วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

สัมภาษณ์ TOP จากนิตยสาร ARENA HOMME กุมภาพันธ์2016




Q:ฉันรู้มาว่าคุณมีความเกี่ยวพันธ์กับงานศิลปะเป็นอย่างมาก ปารีสมีงานนิทรรศการศิลปะมากมายหลากหลายกว่าที่เกาหลีใต้ ดังนั้นมันคงเพลิดเพลินมากในการมาที่นี่ ถึงแม้ว่าพอมาถึงที่นี่คุณจะไม่มีเวลาเป็นส่วนตัวเลย แต่คุณได้ไปเยี่ยมชมงานนิทรรศการศิลปะบ้างแล้วรึยังคะ?
TOP: ยังเลยครับ แต่ผมตั้งใจว่าจะไปเยี่ยมชมในวันพรุ่งนี้ก่อนที่จะกลับประเทศเกาหลี

Q:ได้ยินมาว่าเมื่อวานคุณไปที่ Centre Georges Pompidou ใช่ไม๊คะ?
TOP:คือทำไม่สำเร็จครับ ไม่สามารถไปได้เพราะมีคนเยอะมากไปครับ จริงๆแล้วถ้าผมเดินทางไปต่างประเทศเพื่อทำงาน ผมชอบมากกว่าที่จะมุ่งความตั้งใจลงไปในงานที่มาทำ ถึงแม้ว่าจะออกไปข้างนอกก็เป็นการออกไปข้างนอกเพื่อการทำงานเท่านั้นครับ ก็เหมือนกับครั้งนี้ ส่วนใหญ่ผมจะอยู่แต่ในห้องที่โรงแรมครับ

Q:ฉันเห็นว่าคุณเป็นคนประเภทที่อุทิศตัวทุ่มเทมากเลยนะคะ งั้นเรามาพูดเรื่องงานกันดีกว่าไม๊คะ? เมื่อวานนี้เราได้ดูโชว์จาก Dior กันไปแล้ว คุณมีความรู้สึกยังไงบ้างคะ?
TOP:ผมรัก Dior Homme ตั้งแต่พวกเค้าเปิดตัวเลยละครับ ซึ่งเป็นช่วงแรกๆที่เริ่มต้นทำวงบิกแบงในตอนนั้นความเป็นอยู่ยังไม่ได้ดีเท่าไหร่นัก ผมต้องใช้เงินที่ผมเก็บมาเพื่อซื้อกางเกงดิออร์ตัวแรกให้กับตัวเอง ผมเป็นผู้ที่คอยสนับสนุนดิออร์นะครับ

Q:เมื่อวานนี้คุณได้พบกับดีไซเนอร์ คุณ Kris Van Assche ด้วย
TOP:ผมได้พบเค้าหลังจากโชว์จบครับ ผมชอบงานดีไซเนอร์รองเท้าผ้าใบและเสื้อผ้าลำลองของเค้าครับ ผมตะลึงงันอึ้งไปเลยหลังจากดูโชว์ มันมักจะดูเท่มากกว่าที่ผมคิดเอาไว้ในใจเสมอ ไม่ได้ดูง่ายๆสบายๆเลย มันเหมือนให้ความรู้สึกที่ทำให้เราหนุ่มขึ้นอีกครั้ง

