วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

"Mad to be Normal" สัมภาษณ์ T.O.Pจากนิตยสาร Esquire/May 2015


หลังจากการสัมภาษณ์ ท็อปมาแอบกระซิบขอความช่วยเหลือว่า ขอให้บทความครั้งนี้ ไม่อ่านแล้วดูซ้ำซากจำเจนะ ฉันจะสามารถช่วยเค้าได้ไม๊หนอ??
งั้นขอยืมคำพูดของเค้ามาใช้หน่อย "ในโลกใบนี้ที่ที่คุณจะต้องบ้าเท่านั้นถึงจะเป็นคนธรรมดาได้" แล้วฉันละบ้ามากเลยไม๊?? แล้วคุณละ??  

Q.อัลบั้มใหม่ของบิกแบงกำลังจะออกวางแผงในไม่ช้านี้แล้ว 3ปีแล้วสินะคะ
A. ผมคิดว่ามันมากกว่า 3 ปีแล้วนะครับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ผมปรากฏตัวในโทรทัศน์ในฐานะนักร้อง
ผมอุทิศตัวเองเพื่ออัลบั้มนี้มากๆอย่างแท้จริงเลยละครับ มีบางส่วนในตัวผมที่ดูจะถูกจำกัดอยู่บ้างแต่ในขณะเดียวกันผมก็พยายามที่จะดึงด้านใหม่ๆของตัวเองออกมา

เนื้อเพลงบางท่อนนั้นจะตรงไปตรงมามากๆและจะยั่วยุเสียดสี ในขณะที่บางท่อน ผมจะระมัดระวังอย่างมากใส่ใจในทุกๆคำทุกๆประโยค  บิกแบงเป็นหนึ่งในวงหลักๆในตอนนี้ ไม่เพียงแต่ในประเทศเกาหลีเท่านั้นแต่ในประเทศอื่นๆอีกหลายประเทศด้วย ผู้คนจะแปลเนื้อเพลงของเราและฟังเพลงของเราด้วย เพราะว่าผมรู้แบบนี้ผมจึงทุ่มเทความพยายามอย่างมากในการเขียนเนื้อเพลงแร๊พ 16 บาร์ขึ้นมา และมีเพลงที่ผมแก้แล้วแก้อีกเป็นร้อยๆเที่ยวด้วยครับ

Q. ในฐานะแร๊พเปอร์ที่เขียนเล่าเรื่องราวออกมาด้วยตัวเอง อะไรคือสิ่งที่มอบแรงบันดาลใจให้กับคุณคะ?
A.ผมได้รับอิทธิพลและแรงบันดาลใจจากสิ่งที่พูดไม่ได้ฮะ จะได้รับแรงบันดาลใจจากความสวยงามและสิ่งของน่ารักๆมากกว่าบุคคล

Q. มีข้อความอะไรเป็นพิเศษที่คุณต้องการที่จะส่งผ่านไปให้ผู้ฟังโดยเฉพาะไม๊คะในอัลบั้มนี้
A. ในบางเพลง ผมพูดตรงๆ คือ ผมตั้งใจที่จะเขียนเกี่ยวกับว่า ผู้ชายนั้นมีความคิดเกี่ยวกับสัมพันธภาพตื้นเขินมากแค่ไหน ดังนั้นอาจจะมีสาวๆหลายคนเลยครับที่จะไม่ชอบมัน (หัวเราะ)

Q. ฉันรู้ว่าคุณมีพื้นฐานเป็นศิลปินในแนวฮิบฮอบ แต่ฉันก็รู้สึกถึงแนวร็อคด้วยในขณะเดียวกัน จริงๆแล้วดนตรีแบบไหนค่ะที่คุณติดตามอยู่
A. ผมก็เป็นแบบเดิมเสมอครับ วง บิกแบงคือวงที่มีผู้ชายที่มีแนวแตกต่างกันมารวมกลุ่มกันโดยในอัลบั้มเดี่ยวจะเป็นที่ที่เราแต่ละคนดึงเอาแนวของตัวเองออกมาแล้วหาจุดที่จะตกลงกับทางบริษัทได้ ผมชอบเพลงหนักๆและผมก็พยายามทำให้ที่ดีที่สุดในการที่จะดึงส่วนนั้นของตัวเองออกมาครับ 

