วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

(Part2:end) สัมภาษณ์ GDYB จากนิตยสาร Bazaar's Man (มีนาคม 2014)




WE OWN THE NIGHT
ในคืนที่หนาวเหน็บ เราได้เจอกับ จีดราก้อนและแทยังบนรถที่กำลังผ่านทางเข้าอันยิ่งใหญ่ของ ‘Les Invalides’.เราพูดได้ว่านี่เป็นไฮไลท์ของงานปารีสแฟชั่นวีคเลยก็ว่าได้ จีดราก้อนนั้นตื่นเต้นมากๆที่จะได้ดูโชว์ของ  Hedi Slimane ที่โชว์ของแบรนด์ Saint Laurent ผู้ซึ่งมีอิทธิพลต่อเค้ามาหลายปีแล้ว ส่วนแทยังก็ร้องเพลงอะไรซักเพลงอยู่เหมือนทุกครั้ง 

จากแชมเปญแก้วแล้วแก้วเล่า ผู้คนต่างก็พูดคุยกันอย่างตื่นเต้นที่งานแฟชั่นโชว์ ทั้งคู่ได้พบปะกับ Pierre Bergé ผู้ที่เป็นเคยเป็นคู่หูในแบรนด์ Saint Laurent และยังได้พบกับ Carine Roitfeld ผู้บริหารใหญ่นิตยสาร<BAZAAR> ในระดับโลก
จากนั้นทั้งคู่ก็นั่งลงบนเก้าอี้ที่มีชื่อ "เมอซิเออร์ จีดราก้อน" และ "เมอซิเออร์ แทยัง" หลังจากที่โชว์สิ้นสุดลงจีดราก้อนและแทยังก็ได้เข้าไปหลังเวทีและพบปะกับดีไซเนอร์ เราได้พบกับทั้งคู่อีกครั้งที่ร้านอาหารใกล้ๆ พร้อมกับ Samgyubsal (ท้องหมู), Dwenjang-jigae (ซุปเต้าเจี้ยว), โซจู และ Bokbunja-ju (เครื่องดื่มจากแบล็กเบอรี่).

“นี่มันดีจริงๆใช่ไม๊ละฮะ” จีดราก้อนพูดขึ้นมาหลังจากที่ดื่มโซจูในแก้วชอตของเค้าลงไป "เหมือนทุกครั้งเลยฮะ เค้าใช้เพลงของวงร็อคตัวจริง เพลงที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก และใช้นายแบบที่ผอมมีหลังค่อมเล็กน้อยซึ่งจริงๆเป็นพวกนักดนตรีมาเดิน ดูย้อนยุค ร็อคแบบเก๋ๆ และเป็นฟังก์ มันทำให้ผมคิดว่านี่แหละทำไมเค้าถึงถูกเรียกว่าเป็น "ราชาแห่งความเท่ " " 

ถ้าจีดราก้อนมี Hedi Slimane แทยังก็มี Rick owen " ไม่ว่าจะเป็นดีไซเนอร์หรือนักดนตรี ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญมากที่สุดสำหรับคนที่คอยมองอยู่นั่นคือพวกเค้าต้องแสดงออกถึงบางสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ มันจะต้องมีอะไรที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเค้า ในอารมณ์นั้น ผมคิดว่ามันเท่มากๆที่ Rick Owen มักจะเชื่อใจตัวเองและแสดงออกถึงความมุ่งมั่นตั้งใจนั้นออกมาในงานดีไซน์ของเค้า ผู้คนมักจะบอกว่าผมเป็นคนดื้อ ในตอนนี้ที่ผมคิดถึงเรื่องนี้ ผมว่าเวลาที่คุณชอบใครคนนึงมากๆคุณมักจะพยายามหาความเหมือนที่คุณมีเหมือนกับเค้าแลัวจากนั้นคุณก็จะยิ่งชอบเค้ามากขึ้นไปอีก" 

เมื่อสองปีที่แล้ว จีดราก้อนได้มาที่แฟชั่นวีคนี้ แทยังมาเมื่อปีที่แล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกไม๊คะที่พวกคุณมาที่ปารีสนี้ด้วยกัน วางแผนกันว่ายังไงบ้างคะเนี่ย?
Taeyang: เราไม่ได้วางแผนอะไรเป็นจริงเป็นจังเลยฮะจู่ๆเราก็ตัดสินใจว่าจะมา หลังจากที่ต่างก็เคยมาที่นี่กันครั้งนึงแล้วเราก็อยากจะกลับมาที่แฟชั่นวีคนี้อีกจริงๆ จริงๆแล้วพวกเราไม่ค่อยมีเวลาหรอกฮะ แต่คราวนี้พวกเราไม่มีงานในตารางเลยเป็นเวลา 1 อาทิตย์ ดังนั้นเลยตัดสินใจมาครับ


เรามาพูดถึงโชว์ทั้งหมดที่คุณไปดูมาจนถึงตอนนี้ดีกว่า มีบางโชว์ที่ทิ้งความประทับใจให้กับพวกคุณอย่างที่เห็นตามรูปภาพต่างๆบน Instagram ใช่ไม๊คะ? 

