วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

สัมภาษณ์ GD 1st Japanese Pictorial ตอนที่ 1

สารภาพ ว่ามิวก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าสัมภาษณ์นี้ไปสัมภาษณ์ไว้ตอนไหนอะไรยังไง เห็นน้องไอซ์แปลของน้องแดไปแล้ว เจ้าของที่แปลเป็นอิงค์ก็เริ่มแปลของเน่ออกมาแล้วด้วยแต่ยังไม่มีของทาบิมิวคิดว่าคงจะทยอยๆแปลไปแล้วกันค่ะ ในใจก็อยากจะไปตามแปล shout of the world มาเก็บไว้ด้วย เห็นงานนี้สั้นกว่ามีแค่ 4 ตอนเลยจัดไปก่อน แปลไปแปลมาก็คุ้นๆเหมือนตัวเองจะเคยแปลไปแล้ว ยังไงก็ตามแต่เริ่มกันเลยไม๊ค่ะ?? >_<

=====================


สัมภาษณ์ GD จาก 1st Japanese Pictorial ตอนที่ 1 : ความหลงใหล

G-dragon (GD) เมื่อไหร่ที่คุณเริ่มที่จะสนใจในเสียงดนตรี??
ตอน นั้นผมยังอยู่โรงเรียนประถมฮะ ในตอนนั้นคุณพ่อของเพื่อนผมเป็นโปรดิวเซอร์ทำเพลงให้กับรายการเพลง ดังนั้นตอนที่ผมไปเล่นที่บ้านเพื่อนคนนี้ผมก็จะเห็นซีดีของศิลปินต่างประเทศ มากมาย และนั่นเป็นครั้งแรกด้วยที่ผมเริ่มฟังเพลง Hip-Hop และรู้สึกประทับใจกับเสียงเพลงครับ

เหมือนกับได้ไปรู้ว่าในโลกมีเพลงประเภทนี้อยู่เหมือนกัน
คือ ก่อนหน้านั้นผมจะฟังเพลงของศิลปินจากเกาหลีเท่านั้นครับเพราะผมคิดว่า ถ้าผมไม่เข้าใจความหมายของเนื้อเพลงแล้วฟังไปจะได้อะไร?? ผมเคยไม่เข้าใจในตลาดเพลงสากลเลยแม้แต่นิดเดียวดังนั้นผมจึงไม่ได้สนใจมัน ครับ แต่ยังไงก็ตามแต่ หลังจากที่ผมได้ฟังเพลงของวงhip-hop ชื่อดังอย่าง C.R.E.A.M ไปแล้วความคิดความอ่านในเรื่องเสียงเพลงของผมก็ขยายวงกว้างออกไปครับ

งั้นเรื่องภาษาก็ไม่ได้เป็นปัญหาอีกแล้ว??
ผม ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีฮะว่าเนื้อเพลงมีความหมายยังไงหรือออกเสียงภาษาอังกฤษ ออกมายังไงแต่ผมก็ถูกเสียงเพลงสะกดใจเข้าอย่างจัง ผมเอาแต่ฟังซีดีไม่ก็เทปซ้ำแล้วซ้ำอีกและพยายามจะเลียนการออกเสียง เพื่อที่ผมจะได้ร้องท่อนที่ผมฝึกออกเสียงนั้นได้ และผมก็อยากจะอวดให้ใครๆรู้ว่าผมจำได้เลยไปเข้าร่วมกิจกรรมคล้ายๆกับงานประกวดที่โรงเรียนและร้องเำพลงในงานนั้น ซึ่งผมคิดไปว่าทุกคนคงจะต้องชื่นชมผมและพูดว่าผมเก่ง แต่พวกเค้ากลับพูดว่า " นั่นนายร้องอะไรออกมา?? เราฟังไม่เห็นรู้เรื่องเลย " แทนที่จะได้รับคำชมผมกลับถูกล้อแทน ( ยิ้มน้อยๆ)

อ่า,คงยากมากเลยในช่วงนั้น แต่ถึงยังงั้นคุณก็อาจจะเป็นเด็กคนแรกในชั้นประถมที่เริ่มฟังเพลงที่มาจากประเทศนะ
ครับ ซึ่งเพื่อนๆที่ไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับผมในตอนเป็นเด็กตอนนี้พวกเค้าโทรมาหาผม และบอกว่าตอนนั้นน่าจะหันไปฟังเพลงกับผมด้วยนะฮะ (หัวเราะ)

งั้นตอนนั้นคุณคงได้ชื่อว่าเป็นตัวประหลาดด้วยไม๊??
ผมมักจะชอบที่จะท้าทายตัวเองกับสิ่งที่แปลกใหม่เสมอ อะไรใหม่ๆที่คนอื่นยังไม่รู้เกี่ยวกับมัน จริงๆแล้วสิ่งที่ผมสนใจสิ่งแรกเลยคือ การเต้นครับ เมื่อตอนที่ผมเป็นเด็กในตอนที่ดูทีวีผมมักจะเต้นไปตามจังหวะเสมอ เมื่อคุณแม่ของผมเห็นเข้า ก็เริ่มที่จะช่วยผมสมัครในการออดิชั่นทั้งหลายซึ่งผมก็ผ่านเข้าไปฮะ

ก็หมายความว่าคุณแม่เป็นคนแรกที่เห็นพรสวรรค์นี้ของคุณ?
ผมเป็นคนประเภทที่จะเต้นไม่ออกฮะถ้าไม่มีคนมาดูเยอะๆ ในขณะเดียวกันคุณแม่ก็ตระหนักว่าผมชอบที่จะนำพาความสุขมาสู่คนอื่นดังนั้น คุณแม่จึงตัดสินใจที่จะให้ผมลองเข้ามาในวงการบันเทิง ดังนั้น...ถ้าคุณจะชมว่าผมสุดยอด ผมว่าคุณไปชมว่าคุณแม่ว่าสุดยอดแทนจะถูกกว่าฮะ (หัวเราะ)

แล้ว คุณได้ปรากฏตัวในรายการทีวีครั้งแรกเมื่อไหร่??
ตอน ที่ผมอายุ 6 ขวบครับ มันเป็นรายการโชว์ที่เหมือนกับเอาเด็กๆมาเล่นกัน คือถ้าคุณจะพูดว่าผมไปเข้าร่วมรายการด้วยตัวเองมันคงไม่ค่อยถูกนักนะฮะ แต่เป็นคุณแม่ตั้งหากที่พาผมไปในรายการนั้น เพราะผมไม่ได้สนใจอยากจะไปออกรายการทีวีเลยแต่ที่ไปเพราะผมอยากจะไปเ่ล่นกับเพื่อนๆและอยากจะไปทานอะไรที่นั่นมากกว่า (หัวเราะ) เมื่อตอนเด็กๆผมเป็นเด็กที่ขี้อาย ผมมักจะเดินหลบอยู่หลังคุณแม่ แต่สิ่งที่ผมสามารถทำอย่างเต็มความมั่นใจคือการที่ได้อยู่บนเวทีและการเต้น จนได้เข้ามาอยู่ในสังกัด YG ตอนอายุ 12 ผมถึงเริ่มที่จะเปิดตัวเองมากขึ้นครับ