Q. เพลงหนักๆเหรอคะ…
A. คือแต่ผมก็ชอบเพลงที่อบอุ่นๆด้วยในขณะเดียวกันนะฮะ นอกจากนี้ผมก็ชอบเพลงคลาสลิกด้วย และผมก็มีความสุขในการฟังเพลงของ Pink Floyd มาตั้งแต่เด็กๆ เวลาที่ผมฟังเพลงอย่างเพลงฮิบฮอบ เศษเสี้ยวแห่งความรุนแรงเหมือนจะค่อยๆก่อร่างสร้างตัวขึ้นในตัวผม ผมจะกดความรู้สึกนี้ไว้โดยการฟังเพลงที่เบาๆเมื่อตอนที่ผมอยู่คนเดียวครับ


Q. เป็นเวลากว่า 10 ปีแล้วนะคะตั้งแต่บิกแบงเดบิวต์มา
A. เส้นทางของพวกเราตอนนี้ชัดเจนมากๆ ผมสามารถมองเห็นอะไรบางอย่างในตัวเราที่กำลังติดต่อสื่อสารกับคนทั่วไปในเจเนเรชั่นเดียวกับพวกเราและเป็นอะไรที่สดใหม่

Q. เวลาที่ผู้ชายที่อยู่ในช่วงอายุเดียวกันทำงานร่วมกันมาเป็นเวลานาน พวกคุณแต่ละคนคงต้องเป็นห่วงเรื่องคาแรคเตอร์ของตัวเองบ้างใช่ไม๊คะ?
A. มันเป็นกระบวนการที่จะพิจารณาตัวตนภายในของตัวเองนะฮะ ผมก็ยังไม่ค่อยแน่ใจเลยว่าตัวเองเป็นคนแบบไหน ผมคงจะรู้ได้เมื่อตอนที่ตัวเองอายุราว 40 ละมั้งครับ? ผมยังรู้สึกแปลกใหม่กับตัวตนของตัวเองอยู่เสมอๆ ผมจะรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ก็ต่อเมื่อผมอยากจะรู้สึก และผมก็จะทำงานก็ต่อเมื่อตัวเองรู้สึกแปลกใหม่แบบนั้นเท่านั้น

Q. งั้นก็ต้องดูแปลกใหม่อยู่ในทุกๆครั้ง คุณคงอยู่ภายใต้การกดดันและความเครียดมหาศาล??
A. ผู้คนส่วนใหญ่จะมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความกดดันและเป็นความเครียด ผมเองก็เคยคิดแบบนั้นเหมือนกันในตอนที่ยังเด็กกว่านี้ แต่ตอนนี้ไม่เป็นแบบนั้นแล้วละฮะ หลังจากที่ผมเดินทางมาถึงช่วงจุดเปลี่ยน เวลาที่ผมเขียนเพลงแร๊พหรือฟังเพลง ภาพต่างๆจะปรากฏขึ้นมาในใจของผมก่อน ดังนั้นภาระหรือความลำบากที่จะต้องคิดวิธีที่จะแสดงออกสู่สาธารณชนให้แปลกใหม่ในตอนนี้เลยหายไปแล้วละครับ


Q. คุณใช้ชีวิตอยู่ในบ้านตลอดตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่อง Tazza2 ออกฉาย เลยนะคะ
A. :ผมชอบที่จะยั้งๆจำกัดตัวเองเอาไว้ครับ ที่ทำแบบนี้ก็มาจากแนวโน้มหรือวิถีทางที่แตกต่างกันไป ผมต้องการที่จะแสดงออกงานที่ผมทำในขั้นตอนสุดท้ายที่งานมันเสร็จสมบูรณ์ออกมาแล้ว ผมควรจะพูดว่า ผมคิดว่าการที่แสดงออกชีวิตประจำวันทั่วๆไปของผมออกมานั้นมันเป็นวิธีที่จะทำให้ผมหมดพลังไปครับ