Taeyang: ก่อนอื่นเลยต้อง Rick owen ฮะมันน่าสนใจมากๆที่เค้าดีไซน์ที่คลุมผมเหมือนกับผ้าคลุมผม Hijab ของสาวมุสลิม  เหมือนกับที่ผมใช้ฟร้อนซ์ภาษาอาราบิกในชุดเสื้อผ้าของเพลง ‘RINGA LINGA’ ผมได้รับแรงบันดาลใจมากมายจาก สถานที่ในประวัติศาตร์และจากวัฒนธรรมที่แตกต่างไปและจากธรรมชาติ ดังนั้นโชว์ของ Rick Owen นั้นสร้างความประทับใจให้กับผมครับ สารภาพนะครับ ผมชอบทุกๆอย่างที่เค้าทำออกมาเลยครับ เสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ รูปถ่าย ทุกอย่างเลยครับ

GD: โชว์จากLanvin สร้างความประทับใจให้กับผมเหมือนกันครับ ลาแวงที่ผมเคยรู้จักไม่ได้เต็มไปด้วยสีสันและ อาจหาญแบบนั้นฮะ และไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ผมดูโชว์ของ Juun.J เค้าทำให้ผมภูมิใจจริงๆ เมื่อปีที่แล้ว โชว์ทุกโชว์ของJuun.J ที่ผมกับยองเบไปดูก็ยอดเยี่ยมมากๆเหมือนกันฮะ เรามีความสุขที่ได้สวมใส่เสื้อผ้า ของ Juun.J ในทุกๆวันปกติของเราฮะ ดังนั้นเราจึงรู้ว่าเสื้อผ้าของเค้ายอดเยี่ยมจริงๆ ในแบบที่สวมใส่ได้จริงๆฮะ 

Taeyang: ในทุกๆปี มันเป็นเรื่องที่ดีจริงๆที่ได้เห็นดีไซเนอร์ชาวเอเซียได้ก่อร่างสร้างก้าวที่แข็งแกร่งลงบนสัปดาห์แฟชั่นที่เป็นแนวทางของเทรนในระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันดีจริงๆที่มีนางแบบชาวเกาหลีมากมายด้วยฮะ  (Kim Tae Hwan, Park Sung Jin และ Park Hyung Sub เดินให้กับแบรนด์ KENZO พวกเค้ารู้จักกับนายแบบหลายคนทีเดียวและช่างแต่งหน้าของบิกแบงก็ดีใจมากๆที่ได้เห็น  Park Hyung Sub ในชุดฟินาเล่ที่โชว์ของ Kenzo )

GD: ผมมักจะรักโชว์ของ Thom Brown อยู่เสมอครับ และครั้งนี้พวกเค้าใช้เพลงที่ได้โปรดิวเซอร์ที่ทำเพลงให้กับภาพยนตร์เรื่อง<Rust and Bone>มาทำเพลงสำหรับโชว์นี้ด้วย มันเต็มไปด้วยช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจฮะ ตอนนี้ที่เรามาพูดกันแบบนี้ ทุกๆโชว์ล้วนแต่ล้ำค่ามากจริงๆ ผมรู้สึกดีใจมากที่ได้มาที่นี่ฮะ (หัวเราะ) 


ในบรรดาดีไซเนอร์ที่คุณไปเจอมาที่หลังเวที ใครที่ทิ้งรอยประทับใจอันแรงกล้าไว้กับพวกคุณมากที่สุดคะ? 

Taeyang: สำหรับผม มันดีมากเลยฮะที่ผมได้พบกับ  Rick Owens เพราะผมชื่นชอบเค้ามานานแล้ว แต่คุณ Rei Kawakubo ที่เราเจอหลังเวทีโชว์ของ Comme des Garçons ได้ทิ้งความประทับใจไว้ให้กับเรามากที่สุด จียงก็ิคิดแบบนั้นใช่ไม๊?

GD: ผมหน้าม้าของเธอถูกตัดออกมาเนี๊ยบและตรงมากๆ เธอมีรูปร่างที่เล็ก เสียงที่เล็ก แต่ผมสามารถรับรู้ได้ถึงจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งจากเธอครับ

Taeyang: จริงๆเราไม่ได้พูดอะไรมากหรอกครับ " โชว์เป็นยังไงบ้าง?? " " สีและรายละเอียดของเนื้อผ้าและเพลงประกอบโชว์ทุกอย่างล้วนยอดเยี่ยมครับ" และประโยคอะไรที่คล้ายๆแบบนั้น แต่ในวันนั้นผมกับคุณ Rei สวมเสื้อแบบเดียวกันฮะ ผมไม่รู้เลยเพราะมัวแต่ตื่นเต้น แต่เธอเดินเข้ามาจับเสื้อของผมและบอกกับผมว่า " เราสวมเสื้อแบบเดียวกันเลยค่ะ" แล้วก็ยิ้มน้อยๆ ยังไงก็ตามเวลาที่ผมมอง คุณRei ผมจะคิดว่า "นี่แหละที่เค้าว่าเสน่ห์ที่แท้จริงเป็นแบบนี้นี่เอง" (คุณ Rei Kawakubo เป็นที่รู้กันดีว่าเธอเป็นคนที่เงียบมากและมักจะไม่แสดงออกอารมณ์ใดๆ แต่เธอรู้สึกดีใจมากๆหลังจากที่ได้พบ กับจีดราก้อนและแทยัง ) 