Q:คุณรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับเสื้อผ้าเหล่านั้น แต่ฉันเห็นว่าคนที่มาร่วมนั่งกับคุณในการดูโชว์ยิ่งทำให้อึ้งตะลึงงันมากขึ้นไปอีกนะคะ เช่น คุณ Ben Godham จาก Byredo , ดีไซเนอร์ชื่อดัง คุณ Karl Lagerfeld
คุณ Bernard Arnault จาก LVMH และคนอื่นๆอีกมากมายเลย  ในฐานะที่เป็นคนเกาหลีและได้ไปนั่งตรงนั้นสง่างามเต็มภาคภูมิ คุณทำให้พวกเราภูมิใจนะคะ
TOP:  จริงๆก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้ซับซ้อนอะไรนะครับ ผมไม่มีอะไรที่จะต้องคิดมากนัก จริงๆแล้วผมรู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไหร่เวลาที่ต้องไปในที่ที่มีคนเยอะๆ  "ทำไมคุณไม่เคยไปร่วมงานแฟชั่นโชว์ในต่างประเทศเลยละ??" ผมมักจะได้รับคำถามแบบนั้นมาเสมอ บอกตามตรงนะครับ นอกจากการขึ้นเวทีแสดงแล้ว ผมเกลียดที่จะไปในที่ที่มีคนเยอะๆ การแสดงบนเวทีเป็นที่ที่ทำให้ผมได้แสดงออก นอกนั้นแล้วที่อื่นทำให้ผมรู้สึกเหนื่อยครับ เมื่อก่อนผมเคยมีอาการกระสับกระส่ายตื่นตระหนก (Panic Disorder) แต่ในตอนนี้ผมไม่มีอาการเหล่านั้นแล้วครับ ดังนั้นผมจึงสามารถพูดถึงมันออกมาได้อย่างสงบ



Q:คุณเดบิวต์มากว่า 10 ปีแล้วคุณชอบแฟชั่นแต่นี่เป็นครั้งแรกที่คุณเดินทางมาดูโชว์ด้วยตัวเองค่อนข้างเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายนะคะ 
TOP:ผมรู้ว่าการมาดูโชว์ด้วยตัวเองนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแต่เราอยู่ในยุคที่เราสามารถดูคอลเลคชั่นแฟชั่นได้ง่ายๆผ่านรูปถ่ายนะครับ แต่กับภาพวาด งานประติมากรรม และ เฟอร์นิเจอร์นั้น ผมจำเป็นต้องมาดูชิ้นงานเหล่านั้นจริงๆด้วยตาของตัวเอง การที่จะดูพวกมันผ่านรูปถ่ายนั้นผมไม่สามารถที่จะชื่นชมความงามและได้รับความตื่นเต้นเร้าใจได้เต็มที่จากความสนใจในงานในสาขานี้ หากผมได้เห็นพวกมันจริงๆด้วยตัวเองผมจะรู้สึกประหลาดใจอย่างมากและได้รับความคิดที่น่าสนใจเกิดขึ้นในใจ เช่น "สิ่งเหล่านี้ทำไมถึงสามารถเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจเช่นนี้ได้ยังไงเนี่ย"

ในตอนที่ผมยังอายุน้อย ผมชอบเสื้อผ้าตามแฟชั่น การได้มองพวกมันผ่านรูปถ่าย ณจุดจุดนึง ผมสามารถที่จะบ่งบอกรายละเอียดเกี่ยวกับพวกมันได้อย่างถูกต้อง เช่นพวกมันมีเนื้อผ้าอย่างไรและจะให้ความรู้สึกแบบไหนเวลาที่สวมใส่

Q:แค่ได้ดูผ่านรูปถ่าย ในใจของคุณสามารถที่จะร่างภาพความรู้สึกจากการสวมใส่และการเดินบนรันเวย์ออกมาได้เลยเหรอคะ?
TOP:ครับถูกต้องครับ เพราะผมจำเป็นต้องเอารูปร่างหน้าตาของตัวเองออกโชว์ให้สาธารณชนเห็นและมันก็เป็นงานที่สำคัญ จากการที่มองไปแว้บแรกผมจำเป็นต้องรู้ว่าอะไรที่เหมาะกับตัวเองผมไปที่งานแฟชั่นโชว์เมื่อวานนี้และวันนี้ผมก็สวมใส่เสื้อผ้าของดิออร์ คอลเลคชั่นซัมเมอร์2016 เพื่อการถ่ายภาพแฟชั่นครับ ซึ่งผมสนใจชุดเหล่านี้มาก่อนแล้วตั้งแต่เห็นมันบนรันเวย์แฟชั่นโชว์เมื่อวาน