คุณต้องจากคุณพ่อคุณแม่และเริ่มใช้ชีวิตด้วยตนเองตั้งแต่อายุเท่านั้นเองเหรอ??
คือ เพราะผมตัดสิินใจที่จะก้าวเข้ามาในวงการเพลง ผมก็ทำทุกอย่างตามทางที่ผมต้องการครับ ถึงแม้ว่าในตอนแรกคุณแม่จะบอกให้ผมเตรียมตัวและสอบเข้าชั้นมัธยมก่อน แต่เมื่อเธอเห็นความหลงใหลที่ผมมีต่อเสียงเพลงแล้ว เธอก็หันมาสนับสนุนผมแทน

แต่หลังจากก็ผ่านมายาวนานเหมือนกันนะกว่าที่คุณจะได้เดบิว
ผม เป็นศิลปินฝึกหัดมา 6 ปีและผมก็ได้ฝึกฝนผ่านการทำงานในอัลบั้มของรุ่นพี่และการแสดงสดของพวกเค้า ชีวิตของผมในตอนนั้นก็เป็นแบบนั้นครับ แต่พอตอนนี้ได้มองย้อนกลับไป ถ้าไม่ได้ช่วงเวลาตอนนั้นและประสบการณ์เหล่านั้น ผมคงไม่มีโอกาสได้มายืนอยู่ตอนนี้และฝ่าฟันมาได้ครับ



Eng Translation: jwalkervip.tumblr.com
Thai Translation : mew in mini museum

วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

สัมภาษณ์ BB กับ EMA 2011 special

นอกจากจะเป็นงานประกาศรางวัลที่เหล่าเราวีไอพีจะไม่มีทางลืมเพราะช่วยโหวตกันจนเม้าส์พังข้ามวันข้ามคืนพาหนุ่มๆเอาชนะบริทนีย์คว้ารางวัล worldwideact award ในงาน EMA2011 แล้ว งานนี้ยังเป็นครั้งแรกหลังจากที่มีเรื่องอุบัติเหตุของน้องแดและเรื่องสมุนไพรของน้องจี ที่น้องๆของเรามาอยู่กันพร้อมหน้าออกงานพร้อมกัน 5 คนอีกครั้ง ด้วย

ในงานมีสัมภาษณ์พิเศษน้องๆเราด้วยค่ะ ดูแล้วมีความสุข 5555 ด้วยความที่ไม่ใครจับยามสามตาให้และมิวฝังซับอะไรไม่เป็นกับใครเค้าเลย เอาเป็นว่าแปลให้อ่านแล้วกัน

Let's gooooo >_<

----------------------------



GD: ตอนนี้เรามาอยู่กันที่ Belfast ไอแลนด์เหนือ ในฐานะผู้เข้าชิงรางวัล ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ

Q:พวกคุณคิดว่ามันเป็นยังไงบ้างที่ได้มาร่วมงาน EMA ด้วยกันในครั้งนี้
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เราได้มาที่ยุโรป ที่เกาหลีเราได้ยินมาว่า กระแสเกาหลีได้รับการตอบรับอย่างดีแต่นี่เพิ่งเป็นครั้งแรกที่เราได้มาสัมผัสกับมันจริงๆที่ยุโรป มีแฟนๆมารอรับเราที่สนามบินและมีคนจำเราได้เยอะทีเดียว เป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมและวิเศษมากเลยละฮะ เป็นประสบการณ์ที่ทำให้เรารู้สึกดีมากๆ

ผมคิดว่าตอนนี้เป็นยุคที่ทั้งโลกต่างติดต่อสื่อสารกันเชื่อมกันเป็นหนึ่งเดียวด้วยเสียงเพลง แทนที่เราจะพูดว่าเพลงของเราดีกว่าคนอื่น ผมว่าเรามีเพลงที่มีเอกลักษณ์เป็นแบบของเราเองและมันลงตัวไปได้ทั่วโลก

TOP: บิกแบงเป็นวงดนตรีจากเอเซียวงแรกและวงเดียวที่ได้มาร่วมงานประกาศรางวัลในครั้งนี้ดังนั้นเราจึงรู้สึกถึงความรับผิดชอบต่อชาวเกาหลีและเราก็ยิ่งรู้สึกประหม่ามากขึ้นอีกที่ต้องแสดงออกด้านที่ดีที่สุดของพวกเราออกมา

บิกแบงเข้าชิงรางวัลนี้ ด้วยเพลง Tonight
GD:อัลบั้มนี้ออกมาช่วงต้นปีครับ เพลงจะให้อารมณ์ที่แตกต่างออกไปจากเพลงก่อนๆของบิกแบงที่ทุกคนรู้จักกันดีเราต่างก็ยุ่งในการทำงานเดี่ยวของแต่ละคน การที่ได้กลับมาทำงานร่วมกันครั้งนี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงเราในด้านที่โตขึ้น ที่พัฒนาขึ้น มีเพลงที่มีความเป็นร็อคเข้ามาในเพลงด้วยเมื่อเทียบกับเพลงของบิกแบงที่ผ่านมาอัลบั้มนี้จะมีความเป็นปรัชญามากกว่า

Q:สมาชิกในวงมีความเห็นในเรื่องของเสียงเพลงแตกต่างกันออกไปรึเปล่า??
YB:พูดตามตรงคือ มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่เราจะต้องไม่มีความคิดเห็นที่แตกต่างออกไปในเรื่องของดนตรีที่เราร่วมกันทำออกมา แต่เราต่างก็มีความตั้งใจเหมือนกันคือ ต้องการทำเพลงที่ดีที่สุดออกมา ดังนั้นมันจะไม่มีการมาบ่นว่า " ฉันไม่ชอบเพลงนี้เลยเพราะแนวเพลงมันไม่ใช่" หรือบ่นว่าไม่ชอบเพราะปัจจัยอื่นๆ ไม่มีแบบนั้นเลยครับ

---------------------

Q:มีเพลงของสมาชิกในวงเพลงไหนที่คุณคิดอยากจะเอามาเป็นเพลงเดี่ยวของตัวเองบ้างไม๊?เพราะอะไร?
TOP: ส่วนตัวผมชอบเพลง What Can I do ของซึงรีครับ ( ยิ้มและหันไปมองเน่ 5555)
SR: พี่ร้องเพลงนี้ได้เพราะทีเดียวนะฮะ
TOP: ก็จริงนะ (ยิ้ม)
SR: ตอนที่เพลงนี้ออกมาใหม่ๆ ที่บ้านพี่ท็อปจะมีตู้เพลงในห้องของเค้าครับที่เราชอบไปฟังเพลงจากเครื่องนั้นกันซึ่งมันดูมีสไตล์มากและเราล้วนก็ตื่นเต้นที่ได้ฟังเพลงจากตู้เพลงอันนี้

TOP:ผมอยากได้เพลงนี้ครับ

YB:ส่วนผม ผมชอบเพลง Oh yeah ของ GDTOP มากๆครับ ผมไม่สามารถที่จะร้องแร๊พออกมาแบบที่พวกเค้าทำได้ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะฮะแต่ผมชอบเพลงนี้มากๆเลยเวลาที่รู้สึกหดหู่เศร้าหรือเบื่อผมก็จะฟังเพลงนี้ มันเป็นเพลงที่มีจังหวะเร็วๆและมันทำให้รู้สึกดีขึ้นทำให้คนฟังมีความสุขผมมีความต้องการเพลงประเภทนี้ครับ ( ทาบิที่กำลังจ้องอยู่หอมแก้มเบเข้าให้ในตอนนี้แหละค่ะ 55555)

