วันอังคารที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2560

สัมภาษณ์ แทยังจากนิตยสาร GQ ฉบับเดือน ธันวาคม 2017


ใช้ชีวิตอย่างดวงตะวัน 

การใช้ชีวิตตามอย่างแทยัง ไม่ใช่การใส่แต่ชุดนอนและอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่เป็นระเบียบเรียบร้อยและมีสวนอย่างในรายการ  “I Live Alone” หรอกค่ะ แต่เป็นการใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางเสียงดนตรีโดยที่ไม่มีการชะงักสงสัยในเรื่องใดๆทั้งนั้นด้วยความ"หลงใหล"ที่เต็มเปี่ยม


GQ : เราได้อ่านสัมภาษณ์ที่ผ่านมาของคุณที่ให้ไว้กับทาง GQ ทั้งหมดแล้วฉันสังเกตว่าคุณมักจะพูดเก้ี่ยวกับเรื่องแผนการในอนาคตซะเป็นส่วนใหญ่ คุณเคยพูดไว้ว่าคุณจะตกหลุมรัก คุณจะทัวร์คอนเสริต์ไปรอบโลก คุณจะออกเพลงใหม่ออกมาโดยจะเน้นไปที่เสียงของคุณล้วนๆ ดูไปแล้วคุณได้ทำทุกอย่างที่คุณเคยพูดว่าจะทำได้อย่างสำเร็จนะคะ
YB : ใช่ไม๊ครับ? 5555+ ผมค่อนข้างประหลาดใจนะครับตอนที่คุณพูดถึงมันขึ้นมา ในตอนนั้นผมพูดเรื่องพวกนี้ออกมาเองจริงๆแหละครับ

GQ :มีอะไรที่อยากจะทำให้ประสบความสำเร็จอีกไม๊คะ?

YB : หากจะมองไปในเรื่องของเสียงเพลง ท้ายที่สุดแล้วตอนนี้ผมได้ข้อสรุปของเสียงเพลงที่สามารถจะสะท้อนชีวิตของผมออกมาและทำให้ผู้คนมีความรู้สึกที่สามารถเกี่ยวโยงมากขึ้นถึงความเป็นดนตรีและความจริงใจของผมที่อยากจะสื่อออกมาครับ ยิ่งผมลงมือทำงานเพลงมากเท่าไหร่ผมก็ยิ่งรู้สึกมากเท่านั้น ผมไม่ได้มั่นใจนักหรอกครับว่านี่เป็นความรู้สึกที่แท้จริงรึเปล่า แต่ผมคิดว่าเรื่องราวในชีวิตของผมจะต้องมีสำคัญเป็นอันดับ 1 ผมรู้สึกว่าผมจะสามารถทำเพลงที่ดูเป็นของแท้ของผมจริงๆได้ เมื่อผมรู้สึกและได้เรียนรู้และได้แรงบันดาลใจจากเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมาเข้ามาในชีวิตของผม ผมไม่รู้ว่าการที่ทำแบบนี้มันเป็นสิ่งที่ถูกต้องไม๊สำหรับคนที่เป็นนักดนตรี แต่ผมอยากที่จะเป็นคนที่มีความเป็นผู้ใหญ่และผมรู้สึกว่าชีวิตของผมจะสะท้อนออกมาในทุกอย่างที่ผมแสดงออก

GQ : เมื่อก่อนไม่ได้ทำแบบนี้หรอกเหรอคะ?? อย่างเช่น เรื่องของเสียงเพลง เมื่อก่อนคุณแค่แสดงไปตามทางที่คุณรู้สึกว่ามันจะเหมาะกับการขึ้นแสดงในแต่ละครั้ง แบบนั้นเหรอคะ?
YB : ชิ้นงานมักจะต้องมาก่อนเสมอครับ เมื่อก่อนการที่จะต้องมีเพลงใหม่ออกมามักจะมีความสำคัญเป็นอันดับ 1ก่อนเสมอ ผมรีบเร่งที่จะออกผลงานชิ้นใหม่ออกมามากกว่าที่จะสะท้อนความคิดเห็นหรือตัวตนของผมออกมา แต่ถึงอย่างงั้นก็เถอะผมคงไม่ได้เป็นตัวผมในทุกวันนี้ถ้าไม่ได้ทำแบบนั้นมาก่อน