Q:เสื้อผ้าเหล่านั้นพวกมันทำให้คุณสนใจ และยังเหมาะกับตัวคุณได้ดีอีกด้วยคุณเป็นคนที่มีรสนิยมดีจริงๆนะคะ 
TOP:การที่ได้รับการยกย่องว่าผมมองมันได้อย่างถูกต้องเหมาะกับตัวเองแบบนี้ก็นับว่าผมก็มองมันได้อย่างแม่นยำนะครับเนี่ย 


Q:คุณมีเซ้นต์ที่ดีในทางแฟชั่นนะคะ ฉันได้ยินมาว่าคุณรักงานศิลปะมากๆด้วยเช่นเดียวกับรักในเฟอร์นิเจอร์อีกด้วยถึงขั้นที่ลงมือค้นคว้าเชิงลึกในเรื่องเหล่านั้นเลยคุณเรียนรู้ด้วยวิธีไหนคะ?
TOP:ผู้หญิงในครอบครัวของผมต่างก็มีความเกี่ยวเนื่องกับงานในด้านศิลปะทั้งนั้นครับผมมักจะได้คลุกคลีกับพวกศิลปินและได้เห็นภาพวาดมาแล้วมากมาย ผมถูกบังคับให้เรียนเกี่ยวกับศิลปะในตอนที่ยังเป็นเด็ก  หากเทียบกับการวาดภาพผมชอบที่จะมองผ่านภาพและทำความเข้าใจผ่านการใช้ประสาทสัมผัสในการรับประสบการณ์ในการมองสิ่งต่างๆมากกว่าสำหรับผมแล้วผมมีความสนใจในเรื่องของดนตรีและภาพยนตร์มากกว่า ผมคิดว่าบางอย่างสามารถถ่ายทอดออกมาได้โดยใช้การแสดงออกทางร่างกาย ซึ่งผมว่ามันเหมาะกับผมมากกว่า ถึงแม้ว่าความสมบูรณ์แบบของตัวงานศิลปะเองจะสามารถบรรยายผ่านภาพวาดหรืองานประติมากรรม ถึงยังไงแล้วผมก็ชอบมากกว่าที่จะบรรยายความงามเหล่านั้นผ่านตัวของผมเอง 

ในตอนที่ผมเป็นเด็ก ครอบครัวของผมต่างตั้งความหวังในเรื่องศิลปะในตัวผมเอาไว้สูงมากซึ่งผมมักจะมองขัดกับพวกเค้าเสมอ มันไม่ใช่ว่าพวกผู้ใหญ่จะรับไม่ได้กับความจริงที่ว่าผมกำลังทำงานในวงการดนตรีนะครับไม่ใช่ว่าพวกเค้าเป็นผู้ใหญ่แล้วจะรับไม่ได้ แต่ผมว่ามันเป็นงานที่ไม่ง่ายเลยที่จะทำใจยอมรับง่ายๆว่ายุคสมัยมันกำลังจะเปลี่ยนไปแล้ว ผมว่ามันเป็นเพราะ เรื่องนี้มากกว่า

Q:เป็นเพราะความต้องการของคุณ คุณได้ทำงานทั้งการแสดงและการร้องเพลงมาอย่างเหน็ดเหนื่อยนี่เรียกได้ว่า คุณประสบความสำเร็จทำได้ดีในทั้ง2งานเคยมีใครมาพูดอะไรแบบนี้ไม๊คะว่า"เค้าไม่เพียงแต่ร้องเพลงเก่งเท่านั้นนะแต่ยังมีพรสวรรค์ในด้านอื่นๆอีกด้วย"
TOP:มีครับ และผมก็รู้สึกมันด้วยตัวเองเหมือนกัน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกจริงๆที่ผมพูดมันออกมาในช่วงเวลาที่ผมเริ่มเข้าเรียนชั้นมัธยม ผมเข้าสังคมไม่เก่งเท่าไหร่ดังนั้นเลยจะโดดเรียนบ่อยๆไม่ได้มีกรณีอะไรที่ผมต่อต้านเป็นพิเศษหรอกครับ แต่นี่ก็ทำให้ผมรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเบื่อหน่าย เราถูกบังคับให้เรียนในวิชาที่เราไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย ระบบการเรียนแบบนี้ทำให้ผมเป็นทุกข์ในตอนนี้เพื่อนๆของผมมักจะพูดว่า "นายมีความมั่นใจสูงมากมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก" ในตอนนั้นเพื่อนๆมักจะคิดว่าผมเป็นพวกหลงตัวเอง เพราะผมเอาแต่พูดว่า "ฉันจะต้องประสบความสำเร็จในวงการเพลงได้แน่ๆ " 