Q:มีสมาชิกในวงคนไหนที่คุณอยากจะชวนมาฟอร์มวงยูนิตพิเศษด้วยกันไม๊??
SR:จริงๆแล้วผมเคยบอกพี่แทยังว่า เรามาลองฟอร์มวงยูนิตที่จะมาโค่น GDTOPกันดูไม๊?
GD: หมายความว่าไงที่ว่าจะ "โค่น"หนะ
SR:มันก็แค่สำนวณการพูดเท่านั้นเองฮะ เราต่างก็น่าจะทำออกมาได้ดีเหมือนกันใช่ไม๊ละฮะ ผมเลยลองปรึกษาีพี่เค้าดูแต่พี่เค้าก็ถอนหายใจยาวๆ เอามือทุบโต๊ะแล้วเดินออกไปเลยฮะ

--------------------

Q:มีสมาชิกในวงคนไหนที่คุณอยากจะเป็นเหมือนเค้ามากที่สุดบ้าง??

SR:พี่ท็อปเค้าแขนขายาวและตัวสูง ในการเคลื่อนไหวแล้วพวกเราต้องเต้นกันแบบเต็มที่กางแขนกางขาให้ดูเยอะการเต้นถึงจะดูยิ่งใหญ่ แต่พี่ท็อปแค่ทำนิดเดียวก็ดูดีแล้ว ผมเลยอิจฉามากเลยฮะ
GD:ระยะหลังนี้สิ่งที่พี่ท็อปพูดคือ เค้าสัญญาว่าเค้าจะพยายามอย่างเต็มที่กับการเต้นในอัลบั้มชุดใหม่ของเราฮะ พวกเราต่างก็ตื่นเต้นที่จะได้เห็นนะฮะ
TOP: นี่ๆๆๆ ฉันก็ทำดีที่สุดมาโดยตลอดนะ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันพยายามอย่างหนัก นายก็มักจะหัวเราะฉันนี่( หันไปบอกยองเบ)
GD:งั้นก็อย่าเต้นตลกๆสิ
YB:ก็พี่พยายามเต้นแต่เฉพาะท่าเต้นที่ตลกๆนี่ฮะ
TOP:ก็จริงนะ เอาละฉันจะพยายามมั่นใจในการเต้นของตัวเอง ฉันคิดว่าฉันยังอายที่จะเต้นนะ

------------------

Q: คอนเซ็บในการแต่งตัวของพวกคุณคืออะไร??
GD: พวกเราไม่ได้มีคอนเซ็ปอะไรเป็นพิเศษในเรื่องเสื้อผ้าครับผมคิดว่าเราพยายามแต่งตัวให้มีสไตล์ในแบบที่เราชอบและมีความสุขที่จะใส่มันนะครับ เป็นเพราะครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่บิกแบงได้เปิดตัวในงาน MTV EMAด้วย

TOP:ผมคิดว่าเราให้ความรู้สึกในแบบที่อิสระและเป็นคนหนุ่มสาวจากเอเซียแบบนั้นครับ

---------------

Q:การแสดงชุดไหนที่คุณรอคอยอยากจะชมบ้าง??
SR:ผมรอคอยการแสดงของ David Guetta ครับ ผมตื่นเต้นอยากจะรู้ว่าการแสดงที่เค้าจะนำเสนอจะออกมาในรูปแบบไหนในฐานะที่เค้าเป็นศิลปินและ ดีเจที่รู้ว่าจะทำให้การแสดงยังไงให้ออกมาร้อนแรง ในฐานะที่เป็นแฟนเพลงของเค้าผมรอคอยการแสดงของเค้าครับ

YB:ของผมผมรอคอยการแสดงของ Bruno mar มากๆเลยครับ ในบรรดาเพลงที่ผมฟังเร็วๆนี้เพลงของเค้าวิเศษมากที่สุดเลยและผมก็มักจะดูเทปการแสดงของเค้าบ่อยๆ คิดว่าถ้าได้มาดูการแสดงสดของเค้าแล้วมันจะสร้างแรงบันดาลใจให้ผมอย่างมากเพลงของเค้าจะต้องมีผลต่อผมมากแน่ๆถ้าได้ยินเค้าร้องในการแสดงสด ดังนั้นผมจึงรอคอยการแสดงของเค้าครับ

DS:ผมก็เหมือนกันครับ ผมอยากจะดูการแสดงของ Bruno mar ช่วงนี้ผมฟังเพลงของเค้ามากที่สุดและมักจะค้นหาวีดีโอการแสดงสดของเค้ามาดูมากที่สุดดังนั้นผมจึงอยากดูการแสดงของเค้า ดูว่าเค้าอารมณ์ความรู้สึกแบบไหนกันที่เค้าจะสามารถทำให้มันเกิดขึ้นในการแสดงสดได้ ผมรอคอยการแสดงของเค้าครับ

GD:ผมเคยแต่ดูการแสดงของ lady Gaga ผ่านเทปบันทึกภาพฮะ แต่ผมอยากจะรู้สึกถึงพลังต่างๆเมื่อแสดงสดและมันคงจะต้องสนุกมากแน่ๆเลย ดังนั้นจึงอยากจะดูมากครับ

TOP: ผมคิดว่าของผมคงเป็นวง Queen ครับมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก วันเวลาผ่านไปก็จริง ถึงครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่เค้าออกแสดงอีกครั้งหลังจากที่พวกเค้าห่างหายไปนาน แต่ผมคิดว่ามันจะน่าสนใจแน่ ผมคิดว่าเราถูกเชิญมาร่วมงาน EMA ครั้งนี้และยังได้มีโอกาสดูการแสดงของพวกเค้าด้วยตาตัวเองอีก ผมคิดว่าเป็นเหตุการณ์ที่ทรงเกียรติมากเลยละครับมันจะติดอยู่ในความทรงจำของผมตลอดไป

--------------------

Q:การทำงานกับ Diplo เป็นยังไงบ้าง??

GD:ไม่เหมือนกับที่เราคาดไว้เลยละครับ เราแทบจะไม่มีความยากลำบากอะไรเลย เป็นเพราะงานที่ทำคืองานเพลง ดังนั้นมันเลยสนุก และเราก็เล่นในขณะที่ทำงาน เหมือนกับว่าเราได้อยู่กับเพื่อนและเป็นเพราะแบบนี้เราเลยสนุกเวลาที่ทำงาน และผมคิดว่าเราได้เรียนรู้มากมายด้วยเช่นกัน ดังนั้นมันจึงเป็นพลังงานในด้านบวกเยอะเลยละฮะ

TOP ปกติแล้วเราก็ชอบทำงานกับคนหน้าใหม่ๆครับ เราได้ร่วมแบ่งปันทักษะในด้านบวกร่วมกันมากมาย มันเลยมีความสนุกสนานมากมายเกิดขึ้นและเราก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไรเลยครับ

--------------------

Q:สำหรับคุณแล้ว เสียงเพลง คืออะไร??

