วันพุธที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

YG:เพลงใหม่ของ BB และ 2ne1 ได้คะแนนเต็ม100

ช่วงนี้มีแต่สัมภาษณ์จากนิตยสารญี่ปุ่นออกมาคะ สารภาพว่าอ่านแล้วแลดูคล้ายๆกันไปหมดไม่ค่อยมีแง่มุมน่าสนใจเท่าไหร่ ส่วนข่าวใหม่ๆก็ไม่ค่อยมีอะไรคืบหน้ามีแต่เรื่อง World tour และเรื่องการรีแพคเกจอัลบั้มออกมา ส่วนสาวๆประจำบ้านก็กำลังจะคัมแบคกันนะคะ ปีนี้ดูยุ่งกันมากๆแต่ส่วนใหญ่ก็ไปยุ่งที่ต่างประเทศ KVIP บ่นน้อยใจกันใหญ่ พาลไปเกลียดท่านลุงกันอีก -_-!!! ยิ่งออกข่าวว่าอัลบั้ม Still alive จะไม่มีการโปรโมทในเกาหลีอีก ก็ยิ่งน้อยใจมากขึ้น

ยังไงก็ตาม 2-3 วันนี้ก็มีเรื่องให้ตื่นเต้นมากหน่อยคะ ทางYG ปล่อยทีเซอเพลง Monster สั้นๆออกมาให้รอดูกันทุกๆ 4 ทุ่ม และ ออกให้ข่าวยั่วว่าเพลงใหม่ เพราะมากๆ (อวยกันเอง 55555)

ไม่มีบทสัมภาษณ์น่าสนใจ ก็ อ่านข่าวกันซักหน่อยเนอะค่ะ 

=================


 Yang Hyun Suk, " เพลงใหม่ของบิกแบงและทูเอนี่วันได้ 100 คะแนนเต็ม "

ศิลปินหลักของค่าย  YG Entertainment  Bigbang และ 2NE1 จะมีการคัมแบคพร้อมๆกันในเร็วๆนี้ ทั้งแฟนๆและวงการเพลงต่างก็สนใจในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก

ในวันที่ 29 พฤษภาคม ท่านประธาน ยางฮยอนซอก ได้บอกกับทาง  "Star In E" ว่าในวันที่ 3และวันที่6มิถุนายนเพลงใหม่ของ Bigbang จะออกวางแผง และ จะตามมาด้วยอัลบั้มใหม่ของ 2NE1 ที่มีการยืนยันแล้วว่ามีคิวออกในช่วงเดือนมิถุนายนนี้เช่นกัน

อัลบั้มใหม่ของบิกแบงในครั้งนี้มีชื่อว่า Still Alive จะมีเพลงใหม่ 5 เพลงซึงจะมีเพลง Monster เป็นเพลงโปรโมท ในอัลบั้มนี้จะมีการรวมเอาเพลงในอัลบั้ม Alive เข้ามาบรรจุในอัลบั้มนี้ด้วย แต่พวกเค้าจะไม่ทำการโปรโมทอัลบั้มใหม่ในครั้งนี้เนื่องจากว่าบิกแบงกำลังทัวร์คอนเสริ์ตอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น

ส่วนแฟนเพลงของสาวๆ 2NE1 ก็ถึงเวลาสิ้นสุดการรอคอยกันด้วยเช่นกัน ในตอนนี้ทาง 2Ne1 และโปรดิวเซอร์ Teddy ได้ทำเพลงใหม่เสร็จไปแล้ว 7 เพลง ซึ่งในตอนนี้กำลังปรึกษากันอย่างเคร่งเครียดว่าจะเลือกเพลงไหนมาเป็นเพลงโปรโมท และ จะออกเปิดตัวอัลบั้มใหม่นี้เมื่อไหร่ ซึ่งในการโปรโมทจะมีกิจกรรมต่างๆรวมทั้งจะออกปรากฏตัวในรายการทีวีอีกด้วย ในขณะนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าอัลบั้มนี้จะเป็นอัลบั้มเต็มหรือเป็นมินิอัลบั้ม

ท่านยางกล่าวแสดงความมั่นใจในการคัมแบคครั้งนี้ว่า " ในตอนนี้ทั้งบิกแบงและทูเอนี่วันต่างก็มีศักยภาพเพิ่มมากขึ้นกว่าตอนที่เริ่มเดบิวมาก ดังนั้นพวกเค้าจึงทุ่มเทความพยายามทำออกมาอย่างดีที่สุดเท่าที่พวกเค้าจะทำได้ ส่วนตัวแล้วผมคิดว่าผมให้คะแนนทั้งสองวงนี้ได้ 100 คะแนนเต็ม สำหรับเพลงใหม่ที่ทำออกมา " 

นอกจากนี้ยังเสริมว่า " จริงๆแล้วในใจผมผมรู้สึกไม่ค่อยกังวลในเรื่องของวง 2ne1 นะครับ พวกสาวๆทำออกมาได้ดีเสมอเวลาที่ออกเพลงใหม่ เรื่องของแฟชั่นของพวกเค้าก็เป็นทักษะพิเศษที่เพิ่มเข้ามาทำให้ภาพลักษณ์ของวงก็เป็นที่จดจำได้ไปแล้ว การคัมแบคครั้งนี้เป็นอะไรที่น่าจับตามองจริงๆครับ 

Source: E Daily via Nate News http://news.nate.com/view/20120529n27768
Eng Translated by: BlackjackBelle@OhDara/ SlaveTranslator@WeLoveDara
Thai Translation by mew mini museum 


====================


บิกแบงตัดสินใจจะไม่มีการแสดงใดๆและกิจกรรมโปรโมทสำหรับอัลบั้มพิเศษ Sill Alive ที่เกาหลี

บิกแบงจะมีเพลงใหม่ 5 เพลงในอัลบั้มพิเศษ Still Alive รวมถึงเพลงของพวกเค้าที่ออกมาก่อนหน้านี้ด้วยซึ่งจะมีการออกขายเพลงออนไลน์ก่อนในวันที่ 3 มิถุนายนและตัวอัลบั้มจะออกมาในวันที่ 6 มิถุนายน แต่แฟนๆที่เกาหลีจะไม่ได้เห็นพวกเค้าแสดงเพลงใหม่ในครั้งนี้บนเวที   

ในวันที่ 29 พฤษภาคม ทางตัวแทนวายจีเอนเตอร์เทนเม้นซ์ ได้ให้ข่าวกับทาง Osen ว่า " บิกแบงจะออกอัลบั้มใหม่ในวันที่ 3 มิถุนายนครับแต่พวกเค้าจะไม่มีการขึ้นแสดงเพลงใหม่นี้บนเวทีที่เกาหลี เพราะทางบิกแบงมีเวลาไม่พอเนื่องจากกำลังมีทัวร์คอนเสริต์ที่ประเทศญี่ปุ่นไม่หยุดเลยไปจนถึงวันที่ 24 มิถุนายน ซึ่งเป็นส่วนนึงของการทัวร์คอนเสริต์รอบโลกของพวกเค้า "

นอกจากนี้ทางวายจียังกล่าวด้วยว่า "อัลบั้ม Still alive นี้ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อเป็นการตอบแทนแฟนๆสำหรับความรักที่ยิ่งใหญ่ที่แฟนๆมอบให้กับบิกแบงในการออกมินิอัลบั้มชุดที่ 5 ในตอนนี้เราต้องขอขอบคุณสำหรับความรักที่แฟนๆให้ความสนใจเพลง Monster ซึ่งตอนนี้มีการตัดต่อทีเซอออกมาอีกด้วย"

เพลง ‘Monster’ เป็นเพลงหนักๆซึ่งจะต่างไปจากเพลงของบิกแบงที่เคยออกมาแล้ว ส่วนมิวสิควีดีโอเพลงนี้ว่ากันว่ามีการถ่ายทำในระดับภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เลยทีเดียว 

ในอัลบั้มใหม่นี้จะมีเพลงใหม่ 5 เพลงและรวมเอาเพลงจากมินิอัลบั้มชุดที่ 5 อย่างเพลง   ‘Blue,’ ‘Bad Boy,’ ‘Fantastic Baby,’ และ ‘Love Dust.’ เข้ามาไว้รวมกันด้วย ในอัลบั้มชุดนี้มีการร่วมงานกันกับทาง  Hyundai Card ที่เข้ามาร่วมสร้างสรรค์ความเป็นเอกลักษณ์และเปื่ยมไปด้วยสไตล์ในแบบของบิกแบงออกมาเพื่อเป็นการยกระดับเปลื่ยนโฉมในเรื่องของการดีไซน์อัลบั้มและโลโก้ของบิกแบงออกมาใหม่

ในขณะนี้บิกแบงกำลังมีทัวร์คอนเสร์ตที่ประเทศญี่ปุ่นโดยเริ่มจากที่Nagoya ในวันที่ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมาและจะไปสิ้นสุดในวันที่ 24 มิถุนายนที่ Fukuoka นอกจากนี้บิกแบงยังจะมีคอนเสริต์ใน เอเซีย อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ และในยุโรป รวม 25 เมือง 16 ประเทศไปตลอดทั้งปีนี้ด้วย

source: http://www.kpopstarz.com 
Thai Translation by mew mini museum

วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

สัมภาษณ์ Daesung แห่งวง BIGBANG จาก 10ASIA



จะเป็นยังไงกันนะในการที่จะใช้ชีวิตในแบบบิกแบง?? พวกเค้าประสบความสำเร็จอย่างมาก ชีวิตที่ต้องแบ่งเวลา 24 ช.ม มาใช้ให้มีค่ามากที่สุดทุกนาที และ มีสายตาของผู้คนคอยจับจ้องอยู่ตลอดเวลา บิกแบงเปรียบเสมือนเป็นเรือลำใหญ่ในวงการ KPOP แต่จุดมุ่งหมายที่เค้าจะต้องแล่นเรือลำนี้ไปนั้นเป็นทะเลอันไพศาลที่สามารถจะกลืนพวกเค้าลงไปได้ทุกขณะ แม้ว่าพวกเค้าจะมีพื้นฐานที่มั่งคงในงานก็ตาม คุณจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเมื่อไหร่พายุจะเข้ามา 

ในการให้สัมภาษณ์กับ 10asia ครั้งนี้ หนุ่มๆบิกแบงได้พูดถึงความสุขและความคิดภายในใจของพวกเค้าแทนที่จะพูดถึงเรื่องความโด่งดังและความคิดในสายตาของคนอื่น ในขณะที่ทุกคนพร่ำบอกว่าพวกเค้าได้เดินเข้ามาถึงช่วงจุดสูงสุดในสาขาอาชีพนี้แล้ว สมาชิกบางคนในวงกลับต้องเผชิญกับเส้นทางวิบากในชีวิต บางคนก็กำลังหาทางออกให้กับปัญหาของตัวเอง ท่ามกลางความสับสนอลหม่านที่เกิดขึ้น แดซองได้เหยียดนิ้วอย่างเต็มกำลังชี้ไปบนฟ้าในขณะที่กำลังร้องเพลง "FANTASTIC BABY." เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะล่วงรู้ได้ว่าเค้ากำลังคิดอะไรอยู่ในใจขณะนั้น แต่สิ่งนึงที่แน่นอนคือ เค้ากำลังอยู่บนเวทีและร้องเพลงในท่อนที่เด่นที่สุดของเพลง โดยที่ยังไม่ได้หยุดพักแดซองพูดให้เราฟังถึงเรื่องราวทั้งหมดอย่างใจเย็นถึงเรื่องราวที่ทำให้เค้าได้ขึ้นไปบนเวทีและร้องเพลงต่อหน้าผู้คนแบบนี้

"เป้าหมายของผมคือ การเป็นนักร้องที่สามารถนำความสุขไปสู่ผู้คนได้ครับ" 


Q: การที่การโปรโมทในครั้งนี้เสร็จสิ้นลงไปแล้วน่าจะมีความหมายกับคุณมากกว่าคนอื่นนะครับ คุณจะบรรยายความรู้สึกของคุณออกมาเป็นคำพูดได้ว่ายังไงบ้างครับ??
Daesung: มีเรื่องมากมายเกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วนะครับและมันเป็นเรื่องจริงที่ว่าผมมีภาระอันใหญ่หลวงตามมา ผมยังมีความกังวลเกี่ยวกับการกลับมาทำงานในช่วงนั้นอีก แต่เมื่อเปรียบเทียบเวลาและพลังงานที่ผมสูญเสียไปกับการกังวลแล้ว ผมได้รับความรักมากมายในตอนที่อยู่ในทีม เมื่อมองย้อนกลับไปดู เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่วยสร้างโอกาสให้เราได้สานสายสัมพันธ์ระหว่างกันให้แข็งแกร่งแน่นหนาขึ้นเมื่อเราอยู่ด้วยกัน ดังนั้นผมอยากจะพูดว่าช่วงระยะการโปรโมทนี้เป็นเหตุการณ์ที่มีความสุขที่สุดในชีวิตนักร้องของผมครับ

Q: เพลง "BLUE" ได้ให้ความรู้สึกเหมือนน้ำแข็งที่กำลังละลาย เมื่อดูจากสถานการณ์ของคุณแล้ว คุณคงมีความคิดมากมายเข้ามาในหัวเวลาร้องเพลงนี้ไม๊ครับ??
Daesung: ตอนที่ผมอยู่บนเวทีผมจะไม่เอาความรู้สึกของตัวเองหรือประสบการณ์ของตัวเองไปเชื่อมต่อกับเพลงที่ร้องครับ ผมแค่ทำตามหน้าที่ของผมในฐานะที่เป็นนักร้อง ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้ว ผมจะพยายามส่งความรู้สึกเหงาและความโดดเดี่ยวที่อยู่ในเพลง BLUE ออกมาแทนที่จะถ่ายทอดอารมณ์ส่วนตัวของตัวเองออกมานะครับ แน่นอนว่าผมสามารถที่จะสะท้อนเอาความโดดเดี่ยวและความเหงาออกมาได้จากเรื่องราวมากมายที่ตัวเองได้รับจากประสบการณ์ที่ผ่านครับ

Q: หมายความว่าตอนนี้คุณจะตั้งใจตั้งสมาธิไปอยู่ที่การร้องเพลงเท่านั้นเวลาอยู่บนเวทีเหรอครับ?? ดูคุณส่งอารมณ์ได้เป็นอย่างดีในตอนที่ชี้นิ้วไปบนฟ้าและการแสดงออกนี้เป็นที่สนใจและจับใจคนดูได้มากเลยนะครับ
Daesung: คือ ผมไม่สามารถที่จะพูดได้ว่าผมสบายๆ หรือผมสุขุมสงบในทุกๆเรื่องที่เกิดขึ้นได้หรอกนะครับ แต่ว่าผมพยายามอย่างหนักที่จะซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเองเวลาอยู่บนเวทีและรู้สึกถึงความตื่นเต้นในขณะที่ยังอยู่ในขอบเขตของอารมณ์ที่ตัวเองตั้งใจไว้ครับ

Q: งั้นผมจะเรียกว่ามันเป็นอารมณ์อีกอย่างนึงที่มีเฉพาะเพื่อการแสดงบนเวทีก็แล้วกันนะครับ ซึ่งมันคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะทำแบบนั้นในช่วงเริ่มต้นอาชีพนี้ของคุณใช่ไม๊ครับ??
Daesung: ตอนที่ผมขึ้นแสดงในคอนเสริ์ตครบรอบ15 ปีบริษัทวายจี ก่อนที่จะมีการโปรโมทอัลบั้ม Alive ผมมีความกังวลหนักเลยครับ ผมรู้สึกกลัวมากจริงๆจนถึงกับต้องบอกกับสมาชิกในวงว่าผมไม่สามารถที่จะมองลงไปในตาของแฟนๆได้ ผมรู้สึกละอายใจมากและต้องการที่จะพูดขอโทษทุกคนที่มาดูผม แต่พอขึ้นไปยืนบนเวทีและได้ยินเสียงเชียร์ที่ทุกคนมีให้กับพวกเรา ผมก็คิดได้ว่าผมไม่ควรที่จะหลีกเลี่ยงไม่มองตาผู้ชมนะ มันดูไม่เข้าท่าเลยที่จะทำแบบนั้นกับคนที่มาอยู่ตรงนี้เพื่อดูการแสดงของพวกเรา ดังนั้นผมจึงได้รับความมั่นใจในการที่จะกลับมาขึ้นเวทีอีกครั้งครับ นานๆครั้งผมก็ยังคงรู้สึกกังวลว่าอาจจะมีบางคนยังคงไม่ยินดีเท่าไหร่นักในการกลับมาของผม แต่ผมก็พยายามที่จะตั้งใจมุ่งมั่นไปตามความรู้สึกที่มีครับ

Q: คือปัญหาที่มีในตอนนี้คือการที่จะต้องหาจุดประนีประนอมระหว่างเรื่องสายตาผู้คนที่มองมากับความรู้สึกที่แท้จริงของคุณเองสินะครับ คุณคงมีเหตุผลในใจกับเพลง WING ที่เป็นเพลงที่สดใสๆในอัลบั้มมากแน่นอนเลย นอกเหนือจากความจริงที่ว่าเพลงนี้ก็เป็นเพลงโซโล่ของคุณด้วย
Daesung: จีดราก้อนได้ช่วยผมอย่างมากในช่วงการทำอัลบั้มนี้ครับ เพลงโซโล่ที่ผ่านมาของผมมีลักษณะสดใสสงบสุข ซึงผมไม่ต้องการอะไรแบบนั้นในตอนนี้ เป็นเพราะสถานการณ์ของตัวเองด้วย และผมคิดว่าผู้คนต้องคิดเชื่อมโยงเพลงนี้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผมอย่างแน่นอน 

