่ปุ่นเลยทีเดียวฮะ  เมื่อไหร่ก็ตามที่เราขึ้นเวทีทัวร์คอนเสริต์ในญี่ปุ่นเราเกือบจะกลัวไม่กล้าทำอะไรเพราะมีแต่เสียงเชียร์แดซองครับ" พวกเค้าทำเป็นโอ้อวดความโด่งดังของแดซองออกมาแบบนี้ทำให้เจ้าตัวไม่รู้จะทำตัวยังไง ได้แต่พูดว่า
"Ayoo, พูดเรื่องอะไรกันครับเนี่ย เหตุผลที่ทำให้ผมไปทำงานเดี่ยวที่ญี่ปุ่นได้ก็เพราะชื่อของบิกแบง และนั่นเป็นเรื่องที่บอกเราได้ว่าความโด่งดังของบิกแบงนั้นมีเพิ่มมากขึ้นที่ญี่ปุ่นนะครับ" 

วันสุดท้ายของคอนเสริต์ในเดือนเมษายนตรงกับวันเกิดของแดซอง ภายใต้การนำของซึงรีเค้กถูกนำขึ้นมาบนเวทีและได้แฟนๆเป็นร้อยรวมถึงสมาชิกในวงร่วมยินดีในวันเกิดของเค้า หลังจากคอนเสริ์ตวันนั้นพวกเค้าก็มีงานอาฟเตอร์ปาร์ตี้ด้วย แดซอง " ผมสนุกมากๆเลยละครับ มีบางคนที่กังวลว่าผมยังคงต้องทำงานในวันเกิด แต่มันกลับเป็นวันเกิดที่พิเศษที่สุดเท่าที่ผมเคยมีมาเลยละครับ ถ้าผมไม่ได้ทำงานในวันนั้น ผมก็คงจะใช้เวลาในวันเกิดอยู่บ้านและสั่งอาหาร delivery มาเยอะๆ ก็แค่นั้น" ฉันเกิดอยากรู้ขึ้นมาว่าสมาชิกในวงได้มอบของขวัญอะไรให้เค้าในวันเกิด แดซองเล่าว่า" ไม่มีครับ จู่ๆวันนึงเราก็ตัดสินใจว่าเราจะไม่มีการมอบของขวัญให้กัน เป็นแบบนั้นแหละครับ " ฉันรู้เหตุผลเบื้องหลังความคิดนี้ซึ่งเป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมมาก เป็นเพราะความโด่งดังของบิกแบงนั้นเติบโตขึ้นเรื่อยๆ รายได้ที่พวกเค้าได้ก็มากขึ้นตามมา และถ้าพวกเค้าเริ่มที่จะเลือกของขวัญที่เหมาะสมให้กันและกันแล้วละก็ วันนึงพวกเค้าคงต้องจบลงที่การซื้อบ้านให้กันและกันแน่ๆ ก็นะ นี่แหละชีวิตในแบบซูเปอร์สตาร์ก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ 