GQ : คุณเป็นคนที่ไม่ได้พยายามที่จะเป็นคนที่เหมาะกับรายการวาไรตี้แต่ในขณะเดียวกันคุณกลายเป็นคนที่ไม่ได้มีความอึดอัดเลยที่จะไปออกรายการประเภทนั้น ฉันว่านี่แหละคือ แทยัง ในตอนนี้
YB : ครับ ผมว่าถ้าผมเป็นตัวผมแบบในตอนนี้ ผมคงจะทำได้ดีมากกว่านี้ในรายการวาไรตี้ แต่ก็อีกครับผมว่าเป็นเพราะช่วงเวลาด้วย รายการวาไรตี้ในสมัยก่อนนั้นมักจะต้องแสดงออกเกินจริงและมีการใส่สีเติมไข่มาก ซึ่งมันเป็นปัญหาเป็นเรื่องหนักใจมากสำหรับผมเพราะมันไม่เหมาะกับผม แต่ตอนนี้ คนต้องการที่จะดูในสิ่งที่ทุกอย่างมันเป็นจริงไม่ได้แต่งเติม ที่ผมสามารถที่จะทำรายการวาไรตี้ได้ดีตอนนี้ก็เพราะ มันเป็นรายการประเภทตามไปถ่ายตามไปสังเกตการณ์แบบเรียลลิตี้โชว์มากกว่านะครับ


GQ : ช่วงที่คุณออกอัลบั้มเต็มอัลบั้มที่ 2 ของคุณ RISE ฉันรู้สึกว่าจู่ๆแทยังก็กลายเป็นแทยังคนที่เราเห็นปัจจุบันนี้ บนเวทีของบิกแบงคุณดูแตกต่างไปจากในอดีตเลย มันดูเหมือนว่าคุณเล่นสนุกอยู่บนเวทีจริงๆ
YB : จริงๆแล้ว ผมพยายามอย่างมากเลยละครับที่จะแสดงตัวตนของตัวเองออกมาและผมก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างธรมชาติ ผมไม่อยากจะบอกว่าตอนนั้นอายุเท่าไหร่แต่ช่วงเวลาก็เป้นเรื่องที่สำคัญที่ผมไม่อาจจะเพิกเฉยได้ คือ ความคิดของผมจู่ๆก็กลายเป็นความคิดที่เรียบง่ายและชัดเจนว่าจริงๆแล้วหลักและแก่นแท้มันคืออะไร

GQ : ฉันยังคงจำได้ว่า แทยังอยากที่จะทำอะไรบางอย่างแต่ก็ถูกบริษัทคัดค้านได้อยู่เลยละค่ะ ดังนั้นคุณคงต้องต่อสู้เพื่อที่จะเดินตามทางที่คุณอยากจะทำใช่ไม๊คะ? หรือว่านั่นก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย?
YB : ใช้เวลาถึง 4 ปีนะครับกว่าอัลบั้มเต็มอัลบั้มที่2ของผมจะเสร็จออกมาได้ เพราะผมและบริษัทมีเรื่องขัดแย้งกันอย่างรุนแรงมากตอนนั้น ดังนั้นผมไม่สามารถที่จะทำเพลงที่ผมอยากจะทำออกมาได้ สภาพจิตใจของผมเปลี่ยนไปมากหลังจากที่ออกเพลง ‘Eyes, Nose, Lips’. สไตล์เพลงของผมยังคงทำให้เกิดข้อขัดแย้งเรื่อยๆ อัลบั้มก็ถูกดีเลย์ออกไปเรื่อยๆ จากนั้นแผนการก็แตกเป็นเสี่ยงๆอีก ดังนั้น ผมเลยมานั่งคิดถึงเพลงในแบบที่ผมสามารถที่จะทำได้และเพลงนั้นก็ออกมาได้หลังจากที่ผมตัดสินใจว่าจะบอกเล่าเรื่องของตัวเองโดยที่ไม่สนว่าเพลงมันจะเป็นเพลงในแบบไหนแนวไหน ซึ่งผู้คนชอบเพลงนั้นกันมาก ดังนั้นผมเลยคิดว่าเพลงที่ดีจริงๆแล้วมันจะออกมาจากเรื่องเล่าที่จริงใจครับ