Q. แล้วคุณไม่รู้สึกกังวลเหรอคะว่าคนจะลืมคุณไปนะ
A. ไม่ครับ ผมจำเป็นต้องมีเวลาที่ทำสมาธิและคิดสะท้อนตัวตนของตัวเองว่าควรจะทำอะไรต่อไปเพื่อเป็นการดึงเอาพลังของตัวเองกลับคืนมาครับ ความหดหู่ที่มันจะเกิดขึ้นเมื่อต้องเปิดเผยตัวตนของตัวเองมันมีมากกว่าความกังวลความหดหู่ที่เกิดขึ้นเวลาที่เก็บตัวอยู่กับตัวเองครับ

แน่นอนว่า คนในเจเนเรชั่นเราได้บอกเราว่ามันจะเป็นการดีในการที่จะติดต่อสื่อสารกับภายนอกให้มากที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้และให้ใกล้ชิดกับสาธารณะให้มาก แต่สำหรับผมผมคิดว่ามันจำเป็นที่จะต้องยังคงรักษาระยะห่างเอาไว้ ด้วยวิธีนี้ ความสดใหม่ก็จะยังอยู่เป็นเท่าตัวด้วย ถ้าคุณทำตัวใกล้ชิดกับสาธารณะมากไป บางครั้งคุณก็จะต้องเริ่มที่จะเสแสร้งแกล้งทำ และ จุดอ่อนบางอย่างที่แม้แต่ตัวคุณเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีด้วยซ้ำก็อาจจะเปิดเผยออกมา ดังนั้นผมไม่อยากจะเป็นดาราในแวดวงกอซซิบ และผมก็จะไม่ได้ใช้ SNS ด้วยครับ

Q. แล้ววางแผนว่าจะใชไม๊คะ?
A. ผมควรจะเริ่มใช้ในช่วงอัลบั้มใหม่นี้เลยไม๊ฮะ??

Q. สมาชิกคนอื่นในวงบิกแบงต่างก็ใช้ SNS นะคะ
A. ตอนนี้มีแอคเค้าส์ปลอมมากมายบนโลก SNS ที่ใช้ชื่อผมครับ สมาชิกในวงอยากให้ผมเริ่มใช้ SNS เพราะว่าตัวผมไม่ค่อยได้ติดต่อสื่อสารกับแฟนๆของผมเท่าไหร่ พวกเค้ายังบอกว่า "จะได้รับอะไรมากมายมากกว่าที่จะสูญเสียจากการใช้ SNS " และผมก็รู้สึกเสียใจที่ผมขาดการติดต่อสื่อสารกับแฟนๆจริงๆ บางทีผมอาจจะเริ่มใช้ SNS เพื่อการโปรโมทอัลบั้มใหม่นี้ก้ได้นะครับ (หัวเราะ)


Q. คุณควรไปปรากฏตัวในแฟชั่นวีคที่ต่างประเทศเหมือนสมาชิกคนอื่นในวงบ้างนะคะ คุณไม่ชอบแฟชั่นหรอกเหรอคะ?
A.ผมไม่ชอยการเป็นที่สนใจจากคนหมู่มากครับ ผมเอาแต่พูดแบบนี้เรื่อยๆแต่ก็นี่เป็นแค่ผมแหละครับ ผมจะทำอะไรก็ต่อเมื่อผมคิดว่ามันจำเป็นเท่านั้นครับ

Q. บิกแบงได้ลงมือทำหลายสิ่งหลายอย่างในช่วง 10ปีที่ผ่านมานี้ ไม่เพียงแต่ในเรื่องของเสียงเพลงเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงเรื่องของแฟชั่น วิถีชีวิต พฤติกรรมต่างๆ ง่ายๆคือพวกคุณทำให้ประเทศเกาหลีมีสีสันมากขึ้น และได้พิสูจน์ให้โลกเห็นความจริงในข้อนี้ด้วย
A. ตอนนี้มันกลายเป็นเรื่องที่สำคัญจริงๆครับ ผมมักจะคิดเอาไว้ในใจเสมอ อาจจะเรียกว่าตัวเองเกือบจะกระหายอยาก ในการที่จะเป็นคนที่สดใหม่และเป็นคนที่มีคุณสมบัติเพียงพอให้กับคนรุ่นหนุ่มสาวและเพื่อนๆที่จะเติบโตไปพร้อมกับผมด้วยครับ 