พวกเค้าอาจจะคิดว่าผมมีความฝันที่เหลวไหลไร้สาระ แต่ถ้าผมพูดประโยคนั้นออกมาในตอนนี้ก็อาจจะดูเหมือนว่าหยิ่งทะนงตัวไป ดูเหมือนว่าผมจะมีความมั่นใจแน่วแน่แบบนั้นมาตั้งแต่ในช่วงอายุยังน้อย ในตอนที่ผมอายุ 13-14 ในใจผมก็มีหนทางที่ผมต้องการจะเดินไปในอนาคตอยู่ในใจเอาไว้แล้ว ซึ่งในเวลานั้นมันอาจจะดูเป็นเรื่องเหลวไหล

Q:ในวัยนั้นการที่ออกไปคลุกคลีเที่ยวเล่นกับเพื่อนๆกลายเป็นว่าทำให้เราเหลือเวลาน้อยมากในการที่จะย้อนคิดทบทวนเรื่องของตัวเองนะคะการที่ใช้เวลาอยู่กับตัวเองคนเดียวเพื่อย้อนมองสิ่งที่อยู่ภายในและไตรตรองมากเท่าไหร่มันก็จะยิ่งสามารถช่วยเราในการมองไปในอนาคตข้างหน้าได้  
TOP:ยิ่งย้อนทบทวนมองตัวเองมากเท่าไหร่ความสำเร็จก็จะมีความเป็นไปได้ตามมาครับ

Q:คุณมีความคิดมากมายในหัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหนังหรือเพลงดูเหมือนว่าจะผ่านการพิจารณามาอย่างสุขุมรอบคอบอย่างมากแล้วทั้งนั้น
TOP:ในตอนที่ผมทำงานเพลงและในตอนที่เลือกชิ้นงานโบแดงออกขึ้นแสดงนั้นผมหวังว่ามันจะซึบซับเข้าสู่ตัวผมเหมือนดั่งพรหมลิขิตมากกว่า ผมจะไม่ไปขึ้นแสดงโดยคิดวางแผนเอาไว้ก่อนว่าจะถ่ายทอดมันออกมายังไงบนเวทีแต่ผมจะคิดถึงสิ่งที่ผมกำลังจะลงมือทำ ณ เวลานั้น และผมจะรู้สึกว่าผมถูกเติมเต็มซึ่งผมว่านี่แหละคือ โชคชะตาพรหมลิขิต


Q:บิกแบงไม่ได้ถูกต้องลงตัวแบบนี้มาตั้งแต่เริ่มต้น แต่แทนที่จะจงใจปรับเปลี่ยนตัวเองไป สมาชิกในวงแต่ละคนดูเติบโตขึ้นใน เรื่องของอารมณ์ความรู้สึกและมีแนวโน้มว่าจะเติบโตขึ้นไปได้ด้วยดีนะคะ
TOP:เราเขียนเพลงด้วยตัวเองมาตลอดตั้งแต่ยังเป็นเด็กฝึกครับ ตั้งแต่ตอนนั้นเราก็ทำเพลงในแบบที่เราอยากจะทำมาเสมอ เราส่งเพลงให้ท่านหยางกว่า 20 เพลงเค้าก็จะวิเคราะห์เพลงเหล่านั้นตามความเป็นจริงไม่ลำเอียงเพราะเราเป็นคนลงมือทำดังนั้นปกติแล้วเราจะไม่สามารถเห็นปัญหาได้ด้วยตัวเองการจะเอาพวกเราไปเทียบกับวงไอดอลวงอื่นนั้นเป็นเรื่องที่แตกต่างไปนะครับ เพราะระบบการเทรนที่เข้มงวดนั้นไม่เหมือนกัน บางทีนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเราถึงทำงานกันมาได้จนถึงทุกวันนี้นะครับ 