การที่จะเป็นแรงจูงใจให้กับคนอื่นๆผ่านเพลงของผมและมอบความหวังให้กับผู้คนเป็นความฝันของผมในฐานะนักร้องมาตั้งแต่เดบิวในนามบิกแบงแล้วครับ เป็นเพราะมันคือความฝันของคุณคุณสามารถทำตามฝันเมื่อไหร่ก้ได้มันไม่มีวันจบ ซึ่งผมได้คุยกับจีดราก้อนถึงเรื่องนี้ว่าอยากจะใส่ความหวังและแรงบันดาลใจลงไปในตอนที่ร้องเพลง WING ถึงแม้ว่าผมจะมีงานมากมายในช่วงนี้ แต่ผมมั่นใจว่าผมสามารถที่จะเปลี่ยนความคิดที่ตัวเองตั้งใจเอาไว้ออกมาเป็นการกระทำออกมาได้เมื่อมีโอกาสที่จะเรียกความมั่นใจและพลังกลับมาเมื่อได้ร้องเพลงนี้ ดังนั้นผมจึงพยายามทำอย่างดีที่สุดที่จะส่งผ่านพลังงานและความแข็งแกร่งลงไปในเพลงให้มากขึ้นอีกครับ

"ผมได้พบความสวยงามในการแสดงบนเวทีเป็นครั้งแรก " 


Q: นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเสียงของคุณถึงดูหนักแน่นขึ้นมากกว่าเพลงก่อนๆไม๊ครับ??
Daesung: ก่อนหน้านี้ผมจะค่อนข้างยั้งๆตัวเองเวลาอยู่บนเวทีครับ ไม่นานหลังจากที่เดบิวกันผมร้องเพลงผิดคีย์บนเวทีบ่อยมาก ถ้าต้องแสดง 10 ครั้งผมจะร้องเพี๊ยนไป 8 ครั้งในตอนนั้นทางบริษัทได้ทำการโปรโมทพวกเราในฐานะไอดอลที่มีความสามารถแตกต่างจากกลุ่มไอดอลทั่วไปที่มักจะเน้นแต่รูปร่างหน้าตา เราจะไม่เน้นที่รูปร่างหน้าตาแต่เน้นไปที่ความสามารถ ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังทำให้ทุกอย่างเสียไปหมดและทำให้บริษัทขาดความเชื่อถือ ดังนั้นผมจึงกลัวการขึ้นเวทีตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาครับ แต่ในช่วงที่เรามีการโปรโมทอัลบั้มล่าสุดนี้ผมได้รับความสุขและรู้สึกสำนึกบุญคุณมากกว่าจะมีความรู้สึกกลัวครับ ตอนนี้ผมเตรียมตัวก่อนขึ้นแสดงบนเวทีโดยปราศจากความกังวลและมีความมั่นใจที่จะร้องเพลงออกมาครับ .

Q: แล้วจะร้องเพลง "NO FUN" ยังไงกันละครับ? ผมนึกไม่ออกเลยจริงๆว่าจะร้องเพลงนี้ออกมาได้ยังไงถ้าไม่มีความมั่นใจ
Daesung: มันก็ไม่ได้มีกฏอะไรตายตัวในการร้องเพลงนี้นะครับดังนั้นมันก็จะดีกว่าที่จะให้แต่ละคนตีความและมีความเห็นของตัวเองในการที่จะบรรยายเพลงนี้ออกมาในแบบของแต่ละคน จริงๆในเพลงนี้เรามีแค่การเต้นเป็นกลุ่มในช่วงคอรัสเท่านั้นเองครับ ดังนั้นเราจึงใส่ความคิดเห็นส่วนตัวลงไปในธีมหลักของเพลงซึ่งถ้าคุณสังเกตดีๆจะเห็นว่ามันวุ่นวายน่าดูทีเดียว (หัวเราะ) แต่นอกเหนือเรื่องต่างๆแล้ว มันจะสนุกกว่ามากครับที่ได้ดูการแสดงแบบพรีสไตล์แบบนั้น

Q: นี่เป็นสิ่งที่ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้กับบิกแบงใช่ไม๊ละครับ??
Daesung: สมาชิกทุกคนในวงบิกแบงมีบุคคลิกส่วนตัวที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองอย่างชัดเจนครับ ดังนั้นการตีความหมายของเพลงในแต่ละเพลงของเราจึงมีหลากหลายด้วยซึ่งมันทำให้สนุกเวลาที่เราทำงานร่วมกันครับ ถ้าศิลปินมีความสุขสนุกบนเวที ผู้ชมก็จะสามารถรู้สึกถึงความสนุกและมีความสุขไปด้วยเวลาที่ได้ดูการแสดง สำหรับพวกเรา การที่ได้ทำอะไรที่เป็นพรีสไตล์นั้นเข้ากับพวกเราได้ดีที่สุดครับ แต่พูดตามตรงนะครับ เรามักจะต้องกลับมาทบทวนท่าเต้นที่เต้นเป็นกลุ่มทุกครั้งก่อนที่จะเริ่มต้นในทุกๆอัลบั้มเลยละครับ (หัวเราะ) และเราก็มักจะคิดว่านี่ถึงเวลาแล้วละที่พวกเราจะต้องแสดงให้ทุกคนเห็นการเต้นที่เป็นกลุ่มของเรา แต่ในขั้นตอนลงมือทำจริงๆเราก็ไปจบที่การปรับเปลี่ยนท่าใหม่ "อีกครั้ง" ตลอด แต่ผมรู้สึกดีนะครับที่ผู้คนก็ชอบให้เราเป็นธรรมชาติแบบนี้มากกว่า

Q: ดูเหมือนว่าสิ่งที่พวกคุณได้รับจากการทำอัลบั้มในครั้งนี้คือความรู้สึกที่กลับไปเห็นความสวยงามของการแสดงบนเวทีอีกครั้งนะครับ
Daesung: จริงๆ ผมพึ่งจะค้นพบความสวยงามของการแสดงบนเวทีเป็นครั้งแรกเลยละครับ แต่ก่อนผมกลัวที่จะต้องขึ้นแสดงบนเวที ความจริงที่ว่ามีคนมากมายกำลังดูผมผ่านทีวีและผมต้องพยายามทำให้ดีที่สุดความคิดเหล่านี้เหมือนมันกำลังบีบคอผมอยู่และผมก็กลัวความคิดที่ว่าสิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่ผมจะต้องเผชิญกับมันไปตลอดชีวิตถ้าผมยังมีอาชีพนี้อยู่

Q: คุณคงมีความกดดันมากที่สุดในการออกอัลบั้มครั้งนี้นะครับ เมื่อรู้ว่าผู้คนกำลังจับจ้องคุณอยู่
Daesung: ผมคิดมากทีเดียวครับว่าควรจะทำหรือไม่ควรทำกันแน่ ถ้าผมไม่สามารถกลับมาเป็นนักร้องได้อีกแล้วละ ผมจะทำอะไรดี แล้วคุณรู้ไม๊ครับ?? ไม่มีอะไรที่ผมทำได้เลย ผมไม่ได้เรียนเก่งมากกว่าคนอื่น ผมเล่นกีฬาก็ไม่เก่งเท่าไหร่ ดังนั้นผมจึงรู้สึกขอบคุณมากๆที่ผมสามารถกลับเข้ามาในวงการนี้ได้อีกครั้งและสามารถลืมความกังวลเหล่านั้นไปได้

Q: ไปโปรโมทที่ต่างประเทศยากไม๊ครับ?
Daesung: ยากครับ ผมต้องล้างสมองตัวเองก่อนขึ้นเวทีเลยทีเดียวครับผมต้องหลอกตัวเองว่า ที่นี่ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมเป็นคนไม่ค่อยซับซ้อนดังนั้นวิธีนี้ใช้ได้ผลสำหรับผมครับ


"มันดีที่จะเป็น คนกลาง ในกลุ่มนะครับ" 


Q: คุณได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากแฟนๆและนักวิจารณ์ในต่างประเทศนะครับ คุณรู้สึกรึเปล่าว่าความโด่งดังของบิกแบงได้แผ่ขยายออกไปในประเทศอื่นๆแล้ว??
Daesung: คือ ปฏิกริยาตอบรับเหล่านั้นไม่ได้มีผลอะไรต่อความตั้งใจของเราครับ เรายังคงถ่อมตัวและยังมีจุดมุ่งหมายคือการพยายามให้หนักขึ้นอีกอยู่เสมอ  คำตอบของผมฟังดูออกจะซ้ำซากนะครับแต่ถ้าหากไม่นับเรื่องของคนที่ฟังเพลงของเรา งานของเราก็คือการทำงานเพลงที่ดีที่สุดออกมา การแสดงของเราบนเวทีอาจจะเปลี่ยนแปลงแตกต่างไปตามประเทศที่เราไปหรือสภาพแวดล้อมในการแสดงนั้นๆ แต่เสียงของเราต้องไม่เปลี่ยน เรารู้สึกดีใจที่จะได้แสดงออกในสิ่งที่เรามีและดีใจที่ได้เห็นแฟนๆสนุกมีความสุขกับเพลงของบิกแบง การทัวร์คอนเสริต์รอบโลกในครั้งนี้ของเราจะเป็นโอกาสที่เยี่ยมยอดให้กับเราในทุกๆด้าน ทั้งในเรื่องของวงดนตรีสดและอีกหลายๆปัจจัย นอกเหนือจากการที่ได้รับปฏิกริยาดีๆและความชื่นชอบจากผู้ชม ในตอนนี้เรากำลังโปรโมทตัวเองที่ต่างประเทศกันอย่างหนัก เมื่อนึกถึงการแสดงของพวกเราแล้ว ผมเทียบจะรอไม่ไหวอีกต่อไปที่จะได้เดินทางท่องเที่ยวไปยังประเทศต่่างๆและได้ยืนต่อหน้าผู้คน ครับ  

Q: น่าสนใจนะครับที่คุณใช้คำว่า "ท่องเที่ยว" มันทำให้ผมประทับใจว่านี่เป็นช่วงเวลาสำคัญในชีวิตของคุณที่จะมีความสุขมากกว่า เป็นไปในเรื่องของความสำเร็จ
Daesung: ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสุขหรือความรัก มันก็ดีเสมอแหละครับสำหรับคนที่มีสิ่งนี้มากๆที่จะได้่ร่วมแบ่งปันมันกับคนอื่น ผมเคยอ่านเจอในหนังสือว่า คุณต้องเริ่มที่จะรักตัวเองก่อนถึงจะสามารถรักคนอื่นได้ ผมไม่ใช่คนประเภทนั้นหรอกครับผมมักจะไม่ทำตัวโดดเด่นและกดตัวเองอยู่เสมอ ผมพยายามผลักดันตัวเองอย่างหนักจนถึงจุดจุดนึงความมั่นใจทั้งหมดของผมหายไป ในตอนนี้ผมเริ่มที่จะเรียนรู้เรื่องความรักและความสุขทีละนิดๆครับ

Q: คุณเริ่มที่จะรักตัวเองผ่านการทำงานในอัลบั้มนี้ไม๊ครับ??
Daesung: ผมคงไม่พูดว่า "รัก" หรอกครับ แต่ครั้งนี้เปิดโอกาสให้ผมได้มุ่งมั่นกับตัวเอง ทำให้ผมได้เริ่มฟื้นฟูระดับความมั่นใจขึ้นมาได้อีกขั้นครับ

Q: ผู้คนที่ได้ดูคุณในรายการวาไรตี้มักจะคิดว่าคุณสดใสและเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีนะครับมันเป็นเรื่องน่าแปลกใจมากที่ได้รู้ว่าคุณตกอยู่ในความเจ็บปวดมานาน
Daesung: นอกจากความกลัวการขึ้นเวทีที่ผมมีตั้งแต่ตอนเดบิว คุณพ่อคุณแม่ของผมได้สอนผมมาตั้งแต่เด็กๆว่าให้ถ่อมตัวอยู่เสมอและตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อกล้องหยุดเดินปุ๊บผมก็มักจะกลายเป็นคนเก็บตัว การที่มีคนคอยบอกว่าอย่าอวดตัวอย่าอวดตัวซ้ำๆ ผมถึงกับบอกตัวเองว่าไม่ควรบอกกับใครว่าคุณครูที่โรงเรียนพูดชมเชยผมครับ

Q: มันเป็นเรื่องยากสำหรับคนอย่างคุณไม๊ครับที่จะต้องทำตัวให้กลมกลืนเข้ากันได้ดีกับสมาชิกวงคนอื่นๆที่ล้วนมีบุคคลิกส่วนตัวที่ชัดเจนกันหมดทุกคน ?? Daesung: ผมต้องใช้เวลาอยู่ช่วงหนึ่งเลยครับในการที่จะปรับตัวให้เข้ากับบุคคลิกของพวกเค้า โดยเฉพาะกับ ซึงรี ครับ(หัวเราะ) จากความมั่นใจใน 100% เค้าก็มีความมั่นใจเต็ม 100% แหละครับซึ่งมันตรงข้ามกับผมโดยสิ้นเชิงเลย ผมคิดว่านี่แหละที่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผู้คนมักจะมาบอกกับผมว่าเราไม่ได้ดูกระอักกระอ่วนใจเท่าไหร่นักเวลาที่เราออกทีวีด้วยกัน ผมกับซึงรีเหมือนกับเป็นพี่เป็นน้องครับเราต่างก็ได้เรียนรู้อะไรมากมายจากกันและกัน ผมตระหนักว่าผมได้เรียนรู้บางอย่างได้จากคุณสมบัติที่ซึงรีมี ผมค่อยๆหาจุดประนีประนอมระหว่างเราได้แล้วละครับ และถ้าปราศจากเค้าผมคงไม่สามารถที่จะกลับมาในวงการเพลงได้อีกครั้งแน่ครับ 

Q: ไม่เพียงแต่ในเรื่องแนวคิดทัศนคติของคุณที่เปลี่ยนแปลงไปเท่านั้นนะครับแต่ในเรื่องของบุคคลิกก็เปลี่ยนไปด้วย มีความเปลี่ยนแปลงมากแค่ไหนระหว่างคุณในตอนนี้กับคุณในปี 2006 ครับ??
 Daesung: เมื่อ 6 ปีก่อนผมเป็นเด็กมืดหม่นครับ ผมเริ่มมาเรียนการเต้นหลังจากที่เข้ามาในบริษัทวายจีแล้ว และผมก็มักจะยุ่งกับการคอยไล่ตามคนอื่นให้ทันอยู่เสมอ นอกจากนี้ผมก็ไม่มีความมั่นใจเลยครับ จนถึงตอนนี้ถ้าผมอยู่กับคนอื่นผมจะมีความรู้สึกว่าสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไป ผมเป็นคนไม่ค่อยพูดความคิดเห็นของตัวเองออกมาและมักจะโอนเอียงไปกับคนอื่นๆได้ง่าย แต่ผมชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้นะครับ สมาชิกในวงแต่ละคนล้วนมีบุคคลิกที่เป็นเอกลักษณ์และชัดเจนมากและมันก็ดีนะครับที่จะเป็นคนกลางในกลุ่ม และผมก็มีเรื่องมากมายที่กำลังรอคอยผมอยู่ ผมมั่นใจว่าพวกเค้าู้รู้ว่าพวกเค้ามีความหมายต่อผมมากแค่ไหนแม้ว่าผมจะไม่ได้พูดออกมาก็ตามครับ

Q: บิกแบงเป็นอะไรสำหรับคุณครับ?
Daesung: เราเป็น.........ความกลมกลืนและเป็นความผูกพันที่ลงตัวกันได้ดีครับ เป็นกลุ่มของคนห้าคนที่มีความสุขในการทำเพลงอย่างแท้จริง ในตอนนี้ผมมีความรู้สึกว่าผมสนิทกับสมาชิกในวงมากกว่าเพื่อนสมัยเด็กๆอีกครับ ผมรู้สึกโชคดีและขอบคุณมากที่ได้เจอพวกเค้า และ ผมสงสัยนะครับว่าจะมีทีมไหนที่สามารถร่วมแบ่งปันจุดมุ่งหมายเดียวกันมาได้กว่า7 ปีแบบเราอีกไม๊หนอ??

Source 10asia.co.kr Thai translation by mew mini museum 
※ Any copying, republication or redistribution of 10Asia's content is expressly prohibited without prior consent of 10Asia. Copyright infringement is subject to criminal and civil penalties.