GQ : งั้นอัลบั้มเต็มชุดที่ 3 WHITE NIGHTเป็นอัลบั้มที่เป็นตัวคุณมากขึ้นสินะคะ?
YB : ในมุมมองที่ต่างกันก็ย่อมมีความแตกต่างเสมอครับ แต่ที่ผมคิดคือ อัลบั้มนี้ประกอบไปด้วยสิ่งที่ผมรู้สึกและรักในตอนนี้ ความเป็นลักษณะตัวตนของผมเกือบจะทั้งหมดอยู่ในอัลบั้มนั้น ผมทำในสิ่งที่ผมอยากจะทำเพื่ออัลบั้มชุดนี้ เกือบ 99 เปอร์เซ็นต์เลย ผมเรียนรู้ที่จะทำมันออกมาในระหว่างการทำอัลบั้มชุดที่ 2 สิ่งที่ผมเสียใจมากที่สุดคือ สัมพันธภาพ ผมมาตระหนักได้ว่าเหนือสิ่งอื่นใด สัมพันธภาพเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน ความสัมพันธ์กับบริษัท ทัศนคติที่ผมมีต่อผู้คนได้เปลี่ยนแปลงไป จริงๆแล้วผมเป็นคนที่ปิดกั้นมากๆ แต่ถ้าผมได้เปิดใจแล้ว การพบปะผู้คนก็จะเป็นไปตามธรรมชาติมากขึ้นสำหรับผมครัับ 

GQ : ฉันไม่แน่ใจว่า ในเรื่องสัมพันธภาพนั้นจะเป็นเรื่องง่ายที่จะเอาชนะได้นะคะ ฉันคิดว่าการมีความสัมพันธ์กับผู้คนนั้นเกือบจะเรียกได้ว่าต้องอาศัยพรสวรรค์เลยทีเดียว สำหรับแทยังมันเป็นยังไงคะ?
YB : ถ้าให้ผมอธิบายว่าผมรู้สึกยังไงออกมาอีก ผมจะกลายเป็นคนน่าเบื่ออีกแล้วนะครับ 555+ 

 

GQ : ถ้ามีคนมาถามว่า "คุณเปลี่ยนไปรึเปล่า??" คุณจะตอบพวกเค้าว่ายังไง??
YB : มีสิ่งที่เปลี่ยนไปครับ ผมสามารถบอกได้อย่างแน่นอนเลยว่ามันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีสำหรับผม
GQ : ในความคิดของฉัน มีสิ่งนึงที่ไม่เปลี่ยนแปลงเลยคือ ตัวคุณ คนที่ยังคงใช้คำว่า "ความจริงใจ" ฉันคิดว่าแทยังคนที่มีความหลงใหลที่บริสุทธิ์เหมือนเด็กคนนั้นยังอยู่
YB : ผมคิดว่าผมคงไม่สามารถจะทำเพลงได้อีกต่อไปแล้วละครับถ้าส่วนนั้นของผมเปลี่ยนแปลงไป มันเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับผมที่จะลงมือทำอะไรก็ตามที่ตัวผมไม่ได้ยอมรับมันหมดทั้งใจ หรือสิ่งที่ผมไม่ได้มีความหลงใหลในสิ่งนั้นเลยครับ