ในทุกๆโชว์พวกคุณได้นั่งในที่นั่งแถวหน้าที่มีกล้องมากมายกำลังจับภาพพวกคุณอยู่ ในโชว์ของ Thom Browne  คุณ Stephen Jones ผู้ซึ่งเป็นคนออกแบบหมวกที่โชว์ของ Thom Browne ก็เป็นฝ่ายที่จำพวกคุณได้ก่อนและมาทักทายพวกคุณ และที่โชว์รูมแบรนด์ KENZO พวกคุณได้เจอกับ Humberto Leon และ Carol Lim และได้ดูคอลเลคชั่น S/S ของพวกเค้าอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีแฟนๆจากทั่วโลกเลยที่รอพบคุณอยู่ที่โรงแรมที่พวกคุณพัก งานแฟชั่นวีคนี้เป็นเหมือนกับรันเวย์ที่แสดงให้เห็นถึงความโด่งดังของพวกคุณในระดับโลก เลยใช่ไม๊คะเนี่ย?? 

Taeyang: ฮะ ใช่แล้วฮะ (หัวเราะ) ผมคิดว่ามันดูไร้สาระนะฮะที่จะมาถ่อมตัวในเรื่องนี้ ดังนั้นผมกับจียงต่างก็รู้สึกตื่นเต้นมากๆ ผมรู้สึกเหมือนกับเรากำลังลอยอยู่เลยฮะ รู้สึกเหมือนกับว่ากำลังจะบินเลยทีเดียว เราต่างก็เริ่มสังเกตแล้วละว่าเราเริ่มดังในระดับโลกในตอนที่เราทำ world tour เมื่อปีที่แล้ว แต่ในโลกของแฟชั่นวีคมันเป็นโลกใหม่ที่แตกต่างออกไปเลยนะฮะ ผมคิดว่าเราได้รับความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ในหมู่ผู้คนเหล่านี้พวกเค้าก็เป็นคนดังในสายตาของเราเหมือนกันนะฮะ ดังนั้นผมคิดว่าเรามีความมั่นใจมากขึ้นที่จะเข้าหาพวกเค้าอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้นละครับ 

พูดตามตรงนะคะ ผลลัพท์ที่ออกมาแบบนี้เป็นผลที่เราคาดการณ์ไว้อยู่แล้วละ จีดราก้อนเป็นคนดังในกระแสที่มีแบรนด์เสื้อผ้าหลายแบรนด์ชอบเค้าอยู่แล้ว อย่างตอนที่ Hedi Slimane มาทำงานภายใต้แบรนด์ Saint Laurent เค้าก็เป็นคนที่มอบคอลเลคชั่น  F/W 2013 ให้กับจีดราก้อนก่อนใครเลย
GD: ผมรู้สึกขอบคุณมากๆเลยละครับ การที่ได้มาที่แฟชั่นวีคได้ดูโชว์ของดีไซเนอร์ ได้พบปะพวกเค้าหลังเวที แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่มันก็ล้ำค่ามากจริงๆสำหรับผม มันเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเข้าใจในแบรนด์นั้นๆ และการที่ได้พบพวกเค้าตัวต่อตัวแบบนี้ บางครั้งมันช่วยให้คุณเป็นเพืื่อนกับพวกเค้า ดังนั้นผมจึงรู้สึกว่าตัวเองกำลังสร้างสายสัมพันธ์สายใหม่ที่มีค่ากับผู้คนที่ต่างก็มีความชอบและความสนใจและความรักในแฟชั่นที่เหมือนกันครับ

เอ?? มันไม่ยากเหรอคะที่ต้องเปลี่ยนชุดในทุกๆโชว์เลย ไม่เพียงแต่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเท่านั้นแต่ต้องเปลี่ยนทรงผมและการแต่งหน้าอย่างต่อเนื่องอีกด้วย ช่างภาพคุณ Hong Jang Hyun ถึงกับส่ายหน้าเลยละค่ะ เพราะมันจะต้องกลายเป็นงานหนักเลยละถ้าคุณไม่ได้มีความสุขที่กับสิ่งเหล่านี้จริงๆ (หัวเราะ)
GD: ทำไมฮะ?? สนุกมากเลยตั้งหากฮะ มันก็ออกจะลำบากอยู่ฮะเวลาที่เราไม่สามารถจะแว้บไปทานข้าวได้เพราะต้องเปลี่ยนชุดและไปให้ถึงที่โชว์อย่างทันเวลา แต่นอกเหนือจากนั้นมันก็ไม่ได้สร้างความเหนื่อยยากอะไรเลยฮะ (หัวเราะ) คุณจินตนาการไม่ออกหรอกครับว่ามันสนุกแค่ไหนในการที่จับเอางานของดีไซเนอร์ที่เรามีอยู่แล้วมาสวมให้เข้ากับงานคอลเลคชั่นใหม่ของเค้าที่เราพึ่งได้รับมาจากที่ปารีสนี้เอง และเหตุผลที่ทำให้ทริปนี้ที่ปารีสสนุกมากๆก็เพราะผมไม่ได้เจาะจงมาทำงานหรือเจาะจงมาเที่ยวเล่นเฉยๆฮะ ผมได้ดูโชว์ด้วย ผมได้เที่ยวเล่นด้วย ผมได้ทำงานด้วย คือกิจกรรมทั้งหมดนี้มันผสมกลมกลืนไปด้วยกันเลย ดังนั้นผมไม่เหนื่อยเลยละครับ มันสนุกมากจริงๆ 