===============

สามารถอ่านตอนต่างๆที่ออกมาก่อนได้ตามนี้ค่ะ 
สัมภาษณ์ Taeyang จาก 10asia 

วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

YG on Healing Camp [21 May 2012]

ท่านยางไปออกรายการทีวีทางช่อง SBS รายการ healing camp เมื่อคืนค่ะ เป็นเทปตอนที่ 2 แล้วหลังจากที่อาทิตย์ที่แล้วเทปแรกออกอากาศไป มิวเองยังไม่ได้ดูรายการเต็มๆเลยละค่ะ ไม่รู้มีซับออกรึยัง แต่เมื่อคืนมีประเด็นเรื่องบริษัท เรื่องบิกแบงเยอะทีเดียว เท่าที่เป็นข่าวมาให้อ่านก็น่ารักๆดีนะค่ะ เรื่องท่านยางอินเลิฟ 5555+ ส่วนเรื่องบิกแบงก็หนีไม่พ้นเรื่องเหตุการณ์ของน้องแดและน้องจีเมื่อปีแล้ว สร้างผลกระทบให้กับคนรอบข้างหนักทีเดียว 

เหตุการณ์ของน้องแดเป็นเหตุสุดวิสัยเกินความควบคุมแต่เรื่องของน้องจีมองยังไงๆก็ไม่เข้าข้างนะคะ ถึงตอนนี้ย้อนไปคิดก็คิดว่าดีแล้วที่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจะได้หัดดูแลตัวเองและคิดแบบผู้ใหญ่ได้แล้ว เอาเป็นว่ามิวเห็นด้วยกับการกระทำของท่านยางนะค่ะ จะไปหา CEO แบบนี้ที่ไหนได้อีก
---------------------------------------------------------------





































ท่าน Yang Hyun Suk ไขข้อข้องใจเรื่อง กรณีการเสพกัญชาของจีดราก้อน เมื่อปีที่แล้วผ่าน รายการ Healing Camp เมื่อพิธีกรคุณ  Kim Jaedong ได้ถามเรื่องนี้ขึ้นมาในรายการว่ามีข่าวลือ ลือกันว่า การที่ข่าวออกมาช้ากว่าที่ควรจะเป็นเป็นเพราะ ทางบริษัท YGE ได้พยายามปกปิดเรื่องเอาไว้และผลักเรื่องออกไปก่อน

ท่านยางกล่าวว่า "ผมคิดว่าทุกคนกำลังประเมินตัวผมสูงไปนะครับผมก็เป็นผู้ชายคนนึงที่ชื่อ  Yang Hyun Sukเท่านั้นเอง เรื่องนี้มันอยู่เหนือความสามารถของผมที่จะจัดการหรือแม้แต่จะลองทำนะครับ ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมมีประสบการณ์มาก่อนผมอาจจะพยายามปกปิดมันเอาไว้ได้ แต่ด้วยความสามารถที่มี ผมจะปิดเรื่องใหญ่ที่สื่อและสาธารณชนอยากจะรู้กันมากขนาดนี้ได้ยังไงละครับ?? ถ้าผมพยายามที่จะปกปิดเรื่องนี้ คงมีแต่จะเสียหายหนักกว่าเดิมแน่ คุณไม่สามารถเอามือของคุณไปปิดท้องฟ้าทั้งผืนได้หรอกครับ "

"ผมคิดว่าผลที่เราได้รับกลับมาก็เป็นเรืื่องที่สมเหตุสมผลแ้ล้ว และยังไงก็ดี การคัมแบคของพวกเค้าเป็นกลยุทธิ์ที่เหมาะสมที่จะทำในสถานการณ์แบบนั้น ผมเลือกที่จะให้พวกเค้าคัมแบคทั้งๆที่ จีดราก้อนและแดซองยังไม่พร้อมครับ ผมไม่อยากให้คนเข้าใจผิดกันในเรื่องนี้" 

นอกจากนี้ท่านยางยังได้พูดถึงว่า หลังจากที่เกิดเหตุการณ์กับ แดซองและจีดราก้อน เมื่อปีที่แล้ว คนเดียวที่ถูกต่อว่าอย่างหนักมีเพียงจีดราก้อนเท่านั้น โดนกล่าวว่า " ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่อยู่ในฐานะที่จะไปว่าแดซองได้กับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ผมต่อว่าจีดราก้อนอย่างหนัก ผมบอกกับเค้าว่า " ลองนึกถึงคนที่ต้องผิดหวัง เสียใจ โกรธเคือง และต้องเจ็บปวดกับการกระทำที่ตัวเองได้ทำลงไปบ้างสิ " และต่อว่าเค้าอย่างแรงเลยครับ "

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นสร้างผลกระทบให้กับท่านยางมากทีเดียว " แม้ว่าผมจะไม่เคยพูดเรื่องนี้ออกมาเลย แต่ความเจ็บปวดและทุกข์ทรมาณที่ผมต้องเผชิญในช่วงที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นกับบิกแบงนั้นมันรุนแรงมากครับ ในชีวิตของผมเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยากลำบากมากที่สุดที่ผมต้องรับมือกับมัน ในตอนนั้นผมมีอาการช็อครวมถึงมีอาการชักเพราะเรื่องกระทบกับจิตใจอย่างมาก นอกจากนี้ยังต้องรับมือกับฝันร้ายและอาการกลัวความตายที่เกิดขึ้นด้วย ในตอนนี้ผมก็ยังต้องทานยาเป็นประจำ เช้าเย็น เพื่อควบคุมอาการเหล่านั้นอยู่นะครับ " 

---------------------------------------------------------------------

 

ท่านยางได้เปิดเผยว่า ตึกบริษัทวายจีนั้นไม่ได้เป็นทรัพย์สินของบริษัท แต่เป็นตึกของท่านยางเอง  โดยเปิดเผยว่า

" ตึกบริษัทวายจีผมไม่ได้ใช้เงินของบริษัทซื้อมานะครับ ผมสร้างมันมาจากเงินเก็บของตัวเอง มันเป็นเรื่องยากนะครับที่จะใช้เงินของบริษัทสร้างตึกขึ้นมาในเมื่อมีสิ่งสำคัญอีกๆหลายอย่างที่ต้องใช้จ่าย "

"วันนึง โดยที่ไม่ได้คิดอะไรมาก่อนเลย ผมเดินเข้าไปในสำนักงานจัดหาอสังหาริมทรัพย์ที่ผมเล็งเอาไว้ที่  Hongdae ผมถามเค้าว่าจะมีวิธีไหนบ้างที่ผมจะสามารถซื้อที่ดินและตึกโดยที่มีเงินอยู่ไม่มากได้บ้าง และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาติดต่อกันเป็นเวลา 8 ปีไม่มีวันไหนเลยยกเว้นวันอาทิตย์ที่ผมจะไม่ไปที่สำนักงานจัดหาอสังหาริมทรัพย์นั้น ผมไปที่นั่นทุกๆวันเพื่อเรียนรู้หาข้อมูลที่จะซื้อตึกใหม่ และ ทานแต่ซุปกิมจิที่ราคาประมาณ 3500 วอนทุกวันเป็นเวลา 6 ปีรวด "

"เจ้าหน้าที่ชายที่สำนักงานอสังหาริมทรัพย์นั้นช่วยเหลือเป็นอย่างดี และ เค้าเป็นคนช่วยให้ผมได้เข้าร่วมการประมูลที่ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ผมได้ซื้อที่ที่ตึกวายจีตั้งอยู่ในขณะนี้ครับ" 

-----------------------------------------------------------------------

นอกจากเรื่องของบิกแบงแล้ว ในรายการท่านยางยังได้เปิดเผยเรื่องราวส่วนตัว เกี่ยวกับภรรยาและครอบครัว ให้ฟังกันในรายการอีกด้วย

"ภรรยาของผม Lee eun joo เป็นน้องสาวของ lee jae jin อดีตสมาชิกวง Sechs Kies ครับผมเห็นเธอใน TV ตั้งแต่เธออยู่ชั้นมัธยมและผมก็ชอบเธอจากนั้นเมื่อเวลาผ่านไปได้ 2-3 ปีผมก็มีโอกาสได้เจอเธออีกครั้งเมื่อเธอถูกคัดเลือกให้เข้ามาเป็น เด็กฝึกที่บริษัท และเธอก็ได้เดบิวในวงที่มีชื่อว่า Swi.T ซึ่งวงนี้เรียกได้ว่าเป็นวงเดียวใน YG ที่ไม่ประสบความสำเร็จ พวกเค้าน่าจะทำได้ดีกว่านี้ถ้าผมลงทุนมากกว่านี้หน่อย แต่ผมกลัวว่าเธอจะเป็นที่สนใจจากคนอื่นๆ ดังนั้นผมจึงตั้งใจไม่สนใจใจวงนี้มากเท่าไหร่นัก"ท่านยางยอมรับว่าเค้าแอบหลงรักภรรยาข้างเดียวมากว่า 3 ปี

"หัวใจของผมและความคิดของผมต่อสู้กันเองครับ ผมไ่ม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดีในฐานะที่เป็นท่านประธานของบริษัทด้วย และในฐานะที่เป็นแค่ผู้ชายคนนึง  ผมเป็นคนไม่ค่อยรู้สึกประหม่านะครับ แต่มันเป็นเรื่องยากมากสำหรับผมที่จะขอให้เธอคบกับผม ผมกลัวว่าเธอจะไม่ได้มองผมว่าเป็นแค่ผู้ชายคนนึงเท่านั้น ผมถึงกับต้องรวบรวมความกล้าที่จะโทรไปบอกเธอว่าผมชอบเธอ ซึ่งเธอก็ช็อคมากแล้วตอบมาว่า " ว่าไงนะค่ะ?? " ซึ่งเรายังคุยกันเรื่องนี้อยู่เลยเธอบอกว่าในตอนนั้นคิดว่าผมล้อเล่น ผมต้องโน้มน้าวกับเธอนานกว่า 2 ชั่วโมงว่าที่พูดนั้นเป็นเรื่องจริง

"หลังจากนั้นเราก็เริ่มออกเดทกันครับ ไม่มีใครรู้เลยว่าเราคบกัน ตลอดเวลา 9 ปีที่ผ่านมาผมไม่เคยพาเธอไปร้านกาแฟหรือไปดูหนังเลย ผมรู้สึกแย่มากในเรื่องนี้ ดังนั้นผมพยายามที่จะทำดีกับเธอให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในตอนนี้ครับ"

 "ผมพยายามทำตัวให้ดีที่สุดในตอนที่อยู่ที่บ้าน ผมทำทุกอย่างในบ้านเท่าที่ผู้ชายจะสามารถทำได้ครับ พอผมตื่นมาตอนเช้าก็จะเอาน้ำไปใส่ในเครื่องพ่นไอน้ำ คุณอาจจะไม่เชื่อผมนะครับแต่ผมเป็นคนทำกับข้าวและล้างจานเองทุกมื้อ มันไม่ใช่เรื่องน่าอายใดๆเลยที่จะทำงานบ้านเพื่อช่วยเหลือให้ภรรยาเบาแรงนะครับ " 

 "ก่อนหน้านี้ผมเลือกงานของผมมากกว่าเธอครับ แต่พอเธอตั้งครรภ์ผมเลือกเธอ ที่ผมไม่จัดงานแต่งงานเป็นเพราะผมไม่อยากจะยืนต่อหน้าคนอื่นๆ ผมกับSeo Taiji ได้สัญญากันไว้ว่าจะไม่จัดงานแต่งงาน แค่คิดว่าจะต้องใส่ tuxedo และยืนต่อหน้าทุกคนแล้วพูดคำปฏิญาณแค่นี้ก็อายแล้วนะครับ

 "แต่ผมก็รู้สึกเสียใจแทนภรรยาของผมนะครับ เธอไม่ยินดีนักในเรื่องนี้แต่ก็เข้าใจว่าผมเป็นคนแบบนี้ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้จัดงานแต่งงานแต่เราก็มีรูปถ่ายในชุดแต่งงานนะครับเพราะถ้าเราไม่ได้ถ่ายรูปกันอีก ผมว่าผมคงเป็นสามีที่แย่ที่สุดเลยละครับ "

"ผมอยากจะทำอะไรพิเศษให้กับภรรยาของผม ผมเลยไปสักชื่อเธอเอาไว้ที่แขนครับ ดังนั้นที่แขนขวาจะมีชื่อเธอกับลูกสาวคนแรกของผม เราวางแผนว่าจะมีลูกกันอีก 2 คน ผมจะสักชื่อพวกเค้าเอาไว้ที่แขนข้างซ้ายครับ ผมเห็นผู้คนคบกันแล้วก็เลิกกันหลังจากที่ได้สักชื่อเอาไว้แล้วด้วย ดังนั้นสักหลังแต่งงานจะดีกว่านะครับ

 "ผมเป็นคนไม่ชอบเด็กเลยละครับ แต่ผมมีความคิดเปลี่ยนไปเมื่อมีลูก มันเป็นเหมือนโลกใหม่สำหรับผมเลยทีเดีนส ผมรักพวกเค้ามากเพราะพวกเค้าจะเปลี่ยนไปเสมอในทุกๆวัน "

Sorce: Nate + Billboard korea + ALLKPOP+Enewsworld+ygfamillytumblr
Eng translation by swaggalevel-1000.tumblr.com
Thai Translation by mew mini museum

 -------------------------------------------------------------------------------------------

"มีข่าวลือมาว่าที่วายจีไม่เน้นเรื่องรูปร่างหน้าตานะครับ แต่ผมสนใจในเรื่องภาพลักษณ์ ถ้าพวกเค้าไม่มีความเป็นเอกลักษณ์ ผมว่าก็ไม่มีทางจะเป็นดวงดาวที่เจิดจรัสได้ " 

"บิกแบงทั้ง 5 คนไม่เคยเข้าใกล้ผมเกิน 5 นาทีเลยครับ ผมไม่เคยสอนแทยังร้องเพลง เพราะเค้าร้องเก่งกว่าผมมากๆครับ" 

"แดซองและซึงรี ออกจากโรงเรียนและผ่านการสอบเทียบ ที่ผมอนุญาติให้ทำแบบนั้นเพราะผมมั่นใจว่าพวกเค้าจะต้องประสบความสำเร็จแน่นอน" 

"ผมเตือนซึงรีว่าห้ามดื่มและขับรถเด็ดขาด "

"ผมคิดว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับพวกเค้าหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ของแดซองและจีดราก้อน คือ ตัวผมเองครับเพราะผมตกอยู่ในภาวะจิตหดหู่ "

"ผมแค่อยากจะทำเพลงเท่านั้นเอง แต่ด้วยจำนวนศิลปินที่มากขึ้นในบริษัทบางทีมันก็มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ในตอนนั้นผมช็อคมากและคิดว่าทำไมในชีวิตจะต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้ด้วย มันเป็นเรื่องยากมาก " 

" มันเป็นความโชคร้ายที่แดซองต้องมาเจออะไรแบบนี้ผมไม่ลงโทษเค้า แต่กับจีดราก้อนผมต่อว่าเค้าอย่างรุนแรง"

"ผมคิดว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ฉลาดและสมเหตุสมผลที่จะเผชิญหน้ากับมัน ผมเลือกให้บิกแบงคัมแบคทั้งๆที่จีดราก้อนและแดซองก็ยังไม่พร้อมเท่าไหร่ผมไม่อยากให้คนเข้าใจผิดกันในเรื่องนี้ บทบาทของผมในฐานะที่เป็นผู้นำบริษัทนี้ ผมจะคอยปรบมือเชียร์อยู่ข้างหลังเมื่อทุกอย่างเป็นไปได้ดี และผมจะออกมารับหน้าเมื่อมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น "

"สัญญาของบิกแบงกับวายจีนั้นได้มีการต่อสัญญาก่อนเหตุการณ์ของแดซองและจีดราก้อนจะเกิดขึ้น
สัญญาที่วายจีกำลังจะทำกับบริษัทที่ดูแล world tour คือ live nation มีปัญหาตรงที่ว่าระยะเวลาที่เหลือในสัญญาน้อยเกินไป ดังนั้นผมจึงบอกกับบิกแบงว่า "ถ้าพวกนายไม่ได้มีแผนอะไรในใจ ฉันจะปรับเงื่อนไขในสัญญาให้ดีขึ้นอีก มาพยายามกับเราได้ไม๊??  หลังจากที่เซ็นต่อสัญญาไปเพียง 1 เดือนเรื่องก็เกิด" 

"ผมคิดว่ามันดีกว่าที่จะสนิทกับคนแค่คนสองคนมากกว่าสนิทกับคนเป็นสิบ เรื่องที่พูดกันเกี่ยวกับการที่ผมให้ศิลปินไปออกรายการเพลงประจำอาทิตย์แค่รายการเดียวเป็นข่าวลือทั้งหมด แม้ว่าจะทำแค่รายการเดียวแต่ทั้ง BB และ 2ne1 ก็ทุ่มเทอย่างมากและเป็นเรื่องยากที่จะทำเพลงเพลงนึงให้ออกมาดีที่สุด ดังนั้น คุณภาพย่อมสำคัญกว่าปริมาณ " 

"ผมไม่เคยไปทานข้าวกับคุณพ่อคุณแม่ของนักร้องในค่ายเพราะมันจะทำให้เกิดข่าวลือ"

from : Thai translation by mew mini museum 

วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

สัมภาษณ์ Seungri แห่งวง BIGBANG จาก 10ASIA


ลมมักพัดแรงที่สุด ณ จุดสูงสุดบนยอดเขา  เพราะความโด่งดังและชื่อเสียงในช่วงปีที่ผ่านมานั้นเป็นช่วงที่อยู่บนจุดสูงสุด เหตุการณ์ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ที่บิกแบงต้องเผชิญผ่านในช่วงนั้นเป็นช่วงที่ยิ่งสร้างความยากลำบากให้กับสมาชิกในวงอย่างมาก หลังจากที่ต้องหยุดชะงักและใช้เวลาในการมองสะท้อนตัวตนของตัวเองอย่างยาวนาน ในตอนนี้บิกแบงไ้ด้ลุกขึ้นยืนอีกครั้งยืดเส้นยืดสายและดันอัลบั้มใหม่ที่มีชื่อว่า ALIVE ออกมา  อัลบั้มนี้ได้รับการต้อนรับอย่างมากจากแฟนๆของพวกเค้าซึ่งเป็นผลของความสำเร็จที่อัลบั้มนี้ได้รับ ไม่ว่าจะเป็นสถิติใหม่ที่สร้างความฮือฮาให้กับชาร์ตเพลงต่างๆ การได้รับรางวัลในเวทีระดับนานาชาติ และ ข่าวมากมายเกี่ยวกับกิจกรรมในการโปรโมทครั้งนี้ เหล่านี้ล้วนยิ่งตอกย้ำความจริงที่ว่า บิกแบงได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งจริงๆ