Q:บิกแบงไม่ใช่วงที่สามัญตามคตินิยมตามแบบฉบับวงไอดอลทั่วไปพวกเค้าเป็นวงที่ไม่เคยมีวงลักษณะแบบนี้มาก่อนและไม่มีวงไหนที่จะสามารถประสบความสำเร็จเหนือพวกเค้าได้อีกแล้วในเกาหลี นอกจากนี้พวกเค้ายังได้รับการยอมรับและเป็นที่จดจำในระดับโลกอีกด้วย
TOP:ไม่มีใครคาดหวังกับผลที่จะออกมาเลยครับ ท่านหยางอาจจะไม่ค่อยพอใจนักถ้ามาได้ยินผมพูดแบบนี้ แต่ยังไงก็ตามแต่ ผมไม่ได้คิดว่าเราทำได้เพราะพลังความหลงใหล มันเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งนะครับการที่จะก้าวผ่านยืนหยัดในความสัตย์จริงของตัวเองจนได้รับการจดจำและเข้าถึงการสื่อสารกับผู้คนในที่สุด

Q:ในการเป็นนักร้อง บิกแบงถือว่าอยู่ในจุดสูงสุดแล้วคุณยังคงมีความปรารถนาอะไรอีกรึเปล่าคะ??
TOP:ความคิดที่เกี่ยวกับความปรารถนาอยากนั้นไม่เคยผ่านเข้ามาในใจผมเลยแม้แต่ครั้งเดียวแม้แต่ในช่วงที่อายุยังน้อยก็ไม่เคยคิดเลยครับ หลังจากที่ขอบเขตวิสัยทัศน์ของผมมีขอบเขตแคบลงผมก็จะคิดถึงแต่สิ่งที่อยู่ในขอบเขตที่ผมรู้อย่างสร้างสรรค์และมันทำให้สนใจแต่สิ่งนั้นโดยเฉพาะเท่านั้นโดยที่ผมไม่เคยไปคิดถึงความปรารถนาอื่นใดที่ไร้ประโยชน์เลย คุณอาจจะคิดว่าผมโกหกนะครับแต่พลังงานที่นับไม่ถ้วนและเปล่าประโยชน์เหล่านั้นมันไม่สามารถที่จะมีทางระบายออกไปได้ พวกเราทบทวนความคิดและสะท้อนความคิดในใจของเราลงไปในงานเพลงของพวกเราครับ ดังนั้นเรารู้สึกเป็นเกียรตินะที่เรามาจนถึงจุดนี้ได้

Q:คุณเป็นคนตั้งมาตรฐานความพอใจที่จับต้องได้จริงๆเอาไว้สูงไม๊คะ?? 
TOP:ถ้าเป็นเรื่องงานไม่มีคำว่าจุดพึ่งพอใจครับ และผมก็จะไม่วัดมันจากความทะเยอทะยานในเชิงพาณิชย์ด้วยครับ
(หมายถึงความพอใจเป็นเรื่องของจิตใจหากถามถึงจุดมาตรฐานที่จับต้องได้ทาบิว่าเค้าไม่มีการตั้งจุดแบบนั้นเอาไว้ในเรื่องของการทำงาน ซึ่งเค้าก็คงจะไม่วัดความพอใจนั้นในเชิงธุรกิจผ่านการค้าขายว่าขายได้มากน้อยทำนองนั้นด้วยค่ะ )

Q:เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์มากจริงๆค่ะ
TOP:ความแข็งแกร่งของความบริสุทธิ์นั้นยอดเยี่ยมที่สุดครับ ถ้าคุณจะเอาทุกสิ่งทุกอย่างมาใส่ใจไปหมดนั้นจะต้องหมายถึงว่าคุณต้องเป็นอัจฉริยะแบบไอสไตน์แล้วละครับ