GQ : เร็วๆนี้คุณได้ไปดูแลเด็กฝึกที่จะปรากฏตัวในรายการ Mix 9 ด้วยมันเป็นยังไงบ้างคะ?เหมือนกับว่ามันจะเป็นการมีส่วนร่วมในช่วงเวลาสั้นๆไม๊คะเพราะรายการตัดเอาแต่ในส่วนที่คุณพูดให้กำลังใจมาออกอากาศ ดังนั้นฉันเลยไม่รู้เลยว่าจริงๆแล้วคุณรู้สึกยังไง
YB :  ผมก้มีความท้อแท้หมดหวังเหมือนกันในตอนที่ผมพยายามที่จะเป็นนักร้องและกระบวนการที่ทำให้ผมมาเป็นนักร้องได้ในตอนนี้ มัน ท้อแท้ หมดหวังมากจริงๆ เช่น ผมมักจะสงสัยในตัวเองและถามตัวเองตลอดว่า " ทำไมการมาเป็นนักร้องมันสำคัญกับผมมากขนาดนี้เลยเหรอ?? เราต้องทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ??" อีกอย่างนึงคือ มันจะช่วยได้มากเลยถ้าระบบมันจะช่วยออกแบบมาให้มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้นแต่ส่วนใหญ่แล้วมันคลุมเครืออยู่มากครับ เด็กฝึกแค่พยายามทำให้ดีที่สุดตามแบบที่ได้เรียนมา พวกเค้าแค่ทำงานอย่างหนักแบบไม่มีเงื่อนไขใดๆเลย พวกเค้าไม่ได้มานั่งคิดย้อนทบทวนหรือเตรียมพร้อมสำหรับการติดขัดต่างๆหรือเตรียมตัวสู้เลยว่า พวกเค้าอยากจะเป็นนักร้องแบบไหน จะร้องเพลงประเภทไหน การแสดงบนเวทีจะเป็นออกมาเป็นยังไง

GQ : คุณใช้คำว่า "ติดขัด" ดังนั้นฉันจะถามคุณในเรื่องนี้ ฉันคิดว่าคุณเป็นคนที่มีพลังงานเพื่อความหลงใหลล้วนๆและแน่นอนมีความแดดดาลอยู่ด้วยแน่นอน แต่ฉันไม่เคยเห็นแทยังโมโหมาก่อนเลยจนกระทั่งถึงตอนนี้
YB : มันแปลกใช่ไม๊ครับ ผมมีด้านนั้นในตัวครับแต่มันไม่เคยหลุดไปออกอากาศที่ไหน ผมจะไม่ใช่คนที่ขี้โมโหแต่ผมจะตรงมากๆ ในบรรดาสมาชิกวงผมเป็นคนที่พูดเรื่องแย่ๆให้กับพวกทีมงานมากที่สุด ซึ่งมันสามารถกลายเป็นความเย็นชามากๆได้เลยครับ จริงๆผมก็พูดจาแบบนั้นกับคนอื่นเวลาออกทีวีเหมือนกันนะครับแต่มันจะถูกตัดออกจนหมด จะมีแต่คำพูดที่อบอุ่นที่หลุดออกมาออกอากาศ ทีมงานเมื่อก่อนอาจจะรู้สึกว่าการทำงานกับผมมันยากมาก แต่ตอนนี้ผมเรียนรู้วิธีที่จะแก้ไขอะไรบางอย่างพร้อมๆกับพูดจาดีๆไปด้วยได้แล้วละครับ

GQ : อัลบั้ม WHITE NIGHT ดูจะเป็นแบบนั้นนะคะ แม้ว่าเพลงที่ดูเป็นเพลงเต้นทรงพลังก็ยังฟังอ่อนโยน
YB : ผมคิดว่ามันก็น่าจะสามารถให้ความรู้สึกแบบนั้นแหละครับ ยังไงก็ตามมันเป็นเพลงที่มีตัวตนและแนวของผมอยู่ 
GQ : ในอัลบั้มเพลงไหนเป็นเพลงโปรดของคุณคะ?
YB : ผมชอบพวกมันทั้งหมดเลยละครับ 555+ แต่ถ้าผมจะต้องเลือกแล้วละก็ผมขอเลือก Intro เหมือนกับที่ผมเลือก Intro ในอัลบั้มที่ 2 เหมือนกัน เพราะผมจะพยายามแสดงออกถึงแนวรวมภาพรวมของอัลบั้มทั้งอัลบั้มออกมาใน Intro ผมคิดว่า Intro เป็นเพลงที่แสดงออกถึงความเป็น White Night ได้มากที่สุดกว่าเพลงทั้งหมดในอัลบั้มนี้ครับ