ถึงแม้ว่าพวกเค้ากำลังจะยืนอยู่ในสถานการณ์ปัญหาขั้นวิกฤต   พวกเค้าก็ยังไม่ยอมแพ้ แทนที่จะบรรยายทุกอย่างออกมาผ่านเนื้อเพลงว่าพวกเค้าต้องเจออะไรมากบ้าง พวกเค้ากลับบอกใบ้ว่าในตอนนี้พวกเค้าอยู่ในช่วงเริ่มต้นใหม่ โดยกล่าวว่า " ฤดูหนาวกำลังจะผ่านพ้นไปแล้วฤดูใบไม้ผลิกำลังจะเข้ามา" ผ่านเพลง BLUE เพลงเพลงนี้เป็นเพลงที่ฟังสบายๆแต่กลับส่งเสียงดังที่สุดในการกลับมาครั้งนี้มากกว่าเพลงไหนๆในอัลบั้ม

ทาง 10asia ได้สัมภาษณ์ซึงรี ผู้ซึ่งเป็นคนนำเอาฤดูใบไม้ผลิมาสู่ชีวิตบิกแบง กลยุทธิ์ในการเอาตัวรอดของเค้าตลอด 7 ปีที่ผ่านมาในฐานะคนดัง ทำให้เค้ายังคงมีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้และยังคงพัฒนาก้าหน้าไปได้ภายใต้สถานการณ์ที่กดดันเหมือนกับน้ำที่กลายเป็นน้ำแข็งในช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมา เรื่องราวของเค้าซื่อสัตย์ มั่งคง เปิดเผย แต่ก็สร้างความประหลาดใจให้เราด้วยไปพร้อมๆกัน



"พูดตามตรงนะครับ ผมคิดว่า บิกแบงคงไม่สามารถที่จะกลับเข้ามาในวงการเพลงได้อีกแล้วละครับ "


พวกคุณเสร็จการโปรโมทที่เกาหลีแล้วนี่ครับ แต่คุณก็ยังดูยุ่งๆอยู่กับกิจกรรมในต่างประเทศและงานในฐานะพรีเซ็นเตอร์ในโฆษณาต่างๆอยู่นะครับ
 Seungri: มันไม่ได้ยุ่งมากอย่างที่คุณคิดหรอกครับ มันเหมือนกับเป็นคอนเซ็ปซ์ของเราอะนะครับที่ต้องทำตัวให้ยุ่งเข้าไว้ (หัวเราะ) จริงๆแล้วเรามีความกดดันมากมายกับทุกอย่างที่เราต้องเผชิญในช่วงที่ผ่านมาครับ รายการทีวีที่เราสามารถไปเข้าร่วมได้ก็มีจำกัดและเราก็ต้องแบกรับน้ำหนักทั้งหมดของความคาดหวังที่แฟนๆมีต่อเราเอาไว้ที่ตัวเองอีก ดังนั้นเราจึงมุ่งความตั้งใจที่จะแสดงออกมาให้เห็นว่าเรายังคงมีชีวิตอยู่และสบายดี ผมพยายามที่จะแสดงออกด้านที่จริงจังมากขึ้นของตัวเองออกมามากกว่าภาพลักษณ์แบบคล่องแคล่วว่องไวเหมือนแต่ก่อน ส่วนนึงก็เป็นเพราะผมอยากจะเป็นที่จดจำและได้รับความดีความชอบจากสมาชิกในวงด้วยครับ

ในตอนที่ เพลง BLUE ถูกปล่อยออกมา พวกคุณได้รับคำชมมากมายจากนักวิจารณ์สายงานเพลงในเรื่องของเสียงที่นิ่งเรียบไม่มีที่ติอย่างน่าประหลาดใจในท่อน intro นะครับ
Seungri:
มันเป็นลูกเล่นในขณะที่ทำการบันทึกเสียงเพลงนี้ครับ มีเพลงของบิกแบงไม่กี่เพลงที่ผมจะร้องในท่อนคอรัส ผมมีความกดดันมากๆที่เป็นคนที่จะต้องร้องในท่อน intro แต่จีดราก้อนก็มาให้กำลังใจโดยการพูดกับผมว่า " มีแต่เสียงนายเท่านั้นนะที่จะทำให้เพลงเพลงนี้สมบูรณ์แบบ ฉันเขียนเพลงนี้ออกมาโดยนึกถึงเสียงของนายไปด้วยในใจนะ " ผมจำได้ว่าเราปรับแต่งในบางช่วงของเพลงนี้ระหว่างที่ทำการบันทึกเสียงซ้ำแล้วซ้ำอีกครับ

เพลงที่ใช้ในการโปรโมทที่ผ่านมามักจะเป็นเพลงที่มีจังหวะเร็วและน่าตื่นเต้น ในขณะที่ เพลง BLUE นั้นให้ความรู้สึกสงบและติดหู ซึ่งนับว่าแตกต่างไปนะครับ
Seungri:
ไม่ว่าคุณจะฟังเพลงผ่านลำโพงหรือผ่านทางหูฟัง คุณจะเริ่มรู้สึกเบื่อเพราะดนตรีที่มันมากไปในบางที เราต่างมีความเห็นตรงกันที่ว่าอยากจะทำเพลงที่ผู้คนจะไม่รู้สึกเบื่อเวลาฟังมัน ดังนั้นทั้งอัลบั้มนี้จะมีอารมณ์ที่อ่อนไหวกว่าอัลบั้มชุดที่ผ่านๆมาครับ

การที่จะต้องร้องเพลงนี้ให้ออกมาเป็นแบบที่ได้ฟังกันแบบนี้ เป็นยังไงบ้างครับ??คุณไม่เพียงแต่ต้องสนใจในเรื่องของทำนองเพลงเท่านั้นแต่ในเรื่องของเนื้อเพลงก็มีความสำคัญด้วยเช่นกันใช่ไม๊ครับ??
Seungri:
มีคนได้ให้คำแนะนำผมว่าให้ใส่ใจเป็นพิเศษในเนื้อเพลง แต่ประโยคที่ว่า " ฤดูหนาวได้ผ่านพ้นไปแล้วฤดูใบไม้ผลิกำลังจะเข้ามา " ด้วยตัวของประโยคเองก็มีความหมายซ่อนอยู่มากมายแล้วนะครับ พูดตามตรงนะครับ ผมไม่คิดว่าบิกแบงจะสามารถกลับเข้ามาในวงการเพลงได้อีก ผมยังเด็กเกินไปและหวาดกลัวที่จะเอาชนะความผิดหวังของผู้คนที่มีต่อเรา เมื่อตอนที่เรากลับมารวมตัวกันอีกครั้งหลังจากที่ห่างกันไปนานเพื่อที่จะเดินทางไปร่วมงาน MTV Europe Music Awards ผมมองเห็นแสงสว่างและคิดว่าเราสามารถทำมันได้จริงๆ การเดินทางใช้เวลาบนเครื่องบิน 14 ชั่วโมงและขับรถต่ออีก 6 ชั่วโมงเพื่อไปในเมืองที่จัดงาน เราไม่มีความรู้สึกเสียใจเลยที่เราทั้ง 5 มารวมตัวกันเป็นทีมนี้ขึ้นมาครับ

แหล่งพลังงานเหล่านั้นมันมาจากไหนครับ??
Seungri: ผมคิดว่า มันมาจากความจริงที่ว่าเราทั้ง 5 คนต่างก็มีเป้าหมายเดียวกันครับ เราต่างก็รักในเสียงเพลง พวกเราแต่ละคนก็เหมือนกับเสาที่คอยค้ำจุนกันและกันเป็นทีมเวิคส์ ซึ่งถ้าหากใครคนใดคนนึงต้องล้มลง เราทุกคนก็อาจจะต้องล้มลงเช่นกัน การที่มีเป้าหมายร่วมกันนั้นมันสนุกเวลาที่เราติดต่อสื่อสารกันนะครับเราต่างก็มีพื้นฐานคล้ายๆกันดังนั้นมันจึงสร้างแรงเสริมซึ่งกันและกันเวลาที่เรามาอยู่รวมกันเป็นทีมเดียวกันครับ

"ตอนนี้ ผมชอบที่จะช่วยเหลือคนอื่นให้มีความโดดเด่นมากขึ้นครับ"



เป็นเพราะพวกคุณผ่านอะไรมามากในช่วงนี้นะครับ แต่คุณมีการเตรียมการในเรื่องของการแสดงบนเวทียังไงครับเพราะดูว่าการแสดงในตอนนี้มีความแตกต่างออกไปเมื่อเทียบกับแต่ก่อน พูดได้ไม๊ครับว่า อาจจะเป็นเพราะตอนนี้คุณรู้แล้วว่าจะสร้างความประทับใจให้กับคนดูได้ยังไงในตอนที่ต้องร้องเพลงร่วมกับคนในทีม??
Seungri:
ผมไม่สามารถที่จะพูดได้ว่าผมเป็นคนรับผิดชอบหลายๆอย่างในการที่ต้องขึ้นแสดงเป็นทีมหรอกครับ แต่ผมมักจะรู้สึกประหม่าเสมอเพราะมันเป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้เลยว่ากล้องจะหันมาจับคุณเมื่อไหร่ ถึงแม้ว่าผมจะเป็นแค่ส่วนประกอบเล็กๆในภาพใหญ่ภาพนี้ แต่ผมก็รู้สึกถึงความรับผิดชอบที่จะต้องทำในส่วนของผมให้เต็มที่ ผมต้องทำทุกอย่างที่ผมจะทำได้ให้กับทีมครับ

การแสดงออกทางสีหน้าของคุณดูน่าประทับใจไม่น้อยนะครับ ตอนนี้คุณกลายเป็นชายหนุ่มเต็มตัวแล้ว
Seungri:
ผมมีประสบการณ์ในการแสดงผ่านละครทีวีเรื่องนึงเป็นช่วงสั้นๆครับ และเป็นเรื่องจริงครับที่ศิลปินจำเป็นจะต้องแสดงไปด้วยเวลาที่ร้องเพลง เมื่อดนตรีเริ่มบรรเลงคุณจะต้องร้องเพลงในขณะที่คิดถึงเรื่องราวประนึงภาพยนตร์ที่กำลังฉายบนจอไปด้วย คุณ  Lee Byung-hun นักแสดงเคยให้สัมภาษณ์ว่า เค้ารู้ตัวเสมอว่ากล้องกำลังจับเค้าอยู่ถึงแม้ว่าเค้าจะหลับตาอยู่ก็ตาม ผมคิดว่านี่แหละที่คุณจะบอกได้ว่า เป็นมืออาชีพอย่างแท้จริง นักร้องก็จำเป็นจะต้องมั่นใจว่าตำแหน่งกล้องอยู่ตรงไหนและจินตนาการถึงว่า ตากล้องจะถ่ายภาพออกมายังไง เช่นเดียวกันครับ

งั้นผมเดาว่าคุณหมายถึงในตอนนี้คุณสามารถที่จะมองสิ่งต่างๆในมุมมองที่กว้างกว่าเก่า ลักษณะเช่นนี้ปรากฏออกมาเมื่อคุณไปร่วมรายการวาไรตี้โชว์ด้วยไม๊ครับ?? ในรายการtalk show คุณกระตือรือร้นมากขึ้นในการที่จะช่วยสมาชิกวงคนอื่นๆพูดในส่วนของเค้าออกมามากกว่าที่จะมุ่งไปที่การพูดแต่เรื่องของคุณเอง นะครับ
Seungri:
ยกตัวอย่างในรายการ "Strong Heart" ทางช่อง SBS นะครับ ผมจะรู้สึกกระตือรือร้นในการที่จะบอกเล่าเรื่องในส่วนของผมในรายการถึงกับขนาดที่ต้องยกมือขอให้ตัวเองได้พูดเลยทีเดียว แต่ในตอนนี้ผมไม่มีความกระตือรือร้นที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวเองอีกต่อไปแล้วละฮะ แทนที่จะทำทุกอย่างคนเดียว ผมจะลดตัวเองลงมาและพยายามที่จะช่วยให้คนอื่นได้โดดเด่นมากขึ้น เมื่อผมคิดย้อนกลับในมุมมองของผู้ชม มันดูไม่ดีเท่าไหร่เลยที่ได้เห็นตัวเองพยายามที่จะพูดมากๆและทำตัวโดดเด่น ดังนั้นในตอนนี้ผมจะส่งเรื่องไปที่สมาชิกคนอื่นอย่างแนบเนียนโดยการจะถามไป เช่น " แล้วของแดซองละครับเป็นยังไงบ้าง??" แบบนั้นครับ

มันน่าจะเป็นความยากไม่น้อยนะครับสำหรับคนดังที่จะพยายามไปเข้าใจและคิดแทนคนอื่นแบบนั้น เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนที่มีชื่อเสียงไปแล้วนะครับที่จะต้องพยายามทำตัวให้โดดเด่นและให้คนสังเกตเห็น
Seungri:
แต่ถ้าหากไม่มีการปรับปรุงพัฒนาตัวเองหรือแก้ไขในข้อบกพร่อง คุณก็ไม่สามารถที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้นะครับ หลังจากที่ได้พบปะผู้คนที่มีพื้นฐานที่มาแตกต่างกัน หลังจากที่ได้เดินทางไปต่างประเทศผ่านการทำงานของวงและได้เรียนรู้วัฒนธรรมที่หลากหลาย ผมคิดว่าผมเติบโตขึ้นทีละเล็กทีละน้อย คุณจะได้เรียนรู้อะไรมากมายผ่านประสบการณ์ที่ได้รับครับ

นอกจากเรื่องที่ได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว คุณหาเจอรึยังครับว่าคุณรับบทบาทใดในวงบิกแบงนี้??
Seungri:
ผมอยากที่จะรับหน้าที่เป็นคนคอยตรวจดูความเรียบร้อยเป็นคนสุดท้ายในวงครับ คือ ในขณะที่สมาชิกในวงคนอื่นๆกำลังรับบทนำและกำลังนำภาพรวมทั้งหมดกันอยู่ ผมก็จะเป็นคนทำให้ทุกอย่างดูมีสีสันขึ้น ไม่ว่าจะเป็น บนเวที ในรายการtalkshow หรือในรายการวาไรตี้โชว์ งานของผมคือการคอยเต็มเติมส่วนที่สมาชิกในวงคนอื่นทำไม่ได้ครับ

สิ่งที่คุณยึดถือเอาไว้ในใจในตอนที่ทำงานเดี่ยวของคุณแน่นอนว่าจะต้องมีความแตกต่างไปจากเวลาที่ทำงานในนามบิกแบงใช่ไม๊ครับ?? ผมรู้สึกว่าคุณดูจะสนุกกับตัวเองในฐานะเป็นศิลปินเดี่ยวทั้งบนเวทีและในรายการทีวีด้วย
Seungri:
มันไม่เหมือนกับที่คุณคิดหรอกครับ ในการทำงานเดี่ยวนั้นมีน้ำหนักความรับผิดชอบหนักมากเพิ่มเข้ามาและมันทำให้เกิดความเครียดมากจริงๆ ในการที่ไม่มีเวลาเลยและถูกเร่งแบบนั้นเป็นตัวปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์และทำให้มีทางเลือกไม่มากนักที่จะนำมาใช้ในการตัดสินใจ ผมต้องการที่จะเป็นคนตัดสินใจในขั้นตอนสุดท้ายในทุกๆเรื่องดังนั้นในตอนที่ทำงานเป็นกลุ่มผมจะไม่ค่อยสนใจในเรื่องนี้เท่ากับในตอนที่ทำงานเดี่ยวครับ เพราะในตอนที่ทำงานเป็นกลุ่ม เรามีหัวหน้าวงและสมาชิกอีก 5 คนร่วมแสดงความคิดเห็นออกมาและช่วยกันตัดสินใจได้ ซึ่งมันเป็นผลต่อการกำกับเวทีและการที่เราแต่ละคนก็มุ่งทำส่วนของตัวเองให้ดีที่สุดไปครับ

แต่มันก็ดูสมกับความเหนื่อยนะครับ เมื่อคุณเป็นผู้รับผิดชอบในทุกสิ่ง ด้วยตัวของคุณเอง
Seungri:
อัลบั้มเดี่ยวของผม VVIP เป็นอัลบั้มที่ออกมาแบบไม่ได้วางแผนมาก่อนครับ แต่พูดตามตรงนะครับว่า ผมมั่นใจมากๆว่าผลจะต้องออกมาดีมากแน่นอน แต่หลังจากที่เวลาผ่านมากว่า 2 ปีนี้ทำให้ผมตระหนักว่าตัวเองค่อนข้างโง่นะครับที่มั่นใจแบบนั้นที่คิดว่าจะสามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเองแบบนั้น ผมเหมือนกับเป็นผู้เล่นกองกลางแต่ดันจะไปบุกยิงประตูด้วยตัวเอง ความคิดนี้โผล่เข้ามาในใจผมในตอนที่ผมดูฟุตบอลนัดของ Manchester United ครับ มันเหมือนกับคงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีแน่ถ้าจะจับเอาคุณ Park Ji-sung ลุยบุกเดี่ยวแบบที่ Rooney ทำ ความหลงใหลของผมมันมีมากเกินกว่าความสามารถของผมครับ ผมเซ่อซ่าจริงๆในตอนนั้น

หมายความว่า คุณที่เติบโตขึ้นคนนี้จะตัดสินในแบบที่ต่างไปเหรอครับ ถ้าได้มีโอกาสได้ทำงานเดี่ยวของตัวเอง??
Seungri:
มีคนถามผมเยอะมากเลยครับว่าเมื่อไหร่จะออกอัลบั้มเดี่ยวอีก แต่ผมไม่มีความสนใจที่จะทำแบบนั้นเลยแม้แต่นิดเดียวในช่วงนี้ครับ ทุกอย่างมีช่วงเวลาของมันและนี่ไม่ใช่เวลาของผมในการทำงานเดี่ยว ในปี 2012 นี้สมาชิกในวงคนอื่นวางแผนที่จะออกอัลบั้มเดี่ยวและพี่ท็อปก็กำลังเตรียมตัวสำหรับโครงการในงานด้านการแสดงโครงการใหม่ ผมคิดว่าเวลาของผมน่าจะเป็น 2-3 ปีต่อจากนี้ครับ (หัวเราะ)