Q. คุณเคยประสบกับช่วงเวลาที่ยากลำบากบ้างไม๊คะ?
A. ผมรีบลืมความทรงจำในช่วงเวลาที่ยากลำบากไปอย่างรวดเร็วครับ ก็เหมือนกับทุกๆคน ทุกวันเป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับผม

Q.แต่คุณก็จะต้องมีแรงผลักดันที่จะคอยทำให้คุณก้าวไปข้างหน้าต่อไป อืมม เหมือนกับ เป้าหมายที่คุณจะต้องทำให้สำเร็จลุล่วงในฐานะนักดนตรีมันคืออะไรคะ
A. ผมจะไม่เก็บเอาความทะเยอะทะยานที่ไร้ประโยชน์เอาไว้ฮะ ผมจะได้รับแรงบันดาลใจจาก การดีไซน์และชิ้นงานศิลปะ และจากการที่ได้มองดูสิ่งใหม่ๆและประสบกับความสวยงาม และนั่นเป็นแหล่งพลังที่ทำให้ผมมีความอดทน ผมจะรู้สึกอ่อนไหวมากๆกับสิ่งที่มีความงามตามธรรมชาติ พวกมันจะคืนความสดชื่นให้กับผมครับ

Q.การใช้ชีวิตเป็นชเวซึงฮยอนในฐานะนักแสดงเป็นยังไงบ้างคะ? 
A. มันสนุกดีครับ (หัวเราะ)

Q. ในวงการนักแสดงมีเรื่องของพฤติกรรมอะไรที่จะต้องอยู่ในขอบเขตไม๊คะ?
A. จะพูดยังไงดี คือผมไม่ใช่คนประเภทที่จะประจบสอพลอรุ่นพี่หรือใช้ความน่ารักเข้าหารุ่นพี่ครับ ดังนั้นความชอบหรือไม่ชอบของผมจะชัดเจน รุ่นพี่บ้างก็พูดว่าผมไม่มีมารยาท บ้างก็ว่าผมเป็นคนสุภาพ ผมคิดว่ามันขึ้นอยู่กับว่าคุณจะยอมรับมันยังไง แทนที่ผมจะทำตัวแตกต่างไปเมื่ออยู่ต่อหน้ารุ่นพี่ผมจะพยายามที่จะสุภาพกับทุกๆคนและยังคงรักษาระยะห่างเอาไว้ด้วยครับ ครั้งนึงมีบทความเขียนเกี่ยวกับผมว่า ผมเป็นคนชอบเข้าสังคม คือผมจะรักษามารยาทของผม แต่ผมไม่ใช่คนชอบเข้าสังคม


Q.ก็เหมือนกับงานเพลงนะคะ ไม่ใช่ว่าแค่พยายามอย่างหนักก็จะลงมือแสดงได้
A. ผมแค่บ้าครับ ผมไม่ได้พูดถึงบ้าแบบเสียสตินะครับ แต่ผมบ้าเสียงเพลงในตอนที่ทำงานเพลงและผมก็บ้าในตัวคาแรคเตอร์ในตอนที่ลงมือแสดง ผมทำทั้งหมดแบบนี้แหละครับโดยที่ไม่ได้คิดว่าพวกมันเป็นความเครียดมหาศาลเลย

เหมือนกับที่ผมพูดไปก่อนหน้านี้ ในอัลบั้มใหม่นี้ ผมแก้ไขคำเพียงคำเดียวเป็นร้อยๆครั้ง ผมไม่ได้ทำเพราะดื้อรั้นดันทุรังทำนะครับ ผมทำแบบนี้เพราะผมบ้าอยากจะทำ