Taeyang: มันเป็นแบบนั้นจริงๆฮะ และในไม่ช้านี้เราก็จะต้องกลับบ้านกันแล้ว และมันรู้สึกเศร้าจริงๆฮะ ผมอยากจะมีอพาร์ตเม้นซ์ใกล้ๆแม่น้ำ Seine และอยู่ต่ออีกซักสองสามวัน นั่งฟังเพลงไปเรื่อยๆตลอดมั้งวัน (หัวเราะ)


คนคนแรกหรือสถานการณ์แรกที่ทำให้คุณเกิดมีความสนใจและความหลงใหลในเรื่องของแฟชั่นคือใครคะ?? 

GD: ผมคิดว่าเราน่าจะพูดได้ว่ามันเริ่มมาจากตอนที่เราเริ่มชอบแบรนด์ Chrome hearts นะครับ สำหรับพวกเราบริษัทเหมือนเป็นโรงเรียน เราไม่ได้ไปโรงเรียนเลยในตอนที่เราเป็นเด็ก เราฝึกซ้อม กินข้าว และคลุกอยู่ที่บริษัทของเราทั้งวัน ท่านประธาน วายจีก็เหมือนกับคุณครูใหญ่ พี่สไตลิสต์ จีอึน นูน่าเป็นเหมือนคุณครู และ Jinusean และ 1TYM ฮยองเป็นรุ่นพี่ของพวกเรา ในวายจีก็จะมีเทรนที่ฮิตๆเหมือนกับเรื่องที่ทุกโรงเรียนก็จะมีเทรนฮิตๆเช่นกัน เป็นเพราะในตอนนั้นเรายังเป็นเด็ก เรารู้ว่าเทรนไหนมันฮิตแต่เราก็เป็นเด็กไม่มีปัญญาหาซื้ออะไรซักอย่างมาใส่ได้ดังนั้นเราจึงทำได้แค่ฝันและก้มหน้าพอใจกับของขวัญที่เราได้มาจากพวกพี่ๆเท่านั้น สรุปคือ ผมคิดว่าความสนใจในแฟชั่นของเราเริ่มต้นมาจากการที่เราเริ่มคิดแล้วละว่า " ถ้าเรามีเงินเยอะๆในอนาคตนะ ฉันอยากจะลองซื้อโน่นนี่มาใส่บ้าง"

เมื่อวานฉันได้ไปที่งาน พรีเซนเตชั่นของ แบรนด์ A.P.C โดยมี  Kanye West คอยอธิบายถึงเรื่องราวของคอลเลคชั่น A.P.C X Kanye West ด้วยตัวของเค้าเองเลย ฉันได้ยินมาว่าพวกคุณก็ได้รับคำแนะนำในเรื่องของแฟชั่นมามายเช่นกัน พวกคุณเคยร่วมงานกับแบรนด์บางแบรนด์มาแล้วอย่าง AMBUSHและ Chrome Hearts แต่พวกคุณมีแผนการที่จะออกแบรนด์ของตัวเองออกมาไม๊คะ?? หรือมีธุรกิจที่เกี่ยวกับแฟชั่นอยู่ในแผนการอย่างเป็นจริงเป็นจังรึเปล่า??  

GD: ผมยังไม่สามารถพูดออกมาได้ว่ามีแผนการอะไรที่เฉพาะเจาะจงออกมาไม๊นะฮะ แต่ถ้าหากว่ามันมีโครงการที่เราสามารถที่จะใส่ความหลงใหลของเราลงไปได้แล้วละก็ เราก็จะพยายามทำมันให้ดีที่สุดครับ 


 ก่อนที่ฉันจะรู้ตัวอีกที ขวดโซจูเปล่าก็เต็มข้างโต๊ะไปหมดและจีดราก้อนก็กำลังยุ่งในการเสนอเครื่องดื่มให้กับทุกคน เค้าเป็นหนุ่มราศีสิงห์ที่สดใส มีลักษณะเป็นผู้นำที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณ และเค้าก็เป็นคนประเภทที่เปลี่ยนบรรยากาศที่น่าอึดอัดดูอึ้มครึ้มๆให้กลายเป็นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นได้ 
แทยังที่ไม่ค่อยสนุกกับการดื่มดูเป็นคนเก็บตัวและกลับเป็นคนที่เต็มไปด้วยพลังงานเก็บกักเอาไว้ในตัวของเค้า เค้าเป็นชาวราศีพฤษภ และเค้าก็มีพรสวรรค์ที่โดดเด่น
จีดราก้อนและแทยังที่อยู่ด้วยกันมามากกว่า 10 ปีแล้ว ในฐานะ เด็ก ฮิบฮอบ เด็กฝึกวายจี และในฐานะเพื่อน พวกเค้าเชื่อในเซ้นซ์บางอย่างระหว่างกัน

GD: “บางครั้งยองเบจะพูดขึ้นมาว่า " อ่าาา นี่ฉันรู้สึกว่าจะต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่ๆ ระวังกันเอาไว้หน่อยนะ" ถ้าเค้าพูดมาแบบนี้คุณจะต้องระวังตัวเอาไว้จริงๆนะครับ เค้าเหมือนกับพวกมีพลังจิตและเค้ามีความสามารถในเรื่องซิกซ์เซ้นซ์แบบนั้นจริงๆฮะ 

Taeyang: “เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเจอผู้หญิงที่เราไม่เคยพบมาก่อนในที่ใดที่หนึ่ง จียงจะถามผมก่อนเลยว่า " นายคิดว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นไงบ้าง??"