คุณเริ่มจะอ่านสถานการณ์จากมุมมองของโปรดิวเซอร์แล้วนะครับเนี้ย (หัวเราะ)
Seungri:
เป็นเพราะนี่เป็นปีที่ 7 ของผมแล้วนะครับตั้งแต่เดบิวมาผมสังเกตว่าทุกอย่างมีจังหวะของมัน เป็นเพราะว่าอัลบั้มเดี่ยวของผมนั้นในเชิงธุรกิจถือว่ายอดขายไม่ได้ประสบความสำเร็จ มันคงต้องอาศัยเวลาในการที่จะทำอัลบั้มต่อไปให้สมบูรณ์แบบ ผมต้องได้รับความความจดจำจากคนให้มากขึ้นกว่านี้ก่อนและต้องมีทักษะและเทคนิคให้มากขึ้นกว่านี้ก่อน จากการที่มีสมาชิกในวงคอยช่วยเหลือ ผมเดาว่าตัวเองน่าจะสร้างพื้นฐานที่มั่งคงให้กับการเป็นศิลปินเดี่ยวต่อไปในภายภาคหน้าครับได้ครับ

"ผมไม่เคยชอบความพ่ายแพ้เลย"




มันต้องใช้เวลานานทีเดียวที่เด้กชายคนนึงที่เปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจที่อยากจะเป็นศิลปินและตกลงใจเข้าร่วมการออดิชั่นคนนี้ เติบโตเป็นมืออาชีพที่มีแบบแผนอย่างชัดเจนในชีวิตแบบนี้ คุณรู้สึกยังไงกับความเปลี่ยนแปลงไปนี้ของตัวเองครับ??
Seungri:
ผมเกลียดความพ่ายแพ้มาโดยตลอดครับ และความคิดนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย ในตอนที่ต้องเข้าร่วมการออดิชั่นเพื่อที่จะได้มาเป็นสมาชิกในวงบิกแบง มันเป็นเรื่องน่าอายมากที่จะคิดถึงตัวเองที่ต้องกลับบ้านหลังจากที่สอบตกในการแข่งขัน ผมถึงกับขนาดจินตนาการนึกภาพผู้คนชี้นิ้วใส่หน้าผม กระซิบกันลับหลังผมและภาพคุณครูต้องห้ามคนเหล่านั้นให้หยุดล้อผมซักที มันเป็นเรื่องที่โหดร้ายมากๆที่จะนึกภาพเหล่านั้นในหัวของผม หากผมทำอะไรผิดและโดนสังคมวิภาควิจารณ์ผมมักจะคิดว่าตัวเองเป็นผู้แพ้แล้วละครับ

มันเหมือนกับการต่อสู้กับตัวเองรึเปล่าครับ?? 
 Seungri: มันเป็นการที่ยืนหยัดในการทำอะไรบางอย่างโดยการที่ผลักดันตัวเองให้เต็มความสามารถครับ ผมไม่ได้เหนือกว่าคนอื่นตรงไหนหรอกครับแต่ผมพยายามที่จะไม่แพ้ เมื่อ 3 ปีก่อนผมบอกกับท่านประธานบริษัท วายจี เอนเตอรืเทนเม้นซ์คุณ Yang Hyun-suk ว่า "ผมจะทำงานอย่างหนักครับ" แต่เค้ากลับทำให้เป็นตกใจมากโดยให้คำตอบกลับมาว่า " เรานายจะทำอะไรได้อีกละถ้าไม่พยายามอย่างหนัก??" ผมคิดว่ามันเป็นคำพูดที่ทำให้ผมช็อคมากที่สุดที่ผมได้ยินนับตั้งแต่ได้เดบิวในนามของบิกแบงเลยละครับ แต่เค้าพูดถูกนะครับ ผม"ต้อง"ทำงานอย่างหนักไม่ใช่เพื่อบริษัท ไม่ใช่เพื่อคนอื่นแต่เพื่อตัวเอง ดังนั้นในทางเทคนิคแล้วมันดูไม่เข้าท่าเลยที่ผมจะไปบอกกับคนอื่นว่าผมจะทำงานอย่างหนักซึ่งสมาชิกทุกคนในวงต่างก็เป็นเหมือนกัน ท่านยางอาจจะดูเป็นครูฝึกที่เหี้ยมนะครับแต่สิ่งที่เค้าพูดกับผมในวันนั้นได้เป็นการเพิ่มเชื้อเพลิงให้กับไฟในใจของผมครับ

นอกเหนือจากสิ่งที่คุณต้องการประสบความสำเร็จแล้ว บิกแบงมีความหมายยังไงกับคุณครับ?
Seungri:
บิกแบงเป็นกลุ่มที่ผมอยากจะอยู่ด้วยจนวันตายครับ สมาชิกในวงทุกคนมีอายุมากกว่าผมทุกคนแต่บางครั้งผมรู้สึกว่าพวกเค้าเหมือนเป็นเพื่อนสนิทของผม เป็นเพราะผมอุทิศชีวิตของผมในการทำงานในสาขานี้โดยที่ไม่มีความทรงจำพิเศษในเรื่องของโรงเรียนมัธยมใดๆเลย ดังนั้นสมาชิกวงบิกแบงจึงมีความหมายมากสำหรับผมครับ เราไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดแต่ผมสามารถพูดได้ว่าผมอยากที่จะเป็นพี่น้องกับพวกเค้าจริงๆ ตอนนี้ไม่มีอะไรจะมาแยกเราได้ หลังจากที่ผ่านทั้งเรื่องดีและร้ายร่วมกันมา ผมคิดว่าจะต้องมีอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งที่เรามีถึงจะสามารถทำให้เราแยกจากกันได้ครับ

Source 10asia.co.kr Thai translation by mew mini museum 
※ Any copying, republication or redistribution of 10Asia's content is expressly prohibited without prior consent of 10Asia. Copyright infringement is subject to criminal and civil penalties.

===============

สามารถอ่านตอนต่างๆที่ออกมาก่อนได้ตามนี้ค่ะ 
สัมภาษณ์ Taeyang จาก 10asia 

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

สัมภาษณ์ G-Dargon แห่งวง Bigbang จาก 10ASIA


การระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ที่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งจักรวาลอันไพศาล การระเบิดในครั้งนั้นเรารู้จักกันในนาม BigBang

ก้าวเข้าสู่ปีที่ 7 แห่งการเดบิว ในตอนนี้บิกแบงได้สร้างอาณาเขตแบ่งชัดเจนให้กับวงการ KPOP เพลงของบิกแบงเป็นเพลงที่มีความแตกต่างไปจากเพลงของวงนักร้อง Kpop หรือวงไอดอลวงอื่นๆ พวกเค้าได้เข้าไปมีส่วนสร้างแนวทางในวงการเพลงระดับโลกได้อย่างรวดเร็วโดยที่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้สูญเสียความเป็นตัวตนของตัวเองไปเลย ในการที่จะนำเอาเพลงซึ่งเบ่งบานท่ามกลางความลำบากที่พวกเค้าต้องเผชิญออกสู่สายตาชาวโลก หนุ่มๆได้ทำการแสดงถึงสามเพลงในหนึ่งรายการเพลง การแสดงในแต่ละเพลงก็มีคอนเซ็ปที่แตกต่างกันอีกด้วย นอกจากนี้พวกเค้ายังได้ทำรายการโชว์ที่สามารถดูออนไลน์ได้ด้วยความคมชัดสูงสุดขึ้นมาอีก

ก้าวย่างที่พยายามหลีกเลี่ยงการทำตามธรรมเนียมที่เป็นกฏข้อปฎิบัติมาโดยตลอดของพวกเค้าได้สร้างความประหลาดใจได้เป็นระยะๆ แต่ความประหลาดใจที่เกิดขึ้นนั้นก็มักจะทิ้งอะไรใหม่ๆเอาไว้เสมอหลังจากเกิดการระเบิดครั้งใหญ่ การที่ 10 asiaได้มาสัมภาษณ์หัวหน้าวงอย่าง จีดราก้อนในครั้งนี้ ได้เปิดโอกาสให้ทางเราได้ค้นพบว่าอะไรที่เป็นตัวนำให้ทีมนี้สร้างสรรค์ความน่าประหลาดใจและความตื่นเต้นมาสู่วงการดนตรีในระดับโลกได้ 

 นักดนตรี,ที่กล่าวว่าเค้าอุทิศเวลาทั้งหมดที่มีไปกับการวางแผนและเตรียมงานเพื่ออัลบั้มใหม่ในขณะที่ก็ปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างให้ขึ้นอยู่กับความคาดหวังของแฟนๆของเค้าที่กำลังรอคอยอยู่  ,ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นไปกับความสำเร็จและความโด่งดังที่เข้ามาอย่างกะทันหันนี้เลย เพียงแค่เหตุผลข้อนี้ มันก็น่าตืนเต้นเพียงพอแล้วที่จะลองนึกถึงภาพที่เค้ามีไว้ในใจเตรียมไว้สำหรับบิกแบงในวันข้างหน้า

"'ALIVE เปิดโอกาสให้พวกเราได้มีความสุขไปกับ ยุคทอง ของบิกแบง"






ในฐานะที่เป็นหัวหน้าวงและโปรดิวเซอร์ของบิกแบง คุณคงต้องมีสิ่งพิเศษที่ยึดติดอยู่ในใจเป็นแน่ในการออกอัลบั้มในครั้งนี้ คุณรู้สึกยังไงบ้างครับที่ระยะเวลาการโปรโมทในประเทศนั้นได้จบลงไปแล้ว ??
G-Dragon:
มันเป็นช่วงเวลาที่สั้นๆแต่ลึกซึ้งมากครับ ก่อนที่จะไปคิดถึงว่าคนอื่นๆจะพูดเกี่ยวกับอัลบั้มนี้ว่ายังไงกันบ้าง ผมอยากจะเรียกช่วงนี้ว่าเป็น ยุคทองของบิกแบง จริงๆครับ

ในช่วงที่คุณทำงานในยูนิตพิเศษ GDTOP คุณพูดในการให้สัมภาษณ์ว่ายังมีอีกสิ่งนึงที่จะทำให้ทุกคนตกตะลึงคอยอยู่ ผมรู้สึกว่า อัลบั้ม "ALIVE" นี้คือสิ่งที่คุณพูดถึง มันสามารถสร้างความตกตะลึงได้แบบม้วนเดียวจบทีเดียว (หัวเราะ)
G-Dragon:
ผมมีความพอใจอย่างมากในอัลบั้มชุดนี้ครับ ถึงแม้ว่าช่วงเวลาที่เราใช้ในการโปรโมทจะค่อนข้างสั้น ผมคิดว่าเราได้แสดงออกไปเพียงพอแล้วและไม่มีอะไรที่จะต้องเสียใจ เพราะว่าในปีนี้เรายังจะมีอัลบั้มเดี่ยวของสมาชิกในวงออกมาอีก ผมคิดว่าเราควรจะเก็บเอาความรู้สึกในตอนนี้เอาไว้ครับ

ปีนี้เหมือนเป็นปีหัวเลี้ยวหัวต่อของบิกแบงที่จะก้าวจากภาพลักษณ์ของพวกคุณจากครั้งที่รุ่งเรืองในยุคของเพลง Lie ไป และยังเป็นช่วงที่มีความหมายถึงการที่พวกคุณได้ก้าวข้ามการผจญภัยไปได้อีกขั้นนึงแล้วและกำลังสร้างสรรค์สิ่งใหม่ นะครับ
G-Dragon:
ผมเริ่มที่จะพูดคุยเรื่องนี้กับพี่เท็ดดี้และทีมงานในบริษัทถึงเรื่องนี้ในช่วงที่ผมออกอัลบั้มในนาม GDTOP ครับ แทนที่จะไปเกาะอยู่กับกระแสหลักเราต่างก็มีความเห็นที่ตรงกันว่าเราควรก้าวนำหน้าคนอื่นนิดๆอยู่เสมอ นอกจากนี้เราก็มั่นใจในทุกสิ่งที่เราทำลงไปว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว นอกจากการได้รับความสำเร็จในด้านเสียงเพลงและแฟชั่น สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเราคือการที่ได้แสดงออกถึงสิ่งที่เรารักออกมา ถ้าเรามีความมั่นใจและความมั่นคงในสิ่งที่เีราทำ เรารู้ว่าคนอื่นๆก็จะตามมาในแนวทางที่เราสร้างเมื่อถึงจุดจุดนึง ซึ่งท้ายที่สุดแล้วมันจะเป็นทางที่ได้ผล ผมเรียกมันว่า การผจญภัยที่ประสบความสำเร็จ ครับ

เพลงอย่างเพลง  "BAD BOY" และ "BLUE" เป็นเพลงที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงจากเพลงจากวงไอดอลในวงการ KPOP นะครับ เพลงนี้ไม่ีมีท่อนคอรัสที่ร้องพร้อมๆกัน และไม่มีการแบ่งท่อนร้องที่ชัดเจนให้กับสมาชิกแต่ละคนด้วย
G-Dragon:
ท่านประธานบริษัทของเราไม่สามารถที่จะเลือกว่าจะเรียกเพลงไหนในสองเพลงนี้ว่าเป็นเพลงโปรโมทหลักในอัลบั้มได้แม้ในวินาทีสุดท้ายก็ตามครับ เพลงแร๊พที่มีจังหวะช้าๆอย่างเพลง "BAD BOY" จะไม่โด่งดังในหมู่คนส่วนใหญ่ และเพลง "BLUE" ก็เหมือนกับเพลงที่เป็นภาคต่อของเพลง "Love Song" ที่ออกมาในอัลบั้มพิเศษเมื่อปีที่แล้วอีก. แต่พวกเราได้ทำให้เพลงทั้ง 2 เพลงนี้ออกมาเป็นเพลงที่ยอดเยี่ยมได้เป็นเพราะเราคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะแสดงออกถึงเพลงในแบบที่เป็นแบบบิกแบงจริงๆออกมา และด้วยเหตุผลบางอย่าง เพลงนี้ก็เข้ากับสถานการณ์ที่พวกเรากำลังเผชิญอยู่ด้วย ผมคิดว่าถ้าเราออกอัลบั้มนี้มาก่อนที่เราจะต้องเผชิญหน้ากับปัญหามากมายเมื่อปีที่แล้วหรือออกอัลบั้มเว้นจากช่วงที่เราต้องพบปัญหานานจนเกินไป ผมไม่คิดว่าเราจะสามารถใส่ตัวตนของเราลงไปในเพลงได้ขนาดนี้ครับ

ผมเดาเอานะครับว่า ทางค่ายคงชอบเพลง "FANTASTIC BABY."มากที่สุดใช่ไม๊ครับ??
G-Drago:
สิ่งที่ท่านประธานต้องการมากที่สุดจากพวกเราเหนือสิ่งอื่นใดเลยก็คือ เพลงที่มีจังหวะเร็วครับ เพราะเราไม่มีเพลงเต้นเลยตั้งแต่เราทำเพลง  "Last Farewell" ที่อยู่ในมินิอัลบั้มที่สองของเราออกมา ในตอนที่เราทำงานกับพี่เท็ดดี้เพื่อที่จะทำเพลงจังหวะเร็วๆออกมา เราตัดสินใจว่าเราจะทำเพลงในจังหวะที่คนทั่วๆไปไม่ค่อยคุ้นเคยกับมันเท่าไหร่ เราสร้างจุดหักมุมเล็กน้อยๆให้กับเพลงนี้โดยการเร่งจังหวะขึ้นเรื่อยๆแบบไม่ได้ตั้งใจ ในขณะที่ศิลปิน KPOPคนอื่น มักจะทำเพลงในแบบอิเลคโทรนิคกันเยอะมากในช่วงนี้ ผมทำเพลงนี้โดยเริ่มต้นเพลงด้วยเสียงร้องของผมเดี่ยวๆเพื่อสร้างความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดจากเพลงอิเลคทริคอื่นๆที่ออกมาในประเทศของเราตอนนี้  เราจำเป็นต้องแสดงให้เห็นว่าของจริงมันเป็นยังไง มันต้องเป็นเพลงที่มีการเรียบเรียงที่เป็นเอกลักษณ์และเป็นที่น่าจดจำสำหรับทุกคนที่ได้ฟัง เราได้นำเอาพรสวรรค์ของเราออกมาผสมผสานกันครับ

ภาพรวมของอัลบั้มนี้เป็นการผสมผสานพรสวรรค์ของสมาชิกในวงแต่ละคนออกมาได้อย่างสมบูรณ์นะครับ
G-Dragon:
ก่อนที่จะออกอัลบั้ม Alive ออกมา ท่านประธานได้ถามคำถามที่พูดทีเล่นทีจริงกับพวกเราว่า "บิกแบงเป็นชื่อที่มีค่ามากมายมหาศาลนะ แต่รู้ไม๊ว่าคุณภาพที่อยู่ภายในชื่อนี้จะมีดีเท่าภาพลักษณ์ที่วงมีรึเปล่าก็ไม่รู้?? "ผมรู้สึกกดดันอย่างมากที่ได้รับคำถามแบบนั้นและส่วนนึงในใจผมก็เห็นด้วยกับคำพูดนั้นด้วยเหมือนกัน ผมคิดว่าเราจำเป็นจะต้องพยายามให้มากขึ้นอีก เราทันสมัยเรามีพรสวรรค์ในเรื่องดนตรี แต่บางอย่างมักจะขาดหายไปเสมอ สิ่งนั้นที่เป็นภาพลักษณ์ของบิกแบงและตัวตนของเรา ในตอนที่อัลบั้มนี้ออกมา ผมต้องการที่จะสามารถชักจูงอารมณ์ของผู้คนได้มากกว่าที่จะได้รับคำวิจารณ์ดีๆจากนักวิจารณ์ เราอยากได้เครื่องหมายตกใจจากผู้คนมากกว่าได้รับเครื่องหมายคำถามเวลาที่พวกเค้าฟังเพลงของเราครับ 