สมาชิกวงต่างคิดว่าคนที่เป็นซูเปอร์สตาร์ที่สุดในหมู่สมาชิกวงบิกแบง คือ ซึงรี " เค้าดูเป็นคนดังในหมู่เราฮะ ผมอิจฉาเค้า" ขนาดในตอนที่ต้องเดินทาง สุภาพบุรุษน้อยผู้สง่างามคนนี้ของเราก็มักจะทำอะไรที่แตกต่างจากคนอื่น เพราะเค้ามีเส้นสายส่วนตัวกว้างขวางไปทั่วโลก รวมไปถึง การได้นั่งเครื่องบินส่วนตัว หรือแม้แต่เจ้าของคลับก็เป็นเพื่อนของเค้า  “เพื่อนของผมบ้านของเค้ามีลิฟท์ด้วยละครับ" ซึงรีที่กำลังเคี้ยวคิมบับอยู่กล่าวเสริมอย่างภูมิใจ สมาชิกต่างก็ล้อเลียนเค้าแต่ก็เอ็นดูมักเน่ของเราอย่างมาก พูดกันตามตรงซึงรีนั้นมีความคิดหลากหลายเข้ามาในตอนที่เตรียมงานเรื่องอัลบั้มใหม่นี้  มีหลายเหตุการณ์ที่ทำให้เค้าต้องเผชิญกับความหดหู่ด้วย 
"ผมรู้สึกว่าตัวเองนั้นสูญเสียความผิดชอบชั่วดีไปฮะ ดังนั้นแทนที่จะเสนอเอาความคิดของตัวเองขึ้นมา ผมจะฟังว่าสมาชิกในวงคนอื่นๆพูดว่ายังไงกันบ้าง และท้ายที่สุดผมก็มีความสุขครับที่อัลบั้มได้ออกมาซักที" 
ซึงรีถูกมอบหมายภารกิจที่สำคัญที่สุดในการถ่ายแบบวันนี้ เช่น เค้าต้องขับรถกะบะวินเทจด้วยความเร็ว  30km/h นอกจากนี้เค้ายังโอบไหล่นางแบบแสดงท่าทางหวานๆออกมาด้วย ซึงรีผู้ซึ่งมีกีตาร์เข้าฉากด้วยก็เริ่มทำท่าดีดกีตาร์และร้องเพลงในยุค 60 ของรุ่นพี่  Lee Jang Hee ที่มีเนื้อร้องว่า 
"ฉันมีบางอย่างจะบอกเธอ คืนนี้จู่ๆฉันก็อยากจะบอกบางอย่างกับเธอ " จากนั้นเค้าก็ถามนางแบบ Lee Ho Jung ที่พึ่งเคยพบกันเป็นครั้งแรก ด้วยเสียงที่นุ่มนวลว่า " คุณพอจะรู้ไม๊ครับว่า คอร์ด C minorนี่เล่นยังไง?”
 
การถ่ายแบบยังคงดำเนินต่อไปจนพระอาทิตย์ตก พระจันทร์บนฟ้าสว่างใส กล้องคอปเตอร์กำลังบินอยู่บนท้องฟ้า สมาชิกวงที่ไม่เคยได้เห็นกล้องคอปเตอร์ใกล้แบบนี้มาก่อน ต่างก็ตื่นเต้นมองดูมันเหมือนเด็กเล็กๆ “แค่พวกเราอยู่ด้วยกันก็สนุกมากๆเลยละครับ เรารู้จักกันมาตั้งแต่เป็นเด็กเทรนในช่วงที่พวกเราอายุได้แค่สิบกว่าๆเอง พวกเรารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับกันและกัน เวลาเราไปข้างนอกเราไม่มีเพื่อนคนอื่นเลย นั่นเป็นเพราะผมไม่มีประสบการณ์ร่วมที่เหมือนกับพวกเค้าให้พูดคุยเลย แต่ถ้าเราบิกแบงอยู่ด้วยกัน5คนเราจะคุยเล่นกันและหัวเราะ และนี่เป็นเหมือนแหล่งพลังงานที่ทำให้ผมแข็งแกร่งขึ้น " แทยังกล่าว 

ในปีหน้า จะเป็นปีที่ วงบิกแบง มีอายุวง 10 ปีแล้วและทัวร์คอนเสร์ต Made นี้ในรอบสุดท้ายจะดำเนินต่อเนื่องไปในปี 2016 ซึ่งบางทีอาจจะเป็นคอนเสริต์ที่เป็นการระลึกถึงการก่อตั้งวงมาครบ 10 ปีด้วยก็ได้  บิกแบงได้ก้าวข้ามขอบเขตของคำว่าไอดอล จากบริษัทวายจีเอนเตอร์เทนเม้นซ์ เด็กชายในวัยสิบต้นๆที่เคยร้องเพลง ‘Dirty Cash’ โดยที่ไม่เข้าใจความหมายของเพลงด้วยซ้ำในวันนั้น ได้ก้าวข้ามก้าวเขตและแต่งเพลงของตัวเองออกมาจนเป็นเพลงที่คลาสลิกและกลายมาเป็นคนดังประจำยุคสมัยนี้ แน่นอนว่ากระบวนการกว่าจะมาถึงตรงนี้นั้นไม่ได้ง่ายเหมือนกวักน้ำขึ้นเล่นในช่วงฤดูร้อน เราจะเข้าใจถึงกระบวนการนั้นได้ง่ายๆจากการอ่านเนื้อเพลง Loser ของพวกเค้า 