ดูเหมือนว่าเซ้นซ์ของแทยังจะมีประโยชน์มากๆในเวลานั้นสินะ (หัวเราะ) ก่อนที่พวกเค้าจะไปจากปารีส ฉันตื่นเต้นมากๆที่ได้ยินมาว่าพวกเค้าน่าจะมียูนิตพิเศษในปีนี้ ถ้า GD & TOP เป็นเด็กเท่ๆที่สนุกกับการปาร์ตี้จริงๆ GD & YBน่าจะเป็นเด็กที่จะเอายุคทองของเพลงฮิบฮอบกลับมารุ่งโรจน์ได้อีกครั้ง 

Taeyang: “มันเคยมีแผนการสำหรับยูนิตนี้ครับ แต่ตอนนี้ผมไม่รู้เกี่ยวกับมันอีกต่อไปแล้วละฮะ ผมคิดว่าบางทีมันอาจจะโดนเลื่อนออกไปอีกหน่อยละมั้ง? 

GD: “เราไม่เคยที่จะพูดคุยกันเกี่ยวกับยูนิตนี้แบบเป็นจริงเป็นจังซักทีฮะ แต่มันเป็นอะไรที่เราตั้งใจอยากจะทำจริงๆ ผมคิดว่าทางยองเบก็คิดในแบบเดียวกับผมเหมือนกัน " 

 ทั้งคู่กำลังจะกลับแล้วละค่ะ และทิ้งเราให้อยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับยูนิตพิเศษใหม่นี่ต่อไป พวกเค้าต้องไปแล้วเพราะ Hedi Slimane ได้เชิญพวกเค้าให้ไปร่วมงาน after party
ค่ำคืนนี้พึ่งจะเริ่มต้นเองสำหรับสองหนุ่มที่รู้จักสนุกสนานในงานปาร์ตี้ ค่ำคืนและวันเวลาเหล่านี้ที่พวกเค้าอยู่ที่ปารีส จะปรากฏในสมุดภาพที่จะออกขายโดยวายจีในเดือนพฤษภาคมนี้ค่ะ

============================================

English Translated by Dana a.k.a bigbanggisvip 
Magazine Scans by Joey + special thanks to Joey for the interview scans
Thai Translated by miss mew 

นิตยสาร Bazzar's Man เดือน มีนาคม 2014 สัมภาษณ์ GDYB 
Part 1

===========================================

วันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

(Part1) สัมภาษณ์ GDYB จากนิตยสาร Bazaar's Man (มีนาคม 2014)


DOUBLE EDGE
กลางเดือนมกราคมที่ผ่าน จีดราก้อนและแทยังเดินทางมาถึงที่ปารีสทันทีที่แฟชั่นวีคประจำฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวปี 2014 ได้เริ่มขึ้น จากนั้นมาจากที่อพาร์ตเม้นซ์ในถนนย่าน Champs-Élysées จนถึง  Palais de Tokyo จาก ฟร้อนซ์โรลโชว์ของ Saint Laurent ช่างภาพและอินสตาแกรมของแฟนๆทั่วโลกต่างจับจ้องอยู่ที่ผู้ชายทั้งสองคนนี้ 



GD: นิสัยใจคอของเราทั้งคู่ต่างก็ตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิงฮะ ดังนั้นเราถึงเข้ากันได้ดี ถ้าหากว่าเราเหมือนกันเราอาจจะมีข้อขัดแย้งกันมากก็ได้ แต่นี่ตั้งแต่ยังเด็กๆเราก็แตกต่างกันแล้วตั้งแต่เริ่ม ก็มีเรื่องใหม่ๆเกี่ยวกับเค้าที่ผมพึ่งจะค้นพบอยู่บ้าง แต่ยังไงก็ตามผมรู้จักเค้ามานานมากๆ และเราต่างก็เป็นแรงในด้านบวกให้กันและกันฮะ 

Taeyang: ผมคิดว่ามีคำนึงที่จะอธิบายมันออกมาได้ครอบคลุมที่สุดนะ นั่นคือ "ครอบครัว" ฮะ 

GD: เรามีเรื่องพูดคุยกันได้ไม่รู้จบ เราทั้งคู่ต่างก็ชอบพูดคุยกันโดยเฉพาะเรื่องราวในอดีตของเรา

Taeyang: ผมคิดว่าเราพูดคุยกันในหลายๆเรื่อง เวลาเราอยู่ในสถานการณ์บางอย่างเราก็มักจะคุยกันว่า " ฉันเคยผ่านสถานการณ์แบบนี้มานะ " ไม่ก็ "ย้อนกลับไปในตอนนั้น มันเป็นแบบนี้นะ" เวลาที่เราขับรถผ่านร้านอาหารที่เราเคยไปทานกันเมื่อตอนเป็นเด็กฝึก เราจะคิดเลยไปถึงเมนูที่เราเคยสั่งทานกันในอดีต บางครั้งเราก็ถึงกับแวะไปที่นั่นและสั่งเมนูนั้นมาทาน จนถึงตอนนี้ สำหรับผมมันก็ยังอร่อยมากฮะ (หัวเราะ) 