"ผมอยากให้บิกแบง ได้รับความเชื่อถือ ในกลุ่มศิลปินรุ่นเก่าในวงการ KPOPครับ"




งั้นปฏิกริยาที่ได้รับจากเพลง BLUE คงจะเป็นกำลังใจให้คุณมากขึ้นสินะครับ จังหวะของเพลงที่เร็วขึ้นในช่วงท้ายของเพลง มันยิ่งทำให้เพลงนี้ติดตรึงใจคนฟังนะครับ
G-Dragon:
ผมคิดว่าความเจ็บปวดของผมถูกบรรยายออกมาเป็นอย่างดีผ่านเพลงนี้ครับ ผมรู้สึกเศร้าจริงๆเหมือนกับชื่อเพลงในตอนที่ทำเพลง"BLUE" ดังนั้นผมจึงกังวลมากเป็นพิเศษในเรื่องการแต่งเนื้อเพลง พอเวลาผ่านไปในช่วงระยะเวลาหนึ่งพวกเราก็เริ่มที่จะเหนื่อยหน่ายในการที่จะไล่ตามวงต่างๆที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วในตอนนี้ ดังนั้นเราจึงมักจะต้องคำนึงถึงสไตล์เพลงในแบบที่คนส่วนใหญ่นิยมมาเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาเสมอในการทำอัลบั้ม ในอัลบั้มนี้ ถึงแม้ว่าเราจะไม่มีเป้าหมายใดๆที่เฉพาะเจาะจงและเราก็เอาแต่เล่าเรื่องราวของเราเองลงไปในอัลบั้ม แต่เรื่องราวเหล่านี้แหละที่สามารถได้รับความเห็นใจจากผู้คนได้ง่ายที่สุด วิธีเดียวที่เราจะสามารถบอกเล่าถึงสถานการณ์ของพวกเราได้คือการเล่าผ่านเสียงเพลงของพวกเรา และ เราก็เขียนเนื้อเพลงประหนึ่งว่าเรากำลังเขียนไดอารี่ของตัวเองเลยทีเดียวครับ

สิ่งที่คุณพึ่งพูดถึงนั้นได้แสดงออกมาผ่านเพลงในอัลบั้มนี้จริงๆครับ ในขณะที่เมื่อก่อนคุณวางแผนทุกอย่างอย่างระมัดระวังทั้งในเรื่องของการแสดงบนเวทีและการทำอัลบั้ม ตอนนี้ได้เปลี่ยนเป็นแนวอิสระฟรีสไตล์นะครับ
G-Dragon:
ผมคิดว่าจะเรียกมันว่า พัฒนาการนะครับ การที่จะคำนวณในทุกๆรายละเอียดในขั้นตอนการทำเพลงและการร้องเพลงนั้นดูจะใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้วครับ เมื่อก่อนผมเคยชอบเพลงที่หนักและทุ้มๆ แต่ตอนนี้ผมชอบเพลงที่สงบสบายๆมากกว่าและก็ไม่ลืมมันไปง่ายๆด้วยครับ

เพลงในจังหวะช้าและในจังหวะกลางมักจะเป็นเพลงที่คนฟังฟังแล้วรู้สึกเบื่อได้ง่าย แต่พวกคุณกลับไม่มีปัญหานั้นเพราะมีน้ำเสียงที่แตกต่างหลากหลายกันอยู่ในเพลงนะครับ
G-Dragon:
ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้ตั้งเป้าหมายในการฝึกการร้องให้ออกมาเป็นแบบนั้น เฉพาะแค่เสียงของสมาชิกในวงแต่ละคนก็มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดแล้วละครับ นอกจากนี้ ทุกคนต่างก็ตีความหมายเพลงออกมาอย่างหลากหลาย ดังนั้นมันจึงสร้างบรรยากาศที่แตกต่างออกไปขึ้นมาครับ

ครั้งนึงคุณเคยเปรียบสมาชิกแต่ละคนในวงบิกแบงว่าเป็นเหมือน อาวุธ อยากจะถามว่าท่านปรมาจารย์ได้เคยใช้อาวุธเหล่านั้นไปแล้วบ้างรึยังครับ?? (หัวเราะ)
G-Dragon:
ผมใช้เวลาในทุกๆวันอยู่กับพวกเค้านะครับ ผมคงจะต้องโง่มากๆเลยถ้าไม่รู้วิธีที่จะควบคุมพวกเค้า (หัวเราะ) สมาชิกทุกคนต่างก็เป็นผู้ใหญ่กันโดยที่เราก็ไม่รู้ตัวในการทำงานในอัลบั้มนี้และมันก็แสดงออกให้เห็นในเพลงด้วยครับ ในการเตรียมงานอัลบั้มต่างๆก่อนหน้านี้เราจะประชุมกันเป็นบางครั้งบางคราวในขณะที่ก็จะทำงานหรือวางแผนงานเดี่ยวของตัวเองไปด้วยซ้อนทับกันไปแบบนั้น แต่ครั้งนี้ เราหยุดงานทุกอย่างทั้งหมดไว้และมาทำงานร่วมกัน พลังของสมาชิกทั้ง5คนสะท้อนออกมาให้เห็นได้เป็นอย่างดีผ่านอัลบั้มในครั้งนี้ สำหรับตัวผมมันทำให้ผมย้อนกลับไปนึกถึงตอนที่พวกเราเริ่มเดบิว ผมกำกับเสียงของสมาชิกในวงไปทีละคนๆ ยกตัวอย่างเช่น ซึงรี จะใช้เสียงขึ้นจมูกและหายใจลงไปในการร้องเพลง"FANTASTIC BABY" ซึ่งก่อนหน้านี้เค้าจะไม่ทำแบบนี้นะครับ ส่วนตัวแล้วผมชอบท่อนนี้ของเพลงมากๆเลย

มันมีช่วงที่ทำให้ผมรู้สึกว่าสมาชิกแต่ละคนได้ค้นพบวิธีใหม่ๆในการใช้เสียงในการร้องเพลงนะครับ
G-Dragon:
สมาชิกทุกคนต่างก็ต้องการการกำกับเสียงอย่างละเอียดในการบันทึกเสียงครับ บางครั้งผมถึงกับต้องเขียนโน้ตแยกออกมาและขอให้พวกเค้าเปล่งเสียงเฉพาะคำคำนั้นในแบบที่ตั้งใจเอาไว้ออกมา ในเรื่องของรายละเอียดที่ต้องมีการกำกับอย่างละเอียดแบบนั้นเป็นเพราะ คนเราแต่ละคนนั้นมีการตีความเพลงแตกต่างกันไป การตีความของแต่ละคนนั้นย่อมสร้างโทนเสียงและสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ขึ้นมาด้วย ผมไม่ได้พยายามที่จะเข้าไปก้าวก่ายใครหรอกนะครับ แต่ผู้คนทั่วไปเริ่มที่จะเบื่อสไตล์เพลงในแบบไอดอลกันแล้วเพราะศิลปินส่วนใหญ่มัำกจะทำเพลงออกมาเป็นแพทเทินเดียวกันเสมอเลยครับ

ดังนั้นคุณจึงตัดสินใจที่จะทำอะไรที่แตกต่าง ใช่ไม๊ครับ??
G-Dragon:
ผมต้องปรับเปลื่ยนและทำให้เพลงมันแตกต่างออกไปเพื่อที่ว่าจะได้มีความเป็นเอกลักษณ์ขึ้นครับ ผมต้องการให้บิกแบงได้รับความน่าเชื่อถือไว้วางใจในกลุ่มศิลปินรุ่นเก่าในวงการ KPOPครับ

 "ชีวิตของผมถูกแวดล้อมไปด้วยคำว่า "แก๊งค์ผู้มีอิทธิพล"




คุณทำงานด้วยความคิดที่หลากหลายผสมผสานกันในใจของคุณก็จริงแต่ผมเดาว่าที่สุดแล้วคุณก็เชื่อในสัณชาตญาณของตัวเองเป็นใหญ่อยู่ดีไม๊ครับ??
G-Dragon:
หลังจากที่ผมทำงานมามากมายหลายอัลบั้ม ผมตระหนักได้ว่าความพยายามที่คุณทุ่มลงไปในการทำงานนั้นไม่ได้เป็นตัวการันตีว่าผลที่ออกมานั้นจะดีเสมอไปครับ ในอัลบั้ม "Heartbreaker," ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับเสียงของผมและเทคนิคในการร้องเพลงนั้นถูกวางแผนเอาไว้ทั้งหมดและเมื่อผมไปร้องเพลงนี้ที่คาราโอเกะผมไ่ม่สามารถที่จะร้องออกมาแบบเดิมได้อีกเลย หลังจากอัลบั้มนั้นแล้วผมเริ่มที่จะเดินตามทางในแบบที่เป็นธรรมชาติมากขึ้นและมันทำให้ผมสามารถที่จะใส่งานที่เป็นตัวงานแรกที่เราลงมือทำผ่านไปสู่ผลงานในขั้นสุดท้ายได้ สมาชิกทุกคนต่างก็เชื่อใจให้ผมทำการตัดสินใจแบบนั้นและต่างก็ฝึกซ้อมกันอย่างมากเพื่อที่จะได้แสดงออกถึงความรู้สึกที่แท้จริงของพวกเค้าออกมาได้ครับ  

แล้วพวกไอเดียที่เต็มไปด้วยความสร้างสรรค์ที่ใช้ในมิวสิควีดีโอละครับเป็นสิ่งที่วางแผนมาก่อนแล้วหรือว่าเป็นการทำตามสัญชาตญาณในตอนนั้นเลย?? ผมไม่คาดคิดมาก่อนว่าคุณจะนำสิงโตเชิดของประเทศจีนมาใช้ในมิวสิควีดีโอนะครับ (หัวเราะ)
G-Dragon:
เราจะวาดภาพรวมของมิวสิควีดีโอในตอนที่เราทำเพลงครับ ยกตัวอย่าง เช่น ท่อนแรกของเพลง "FANTASTIC BABY" ทำให้ผมนึกถึงเสียงกระแสไฟฟ้ารบกวน ผมเขียนเนื้อเพลงที่เหลือด้วยความรู้สึกแบบนั้น พร้อมทั้งจินตนาการถึงคอนเซ็บของมิวสิควีดีโอ และเครื่องแต่งกายที่เราจะใช้ใส่ในการแสดงบนเวทีด้วย ผมยังคิดต่อไปถึง การจัดวางเสียงของสมาชิกในวงว่าจะให้ใครร้องในท่อนไหนด้วยนะครับ ดังนั้น โดยทั่วๆไปแล้ว งานที่สำคัญที่สุดสำหรับผมหลังจากที่ได้ทำงานในส่วนที่เกี่ยวกับพี่เท็ดดี้ไปบ้างแล้วนั่นคือการจัดระเบียบความคิดในหัวของตัวเองครับ ผมมักจะได้รับเพลงมาก่อนและเขียนเนื้อเพลงออกมาตามมาด้วยการทำทำนองแต่ผมตัดสินใจที่จะไม่ทำแบบนั้นอีกต่อไปแล้วครับ ทั้ง2ส่วนนี้เป็นส่วนที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัวกว่าเมื่อผมทำเนื้อร้องควบคู่ไปกับทำนองไปพร้อมๆกันครับ

ถ้าคุณใช้แรงบันดาลใจทั้งหมดลงไปกับการทำงานในทีเดียวแบบนั้น คุณจะทำยังไงในการที่จะเติมเต็มพลังงานและแรงบันดาลใจขึ้นมาใหม่ครับ?? 
G-Dragon:
ผมแค่มองความเป็นไปที่เกิดขึ้นบนโลก จากการดูรายการวาไรตี้โชว์ต่างๆไปจนถึงการดูละครจากต่างประเทศ และก็ดูข่าวด้วยครับ ผมได้รับแรงบันดาลใจมาจากสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคม รวมไปถึงสิ่งที่พวกเค้าสวมใส่และวิธีการใช้ชีวิตของคนทุกวันนี้ครับ ทางค่ายก็มอบแรงสนับสนุนให้กับเราในการที่จะขยายมุมมองของเราให้กว้างขึ้นด้วยเช่นกันครับและเราก็มีโอกาสได้พบกับศิลปินชื่อดังมากมายในช่วงหลังนี้ การที่ได้เจอและพูดคุยกับศิลปินคนโปรดของพวกเราอย่าง Quincy Jones, Diplo, Boysnoize, Under Dogs และ William ทำให้ผมคิดอยากจะประสบความสำเร็จแบบพวกเค้าบ้าง สิ่งเหล่านี้ชักนำให้ผมอยากที่จะดีขึ้นกว่านี้ ครับ

ถ้าลองมองดูในอีกแง่นึง นี่หมายความว่าคุณเริ่มที่จะทำงานเพลงโดยมุ่งไปที่การเอาใจแฟนๆในระดับโลกแล้วรึเปล่าครับ??
G-Dragon:
อาจจะฟังดูตลกนะครับแต่ปฏิกริยาที่เราได้รับจากแฟนๆในต่างประเทศในช่วงหลังนี้เป็นสิ่งที่คาดคิดเอาไว้ก่อนแล้วละครับ จากการศึกษาเพลงป็อปที่ผมกับพี่เท็ดดี้ต่างก็เติบโตมากับเพลงประเภทนี้นั้นทำให้เราเปรียบเทียบเพลงของเรากับเพลงป็อปอื่นๆมาโดยตลอด และสิ่งที่เราเป็นทุกวันนี้ก็เป็นผลลัพท์ของทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้วางแผนมาหมดแล้ว เรามั่นใจในเพลงของ YG มากเพราะนี่เป็นสิ่งที่เราวางแผนกันมาอย่างละเอียดแล้ว เราได้วางแผนเพื่อให้เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นมานานมากดังนั้นผมไม่ได้ถึงกับประหลาดใจมากมายกับเรื่องนี้เท่าไหร่ครับ

งั้นทิศทางในอนาคตของดนตรีในแบบคุณและเป้าหมายในอนาคตของคุณคงจะเปลี่ยนไปพอสมควรนะครับ แผนการในฐานะที่เป็นนักดนตรีของคุณคืออะไรครับ??
G-Dragon:
ผู้คนอาจจะบอกว่าผมหยิ่งและทะนงตัวนะครับ แต่ว่าการขนานนามให้ผมว่าเป็น นักแต่งเพลงมือเอก ไม่ได้มีความหมายใดๆสำหรับผมเลยครับ สิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ในขณะนี้ก็คือการฝึกซ้อมเตรียมการเพื่ออัลบั้มต่อๆไปข้างหน้า สิ่งที่โหดร้ายมากกว่าการจัดอันดับเพลงและความโด่งดังคือการทำเพลงที่สามารถได้รับความรักจากทุกคนแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานเป็นสิบๆปีแล้วก็ตาม ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเพลงของพวกเราจะสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปินที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์คนอื่นๆและสามารถมีส่วนช่วยทำให้วงการเพลง KPOP ได้มีการพัฒนาขึ้นอีก นี่เป็นทัศนวิสัยและจุดเป้าหมายของผมครับ

ในตอนนี้คุณหวังที่จะได้เห็นยุคใหม่แห่งวงการดนตรีของเกาหลีไม่ก็ยุคใหม่แห่งวงการดนตรีโลกมากกว่าที่จะประสบความสำเร็จในเป้าหมายส่วนตัวของตัวเองแล้วสิครับ??
G-Dragon:
ผมไม่มีทักษะในเรื่องของการลงทุนทำธุรกิจใดๆเลยครับไม่เหมือนกับที่ท่านประธานของเราคุณ Yang Hyun-suk มีทักษะตรงนั้น ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ความคิดที่ดีแน่ๆสำหรับผมที่จะกระโดดออกจากวงการบันเทิงไปเป็นผู้ลงทุนประกอบการเอง สิ่งที่ผมพูดคุยถกเถียงกับ CL แห่งวง 2ne1 เยอะมากๆในช่วงนี้คือ เรื่องของวัฒนธรรมและพื้นที่  ผมหวังว่าเราจะมีพื้นที่ให้กับคนที่มีพรสวรรค์มารวมตัวกันเยอะๆและมาร่วมเป็นแรงผลักดันซึ่งกันและกัน แม้ว่าพวกเค้าจะไม่ได้เป็นคนดังอะไรก็ตาม ผมโชคดีที่มีโอกาสเติบโตมาพร้อมๆกับการได้พูดคุยแลกเปลี่่ยนความคิดกับศิลปินที่ตัวเองชื่นชอบมาตั้งแต่ยังเด็กๆ  ผมอยากจะเปิดโอกาสตรงนี้ให้กับคนเหล่านั้นด้วยครับ ดังนั้นตอนนี้ผมกำลังหาทางที่จะทำให้ไอเดียนี้เป็นจริงขึ้นมาอยู่ครับ