จีดราก้อน: "ทุกคนต่างก็มีปัญหาของตัวเองครับ เราก็มีเหมือนกัน เพราะเราก็เป็นแค่มนุษย์คนนึง การที่ผู้คนมองเราผ่านทางTV พวกเค้าอาจจะคิดว่า หลังจากที่เราขึ้นแสดงคอนเสริต์ต่อหน้าคนเยอะๆเสร็จแล้วหลังจากนั้นเราก็จะออกไปปาร์ตี้ ดื่มกินและใช้เวลาอยู่กับสาวๆ ซึ่งมันไม่จริงเลยครับ พอเราเสร็จงาน เราก็กลับบ้าน ไปดูหนัง นอนหลับ เท่านั้นเองครับ มันมีความรู้สึกว่างเปล่าที่เราได้รับอยู่ครับ " สิ่งที่ทำให้พวกเค้าเดินหน้าต่อไปก็คือ กันและกัน ที่พวกเค้ามีกันและกันอยู่

เมื่อไหร่ก็ตามที่บิกแบงออกอัลบั้มใหม่ มันมักจะออกมาเหนือความคาดหมายเสมอ มันจะเป็นยังไงคะในอีก 10 ปีข้างหน้า "ถ้าหากไม่มีความตื่นเต้นแล้ว มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะทำให้พวกเราเดินหน้าต่อไปฮะ" ท็อปตอบอย่างเชื่อมั่นและจีดราก้อนก็ช่วยเสริมว่าสมาชิกในวงทุกคนเห็นด้วยกับท็อป  “ถ้าในสายตาของบุคคลที่สาม เห็นว่าการปรากฏตัวของพวกเราบนเวทีมันไม่ดี เราก็จะไม่ทำมันครับ ถ้าเราไม่ได้ดูเท่ดูมั่นใจ แล้วเราจะนำเสนออะไรให้คนดูละครับ??การที่จะต้องพยายามเกินพอดีเพื่อให้ดูเท่ ผมไม่ชอบแบบนั้นมากๆ" งั้นคำตอบนี้สามารถสรุปได้ว่าถ้าบิกแบงไม่สามารถทำได้แบบที่บิกแบงเคยทำก็จะไม่มีิบิกแบงอีกต่อไป

“แต่ตอนนี้เรายังสนุกมากๆอยู่ครับ ผมรู้สึกถึงมันได้อีกครั้งกับกิจกรรมที่เราทำกันในการโปรโมทอัลบั้มชุดปัจจุบันนี้ เมื่อเวลาผ่านไป เราเริ่มที่จะค้นพบตัวเองมากขึ้นมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เราสามารถทำให้ตัวเองดีขึ้นเรื่อยๆและนั่นคือสิ่งที่เราทำมาตลอดสำหรับพวกเรา ผมอยากจะให้มันเป็นแบบนี้ไปอีกซัก 10-20ปีต่อจากนี้ ” แทยังกล่าว 

ก็เหมือนกับชื่อ "Made" บิกแบงยังคงอยู่ในขั้นตอนการก่อสร้างตัวตนของพวกเค้าขึ้นมาด้วยการทำเพลงใหม่ๆออกมา แม้ว่าด้านนอกจะมืดมากแล้ว แต่สมาชิกวงบิกแบงยังคงนั่งกันอยู่ในบ้านที่รกร้างนี้พูดคุยเรื่องเพลงของพวกเค้าและอนาคตที่จะมาถึง หลังจากที่โดนผู้จัดการจู้จี้บ่นซักสองสามครั้ง ในที่สุดพวกเค้าก็ลุกขึ้นได้ซักที 

ก่อนที่จะขึ้นรถ แทนที่จะบอกคำลา
ฉันบอกพวกเค้าไปว่า "พวกคุณเท่มากๆเลยนะ" พวกเค้ากล่าวกลับมาว่า " เราก็คิดว่าเราเท่เหมือนกันแหละฮะ เรายังคงมีจิตวิญญาณที่กระหายอยากอยู่ในตัวเราอยู่นี่ฮะ"

=================

Eng Translation by xxxibeunjn 
Thai Translation by miss mew