YB:ผมคิดว่า สำหรับเรื่องของเสียงเพลงแล้วมันไม่มีคำตอบที่ถูกที่สุดเป็นคำตอบสุดท้ายหรอกครับ ซึ่งทำให้มันสนุกมากขึ้นอีก พูดตามตรงนะครับ การทำงานเพลงเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นมากๆ

SR:ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ท้าทายครับ คุณจะประสบความสำเร็จหรือไม่ มันเป็นเรื่องที่คุณจะต้องลองทำสิ่งที่แตกต่าง และทางที่ดีที่สุดคือ ต้องหาทางทำมันในแบบของคุณเอง

TOP:ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องของการเปิดใจให้กว้าง ผมไม่คิดว่าคุณจะสามารถเขียนเนื้อเพลงที่ยิ่งใหญ่หรือทำเพลงออกมาได้ดีถ้าคุณมัวแต่คิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น ผมคิดว่าความสามารถในการที่จะถ่ายทอดบรรยายสิ่งใหม่ๆและสิ่งที่คุณมองเห็นออกมาได้เป็นสิ่งที่สำคัญมากในการบรรยายความรู้สึกออกมาครับ

DS:สำหรับผม ผมเริ่มทำงานเพลงก็เพราะผมชอบมัน แต่ตอนนี้มันกลายเป็นเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเสียงเพลงจะต้องยาวนานตลอดไปจนชั่วชีวิต ในตอนเริ่มแรก ดนตรีเป็นสิ่งที่สนุกและยอดเยี่ยมมากแต่ในขณะเดียวกัน ผมก็ต้องประสบกับเหตุการณ์ยากลำบากและเจ็บปวดมากมายเพราะมัน ด้วย แต่ผมก็ใช้เสียงเพลงปลอบใจตัวเองให้ผ่านเหตุการณ์เหล่านั้นมาได้อีก ดังนั้นเสียงเพลงถือได้ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากในชีวิตของผมเพราะมันเป็นเหมือนกับทั้งโรคร้ายและยารักษาในขณะเดียวกัน

GD: ผมคิดว่าเสียงเพลงเป็นอะไรบางอย่างที่จะนำเอาความเข้มแข็งเข้ามาในตัวของผู้คนครับ ไม่ว่าจะในเวลาที่หดหู่สิ้นหวังหรือเศร้าอ่อนแอ หรือความรู้สึกต่างๆที่คนเราจะมีได้เสียงเพลงจะช่วยเยียวยาอาการต่าง ตั้งแต่ผมเป็นเด็กจนกระทั่งโตเป็นผู้ใหญ่ ผมมักจะมีเสียงเพลงเปรียบเสมือนเป็นเพื่อนสนิทที่อยู่เคียงข้างผมเสมอ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นผู้คนหรือแม้กระทั่งโลกใบนี้ผมคิดว่าเสียงเพลงสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้
ผมตั้งใจทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะสร้างเสียงเพลงที่ยอดเยี่ยมเพื่อทุกคนครับ

YB:เราอยากจะเป็นที่จดจำในภาพลักษณ์แรกของพวกเราที่ว่าเราจะมาพบกับทุกคนด้วยเสียงเพลงที่ยอดเยี่ยม การแสดงที่สุดวิเศษ เราหวังว่าเราจะยังคงรักษาสภาพศิลปินที่ทำให้ทุกคนเฝ้ารอการแสดงใหม่ๆของเรา เฝ้ารออัลบั้มใหม่ของเราไว้ได้ครับ

------------------

(หลังจากที่ได้รับรางวัล)

DS: ครับ ก็อืม ผมไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะได้รับรางวัล เลยแบบว่า.....
GD:ผมรู้สึก ......รู้สึกซึ้งใจมากๆ......นี่แหละครับที่ผมรู้สึก
TOP: เราไม่ได้คาดหวังอะไรเลยครับ ดังนั้นตอนนี้เลยรู้สึกร่าเริงมากและรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องจริงรึเปล่าเนี่ย
YB:มีศิลปินมากมายที่เรานับถือมาร่วมงานนี้ครับดังนั้นมันจึงเป็นเหตุการณ์ที่มีความหมายกับเรามากๆที่ได้รับรางวัลบนเวทีนี้ เป็นวันที่พิเศษมากครับ
SR:อืม....ผมดีใจที่เรามาอยู่ร่วมกับศิลปินระดับสากลมากมาย
GD: เรามาอยู่ที่ประเทศใหม่ เราอยู่ในยุโรป แค่ได้มาร่วมงาน EMA นี้ก็ถือว่าเป็นเกียรติมากแล้วแต่เรายังได้รับรางวัลสุดวิเศษนี้มาอีก ผมไม่รู้ว่าความสุขของเราครั้งนี้จะสามารถส่งผ่านไปให้ทุกๆคนรึเปล่า แต่ผมรู้สึกดีใจมากๆจริงๆสำหรับรางวัลนี้
TOP:ความรู้สึกหลังจากที่ได้ยิน เค้าประกาศชื่อของพวกเรา ความรู้สึกนั้นจะอยู่กับพวกเราตลอดไป ผมรู้สึกภูมิใจมากๆที่เป็นคนเกาหลี

--------------------------

Q:สิ่งที่อยากจะบอกแฟนๆ

GD: เราได้รับรางวัลครับ ผมคิดว่ามันมีความหมายมากๆ เราได้รับรางวัลสุดวิเศษในช่วงที่ยากลำบากนี้ ดังนั้นมันจึงทำให้ผมคิดว่าเราต้องพยายามให้มากขึ้นอีก เราหวังว่าเราจะได้รับโอกาสให้มาร่วมงานในระดับสากลแบบนี้อีก อย่างที่ผมได้พูดไปแล้วแหละครับ ว่านี่คงทำให้คนสนใจและชอบในเพลงเกาหลีและในตัวบิกแบงมากขึ้น

YB: ครับเราต่างก็พบเจอเรื่องดีๆและเรื่องร้ายๆมาตลอดทั้งปีนี้ แต่เราก็รู้สึกว่าเราได้รับความรักในทุกๆเรื่อง เรารู้สึกขอบคุณมากๆ ขอบคุณมากๆที่ทำให้เราได้มีประสบการณ์สุดวิเศษในครั้งนี้และผมคิดว่าเราคงจะไม่ได้มีโอกาสมายืนดูการแสดงที่ยอดเยี่ยมและได้มารับรางวัลพิเศษๆอยู่ตรงนี้ถ้าเราไม่มีแฟนๆของเรา
ทุกคนต่างทำอย่างดีที่สุดในการโหวตและช่วยสนับสนุนเรา ดังนั้น ขอบคุณมากๆเลยครับ

เราคงจะพูดได้แต่คำว่า ขอบคุณนะครับ ทุกคนครับ รักทุกคนนะครับ

==============================

ดูรายการเต็มๆได้ตามนี้ค่ะ
http://www.dailymotion.com/video/xmg96q_mtv-ema-big-bang-special_music#from=embediframe

thank you to
Source: Studio C via doubleseunghyun@youtube.com and vimeo.com and BBUPDATE photo FYBBstuff as credit add the further translation from Sara in BBUpdate
Thai Translation by mew in mini museum

วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

สัมภาษณ์ TOP ในงาน BlueDragon Handprinting



Choi Seunghyun, “ผมรู้สึกประหม่ามากที่จะต้องเข้าร่วมงานประกาศรางวัล Blue Dragon Awards จนผมเริ่มกลับมาสูบบุหรี่อีกครั้ง"

ดาว รุ่ง Lee Minjung และ Choi Seunghyun ได้โคจรมาพบกันอีกครั้งหลังจากที่พบกันคราวก่อนหนึ่งปีให้หลัง ทั้งคู่สามารถนำชื่อของตัวเองพุ่งขึ้นสู่อันดับแนวหน้าของรายชื่อ นักแสดงรุ่นใหม่ที่อนาคตไกล หลังจากที่ได้รับรางวัล นักแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยมจากงานประกาศรางวัล Blue Dragon Award เมื่อปีที่แล้ว

ในวันนี้ทั้งคู่ได้มีโอกาสนั่งลง ข้างกันอีกครั้งและพูดคุยถึงเหตุการณ์ในงานประกาศรางวัลปีที่แล้วที่ทั้งคู่ ได้นั่งคู่กัน จู่ๆ LMJ ก็เอ่ยปากบอก CSH ว่าเค้าบังเอิญเหยียบชายกระโปรงของเธออยู่ และนั่นเป็นครั้งแรกที่พวกเค้ามีโอกาสพูดคุยกัน หลังจากวันนั้น 1 ปี วันนี้ทั้งคู่ได้กลับมาร่วมงาน Blue Dragon Award hand-printing ceremony Choi Seunghyun กล่าวว่าเค้ามักจะชมละครเรื่อง Midas ที่มีคุณ Lee Minjung แสดงนำอยู่ ในขณะที่ LMJ ก็กล่าวว่าเธอเป็นแฟนเพลงตัวยงของ GD & T.O.P และทั้งคู่ก็เริ่มถามคำถามที่ต่างฝ่ายต่างอยากรู้ซึ่งกันและกัน

ลีมินจอง ถาม ชเวซึงฮยอน

Q: คุณวางถ้วยรางวัลที่คุณได้รับเมื่อปีก่อนไว้ตรงไหนค่ะ??
A:ผมวางมันไว้อย่างดีในตู้เก็บรางวัลของพวกเราครับ มันเป็นรางวัลแรกที่ผมได้รับในชื่อของ ชเวซึงฮยอน ไม่ใช่บิกแบงครับ.

Q: เมื่อปีที่แล้วในงานประกาศรางวัล นอกเหนือจากเหตุการณ์ที่คุณมาเหยีบชายกระโปรงฉันโดยบังเอิญแล้ว คุณดูประหม่ามากเลยนะค่ะ
A:ในระหว่างทางที่จะมาร่วมงานประกาศรางวัลจู่ๆผมก็รู้สึกเหนื่อยและขาดการพัก ผ่อนอย่างมาก ดังนั้น ผมเลยต้องจบลงโดยการสูบบุหรี่ทั้งๆที่เลิกไปแล้วเมื่อ 3-4 เดือนก่อน แต่ปกติแล้วผมก็มักจะรู้สึกกลัวที่จะต้องยืนอยู่ต่อหน้าคนมากๆ ถ้าเป็นในคอนเสริต์เพราะผมจะตั้งสมาธิไปกับเสียงเพลงที่กำลังเล่นอยู่และผม ก็ขึ้นไปบนเวทีเพื่อทำการแสดงดังนั้นผมจะไม่สั่นเท่าไหร่ฮะ แต่ในงานประกาศรางวัล Blue Dragon Awards ผมประหม่าที่สุดเลยฮะ

Q: ทรงผมที่คุณทำในงานประกาศรางวัลเมื่อปีก่อนเป็นที่น่าจดจำและน่าประทับใจนะค่ะ
A: ผมไม่มีทางเลือกครับมันเป็นคอนเซ็บของอัลบั้มใหม่ ยิ่งผมย้อนกลับไปคิดถึงมันมากเท่าไหร่ผมก็ยิ่งอายนะครับ ครั้งนั้นที่ผมกัดสีผมในตอนนั้นพวกเค้าบอกว่าหนังศรีษะของผมแข็งแรงกว่าของ คนอื่นเลยฮะ

Q: ฉันชอบละครล้อเลียนเรื่อง“Secret Garden” ที่บิกแบงลงมือแสดงกันเมื่อไม่นานมานี้มากเลยละค่ะ ในบรรดาสมาชิกในวงบิกแบงคุณคิดว่าใครที่มีพรสวรรค์ในการที่จะเป็นนักแสดงที่ สุดค่ะ?? และคุณสนใจในการแสดงมาโดยตลอดเลยรึเปล่า??
A: สมาชิก ทุกคนในวงมีความสามารถเยอะทุกคนนะครับ โดยเฉพาะแดซองเค้ามีอารมณ์ขันและมีไหวพริบมากเลย ถึงแม้ว่าผมจะยังไม่อยู่ในฐานะที่จะไปตัดสินใครในเรื่องการแสดงได้ แต่ก็นั่นแหละฮะผมว่าผมเก่งที่สุดนะ (หัวเราะ) ตั้งแต่เป็นเด็กมาแล้วผมมักจะชอบดูหนังแต่ไ่ม่เคยคิดเลยว่าจะได้มาแสดงจริงๆ

หลังจากที่ได้ลองแสดงละครและภาพยนตร์แล้วผมพบว่าตัวเองยังมีข้อบกพร่องและ ยังมีส่วนที่ทำได้ไม่ดีอีกมาก ทำให้ผมต้องการที่จะพัฒนาในส่วนนี้ต่อไป เพราะผมไม่อยากที่จะยอมแพ้และจะพยายามทำให้ดีที่สุดครับ ดังนั้นการแสดงเลยกลายเป็นสิ่งที่ล้ำค่าและสำคัญพอๆกับเสียงเพลงสำหรับผมเลย หลังจากที่ปีที่แล้วผมได้รับรางวัล นักแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยม อาการเครียดและกดดันของผมก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผมคิดว่า "ผมคู่ควรกับรางวัลที่ได้รับมารึเปล่า?? " ซึ่งเหตุการณ์นั้นเป็นโอกาสที่ทำให้ผมกลายเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นสำหรับผมครับ

Q: เมื่อเร็วๆนี้ฉันเห็นรูปที่คุณไปมหาวิทยาลัยด้วย คุณเรียนปีอะไรแล้วค่ะเนี่ย??
A: ผมเรียนปีสุดท้ายแล้วละครับ ( ปี 4 ) ผมจำเป็นต้องทำธีซิสตัวจบในไม่ช้านี้แล้ว เป็นเพราะผมไม่ค่อยได้ไปมหาวิทยาลัยนานแล้ว วันนั้นที่ไปเลยไปเลี้ยงหมูย่างรุ่นน้องและเพื่อนร่วมชั้นครับ เราได้ดื่มโชจูลงไปด้วย ซึ่งผมสัญญากับพวกเค้าว่าจะกลับไปดู การแสดงตัวจบภาคเรียนของภาควิชา “Performing Arts and Drama” ให้ได้ แต่ก็เพิ่งคิดได้ว่าวันนั้นไปตรงกับวันงานคอนเสริต์ ครอบครัววายจีพอดี ทำให้ผมรู้สึกกังวัลเล็กๆนะครับว่าจะทำยังไงดี