Q. คุณเป็นคนอ่อนไหวนะคะ
A. ผมเป็นคนอ่อนไหวครับ และนั่นเป็นสาเหตุที่ผมไม่ออกบ้านไปเจอคนเยอะๆ มันไม่ใช่ว่าผมตั้งใจจะทำตัวให้ดูลึกลับหรอกนะครับ ผมระมัดระวังมากและอ่อนไหวมากกับเรื่องเล็กๆน้อยๆ และนั่นทำให้ผมไม่ค่อยออกจากบ้านยกเว้นว่าจะมีงานที่จะต้องไปอย่างเป็นทางการ ผมพบปะกับคนที่สนิทกับผมเท่านั้นครับ

Q. แบบนี้วันๆทำอะไรบ้างคะเนี่ย??
A. ในช่วงที่นิตยสารเล่มนี้จะวางแผง (ช่วงเดือนเมษายนค่ะ นิตยสารเป็นของเดือนพฤษภาคม) จะมีโปรแกรมงานแสดงศิลปะที่เรียกว่า ‘Prudential Eye Zone (งานนิทรรศการที่จะสนับสนุนศิลปินในภูมิภาคเอเซีย) จัดขึ้นที่ประเทศสิงคโปร์ครับ พวกเค้าเตรียมงานนิทรรศการศิลปะโดยคัดเลือกศิลปินที่กำลังมาแรงจากประเทศเกาหลีและในญี่ปุ่นมาจัดแสดง ซึ่งได้ทำการคัดเลือกไปเรียบร้อยแล้วครับ

Q.ผู้ดูแลนิทรรศการ......การคัดเลือกงานจากศิลปินมากมายคงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะคะ
A. ผมไม่ได้ทำงานนี้เพราะมีเป้าหมายเป็นอย่างอื่นเลยครับ ผมทำเพราะผมชอบมันจริงๆ ผมมีความสุขในการพบปะพูดคุยกับศิลปิน การที่ได้เห็นผู้คนใส่หัวใจและจิตวิญญาณลงไปเพื่อทำให้ชิ้นงานนั้นเสร็จสมบูรณ์มันกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับผม เหมือนกับตัวผมที่ต้องทำงานในส่วนที่จะคืนความสดชื่นสดใสที่ไม่เคยเห็นมาก่อนนำเสนอให้กับผู้ชมผู้ฟังทั้งในงานเพลง การแสดง และ การขึ้นเวทีคอนเสริต์ งานของผมกับเหล่าศิลปินหล่านั้นจึงมีอะไรที่คล้ายกันอยู่

ผู้มาเยือนจากประเทศอื่นๆ พวกเค้าชื่นชมสรรเสริญและแปลกใจกับการที่ได้เห็นชาวเกาหลีแต่งตัวมันเป็นเรื่องจำเป็นที่จะแนะนำสีสันความสดใสของศิลปินรุ่นใหม่นี้ให้กับประเทศต่างชาติอื่นๆครับ



Q. บางครั้งมีคำพูดที่ได้ยินบ่อยๆเลยว่า คนในเจเนเรชั่นใหม่นี้ดูจะมีความเยอะเกินพอดีไปในแง่ของงานศิลปะ นะคะ
A. ทุกอย่างที่ไม่มีแก่นแท้ย่อมจะอยู่ได้ไม่นานหรอกครับ ตัวผมเป็นนักร้องและเป็นนักแสดงด้วย แต่ถ้าผมพูดว่า "เพราะผมขอบงานศิลปะ ผมจะเริ่มมุ่งความตั้งใจของผมไปที่การวาดรูปและการสร้างงานประติมากรรมเท่านั้นในตอนนี้" ถ้าผมพูดแบบนี้จะถูกนับว่า เยอะไปไม๊ครับ??