ในการที่จะตามไล่ความฝันนั้นของคุณให้เป็นจริงพร้อมกับการทำงานในนามบิกแบงและเตรียมการในเรื่องของอัลบั้มเดี่ยวไปพร้อมๆกันแบบนี้ ฟังดูลำบากไม่น้อยนะครับ
G-Dragon:
แน่นอนครับ ผมมักจะไม่มีเวลาเลยแต่ผมจะพยายามทำเท่าที่ผมจะสามารถทำได้ครับ
ผมไม่แน่ใจว่าจะยังมีความสามารถในการแต่งเพลงที่มีความสำคัญ,เพลงที่เป็นผู้นำในวงการได้ต่อไปรึเปล่าถ้าผมแก่ตัวลง ดังนั้นคติประจำใจของผมคือ การเก็บรักษาความเยาว์วัยที่ผมมีอยู่ในตอนนี้ให้คงอยู่ตลอดไปแม้ว่าผมจะอายุมากก็ตาม ผมจำเป็นต้องเก็บรักษาบุคคลิกภาพของตัวเองแบบนี้เอาไว้ 
นอกจากงานในนามของบิกแบงแล้ว ชีวิตของผมถูกร่ายล้อมไปด้วยกลุ่มผู้มีอิทธิพล ถ้าปราศจากสิ่งนี้ไปชีวิตของผมก็ดูจะไม่สมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของแฟชั่น เนื้อเพลง หรือ สไตล์การร้องเพลง ผมจำเป็นต้องมีความรู้สึกในแบบแก๊งค์อิทธิพลออกมาด้วยมันถึงจะแสดงออกถึงตัวตนที่แท้จริงของผมออกมาได้ เหมือนกับทัศนคติแบบที่นักร้องร็อคชื่อดังมีกันนั่นแหละครับ ผมวางภาพรวมอัลบั้มเดี่ยวของตัวเองในครั้งหน้าเอาไว้ให้ออกมาในแนว "ความสลดหดหู่เสียใจ" แต่ผมคิดว่ายังไงๆก็จะต้องมีความเป็นแก๊งค์อิทธิพลอยู่ในอัลบั้มด้วยเหมือนกับที่ผมทำก่อนหน้านี้ครับ

เมื่อคุณคิดย้อนไปถึงเวลาในช่วงก่อนๆของบิกแบงแล้วคุณมีความรู้สึกยังไงกับตัวเองครับ?? ถ้าหากคุณเป็นเจ้าของพื้นที่ที่ให้คนมีพรสวรรค์มารวมตัวกันอย่างที่คุณกล่าวถึงเมื่อกี้ คุณจะรับเด็กชายจีดราก้อนมาและสนับสนุนเค้ารึเปล่า?? (หัวเราะ)
G-Dragon:
ถ้าผมมีความลึกซึ้งผมต้องรับครับ แต่ก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ ผมยังเป็นคนเดิมคนนั้นในสมัยก่อนนะครับแต่ผมอยู่ในสถานการณ์ที่แตกต่างไปก็เท่านั้นเอง ในตอนนี้ผมรู้เรื่องความเป็นไปมากมายเกี่ยวกับวงการเพลงนี้และผมก็คิดคำนวณสถานการณ์ต่างๆว่าควรจะแสดงอารมณ์ความรู้สึกออกมาแบบไหนให้อยู่ในจุดที่ตั้งใจเอาไว้ บางครั้งมันก็เป็นไปเกินความคาดหมายเหมือนกันและทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ชำนาญการในเรื่องนี้ไปซะแล้ว (หัวเราะ)

เหมือนกับในเนื้อเพลงของคุณที่ว่า คุณมาแบบเหนือเมฆ ใช่ไม๊ครับ??
G-Dragon:
ผมรู้เรื่องเยอะมาก และผมก็ระวังตัวว่าจะมีคนรู้ว่าผมรู้เรื่องเยอะไปด้วยครับ (หัวเราะ) ดังนั้นในขณะเดียวกันผมก็จะหลีกเลี่ยงไม่ทำตัวให้เป็นจุดสนใจหรือไม่ทำตัวให้คนมองออกคำนวณได้ง่าย แต่มันก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เหมือนกันที่ผมจะแสดงตัวตนที่แท้จริงของตัวเองออกมาครับ

งั้นคุณเป็นยังไงเมื่อ 6 ปีก่อนตอนที่คุณยังไม่รู้ในเรื่องที่คุณรู้มากมายแบบในตอนนี้ครับ?? G-Dragon: ผมไม่รู้อะไรเลยครับในตอนนั้น ไม่ว่าจะเป็นความโศกเศร้าหรือความดีใจใดๆที่ผมเห็น ผมยอมรับมันมาทั้งหมด ผมเคยเป็นคนที่ไม่ซับซ้อนและไร้เดียงสา แต่เป็นเพราะในตอนนี้ผมคิดมากเกินไปซะแล้ว ผมรู้วิธีที่จะสื่อสารกับผู้คนผ่านเสียงเพลง และนี่เป็นความแข็งแกร่งที่สุดที่ผมมีในอายุ 24 ตอนนี้ครับ .

จีดราก้อนในวัย 24 ปี มองว่าบิกแบงเป็นกลุ่มในแบบไหนครับ??
G-Dragon:
เราจะไม่เปลี่ยนแปลงครับ อย่างที่ผมมักพูดเสมอๆ สมาชิกแต่ละคนเปรียบเป็นเหมือนอาวุธประจำกายของผม เป็นครอบครัว เป็นเกราะป้องกัน  ผมเดาเอาว่าที่ผมเปรียบเทียบพวกเค้าเป็นทั้ง 3 อย่างนี้คงได้อิทธิพลมาจากภาพยนตร์เรื่อง "The Avengers."ที่ผมพึ่งได้ไปดูมานะครับ


source: 10 asia.co.kr Thai Translation by mew mini museum
※ Any copying, republication or redistribution of 10Asia's content is expressly prohibited without prior consent of 10Asia. Copyright infringement is subject to criminal and civil penalties.

=====================

เพิ่มเติมจาก comment ใน BBU จาก Whatasky นะค่ะ 

บอกมาว่าเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษหล่นไป ตรงที่น้องจีบอกว่าอยากจะทำเพลงที่ได้รับความรักจากผู้คนแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานเป็นทศวรรษ ตรงนี้น้องจีบอกว่า อยากจะดำเนินรอยตามศิลปินวงร็อครุ่นพี่อย่างวง Sanulim ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 แล้วที่น้องจีพูดถึงวงนี้ น้องจีบอกว่าในตอนเป็นเด็กเคยเดินเล่นแถวบ้านและฟังเพลงของวงนี้ไปด้วย วงดนตรีวงนี้เป็นวงดนตรีตั้งแต่สมัย 30 ปีก่อนเพลงมีความเรียบง่ายแต่ลึกซึ้งกินใจ ค่ะ ตัวอย่างเพลงจากวงนี้ นะคะ
http://www.youtube.com/watch?v=0bG8lTKuRGU 

====================

 สามารถอ่านตอนต่างๆที่ออกมาก่อนได้ตามนี้ค่ะ 
สัมภาษณ์ Taeyang จาก 10asia 

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

สัมภาษณ์ TOP แห่งวง Biabang จาก 10Asia


เพราะพวกเค้าไม่เหมือนกับผู้ชายทั่วไปคนไหนๆ แม้บิกแบงจะร้องเพลงที่มีเนื้อเพลงเล่าถึงผู้หญิงที่มาเจอ badboyและต้องเสียใจ ทั้งๆที่พวกเค้ามีความแตกต่างจากวงไอดอลอื่นๆทั่วไปและได้ชื่อว่าเป็นวงที่ดี ไม่ใช่ badboy ซะหน่อย วงนี้แร๊พเปอร์ไม่ได้เต้นเก่งและทั้งวงไม่ได้เต้นเคลื่อนไหวพร้อมกันอย่างสมบูรณ์แบบประหนึ่งแถวทหารแต่ผู้คนก็จดจำเพลงของพวกเค้าได้และรอคอยชมการแสดงบนเวทีครั้งต่อไปของพวกเค้า

สิ่งที่สำคัญต่อบิกแบงมากกว่าการเอาชนะคนอื่นๆคือการที่ได้ทำในสิ่งที่พวกเค้าัรัก ซึ่งสิ่งนี้อาจจะเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเค้าถึงสามารถตระหนักได้ถึงโลกที่พวกเค้ากำลังใฝ่ฝันได้ และเหตุผลนี้ไม่ได้นำมาใช้แค่ในเรื่องของดนตรีเท่านั้น ระหว่างการให้สัมภาษณ์ หนุ่มๆไม่ได้ปรับแต่งคำพูดของพวกเค้าให้เกินจริงในการตอบคำถามหรือพยายามที่จะหาว่าการตอบแบบไหนจะช่วยทำให้พวกเค้าได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น พวกเค้ามั่นคงเปิดเผยในการเล่าเรื่องที่พวกเค้าอยากจะบอกเราและเรื่องที่พวกเค้าจำเป็นต้องบอกมากกว่าที่จะพูดถึงในสิ่งที่จะเพิ่มความโด่งดัง การที่ซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองในการให้สัมภาษณ์ บิกแบงดูเป็นผู้ใหญ่ในขณะเดียวกันก็ยังไร้เดียงสา เช่นเดียวกับท็อป เค้าซื่อสัตย์และบอกเล่าความรู้สึกที่แท้จริงของเค้าในช่วงที่ต้องผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก ซึ่งไม่เหมือนกับผู้ชายทั่วไปคนไหน การที่ต้องยอมแพ้ให้กับทัศนคติดีๆของตัวเค้าเอง มันก็ยังไม่ง่ายนักสำหรับ แบดบอยที่จะยอมรับว่า เค้ารับมือกับมันได้ แต่ท็อปเล่าให้เราฟังว่า เค้ามีสิ่งที่เค้ายึดถือและมีศรัทธาในสิ่งนั้น และนี่แหละที่ทำให้คำพูดของเค้าน่าเชื่อถือ


“ผมต้องการที่จะทำให้ผู้คนคิดว่า "นี่มันบ้าชะมัด แต่ก็เจ๋งจริงๆ"


คุณโดดเด่นและได้รับความสนใจอย่างท่วมท้นอีกครั้งแล้วผ่านอัลบั้มล่าสุดนี้ รู้สึกยังไงบ้างครับที่ช่วงเวลาการโปรโมทได้จบลงแล้ว ??
T.O.P:
  ตลอดการออกอัลบั้มทั้งหมดในช่วง 7 ปีที่ผ่านมานี้ อัลบั้ม ALIVE เป็นหนึ่งในอัลบั้มที่เราใส่ใจกับมันมากที่สุดครับ เราให้ความสนใจกันเป็นพิเศษเพื่อให้แน่ใจว่าในทุกๆรายละเอียดนั้นใกล้เคียงกับความสมบูรณ์แบบที่สุด ดังนั้นนี่น่าจะเป็นช่วงที่สาหัสที่สุดช่วงหนึ่งในการเตรียมงานตั้งแต่เราเดบิวกันมา เรามีปัญหาทั้งในด้านร่างกายและจิตใจ ในขั้นตอนกระบวนการต่างๆ ครับ

เป็นคำตอบที่ผมไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลยนะครับเพราะสมาชิกคนอื่นๆบอกกับผมว่าพวกเค้ามีความสุขสนุกสนานกัน
T.O.P: ในขณะที่พยายามที่จะใส่ทุกอย่างที่ผมสามารถจะทำได้ลงไปในอัลบั้ม ผมหมดแรงที่จะรู้สึกสนุกไปกับกระบวนการต่างๆครับ ผมคงไม่สามารถที่จะทำกิจกรรมต่างๆต่อไปได้อีกแล้วหากระยะเวลาแห่งการโปรโมทจะขยายยาวนานออกไปมากกว่านี้ เพราะภาพลักษณ์บนเวทีกับตัวจริงของผมนั้นมีช่องว่างแห่งความแตกต่างกันอย่างมาก ผมมีเรื่องที่ต้องคำนึงถึงมากมายครับ

นั้นอาจจะเหตุผลที่ว่าทำไมการแสดงถึงทิ้งความประทับใจเอาไว้ให้กับแฟนๆถึงสิ่งที่คุณกำลังพยายามที่จะถ่ายทอดผ่านการแสดงและการกำกับเวทีที่ใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบมากที่สุด
T.O.P:
ผมคิดว่าผมรู้สึกถึงความรับผิดชอบที่มากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปครับ บางทีผมอาจจะกำลังพยายามที่จะไม่แสดงออกถึงความอ่อนแอของผมออกมาให้เห็น และยิ่งพยายามมากขึ้นมากเท่าไหร่ ความปรารถนาที่จะมอบการแสดงที่สมบูรณ์แบบที่สุดให้กับแฟนๆนั้นย่อมมากขึ้นแน่นอน ดังนั้นผมจึงวางแผนในรายละเอียดอย่างพิถีพิถันว่าผมจะแสดงออกในแบบไหนออกมา หรือผมควรจะแสดงออกอารมณ์ผ่านทางสายตาให้มากขึ้นอีกหรือเปล่าในการแสดงบนเวที 

ในตอนที่คุณทำงานในนามของยูนิตพิเศษ GD&T.O.P ดูเหมือนคุณจะเต็มไปด้วยความมั่นใจอย่างท่วมท้นทีเดียว มุมมองของคุณเปลี่ยนไปไม๊ครับเมื่อมาทำงานในนามของบิกแบง??
T.O.P:
ผมคิดว่าผมได้ก้าวย้อนไปคิดก่อนทุกครั้งที่จะทำการตัดสินใจและจะมองตัวเองและมองบิกแบงในแบบที่เป็นเหตุเป็นผลและมองในแง่ที่เป็นคนภายนอกมองเข้ามา หนึ่งในงานของเราคือการจัดระเบียบและควบคุมตัวเองให้ได้ หากเราต้องการที่จะได้รับผลตอบรับดีๆคืนกลับมาหรือได้รับคำชมว่าเพลงของบิกแบงนั้นเติบโตขึ้น ผมคิดว่าเราควรที่จะมีความฉลาดมากขึ้นและทำตัวให้หลักแหลมปราดเปรื่อง มันจะเป็นสัญญาณที่ไม่ดีแน่หากสิ่งที่เราคิดว่าทันสมัยก้าวหน้ากลับกลายเป็นเรื่องที่ "มากเกินไป"ในสายตาของมหาชน

มันน่าจะเป็นเรื่องยากนะครับที่จะต้องคอยคงสภาพทุกอย่างให้ยืดติดกับความเป็นจริงและทำการตัดสินใจอย่างเป็นเหตุเป็นผล ในขณะเดียวกันก็ต้องร้องแร๊พไปด้วยอีก มีเคล็ดลับอะไรครับเนี้ย??
T.O.P:
คือ.......เป็นความลับครับ มันเป็นเคล็ดลับที่มีแต่ผมที่รู้ว่าทำยังไงครับ (หัวเราะ) 

งั้นในตอนที่คุณกำลังคิดในแบบที่"เป็นเหตุเป็นผล"อยู่นั้น (หัวเราะ) คุณคิดว่าบทบาทของคุณในบิกแบงคืออะไรครับ??
T.O.P:
ผมสรุปเอาเองว่าสิ่งที่ผู้คนต้องการจากผมคือ ความประทับใจและบุคคลิกในแบบที่มีแต่ TOP เท่านั้นที่ทำได้ครับ ดังนั้นสิ่งที่ผมสนใจมากที่สุดคือ การแสดงออก ลักษณะท่าทาง และ อารมณ์ผ่านทางสายตา ความไหลลื่นสอดคล้องในการแร๊พและเนื้อเพลง ในขณะที่คนอื่นแสดงออกท่าทางต่างๆผมจะพยายามที่จะควบคุมตัวเองมากขึ้นซึ่งในทางกลับกันยิ่งควบคุมตัวเองมากขึ้นก็จะยิ่งทำให้คนเกิดความสงสัยอยากจะรู้ในลักษณะท่าทางของผมมากขึ้้นอีก ผมรู้ว่ามันอาจจะเป็นการแสดงออกในทางที่ไม่ค่อยจะพอเหมาะพอดีแต่เมื่อผู้คนกำลังมองมาที่ผม ผมต้องการให้พวกเค้าคิดว่า "นี่มันบ้าชะมัดแต่ก็เจ๋งจริงๆ" 

อ่า ใช่เลยนะครับ คงหาคำอธิบายที่ตรงกว่านี้ไม่ได้แล้ว แล้วคุณบอกกับตัวเองว่ายังไงครับในตอนที่จะต้องสร้างบรรยากาศบนเวทีให้ออกมาเป็นแบบนั้น ??
T.O.P:
ผมแค่ปล่อยตัวตนของตัวเองออกมาครับ ในตอนนี้ผมรู้วิธีที่จะปล่อยตัวและเป็นอิสระบนเวทีได้แล้วโดยที่ไม่ต้องคำนึงถึงคนอื่นๆ สิ่งที่ผมอยากจะส่งมอบไปบนเวทีในแต่ละครั้งนั้นขึ้นอยู่กับอารมณ์ของผมในวันนั้นๆ และนี่คือทั้งหมดที่ผมคิดก่อนที่จะขึ้นทำการแสดงในแต่ละครั้ง ในช่วงนี้ผมพยายามวาดภาพตัวเองให้เป็นอิสระและบ้าบิ่นมากขึ้นอีก และสิ่งเหล่านี้ที่ผมตั้งใจและพยายามกับมันก็เพื่อที่จะทำให้คนดูสนุกสนานมากขึ้นและให้ความสนใจเรามากขึ้นครับ 

สิ่งที่เกิดขึ้นบนเวทีนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้นะครับ มันจะเป็นไปได้เหรอครับที่คุณจะสามารถมองตัวเองในฐานะที่เป็นบุคคลที่สามในตอนที่คุณทำการแสดงอยู่ได้??
T.O.P:
ผมคิดว่าผมสามารถที่จะมองตัวเองในมุมมองของคนที่มองมาได้มากขึ้นหากผมมีความมั่นใจอย่างแรงกล้าในเรื่องของการแสดงบนเวที เสียงเพลงและสัญชาตญาณของตัวเองนะครับ และผมก็สามารถที่จะมองดูตัวเองได้อย่างเป็นเหตุเป็นผลได้ด้วยเช่นกัน ผมเคยที่จะรู้สึกกลัวว่าคนอื่นๆจะมองบิกแบงยังไงและมีความกังวลที่ไม่ได้มีความจำเป็นเลยในตัวเองด้วย แต่เมื่อผมหยุดที่จะโลภมากในสิ่งต่างๆผมก็มีความมั่นใจมากขึ้น ได้เวลาสำหรับผมแล้วละครับที่จะเริ่มรู้สึกสนุกมีความสุขในการทำงานของตัวเองอย่างแท้จริงซะที


"ผมกลายเป็นคนที่ไม่ค่อยซับซ้อนแล้วครับ."