Q:ได้ยินมาว่าระหว่างทางจากเกาหลีมาที่นี่คุณอ่านบทภาพยนตร์ในช่วงเวลาที่อยู่บนเครื่องบินใช่ไม๊คะ?
TOP:จริงๆมีการตอบรับแสดงตั้งแต่ช่วงปลายปีแล้วละครับ ค่อนข้างจะน่าหดหู่ซักหน่อยเพราะมีบทไม่มากเท่าไหร่มาให้พิจารณาครับ
  
Q:มีบทบาทไหนที่คุณอยากจะแสดงเป็นพิเศษไม๊คะ?
TOP:ไม่ มีครับ ผมชอบอะไรที่ซื่อตรงจริงใจ สิ่งที่ซื่อตรงนั้นจะประทับใจผมได้ง่ายๆ จนถึงตอนนี้ถ้ามีใครทำในสิ่งนั้นๆได้ออกมาดีอยู่แล้ว ผมจะดื้อไม่อยากทำซ้ำอีก และนี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมหลีกเลี่ยงทำในสิ่งที่ธรรมดาๆสามัญ ในวงการอุตสาหกรรมหนังบ้านเรา มีหนังเพียงไม่กี่ประเภทที่จะเหมาะกับนักแสดงอายุ 20-30 ปี ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ผมเสียใจมากครับ

Q:ได้ยินมาว่าหลังจากการถ่ายทำภาพยนตร์สิ้นสุดลงคุณมักจะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากเพราะคุณยังคงติดอยู่กับบทบาทที่คุณแสดงอยู่ 
TOP:ผมมักจะเป็นแบบนั้นครับ

Q:ไม่รู้สึกว่ามันยากเกินไปเหรอคะ?
TOP:มัน ทรมาณมากจริงๆครับแต่ถ้าไม่มีแรงกระตุ้นแบบนั้นแล้วก็จะไม่สนุกเลย ในระหว่างการทำอัลบั้มของบิกแบงผมปรับเปลี่ยนท่อนแร๊พของผมในเพลง Loser ไปกว่า 30 ครั้งผมตั้งใจไปกับมันมากเกินไปผมรู้สึกหดหู่ในช่วง2-3เดือนนั้นฮะ ความต้องการของผมมันเปลี่ยนไปเป็นความเศร้าหดหู่เช่นกัน ยังไงก็ตามแต่ผมแก้ไขอะไรกับสถานการณ์แบบนี้ไม่ได้เพราะผมผมคนประเภทที่ว่า ผมจะไม่รู้สึกถึงแรงกระตุ้นใดๆเลยหากไม่พาตัวเองเข้าใจเจอสถานการณ์ที่บีบ คั้นสุดโต่งแบบนั้น

Q:คนที่ได้ชื่อว่าเป็น"ศิลปิน"นั้นมักอยากจะสร้างความประทับโดยการเป็นคนช่างติช่างวิจารณ์แต่จากที่ฉันดูคุณแล้วคุณไม่ได้เป็นแบบนั้นเลยเวลาอยู่ในกองถ่ายทำภาพยนตร์
TOP:ผมเป็นคนที่มีความอ่อนไหวมากที่สุดเลยครับผมตระหนักได้ว่าผมเป็นของผมแบบนี้ตั้งแต่ยังเด็ก การที่จะเอาชนะอาการเหล่านี้และทำให้ข้อบกพร่องนี้หายไป ผมพยายามอย่างมากที่จะเปลี่ยนแปลงมัน แต่ยังไงก็ตามแต่ส่วนที่อ่อนไหวเหล่านั้นในตัวของผมมันก็ยังอยู่ ผมเข้าใจตัวเองว่าตัวเองเป็นคนอ่อนไหวมากดังนั้นผมชอบที่จะหยอกล้อคนอื่นเล่นเพราะถ้าผมไม่หยอกล้อเล่นกับพวกเค้า พวกเค้าก็จะเริ่มมีเรื่องมากมายให้คิดและเมื่อนั้นมันจะทำให้ผมหนักใจไปโดยปริยาย ดังนั้นการที่ผมหยอกล้อพวกเค้าเล่นมันเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตัวผมเองไม่ให้คิดอะไรที่ยุ่งยากซับซ้อนเกินจำเป็นด้วยครับ 