Q: คุณมีแผนจะลองเล่นละครในแนวที่เหนือจริงบ้างไม๊ค่ะ??
A: หากมันเป็นอะไรที่ผมจะสามารถทำออกมาได้ผมก็ไม่ปิดกั้นตัวเองอยู่แล้วครับ ผมอยากที่จะลองแสดงในงานที่สามารถจะสร้างความประทับใจดีๆและติดอยู่ในความ ทรงจำของผู้คนจำวนมากได้ เหมือนกับการแสดงอะไรบางอย่างแบบสุดโต่ง ผมอยากจะเป็นนักแสดงที่สามารถรับบทที่แตกต่างไปจากตัวตนของตัวเองได้ครับ

Q: มันคงจะดีมากนะค่ะที่จะได้พบกับคุณอีกในฐานะเพื่อนร่วมงานที่ได้ทำงานร่วมกัน
A: คงเป็นเกียรติอย่างมากสำหรับผมที่จะได้ทำงานร่วมกับคุณครับ

ENG Trans: swaggalevel-1000.tumblr.com
Thai Translation by mew in mew mini museum

วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

TOP At Dankook University 14 Nov 2011


เมื่อวานทาบิไปโรงเรียนค่ะ นานๆไปโรงเรียนทีทำเอาชาวบ้านแตกตื่นกันไปหมดนะค่ะ
ลองนึกๆถ้าเราไปทานข้าวที่โรงอาหารแล้วเจอแบบนี้ คงเพ้ออะค่ะ >_<
ตามข่าวว่า ทาบิไปมหาวิทยาลัยคราวนี้เพื่อเป็นถ่ายวีดีโอโปรโมทมหาลัยนะค่ะ
ตอนเย็นเห็นไปทานข้าวและดื่มสังสรรค์กับเพื่อนๆที่มหาลัยด้วย
วันนี้มิวคิดว่าจะต้องมี Fanaccount รวมถึงคลิปออกมาเยอะมากแน่ๆ เตรียมตัวมาเก็บ
แต่กลับไม่ค่อยมีวีไอพีมาเล่าเลยค่ะ แถมรูปก็ออกมาเยอะทีเดียวเมื่อวานแหละค่ะ
แต่ก็ยังมีสาวจีนที่ไปเรียนที่ Dankook มาเล่าเหตุการณ์ให้ฟังคนนึง ก็ยังดีเนอะค่ะ

=======================

- สาวจีนคนนี้กว่าจะไปถึงที่โรงอาหารทาบิก็ทานข้าวไปได้เยอะแล้วละค่ะ แล้วก็มีคนมากมายไปมุงดูกันอยู่เต็ม คนที่นั่งร่วมโต๊ะ คือเพื่อนร่วมชั้นและอาจารย์นั่งตรงกันข้าม รวม 8 คน

-ระหว่างทานทาบิไม่ได้พูดอะไรกับใคร ก้มหน้าก้มตาจ้องแต่อาหารข้างหน้า พอทานหมดจึงสังเหตเห็นว่าในถาดตัวเองยังมีไข่เหลืออีกตั้ง 6 ชิ้น เลยทำการแบ่งให้กับอาจารย์และเพื่อนที่นั่งข้างๆ

-พอทานเสร็จ ก็เริ่มแอบๆมองไปรอบโต๊ะว่ามีใครบ้างยังไงบ้าง แบบอายๆ จากนั้นจึงเริ่มพูดคุยกับอาจารย์และเพื่อนผู้ชายที่นั่งข้างๆบ้าง ระหว่างนั้นก็มีคนมาขอลายเซ็นขอจับมือเยอะมากซึ่งทาบิก็จับมือกับทุกคนอย่างอบอุ่นและยิ้มเขินๆตลอดเวลา

-จากนั้น การ์ดก็มากันให้คนออกไป เพื่อที่ทาบิจะได้เดินออกไปได้ ซึ่งระหว่างนี้ คนก็เบียดกันชนโต๊ะ จนน้ำบนโต๊ะ กระเด็นมาทางทาบิ ทาบิกระโดดหลบแต่ก็ยังไม่พ้น น้ำกระเด็นไปเปื้อนกางเกง ทาบิจึงต้องเดินไปในมุมกระดาษทิชชูในโรงอาหารเพื่อเอากระดาษมาเช็ดกางเกง มีคนถามออกไปว่า เป็นอะไรไม๊?? ทาบิบอกไม่เป็นไรและยิ้มเขินๆต่อ

- ระหว่างทางที่จะเดินไปขึ้นรถ มีแต่คนมาขอถ่ายรูปด้วยเยอะมากๆๆ ถึงขั้นโกลาหลทาบิก็ยอมถ่ายแต่โดยดีค่ะ จากนั้นก็ขึ้นรถกลับไป

- ในวันนี้คนที่เห็นบอกว่าดูจากผิวแล้วทาบิดูซูบๆๆ และผอมไปมาก เวลาทานข้าวเหมือนอยู่ในโลกของตัวเอง มียิ้มเขินและตอนกระโดดหนีน้ำแฟนๆว่าน่ารักเหมือนเด็กๆ และตอนที่แอบๆมองว่ามีใครมามุงบ้างก็น่ารักเหมือนเด็กๆค่ะ แถมบอกด้วยว่ามือทาบินุ่มและอบอุ่น >_<

Fan account from 橘子blue13 @ Baidu (Chinese student in Dankook)

วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Intro สัมภาษณ์ Tabi จาก 1st Look magazine nov:2011


INTRO Interview TOP in 1st Look magazine november 2011

"ผมไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองเป็นคนเซ็กซี่ ผมคิดว่าผมเป็นคนน่ารักมากกว่านะ ว่าไม๊ฮะ?? (หัวเราะ) "
ถึงแม้ว่าคนที่อยู่บนเวทีกับคนที่ไม่อยู่บนเวทีคนนี้จะเป็นคนเดียวกันแต่บางครั้งผมจะกลายเป็นคนที่ผมอยากจะให้ตัวเองเป็นเวลาที่ร้องเพลงครับ"

ถึงแม้ว่าเค้าจะใช้เสน่ห์ของตัวเองเข้าควบคุมการแสดงบนเวทีซะอยู่หมัด และยังเล่นสนุกสนานกับเพื่อนๆสมาชิกในวงด้วยแง่มุมที่แสนซนในแบบของเค้า แต่เค้าก็เป็นคนที่มีความแตกต่างจากคนอื่นๆ เค้ามักจะสร้างความประทับใจให้คนอื่นเหมือนกับว่าเค้ากำลังลอยอยู่ในอากาศ เหมือนกับว่าเค้าไม่ได้อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงแบบเราๆ ผู้คนจะถูกเค้าฉุดให้หลงใหลไปกับสายตาของเค้าที่จ้องมองมาและวิธีที่เค้าแสดงท่าทางโดยอัติโนมัติ

"เป็นเพราะว่าผมมีความคิดมากมายละมั้งครับ?? จริงๆแล้วผมจะรู้สึกสบายผ่อนคลายที่สุดเมื่อผมอยู่คนเดียว แต่เป็นเพราะผมมักจะอยู่กับสมาชิกในวงบิกแบงตลอดเวลา เวลาที่เราทำงานกัน ไม่ก็ถูกแวดล้อมไปด้วยทีมงานมากมายเวลาที่ต้องถ่ายภาพยนตร์ ก่อนหน้านี้เมื่อต้องอยู่กับคนมากมายผมจะรู้สึกอึดอัดมากเลยครับ แต่ตอนนี้ผมทำใจให้สงบได้แล้ว และยอมรับมันได้แล้วในตอนนี้ "