Q. แต่คุณก็ทำได้นี่คะ ??
A. ก็เหมือนกับที่ผมเคยเลือกเสื้อผ้าให้เพื่อนๆในช่วงที่ผมบ้าคลั่งเสื้อผ้าแหละครับ มันก็จริงที่พวกเรา "เยอะ"จนเกินพอดี แต่ผมคิดว่าเกาหลีสามารถที่จะมีความเยอะกว่านี้ได้อีก ทั้งเรื่องของ แฟชั่น การดีไซน์ และงานศิลปะต่างถูกปฏิเสธในเกาหลี ทั้งๆที่ความจริงแล้วชาวเกาหลีเป็นหนึ่งในชนชาติที่เจริญรอยตามวิถีแห่งความงาม

บางครั้งเวลาที่ผมมองไปที่โครงสร้างอะไรบางอย่าง ผมจะคิดว่า "พวกมันน่าจะทำออกมาได้ดีกว่านี้" ไม่ก็ "พวกมันยังมีอะไรอีกมากเลยละที่จะต้องทำ" สำหรับพวกเราแล้วมันจะต้องมีความ"เยอะ"กว่านี้ที่จะดันสิ่งเหล่านี้และดึงเอาสิ่งที่ดีที่สุดออกมา 

ในอนาคตก็ด้วย ศิลปะและวัฒนธรรมจะมีบทบาทที่สำคัญในการที่จะทำให้เราได้รับเงินตราต่างประเทศเข้ามา ผู้ใหญ่บางคนวิจารณ์วงไอดอลโดยบอกว่าพวกวงไอดอลปรากฏตัวในโทรทัศน์มากไปแล้ว หรือ วิจารณ์ว่า แต่งกายไม่เหมาะสม แต่ท้ายที่สุดแล้ว ไอดอลเป็นตัวที่สร้างเงินตราต่างประเทศเข้ามาในประเทศมากที่สุดในบรรดาอุตสาหกรรมบันเทิงนะครับ

Q. คุณพูดถูกเลยละค่ะ
A. คนที่คอยพูดขัดคือคนที่มีปัญหานะครับ มีคนคอยพูดว่า " อ๋า เค้าคิดว่าเค้าเป็นศิลปินละ" ไม่ก็ "เค้ากำลังเสแสร้งทำเป็นมีความรู้สึกอินหลงใหลละ" เวลาที่มีคนเปิดเผยบุคคลิกหรือความคิดของเค้าออกมาที่มันแตกต่างไปจากของคุณ ก็ขอให้ปล่อยมันออกมาเถอะครับ นอกจากนี้ มันดูไม่สมเหตุสมผลเลยที่จะคอยตระหนกไปถึงวิธีที่คนอื่นจะมองมา และ เอาแต่กลัวไม่แสดงออกตัวตนของตัวเองออกมาครับ

Q. โดยเฉพาะที่เกาหลีนี่ดูจะจริงที่สุดเลยนะคะ
A. โลกเราจะมีการพัฒนาไปได้ ก็ต่อเมื่อทุกคนใช้ชีวิตอย่างเต็มภาคภูมิในความเป็นตัวของตัวเองครับ


Q.คุณคิดว่าศิลปะจะกลายมาเป็นอุตสาหกรรมศิลปะได้ไม๊คะ?? ตอนนี้เงินสะพัดมากในอุตสหกรรมบันเทิงและในวงไอดอล แต่เรายังคงขาดแคลนการทำให้แฟชั่นและงานศิลปะ ให้กลายเป็นอุตสาหหรรมขึ้นมาได้อยู่
A. ผมเชื่อว่าเขตแดนระหว่าง เสียงเพลง งานวิจิตรศิลป์และงานดีไซน์ จะถูกทำให้หายไปในท้ายที่สุด พราะตอนนี้ผู้เสพงานเหล่านี้มีมาตรฐานที่สูงมาก พวกเราไม่อาจจะเติมเต็มความคาดหวังของพวกเค้าได้เพียงแค่ทำงานที่แสดงออกมาให้มีความสมบูรณ์แบบเท่านั้น ก็เหมือนกับ ตัววีดีโอมีความสำคัญมากในอุตหกรรมเพลง ดังนั้น แฟชั่น วิจิตรศิลป์ และงานดีไซน์ควรทำงานร่วมกันในฐานะที่เป็นอุตสาหกรรมเดียวกันไปเลย เพื่อที่จะได้มีการพัฒนาและเกิดผลประสานกำลังซึ่งกันและกัอย่างเกิดผล