Q:คุณต้องอดทนความยากลำบากมากนะคะ
TOP:ผมเป็นของผมแบบนี้มาตั้งแต่ยังเด็กแล้วละครับ แต่ตอนนี้ผมมีเคล็ดลับในการที่ปกปิดมันเอาไว้ 
 
Q:จากIG ของคุณฉันเห็นว่าคุณมีความรู้และความสนใจเกี่ยวกับศิลปินต่างๆเยอะมาก ดูเหมือนว่าคุณมีแนวคิดของตัวเองในงานที่เกี่ยวข้องกับงานศิลปะ
TOP:ผม อยากที่จะแนะนำศิลปินชาวเกาหลีและชาวญี่ปุ่นไปอย่างต่อเนื่องครับ แม้ว่าจะมีศิลปินรุ่นใหม่อายุน้อยที่มีชิ้นงานที่เปี่ยมไปด้วยความหมายแต่ กลับน่าเสียดายที่พวกเค้าไม่ได้รับความดึงดูดใจผู้คนเพราะไม่ได้รับความสนใจ จากสาธารณชน ตอนนี้ดูเหมือนว่าผมจะได้รับโอกาสมากขึ้นในการที่จะนำเสนอแนะนำตัวศิลปินบาง คนในปีนี้ ในตอนนี้ยังเป็นความลับอยู่ครับแต่ผมพบว่ามันจะเป็นโครงการที่ยอดเยี่ยมแน่ๆ

Q:ฉันตีพิมพ์เรื่องนี้ลงไปในบทสัมภาษณ์ได้ใช่ไม๊คะ?
TOP:แน่ นอนครับ คุณอาจจะต้องประหลาดใจมากเลยทีเดียวละครับ ที่โครงการดีๆที่จะช่วยสนับสนุนศิลปินรุ่นใหม่นั้นได้มีการวางแผนเตรียมการ กันออกมาแล้ว 



Q:ในระหว่างการถ่ายแบบก่อนหน้านี้ คุณเล่นมุข เรื่องครัวซองค์โดยการเอาขนมจากฝรั่งเคสมาเล่นพร้องเสียงกับคนว่า "ซัง" ที่เป็นคำลงท้ายชื่อคนในภาษาญี่ปุ่นเพื่อเล่นมุขออกมา จริงๆฉันไม่เข้าใจมุขนี้หรอกนะคะ แต่ฉันรู้ว่าถ้านายแบบอารมณ์ไม่ดีทีมงานก็จะทำงานกันไม่สะดวก ซึ่งก็ต้องขอบคุณ คุณมากจริงๆนะคะที่ทำให้บรรยากาศในการทำงานออกมาสมบูรณ์แบบจริงๆ 
TOP:ผมว่าคนคนนั้นคงไม่รู้เรื่องการปล่อยมุขนะครับ ถ้าตัวผมไม่เบิกบานไม่มีความสุขและไม่หัวเราะเสียงดังกับมุขตลกต่างๆมันอาจจะทำให้ผมดูเป็นคนล้ำลึกเกินไปซึ่งผมก็อาจจะไม่โอเคถ้าเป็นอย่างงั้น ดังนั้นผมจึงพยายามสร้างบรรยากาศให้ดีขึ้น ถ้านายแบบกำลังเต๊ะท่าอยู่ ผมจะทำลายกำแพงระหว่างกันโดย ผมก็จะพูดว่า " ช่วยเล่นมุขให้ฟังหน่อยครับ" อาการหวาดระแวงต่างๆก็จะหายไปจริงไม๊ครับ  555+  

==================

Korean to Chinese translation by choitopop 
Chinese to English translation by pinkymomo
English to Thai translation by miss mew
Photo credit to label in the picture