บิกแบงเป็นวงดนตรีสำหรับสาธารณชน มันเป็นความจริงที่จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เราทำงานเพลงเพื่อทุกคนดังนั้นผมไม่สามารถที่จะคิดถึงแค่สิ่งที่ผมต้องการจะทำได้ มีบางเหตุการณ์ที่ผมรู้ว่าผมจำเป็นต้องยอม ผมเฝ้าบอกตัวเองแบบนั้น เช่นเดียวกับสมาชิกในวงคนอื่นๆก็เหมือนกัน เวลาที่เรามารวมกันเป็นวงแล้ว แม้ว่ารูปร่างหน้าตาของเราจะแตกต่างกันไปแต่เราก็ต้องร่วมมือกันเพื่อให้ทุกอย่างออกมาใช้ได้ มีบางส่วนบางตอนที่เราจะต้องทิ้งบุคคลิกส่วนตัวของเราออกไป

การทำงานเดี่ยวจะเป็นโอกาสให้ผมทำเพลงและแสดงออกแนวดนตรีที่เป็นตัวเอง ซึ่งในอัลบั้มยูนิตพิเศษ GDTOP จียงและผมต่างก็แสดงออกสิ่งที่เป็นตัวเองออกมา

ผมไม่คิดว่า การแสดงจะเป็นผลที่มาจากการจินตนาการและอารมณ์ ผมยังไม่สามารถที่จะนิยามออกมาได้ว่า การแสดงคืออะไร เพราะว่ามันคงจะเร็วไปสำหรับผมที่จะไปตีความมัน ผมยังคงประหม่ามากๆเมื่อต้องไปเข้ากล้องวันแรก เพราะยังมีอะไรมากมายที่ผมขาดไปในการทำงานในสาขานี้และมันทำให้ผมเป็นกังวลครับ

ในอนาคตผมยังคงอยากที่จะแสดงครับ ผมชอบมากจริงๆเวลาที่ผมกลายเป็นคนอีกคนนึง ผมคิดว่าผมคงเป็นคนที่อยากรู้อยากเห็นว่าตัวเองเป็นคนยังไงนะ แบบว่า " คนแบบไหนกันนะที่ผมจะสามารถแสดงออกให้คุณเห็นในคราวต่อไป??" ผมคิดว่าผมคงจะแสดงต่อไปเพราะผมมักจะมีความคิดแบบนี้ ผมกำลังตัดสินใจอยู่ครับว่าบทบาทแบบไหนที่ผมควรจะรับในการแสดงครั้งหน้า

ผมต้องการที่จะทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะได้กลายเป็นไอดอลในแบบที่ผมจินตนาการไว้ว่าอยากจะเป็นเมื่อตอนเด็กๆ นอกจากนี้ผมยังอยากจะเป็นคนที่สามารถส่งข้อความเรื่องความฝันและความหวังไปสู่วัยรุ่นได้อีกด้วย ผมรู้สึกถึงความกดดันที่ยิ่งใหญ่และความรับผิดชอบอย่างมากเมื่อรู้ว่าผู้คนต่างก็สนใจในตัวผมและความโด่งดังนี้ หากว่าข้อความเกี่ยวกับความฝันและความหวังต่างๆจะสามารถส่งผ่านทางผมไปถึงพวกเค้าเหล่านั้นได้มันคงเป็นเรื่องที่วิเศษมาก เวลาที่ผมไม่ได้ออกงานโปรโมทอัลบั้ม ผมมักจะพยายามหาภาพลักษณ์ใหม่ๆที่สมบูรณ์แบบเพื่อแสดงออกมาสู่สายตาผู้คน

ผมต้องการที่จะกลายเป็นคนที่ดีกว่าคนที่ผมเป็นเมื่อวาน ผมอยากจะเป็นคนที่ไม่มานั่งเสียใจไม่ว่าจะเรื่องอะไร การทำงานจะช่วยเติมเต็มประสบการณ์ที่ผมขาดไป

การที่สามารถได้เดินทางไปยังประเทศต่างๆและพบเจอวัฒนธรรมที่แตกต่างไปผ่านการทำงานและการพักผ่อนนั้นเป็นเรื่องที่ โชคดีมากครับ ผมต้องการที่จะใช้เวลาเหล่านี้ให้ดีๆเพื่อที่ว่าผมจะสามารถคิดไอเดียสร้างสรรค์ต่างๆออกมาได้ผ่านสภาพแวดล้อมที่ผ่อนคลายแบบนั้น

"ครั้งนึง ผมมีความใฝ่ฝันว่าผมจะสามารถใช้ชีวิตโดยที่ไม่มีปัญหาต่างๆแม้แต่นิดเดียว "

Source: 1st Look Magazine + 승뤼야님 + 永远一洋黑瓶酸荞头

Eng Translation: jwalkervip.tumblr.com

Thai Translation by mew in mini museum

===============

ยังเป็นแค่ intro นะค่ะ ตัวเต็มออกมาแล้วเหมือนกันแต่ยังไม่มีคนแปลค่ะ ได้ข่าวว่ายาวมากๆๆ เดี๋ยวถ้ามีออกมาเมื่อไหร่ค่อยว่ากันใหม่นะค่ะ วันนี้วันเิกิดทาบิด้วย Happy Birth Day ค๊า จุ๊บๆๆ

วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

บทสัมภาษณ์ แดซอง จาก Champyungan ( part2)


บทสัมภาษณ์น้องแดบทนี้ เป็นบทสัมภาษณ์เดียวกันกับอันข้างล่างนะค่ะ
อันข้างล่างเป็น งานแปลที่วีไอพีรวมตัวกันแปลออกมาก่อน ที่ AllKpop จะออกเวอร์ชั่นของตัวเองมา มิวอ่านดูแล้วเนื้อหาที่เหมือนกับข้างล่างมิวก็จะใช้เวอร์ชั่นที่วีไอพีแปลไปนะค่ะ แต่มีบางคำถามที่แฟนๆไม่ได้แปลออกมาเลย ในโพสนี้มิวเลยมาเพิ่มให้ค่ะ เวลาอ่านคำถามอาจจะไม่ค่อยประติดปะต่อนะค่ะ เพราะมิวมาแปลเก็บที่ แฟนๆทำตกไปค่ะ