Q. ในฐานะที่เป็นผู้ดูแลงานนิทรรศการ คุณประเมินค่าของแต่ละชิ้นงานยังไงคะ??
A. ผมจะมุ่งไปที่กรอบความคิดของงานครับ ผมจะพิจารณาคอนเซ็บซ์ของศิลปินนั้นว่ามีความหนักแน่นและมีความหมายในเชิงวัณกรรมเป็นอย่างไร และ ดูว่าความสวยงามเหล่านั้นถูกบรรยายออกมายังไง ผมได้พูดถึงความมากที่เกินปกติไปเมื่อตอนต้นและผมเชื่อว่าเฉพาะ"ตัวจริง"เท่านั้นที่จะสามารถอยู่ได้ตลอดไป ผมจะดูคนที่มีพลังประทุอยู่ในใจเหมือนภูเขาไฟ คนที่บ้าในสิ่งที่เค้ากำลังทำ คนเหล่านี้จะมีชีวิตรอด ผมใช้สัญชาตญาณดูกรอบความคิดภาพรวมของพวกเค้าว่าแข็งแกร่งแค่ไหนครับ

Q. เด็กชายอายุ 19 ปีในตอนนี้ได้กลายมาเป็นผู้ชายอายุ 29 ปีแล้วและในตอนนี้เค้ามีงานที่จะทำสู่สังคมเพิ่มขึ้นอีก นอกจากนี้ยังมีความเชื่อเรื่องไสยศาตร์เกี่ยวกับปีที่อายุลงท้ายด้วยเลข 9 ที่เชื่อว่าจะมีสิ่งร้ายๆเกิดขึ้นในปีเหล่านี้  คุณวางแผนว่าจะใช้ชีวิตในช่วงปีสุดท้ายของวัย 20 ไว้ยังไงคะ?
A. ผมแค่อยากให้หัวใจของผมโบยบินเหมือนติดปีก ผมสามารถจะรู้สึกได้ว่าตัวเองนั้นมีพลังล้นเหลือในตอนที่ใจเต้นแรง มันไม่สำคัญหรอกครับว่าอัลบั้มบิกแบงจะขายดีไม๊ หรือ เราจะได้วิวในยูทูปมากแค่ไหน ความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นในวันก่อนที่ MV จะออกฉาย การที่สงสัยว่าผู้คนจะคิดยังไงกับมัน สิ่งเหล่านี้นี่แหละที่สำคัญมากกว่า ความตื่นเต้นที่ตามมาจากงานที่ผมใส่ความรักและความพยายามลงไป

Q. ในฐานะที่ฉันเป็นบรรณาธิการนิตยสารแฟชั่น ฉันอยากจะถามคุณว่าคุณเคยชอบเสื้อผ้าแต่ดูเหมือนว่าคุณจะเลิกชอบพวกมันแล้วใช่ไม๊คะ?
A. ผมอยู่ในช่วงของการสวมใส่ชุดนอนครับ (หัวเราะ) ผมยังคงชอบเสื้อผ้าครับ แต่ผมไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าที่ไม่จำเป็นอีกแล้วครับ ผมคิดว่าผมได้รับวิธีในการที่จะเลือกซื้อแต่ของที่จำเป็นเท่านั้นจริงๆมาแล้ว 
ผมไม่เชื่อว่าการที่สวมใส่เสื้อผ้าราคาแพงๆจะทำให้คุณดูมีสไตล์ได้ ความสมดุลนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ
มันจะต้องไม่มากจนเกินไปและก็ไม่น่าเบื่อ มันจะเป็นจุดที่อยู่ตรงกลางระหว่าง 2 อย่างนี้ และนั่นทำให้แฟชั่นเป็นเรื่องยากมาก แต่เหนือสิ่งอื่นใดคุณจะต้องมีแนวของตัวเองก่อน


Eng Translation by: xxxibeunjn
Thai translation by miss mew
Source:imagazine