RENAISSANCE MAN
ฉันเคยอ่านจากที่ไหนซักแห่งว่า ความหมายของความเป็นคนนั้นไม่ได้อยู่ที่ความสำเร็จของเค้าแต่อยู่ที่สิ่งที่เค้าพยายามมุมานะทำให้ประสบความสำเร็จตั้งหากและเมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันมองไปที่ แทยังฉันจะนึกถึงคำพูดนี้อยู่เสมอ ทัศนคติของแทยังนั้นมีแต่การถ่อมตัวอยู่เสมอ เมื่อเทียบกับการแสดงที่แสนวิเศษเหล่านั้นที่เค้าทำออกมา ในหัวเค้าเต็มไปด้วยความหลงใหลและแผนการที่มีไว้สำหรับการแสดงของเค้าเท่านั้น ดังนั้นแทนที่จะเอนหลังและสนุกผ่อนคลายไปกับการแสดงของแทยัง ฉันกลับนั่งตัวตรงและตั้งสมาธิในการดู 
แต่เพลงของเค้าเพลง Ringa Linga เพลงที่ดูเหมือนเป็นเพลงเรียกน้ำย่อยให้กับอัลบั้มเดี่ยวอัลบั้มที่สองของเค้า กลับสร้างความท่วมท้นให้กับฉันและเพลงนี้มันดูผ่อนคลายมากขึ้นจริงๆ 

Taeyang: ผมก็คิดเรื่องนั้นมามากเหมือนกันครับ ผมรู้นะว่ามีคนมากมายชอบที่จะได้เห็นการแสดงของผมที่มีความตั้งใจมากๆและเตรียมการมาอย่างดี แต่เพื่อที่จะทำให้เพลงของผมและการแสดงบนเวทีของผมดูใกล้ชิดกับผู้ชมมากขึ้นซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นผมว่าผู้ชมก็น่าจะสนุกกับมันเล่นกับมันได้ดีเหมือนกัน ดังนั้นการแสดงบนเวทีเพลง RingaLinga จึงออกมาแบบที่เห็นเพราะผมมีความคิดแบบนี้อยู่ในใจฮะ 

แทยังไม่เหมือนกับคนอื่นทั่วไปที่มักจะเอาใจปัจจัยแวดล้อมภายนอกและหาแรงบันดาลใจเอาจากคนอื่นหรือสิ่งอื่นๆในโลก แต่แทยังกลับเรียนรู้มากมายเอาจากตัวตนที่แท้จริงภายในตัวเอง และที่นั่นเป็นที่มาของความดื้อดึงหัวแข็งของเค้า 

Teayang: สารภาพนะครับ ในทุกๆวันของผม....คือผมเกลียดที่จะต้องพูดมันออกมานะฮะ แต่ทุกๆวันของผมเต็มไปด้วยปัญหาและความกังวลใจ ความรู้สึกที่ผมปล่อยออกไปบนเวที " นี่มันผ่อนคลายพอรึยัง?? " นี่มันให้พลังออกมารึเปล่า?? " คือผมไม่รู้ว่าคำตอบที่ถูกต้องสำหรับเรื่องเหล่านี้คืออะไร ผมเคยต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบากมากในตอนที่ผมเป็นเด็กเพราะผมไม่รู้จริงๆเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้และทำให้เกิดความขัดแย้งกันในตัวตนของผม  แต่ในตอนนี้ผมรู้สึกขอบคุณจริงๆ ผมโตขึ้นและผมคิดว่าผมรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร ผมสามารถที่จะแก้ข้อขัดแย้งในใจต่างๆออกไปได้แล้ว แต่ผมคิดว่ายังไงๆผมก็ยังต้องสู้ต่อไปอยู่ดี สำหรับผมอย่างเร็วก็คงจะใช้เวลาซัก 5 ปี อย่างช้าก็ 10 ปีในการที่จะทำให้ตัวเองแข็งแกร่งพอครับ

และนั่นเป็นเหตุผลที่มีคำพูดที่ว่า ปีทองของช่วงชีวิตคนเรานั้นอยู่ในช่วงอายุ กลางๆสามสิบเพราะในช่วงอายุนั้นคุณจะสามารถเห็นผลลัพท์จากสิ่งที่คุณต่อสู้มาในชีวิตได้ 

 
Taeyang: ผมตั้งใจเอาไว้ว่าผมจะสามารถทำเพลงที่เป็นตัวเองได้มากขึ้นหากผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองมากขึ้น ผมคิดว่านี่คือชะตากรรมของคนเป็นศิลปินนะฮะ คือคุณต้องพยายามที่จะหาโลกของตัวเองต่อไปเรื่อยๆและบรรยายโลกนั้นออกมา
 แรงบันดาลใจที่แทยังได้จากโลกใบนี้อาจจะแตกต่างไปจากผู้สร้างสรรค์ผลงานคนอื่นๆในรุ่นเดียวกับเค้าเล็กน้อย แทยังได้รับแรงบันดาลใจจากซากปรักหักพังของวัฒนธรรมต่างๆ ธรรมชาติและจักรวาล ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนมีอิทธิพลและแสดงออกมาให้เห็นในดนตรีและภาพลักษณ์ของเค้าด้วย