GQ: ถ้าให้ฉันเพิ่มเติมละก็ ฉันจะบอกว่าเพลงสุดท้ายในอัลบั้มก็มีความสำคัญเท่าเทียมกับเพลงแรกในอัลบั้มของแทยังเหมือนกันนะคะ เพราะเพลงสุดท้ายมักจะประกอบไปด้วยการร้องที่ยอดเยี่ยม 
YB:เห็นด้วยครับ ผมมักจะใส่ภาพลักษณ์ที่ว่า พระอาทิตย์จะร้อนแรงที่สุดลงไปในเพลงสุดท้าย ผมไม่เคยจะยอมประณีประนอมเลยในเพลงแรกและเพลงสุดท้ายของผมในตอนที่ทำอัลบั้มที่ 2 ดังนั้นพวกมันจะบรรจุตัวตนและภาพรวมของอัลบั้มเอาไว้ครับ GQ:มีคนให้ข้อสังเกตมาว่า อัลบั้มนี้ออกจะดูสั้นไปนะคะ เหมือนกับอัลบั้มล่าสุดเรานับได้เหรอคะว่าเป็นอัลบั้มเต็ม??
YB : เห็นด้วยครับ มันน่าจะมีอย่างน้อย 10 เพลงเป็นอย่างต่ำ

GQ: คุณได้ตัดเพลงบางเพลงออกไปบ้างรึเปล่าคะ?
YB : ผมเอาเพลงบางเพลงออกไปครับ ในตอนทำอัลบั้มชุดที่ 2 แต่สำหรับอัลบั้มนี้ผมทำมันออกมาแบบนี้เลยครับ ในฐานะที่เป็นผู้สร้างสรรค์มันออกมา ผมพอใจที่ผมทำเพลงออกมาได้ 8 เพลงและใส่พวกมันทั้งหมดลงไปในอัลบั้ม มันอาจจะดีถ้าผมใส่เพลงลงไปเพิ่ม แต่ถ้าผมทำแบบนั้น ผมจะไม่สามารถออกวางแผงมันได้ในปีนี้ ผมเริ่มทำเพลงในช่วงต้นปีเลยและทำเพลงออกมาเดือนละ 1 เพลง ผมแทบจะไม่ได้พักเลย 

GQ : คุณเคยชินที่จะพยายามขัดเกลาและปรับแต่งเพลงไปเรื่อยๆแต่ตอนนี้คุณสามารถที่จะก้าวไปสู่ขั้นตอนต่อไปได้อย่างรวดเร็ว
YB:ในทางอาชีพแล้วถ้าผมไม่ทำแบบนั้นผมคิดว่ามันคงจะต้องใช้เวลานานมากกว่าที่จะถึงจุดที่ผมพอใจ ผมใช้เวลานานมากในการทำอัลบั้มชุดที่ 2 ของผมจากนั้นผมจะรู้สึกเหนื่อยและเบื่อที่จะฟังเพลงที่ผมทำออกมาตั้งแต่ต้น ผมจะเริ่มถามตัวเอง "นี่มันโอเคแล้วไม๊??" ซึ่งผมตระหนักว่าอาการติดขัดแบบนั้นมันไม่เป็นผลดีกับตัวผมครับ

GQ:คุณรู้สึกยังไงกับความจริงที่ว่า อัลบั้มนี้ได้รับการต้อนรับจากประเทศอื่นๆมากกว่าการต้อนรับในประเทศเกาหลี
YB: จริงๆผมดีใจนะครับกับคำชื่นชมที่มาจากต่างประเทศ 555+ แต่ผมก็อยากจะได้รับเสียงตอบรับที่ดีเช่นกันในประเทศเกาหลีเพราะผมเป็นนักร้องที่เป็นคนเกาหลีร้องเพลงเกาหลีนะครับ