ท่อนแร๊พที่คุณร้องออกมาในอัลบั้มนี้มันมากกว่าสร้างความประทับใจอีกนะครับ บางทีอาจจะเป็นเพราะในตอนนี้คุณสามารถที่จะรักงานที่คุณทำได้แล้ว โทนเสียงของคุณในเพลง "FANTASTIC BABY" นั้นแตกต่างมากๆกับโทนเสียงที่คุณร้องออกมาในอดีต จังหวะที่เร็วขึ้นในท่อนหลังนั้นก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหม่ด้วยเช่นกัน
T.O.P:
ทุกอย่างทำออกมาจากสัญชาตญาณล้วนๆครับ ผมได้ทดลองทำจังหวะขึ้นไปถึง 18 ชั้นและปรับแต่งจังหวะและความสอดคล้องในแบบที่ตามปกติผมไม่ค่อยได้ทำออกมาเท่าไหร่ด้วย โดยเฉพาะในเพลง "FANTASTIC BABY," ผมทำมันออกมาโดยที่นึกภาพของ Mick Jagger แห่งวง Rolling Stones เอาไว้ในหัวด้วยขณะที่ทำเพลงนี้  เพื่อที่จะได้แสดงออกถึงความเป็นเอกลักษณ์ออกมา เช่น ความรู้สึกที่คุณจะได้จากการเต้นในแบบแปลกๆ มีแร๊พเปอร์ที่มีท่าทางเท่ๆอยู่มากมายครับซึ่งผมไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่โบราณหรอกนะฮะที่จะลองทำตัวให้ดูเท่ดูแมนบนเวที   การที่ทำให้การแร๊พออกมาดูเรียบง่ายแต่มีเอกลักษณ์ถือว่าเป็นเป้าหมายของผมครับ


มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจทีเดียวนะครับที่เห็นคุณ กำลังยิ้มในช่วงเริ่มต้นในการแสดงเพลง "BAD BOY" บนเวที  "Inkigayo." ทางช่อง SBS ผมเดาเอาว่านี่ก็เป็นความพยายามอย่างนึงของคุณที่จะแสดงออกถึงความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองออกมาใช่ไม๊ครับ??
T.O.P:
คนที่เป็นแบดบอดจริงๆมักจะยิ้มอยู่ตลอดเวลานะครับ เพราะจำเป็นต้องปกปิดความรู้สึกเอาไว้ (หัวเราะ)

คุณกังวลในเรื่องของความเป็นเอกลักษณ์ ในการเขียนเนื้อเพลงด้วยเหมือนกันรึเปล่าครับ??
T.O.P:
จริงๆ ผมเขียนเนื้อเพลงออกมาโดยที่ไม่ได้คิดอะไรมากครับ ในอัลบั้มนี้ผมเขียนท่อนแร๊พเกือบจะทั้งหมดในวันที่มีการบันทึกเสียงครับ เพราะทั้งหมดมันมาจากประสบการณ์จริงของผมอยู่แล้ว ความรู้สึกที่จะได้ในแต่ละเพลงก็ค่อนข้างที่จะคล้ายๆกัน

คุณคงยุ่งๆในช่วงการเตรียมการเพื่ออัลบั้มนี้สินะครับ อะไรที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับคุณครับ??
T.O.P:
ผมจะมองหุ่นการ์ตูนแอคชั่นไม่ก็เฟอร์นิเจอร์ที่มีการดีไซน์เท่ๆครับ มันช่วยปลอบใจผมได้มากเมื่อได้เห็นงานฝีมือที่คนบางคนได้สร้างออกมาอย่างดีและนั่นเป็นแรงบันดาลใจให้ผมอยากที่จะบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองผ่านเสียงเพลงบ้าง ในช่วงนี้ผมกลายเป็นคนที่ไม่ค่อยซับซ้อนและไม่ค่อยคิดอะไรมากจนเกินไปนัก ซึ่งมันก็มีข้อดีนะครับ เหมือนอย่างบุคคลิกของผมเปลี่ยนมาเป็นคนที่สงบจากที่เคยรั้นและเป็นปริปักษ์  และเมื่อบุคคลิกของผมอ่อนโยนมากขึ้นกว่าแต่ก่อนผมก็เริ่มที่จะมองสิ่งต่างๆและมองผู้คนในมุมมองที่กว้างขึ้นครับ

ความเปลี่ยนแปลงแบบนี้ได้สร้างผลกระทบกับชีวิตในส่วนอื่นๆของคุณด้วยรึเปล่าครับ?? ผมได้ยินมาจากแฟนๆว่าคุณกระตือรือร้นมากขึ้นในรายการวาไรตี้ คุณดูเหมือนเด็กที่ชอบแกล้งเล่นสนุกเหมือนครั้งที่เดบิวใหม่ๆ เลยนะครับ
T.O.P:
ถ้าผมดูเป็นคนที่ซีเรียสมากขึ้นในช่วงหลังๆนี้เป็นเพราะ ละคร และ ภาพยนตร์ที่ผมมีโอกาสได้ไปแสดงในช่วงปีให้หลังนี้แหละครับ ผมต้องเผชิญกับการคงอยู่ของบาดแผลในใจเป็นระยะเวลายาวนานหลังจากการถ่ายทำภาพยนตร์เกี่ยวกับสงครามและการรับบทเป็นนักฆ่าในละคร ทั้งนี้เป็นเพราะ ผมมีปัญหากับการที่จะแยกชีวิตจริงของผมออกจากบทบาทที่ตัวเองได้รับแม้ว่างานนั้นจะจบลงไปแล้ว ผมจะมีใบหน้าที่หมองคล้ำและอยากที่จะหลบไปที่ไหนซักแห่ง ผมค่อนข้างมั่นใจว่าบุคคลิกของผมจะเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้งตามบทบาทที่ผมจะได้รับในอนาคต ซึ่งการแสดงออกบนเวทีก็เช่นเดียวกันครับ 

คือถ้าคุณมีเรื่องราวในใจเยอะมันจะช่วยให้คุณขยายขอบเขตความสามารถและทักษะในการแสดงบนเวทีของคุณออกไปได้กว้างขึ้นใช่ไม๊ครับ ในตอนนี้คุณก็มีแฟนๆที่ต่างประเทศไม่น้อยเลยเหมือนกันนะครับ
T.O.P:
ผมพยายามอย่างมากที่จะคำนึงในเรื่องทั้งหมดนั้นตลอดเวลาเลยครับเพราะผมมีแนวโน้มว่าจะขี้เกียจจึงต้องเตือนตัวเองเสมอในทุกๆเรื่อง แล้วนอกจากนี้นะครับ ผมพยายามที่จะแสดงออกมาให้ดีที่สุดและสมบูรณ์แบบที่สุดโดยการมุ่งความตั้งใจไปยังรายละเีอียดต่างๆ แฟนๆทุกคนต่างก็มีรสนิยมที่แตกต่างกันไปในเรื่องของเสียงเพลง ดังนั้นในการที่จะทำให้พวกเค้าทุกคนพึงพอใจได้ ผมต้องมีภาพลักษณ์ที่ดูดีก่อน และ จึงทำดีตามมา ผมรู้สึกเหนื่อยบ้างในเรื่องของกระบวนการต่างๆในบางครั้ง แต่เพราะผมรู้สึกว่ามันเป็นความรับผิดชอบของผม ผมรู้ว่าผมจะต้้องไม่ล้มเลิกอย่างเด็ดขาด

ความรับผิดชอบที่คุณพูดถึงนั้น คุณหมายถึงความรับผิดชอบที่คุณมีในฐานะที่เป็นสมาชิกวงบิกแบง มากกว่าความรู้สึกรับผิดชอบในฐานะชเว ซึง ฮยอน ไม๊ครับ??
T.O.P:
พูดตามตรงนะครับ ผมไม่ได้เริ่มลงมือทำงานเดี่ยวในฐานะ ชเวซึงฮยอน ก็เพราะความรับผิดชอบที่ผมรู้สึกนี่แหละครับ ในใจผมจะท่วมท้นไปด้วยความหลงใหลและในบางครั้งผมถึงกับควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่พอไม่ได้อยู่กับทีม ผมคิดว่าผมสามารถปล่อยวางทุกอย่างไปได้เมื่อไหร่ก็ได้หากเวลานั้นจะมาถึงก็เท่านั้น อีกอย่างนะครับ ผมไม่มีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่ต้องการจะประสบความสำเร็จคนเดียวเลยครับ

ถ้าพูดแบบเสียดสี ดูเหมือนว่าคุณจะไม่ได้สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในโลกนี้ เพราะคุณอยู่ท่ามกลางความรักและความสนใจจากผู้คน แบบนั้นไม๊ครับ??
T.O.P:
ผมเคยคิดภาพว่าผมต้องการที่จะเป็นคนยังไง ผมต้องการให้คนอื่นมองผมยังไงเวลาที่เราอยู่บนเวที แทนที่ผมจะเอาตัวเองเข้าไปใกล้ชิดกับคนดู ผมต้องการที่จะให้พวกเค้าเข้าหาผมและเอาความสนใจทั้งหมดของพวกเค้ามาไว้ที่ผม


ผมมองเห็นว่าในตอนที่คุณทำการแสดงบนเวที เมื่อก่อน คุณจะดึงดูดความสนใจจากผู้คนด้วยการส่งสายตาจ้องไปที่พวกเค้า แต่ในตอนนี้ดูเหมือนว่าคุณจะมองไปที่อื่นแทนและมันก็ยิ่งทำให้ผู้คนสนอกสนใจคุณมากขึ้นไปอีก 
T.O.P:
ก็ จริงๆมันเป็นไปตามธรรมชาติเมื่อผมเปลี่ยนมุมมองของตัวเองไปนะครับ สิ่งที่สำคัญสำหรับผมคือ ผมจำเป็นจะต้องปรับเปลี่ยนตัวเองไปตลอดเวลา การที่มองจ้องไปที่กล้องตลอดเวลานั้นดูจะไม่ค่อยเข้าท่า ผมก็ต้องคอยศึกษาว่าจะเปลี่ยนภาพรวมของตัวเองไปในทางไหนดีในขณะที่การเปลี่ยนแปลงนี้ก็ต้องไม่เกินเลยไปจากขอบเขตที่ตัวผมได้ตั้งไว้ด้วย


"ในช่วงนี้จิตใจของผมยังไม่ค่อยสมดุล แต่ผมก็มีความเป็นผู้ใหญ่พอที่จะหาทางเยียวยามันและยอมรับมันได้ครับ"



เป็นเพราะงานการแสดงที่เปิดโอกาสให้คุณได้เริ่มชีวิตใหม่เป็นคนใหม่ตามบทบาทที่ได้รับมา คุณคงต้องมีความรู้สึกยึดติดทางอารมณ์อย่างมากในอาชีพนักแสดงนี้แน่นอนใช่ไม๊ครับ คุณมีบทบาทใดเป็นพิเศษที่คุณอยากจะแสดงในอนาคตไม๊ครับ??
T.O.P:
ผมไม่มีบทบาทใดที่อยากจะแสดงเป็นพิเศษในใจเลยครับ สิ่งที่สำคัญคือขอแค่ได้เป็นส่วนหนึ่งในโปรเจคดีๆก็เท่านั้นครับ

ขอบเขตของคำว่า "โปรเจคที่ดี" ของแต่ละคนก็แตกต่างกันไปนะครับ ของคุณโปรเจคที่ดี ที่ว่ามันต้องมีลักษณะยังไงครับ??
T.O.P
: จะต้องเป็นโปรเจคที่คุ้มค่าที่ผมจะอุทิศเวลาและพลังงานทั้งหมดของผมลงไปกับมันครับ ถ้าหากว่าผมมีอาชีพหลักเป็นนักแสดงการที่ไ้ด้ผ่านการทดสอบและพบข้อผิดพลาดต่างๆมากๆน่าจะเป็นผลดีให้กับผมที่จะกลายเป็นนักแสดงที่มีประสบการณ์มากเจนงานในภายภาคหน้า แต่เพราะงานแรกของผมไม่ใช่นักแสดง ผมไม่สามารถที่จะเอาตัวไปมีส่วนร่วมในงานหลายๆแบบได้ นอกจากนี้ในการจะรับแสดงในโครงการไหนผมจะต้องมองในแง่มุมของคนดูอีกด้วยว่าจะดียังไง ดังนั้นผมจะเลือกบทที่มันดูแล้วเหมาะสมกับผมจริงๆมากกว่าที่จะเลือกบทที่ต้องอาศัยเทคนิคในด้านการแสดงมากๆ  นอกจากนี้นะครับ ผมยังต้องคำนึงด้วยว่าในฐานะที่ผมเป็นไอดอลผมมีแฟนๆที่เป็นเยาวชนอยู่มาก ดังนั้นผมจึงหลีกเลี่ยงที่จะรับแสดงภาพยนตร์ที่มีเรท R หรือในหนังอาร์ตครับ (หัวเราะ)

ทั้งการแสดงบนเวทีจนมาถึงการแสดงภาพยนตร์ คุณใช้พลังงานเกือบทั้งหมดของคุณไปกับการทำงาน นี่เป็นสัญญาณบอกให้รู้รึเปล่าครับว่าคุณกำลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว??
T.O.P
: ผมคิดว่าในทางจิตใจ ผมยังมีอายุเพียงแค่ 12 เท่านั้นเองครับ แต่ในทางการทำงานแล้ว ผมว่าตัวเองเติบโตขึ้นในทุกๆปี ผมเคยที่จะดูแต่ภาพยนตร์ขาว-ดำแต่เดี๋ยวนี้ผมชอบภาพยนตร์ที่มีสีมากกว่า ในช่วงนี้จิตใจของผมยังคงไม่ค่อยมีความสมดุลแต่ผมก็มีความเป็นผู้ใหญ่พอที่จะหาทางเยียวยามันและยอมรับมันได้ครับ"

สรุปแล้วคือโดยพื้นฐานใหญ่ๆคุณก็ยังเป็นคุณคนเก่า แต่ก็มีการพัฒนาหลักๆเกิดขึ้นกับคุณด้วยเช่นกัน เมื่อมองย้อนกลับไปแล้ว คุณเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหนตั้งแต่เดบิวมาครับ??
T.O.P
: แนวทางการคิดของผมยังเหมือนเดิมนะครับแต่ในตอนนั้นผมมีแนวโน้มที่อยากจะซ่อนมันไว้มากกว่า ตอนนี้ผมเปิดเผยออกมาให้เห็น 2 ส่วนใน10ส่วนแล้วละครับ ผมคิดว่าจากนี้ต่อไปอีก 10 ปีผมก็คงจะเปิดเผยมากขึ้นอีก

ผมมีความรู้สึกว่าคุณจะต้องเปิดเผยตัวตนออกมามากขึ้นแน่ผ่านการแสดงบนเวทีของคุณนะครับ .
T.O.P
: จริงๆแล้ว ผมไม่คิดว่าผมจะทำอาชีพนี้ในนามของบิกแบงต่อหากผู้คนไม่ต้องการเราอีกต่อไปแล้วต่อไปได้ครับ เมื่อเหตุการณ์นั้นมาถึง ผมไม่สนใจว่าจะไม่สามารถร้องเพลงและเต้นบนเวทีได้อีกต่อไป ผมคงจะใช้เวลามีความสุขในการทำในสิ่งที่ผมชอบซึ่งนั่นก็คือการทำเพลงต่อไป และเก็บเรื่องราวที่เราเคยเผชิญเอาไว้เบื้องหลัง นอกจากนี้แล้วผมไม่ต้องการให้ช่วงเวลาที่สวยงามแบบนี้ในชีวิตของผมต้องหมองลงไป ผมต้องการให้ความทรงจำในเรื่องของบิกแบงนั้นถูกเก็บรักษาไว้และหวังว่ามันจะดำรงอยู่ในใจของคนอื่นๆต่อไปด้วยครับ

ตัดเรื่องของความกังวลในอนาคตออกไปก่อนนะครับ สำหรับคุณแล้วคุณคิดว่าบิกแบงเป็นทีมประเภทไหนกันครับในตอนนี้ ??
T.O.P
: เราเป็นทีมที่ได้รับความสนใจมากๆ ไม่เพียงแค่ในประเทศเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงในต่างประเทศอีกด้วย ผมไม่ได้จะโอ้อวดเพราะตัวเองก็เป็นหนึ่งในทีมนี้หรือเป็นเพราะผมเป็นคนที่หลงตัวเองหรอกนะครับ แต่ที่พูดแบบนี้เป็นเพราะผมมีความมั่นใจโดยปราศจากข้อสงสัยใดๆและผมก็มีความเชื่อมั่นมากว่าบิกแบงจะสามารถแสดงออกให้ทุกคนได้เห็นสิ่งใหม่ๆมากมายได้ในทุกๆอัลบั้ม ในขณะที่เราก็ร่วมสนุกไปกับทุกเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นด้วยครับ 


source 10 asia.co.kr thai translation by mew mini museum
※ Any copying, republication or redistribution of 10Asia's content is expressly prohibited without prior consent of 10Asia. Copyright infringement is subject to criminal and civil penalties.

=================

สามารถอ่านตอนต่างๆที่ออกมาก่อนได้ตามนี้ค่ะ 
สัมภาษณ์ Taeyang จาก 10asia