 Taeyang: ปีที่แล้ว ผมมีโอกาสได้เดินทางไปยังประเทศต่างๆมากมายระหว่างที่เราทำ world tour ระหว่างช่วงเวลานั้นผมได้แรงบันดาลใจมากมายจากการใช้ชีวิตของผู้คนที่มีวัฒนธรรมที่แตกต่างออกไป นอกจากนี้ผมยังค้นพบสิ่งที่ผมเคยสนใจแต่ลืมมันไปแล้วอีกด้วย ในตอนที่ผมไปที่ เปรู ผมได้เดินทางไปยังแหล่งอารยธรรมอินคาและได้ไปตลาดของพวกเค้า ที่ตลาดพวกเค้าขายของทำมือที่ชาวพื้นเมืองทำขึ้นมา และผมคิดว่ามันเยี่ยมจริงๆ  ผมชอบสัญลักษณ์ หรือเครื่องประดับพื้นเมืองของชาวพื้นเมือง และผมยังได้แรงบันดาลใจให้กับทรงผมของตัวเองมาจากสัตว์อีกด้วย เช่น ครั้งนึงผมเคยทำทรงแมลงป่องด้วยนะฮะ (หัวเราะ)

 แทยังเป็นคนที่เหมาะที่สุดที่จะนั่งลงและคุยกับเค้า เค้าเป็นคนที่จริงจังและเต็มไปด้วยความคิดต่างๆ นอกจากนี้เค้ายังเป็นคนที่จู่ๆก็จะฮัมเพลงและเต้นออกมาซะดื้อๆ แทยังยังเป็นคนที่กังวลว่าถ้าเค้าเอาพรสวรรค์ที่มีมากมายของเค้าออกมาเล่นสนุกมากเกินไป พรสวรรค์เหล่านั้นจะไม่เหลือให้กับการแสดงบนเวที 

Taeyang:คงต้องพูดว่าผมกังวลเรื่องนั้นจริงๆครับแต่ผมคิดว่ามันจะดีที่สุดถ้าผมใช้พลังลงไปกับการแสดงบนเวที ถ้าเกิดว่าผมชอบที่จะเล่นสนุกมากขึ้นเรื่อยๆจากนั้นผมก็จะเอาแต่ทุ่มเทพลังลงไปกับการเล่น แต่ผมจะมีความสุขมากกว่าที่จะได้เล่นสนุกบนสนามเด็กเล่นของผมที่มีชื่อว่า"เวที" นะฮะ 

ฉันคิดว่าสิ่งที่เค้าพูดออกมานั้นถูกต้องทีเดียว ที่คอนเสริต์ของบิกแบงที่จัดขึ้นหลังจากที่เค้ากลับจากปารีสเพียง 2 วัน ที่นั่น พรสวรรค์ของแทยังที่เปรียบเหมือนดั่งธนูทองคำได้ยิงไปโดนผู้ชมมากมาย 

 
 FANTASTIC MAN
ฉันไม่อยากจะเห็นจีดราก้อนในละครหรือภาพยนตร์ใดๆเลย แทนที่จะมองเค้าแสดงออกบุคคลิกที่เป็นตัวตนที่ถูกสร้างขึ้นโดยบทละคร การได้มองดูตัวตนที่เรียบง่ายและการแสดงออกอย่างเป็นเอกลักษณ์ของเค้าผ่านเสียงเพลงเป็นเรื่องที่น่าสนใจกว่าตั้งเยอะ
จีดราก้อนในรายการทางช่อง MBC รายการ<Infinite Challenge> เป็นอีกตัวตนของจีดราก้อนที่น่าสนใจมากๆ ไม่ว่าเค้าจะทำเพลง ไม่ว่าเค้าจะไปออกรายการวาไรตี้โชว์ เค้าก็แสดงออกเป็นจีดราก้อนในแบบจีดราก้อนออกมา

GD: ครั้งแรกที่ผมเข้ามาที่บริษัทวายจี ผมอายุแค่ 5 ขวบเองครับยังเด็กมากๆ จากนั้นผมก็ไปที่วายจีเหมือนกับไปโรงเรียนและผมก็จะเขียนเพลงแร๊พและฝึกซ้อมไป และผมมักจะเลียนแบบแร๊พเปอร์ที่เค้ามี swag ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของเค้าเองการทำแบบนี้เป็นการเรียนสำหรับผมฮะ คำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เปรียบเป็นตัวแทนการกระทำของผมและเพลงของผมคือ คำว่า Gangster ฮะ ในตอนแรกผมอาจจะแค่ลอกเลียนแบบสิ่งที่รุ่นพี่ในค่ายทำกัน พอถึงจุดหนึ่งสิ่งเหล่านั้นเริ่มมีอิทธิพลต่อผมและผมเองก็เริ่มหาสไตล์ที่เป็นของตัวเอง ผมเริ่มพัฒนาจุดยืนของตัวเองออกไป