GQ: ฉันคิดว่าแทยังเป็นนักร้องที่มีรสนิยมที่ดีในเรื่องเพลงนะคะ แต่การที่จะเข้าถึงแนวเพลงแบบเมนสตรีมนั้น พูดตรงๆก็คือ การตอบรับจากคนในประเทศเกาหลีนั้นสำคัญกับสิ่งนี้ด้วยเหรอคะ?
YB: มันไม่สำคัญหรอกครับว่าเพลงของผมจะได้รับความรักจากที่ไหนมากน้อย แต่จุดแข็งของผมนั้นผมร้องเพลงเกาหลี เสียงของผมมันมีส่วนที่ดีที่ฟังแล้วมันไม่ได้ฟังแล้วกระอักกระอ่วนสำหรับชาวต่างชาติเวลาที่ผมร้องเพลงเกาหลี ผมเติบโตมากับการฟังเพลงจากต่างประเทศก็จริงแต่อารมณ์ต่างๆของผมนั้นอยู่ที่เกาหลี มันอาจจะเป็นเรื่องยากมากขึ้นแต่มันเป็นสิ่งที่ดูใช่และดูดีกว่าที่ผมจะสามารถสร้างสมดุลที่ดีและทำให้เพลงของผมเป็นที่ยอมรับทั้งในและนอกประเทศ เอาจริงๆแฟนๆที่เป็นชาวต่างชาติของผมพวกเค้าร้องเพลงของผมตั้งแต่ต้นจนจบได้แม้ว่าพวกเค้าจะไม่สามารถเข้าใจความหมายของเพลงเลยก็ตาม ผมหวังนะครับว่าเพลงที่ผมร้องที่เป็นภาษาเกาหลีนี่จะได้รับการตอบรับที่ดีจากชาวเกาหลี

  
Q: คุณมักจะจับตามองนักร้องชาวเกาหลีอยู่ตลอด เพลงของใครคะที่คุณฟังอยู่ในช่วงนี้? 
YB : เพลงของรุ่นพี่You Jae ha ครับ ผมต้องการที่จะแสดงออกเพลงในแนวนี้ให้เป็นที่รู้จักในเทรนแนวเพลงในปัจจุบัน ในตอนที่ผมฟังเพลงในอัลบั้มเต็มอัลบั้มแรกของเค้าา มันบริสุทธิ์มาก แม้ว่ามันจะผ่านเวลามาเป็นเวลานานมากแล้วแต่มันยังสามารถทำให้เรารู้สึกเกี่ยวเนื่องได้   มันเป็นเพลงที่ทรงพลังและสามารถดึงเอาความรู้สึกออกมาขนาดนี้ได้และผมรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ที่เค้าทำเพลงแบบนี้ออกมาในยุคนั้น ผมคิดว่าวงการ KPop จะต้องแตกต่างออกไปจากนี้แน่ๆถ้าเค้ายังคงทำเพลงต่อไปจนถึงตอนนี้

GQ: มันน่าสนใจดีนะคะ ที่นักร้องที่เรียกได้ว่าเป็นนักร้องสายร้องที่ดีที่สุดในวงการตอนนี้ กล่าวชื่นชมอย่างมากให้กับนักร้องที่เพลงของเค้าถูกแบนเพราะถูกวิจารณ์ว่า ขาดทักษะในการร้องไป
YB: จริงเหรอครับ? น่าจะเป็นมาตรฐานในยุคนั้นนะครับ ผมรู้สึกว่ามันเป็นเพลงจริงๆโดยแท้สำหรับผมในตอนนี้ครับ จริงๆ เพลงมันอยู่เหนือการประเมินผลใดๆนะครับ คุณไม่สามารถที่จะเอามาตรฐานใดมาวัดได้ว่าดีไม่ดีแค่ว่า ทักษะการร้องมันไม่เข้าขั้น คุณเข้าใจที่ผมต้องการจะสื่อความหมายใช่ไม๊ฮะ??

Editor Kang Ji Young, Jung Woo Young
Photographer Hyung Sik Kim
Stylist Ji Eun
Hair Kim Tae Hyun
Makeup Lim Hae Kyung

Eng Translated by redsun for alwaystaeyang.wordpress.com
Thai Translated by Miss mew