ไม่ว่าผมจะอยู่บนเวที หรือในมิวสิควีดีโอ หรือในรายการอย่าง <Infinite Challenge> บางคนอาจจะคิดว่าพวกเค้าได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของจีดราก้อนอยู่ในขณะที่บางคนก็อาจจะคิดว่าเห็นด้านปลอมๆของจีดราก้อนอยู่ แต่สิ่งที่ผมคิดในตอนนี้คือผมเป็นตัวของตัวเองอยู่ตลอดเวลาและผมก็เป็นตัวผมจริงๆในทุกๆสถานการณ์ในชีวิตของผม

 การเป็นแฟนเพลงของจีดราก้อนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะคุณจะต้องมีแหล่งข่าวสารที่ดีและต้องมีความหลงใหลใจรักด้วย เพลงที่หลากหลายจากอัลบั้มเต็ม 2 อัลบั้มและ 1 มินิอัลบั้มที่ออกมาจนถึงตอนนี้ มิวสิควีดีโอและแฟชั่นที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง และการโปรโมทของเค้าที่แตกต่างจากนักร้องคนอื่นๆโดยสิ้นเชิง สิ่งที่จีดราก้อนสนใจที่เค้าแสดงออกผ่าน SNS ก็ดูจะยากที่แฟนๆจะตามเค้าทัน
ครั้งนึงจีดราก้อนเคยพูดว่าเค้าเข้าใจเหตุผลของ Kanye west ที่พยายามจะเปลี่ยนแปลงสไตล์เพลงที่ทำอย่างที่ใจต้องการไปเรื่อยๆ ซึ่งจีดราก้อนก็เกือบจะเหมือนกับ Kanye west เหมือนกันเพราะเค้าก็เป็นคนที่ชอบทำอะไรที่ท้าทายๆมากขึ้นไปเรื่อยๆ 

 GD: ที่ทั้งหมดเป็นแบบนั้น เป็นเพราะ ภาวะ ‘Narcissism’.( ภาวะการหลงตัวเอง) เรื่องแบบนี้มันไม่เกี่ยวกับการถ่อมตัวหรอกครับ  ผมรู้ว่าผมทำอะไรได้ดีที่สุด แต่ผมก็ยังคงต้องการอยากจะทำอะไรบางอย่างที่แตกต่างออกไป เพราะสำหรับผมแล้วมันสนุกดีครับ ถึงแม้ว่าผมจะทำเรื่องนึงได้ดีมากๆอยู่แล้ว แต่มันก็น่าเบื่อนะฮะที่จะต้องทำอะไรแบบเดิมในทุกๆครั้งและมันก็จะทำให้คนที่ฟังเพลงของผมเบื่อไปด้วย 

ทุกครั้งที่ผมทำงานในงานอะไรก็ตาม ความสนุกจะต้องมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามผมต้องคิดก่อนว่าคุณทำแล้วมีความสนุกรึเปล่า?ถ้ามี สิ่งอื่นๆก็จะตามมา ยอดขายอัลบั้มหรือยอดบนชาร์ตไม่ใช่สิ่งสำคัญเลย คนอื่นก็จะมองแต่ยอดขายแล้วคิดต่อไปว่า " เค้าจบเห่แล้วละ" หรือไม่ก็ " เค้าล้ำเส้นไปแล้วนะ" แต่ผมพนันได้เลยว่า Kanye ไม่สนใจหรอกครับซึ่งก็เหมือนผม ผมไม่สนใจมันเลย เวลาที่ผมออกอัลบั้มใหม่ ผมไม่มีอะไรที่จะต้องมานั่งเสียใจเลยถ้าคนอื่นไม่ชอบมัน เพราะว่าผมได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำครับ" 

ศิลปินในโลกสมัยใหม่นี้ทัศนคติและผลงานของพวกเค้าถูกมองว่าเป็นศิลปะและมันก้แสดงออกให้เห็นว่าเค้าเป็นศิลปินและentertainerตัวจริงและศิลปินที่ทำงานเหล่านี้ก็ถูกมองว่าเป็นอัจฉริยะ 
จีดราก้อนพยายามที่จะทำให้ความรู้สึกของเค้า การกระทำของเค้า หรือแม้แต่การดำรงอยู่ของเค้าใส่ลงในศิลปะ 
ในทุกๆชั่วขณะเค้าจะกลายเป็นคนใหม่ที่เราไม่คุ้นเคย มันจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ตลอดกาลที่เราจะเข้าใจจีดราก้อนได้อย่างถ่องแท้สมบูรณ์ ทุกครั้งที่คุณคิดว่าคุณรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเค้า เค้าก็จะเผยโฉมด้านใหม่ที่คุณไม่เคยเห็นอย่างสิ้นเชิงออกมา เสน่ห์ที่แสนวิเศษของผู้ชายคนนี้ก็คือ เค้ามักจะคิดค้นสิ่งใหม่ๆที่เกี่ยวกับตัวเค้าเองออกมาเสมอ 



English Translated by Dana a.k.a bigbanggisvip 
Magazine Scans by Joey + special thanks to Joey for the interview scans
Thai Translated by miss mew 

สัมภาษณ์ GDYB จากนิตยสาร Bazaar's Man เดือนมีนาคม 2014
Part2


============================================