======================

คุณมีความคิดยังไงครับในตอนที่คุณได้เข้าไปช่วยในการซ่อมแซมบูรณะโบสถ์??
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมได้เข้าไปทำงานแบบนี้ที่โบสถ์ครับ ผมได้กลายเป็นคนที่ยึดติดมุ่งมั่นกับโบสถ์ของเรามากขึ้นในตอนที่ผมทำงาน และหลังจากที่ได้หารือและลงมือทำไปแล้ว ผมรู้สึกขอบคุณมากๆที่ผมสามารถที่จะสรรเสริญพระเจ้าผ่านตึกที่สวยงามเหล่านั้น พูดตามตรงว่า ในตอนที่เค้าประกาศว่าทางโบสถ์จะทำการบูรณะตึกผมคิดว่าพวกเค้าคงจะต้องติดต่อมืออาชีพมาทำงานนี้แน่ๆ แต่ไม่ใช่เลยครับ ทั้งบาทหลวง ผู้ดูแลวัดและเออเดอร์ผู้สอนศาสนาต่างออกมาทำในสิ่งที่พวกเค้าทำได้ มันเป็นไปไม่ได้เลยครับที่คนหนุ่มสาวอย่างเราจะนิ่งดูดายยืนดูเฉยๆได้ มันเป็นเวลา 1เดือนครึ่งที่ผมทำงาน งานที่ดึงความสนใจของผมให้ออกห่างจากเหตุการณ์อุบัติเหตุ ผมคิดว่าพระเจ้าจะต้องยินดีกับการกระทำนี้ของผมและทุกอย่างก็ออกมาเป็นผลดีส่งผลถึงคนที่รักในพระองค์ท่าน

มันเป็นงานที่คุณไม่เคยทำมาก่อนแบบนี้ มันหนักไปสำหรับร่างกายของคุณรึเปล่าครับ??
เราไม่ได้ลงมือทำอะไรที่เรียกได้ว่าเป็นงานหนักเลยฮะ ส่วนใหญ่แล้วเราคนหนุ่มสาวจะคอยทำความสะอาดและทำการช่วยเหลือเป็นผู้ช่วย มันสนุกครับ ผมได้ทานอาหารอร่อยๆและมีช่วงเวลาดีๆกับเพื่อนๆในกลุ่มHepzibah ที่เรียนศาสนาด้วยกัน พวกเค้าถึงกับขนาดเลี้ยง หมูย่างพวกเราเพื่อเป็นการขอบคุณด้วยครับ มันเยี่ยมไปเลย

รู้สึกว่าคุณจะเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนเล็กน้อยนะครับ??

ผมมีเวลาที่จะพิจารณาทบทวนความศรัทธาของผมและ
ย้ำลึกในใจว่าความฝันของผมคืออะไรกันแน่ พระเจ้าได้มอบพรสวรรค์ในการร้องเพลงให้กับผม ให้ผมได้สรรเสริญพระองค์ผ่านเสียงของผม ผมอยากที่จะใช้เสียงนี้นำเอาความรุ่งโรจน์มาสู่พระองค์และในวงการนี้ยังมีผู้คนอีกมากที่ยังไม่รู้จักพระเจ้าที่ผมเข้าถึง ผมอยากที่จะใช้ข้อได้เปรียบนี้ให้เป็นประโยชน์ครับ

คุณรู้สึกว่าสมาชิกในโบสถ์มีท่าทีเปลี่ยนไปหลังจากเหตุการณ์อุบัติเหตุไม๊ครับ??
ครับ ก่อนหน้านี้พวกเค้าจะทักทายผมอย่างร่าเริงยินดี แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าภายใต้รอยยิ้มของพวกเค้า พวกเค้ามองผมเหมือนอยากจะบอกผมว่าพวกเค้าเข้าใจสถานการณ์ของผมนะ พวกเค้าอยากจะให้กำลังใจและปลอบใจผม พวกเค้าบอกกับผมว่าพวกเค้าได้สวดภาวนาเพื่อผมเยอะมาก ผมไม่รู้ว่าผมคิดไปคนเดียวหรือยังไงนะครับแต่ผมรู้สึกว่าเป็นที่รักกว่าแต่ก่อน

มีสมาชิกในกลุ่มศรัทธามากมายที่อาจจะกำลังภาวนาเพื่อคุณอยู่ ซึ่งการสวดภาวนานั้นเป็นสิ่งที่ทรงพลังมาก ซึ่งผู้คนที่อธิษฐานเหล่านี้คงเป็นเหมือนกับแหล่งพลังงานกลุ่มใหญ่สำหรับคุณเลยนะครับ
ผมคิดว่ามันมีเหตุผลเหมือนกันนะครับที่ทำไมผมถึงรู้สึกผ่อนคลายเวลาที่ได้อยู่ที่โบสถ์ เป็นเพราะว่าพวกเค้าต่างก็อธิษฐานเพื่อผมอย่างมาก ผมไม่รู้ว่าผมจะกลับมารู้สึกเหมือนเดิมได้อีกครั้งไม๊??ถ้าไม่มีกลุ่มผู้สวดภาวนาเหล่านั้น บางทีผมอาจจะต้องหาที่หลบภัยใหม่ที่ต่างออกไปเพื่อพักความคิดของตัวเองก็เป็นได้ แต่ผมรู้เมื่อได้เห็นสมาชิกในกลุ่มศรัทธาที่สวดภาวนาอย่างจริงใจเพื่อผม ผมรู้ว่านี่แหละเป็นพลังของการอธิษฐาน

ผู้คนที่ไม่ได้มีความศรัทธาพวกเค้าเชื่อว่าเราสามารถหาความสงบในใจของเราได้เองและพระองค์ไม่ได้มีตัวตนอยู่จริงๆ คุณรู้สึกจริงๆรึเปล่า??ที่ว่าพระเจ้าดำรงอยู่และช่วยคุณในสถานการณ์ของคุณ?? ครับ มากเลยครับ ในตอนที่คณะลูกขุนประกาศว่าผมไม่มีความผิดก็ด้วย เห็นได้ชัดเลยว่าพระเจ้าเข้ามาช่วยผม ผมได้เตรียมใจรับในทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นและจะเผชิญหน้ากับมันครับ แต่ทุกๆอย่างกลับออกมาในทางที่เป็นประโยชน์กับตัวผม ผมรู้ว่าพระเจ้าได้เข้าไปมีส่วนชักจูงใจของประชาชนที่เข้ามาเป็นคณะลูกขุนในครั้งนี้ครับ

คุณเปลี่ยนไปยังไงบ้างครับหลังจากที่คุณได้ศึกษาพระธรรมศัมภีร์ไบเบิล ??
ผมได้เรียนรู้ในทุกๆอย่างอย่างจริงจังเริ่มตั้งแต่ตอนต้น ผมเริ่มที่พระธรรม Genesis และอ่านเรื่องราวของอดัมกับอีฟ ผมได้เสี่ยงพาตัวเองอ่านลงลึกไปในรายละเอียดของพระธรรมคัมภีร์ ในภาค Old Testament (พระธรรมสัญญาภาคแรก จะเป็นเนื้อหาของการสร้างโลกก่อนที่พระเยซูจะถือกำเนิด) ผมจำได้ว่าในการสัมภาษณ์ครั้งก่อนคุณถามผมว่าผมรู้พระธรรมในภาค Old Testament มากน้อยแค่ไหน ผมตอบกลับไปว่า ภาคนี้มันยากที่จะทำการศึกษาดังนั้นผมจึงอ่านมันไปเพียงไม่กี่หน้าเท่านั้น แต่ในตอนนี้ผมถูกแนะนำให้พบกับแสงสว่างแสงใหม่ การศึกษาพระธรรมกับกลุ่มบาทหลวงเยาวชนมันไม่ได้ดูน่ากลัวและสนุกมากครับ มันยิ่งทำให้ผมมุ่งความสนใจไปยังการเทศนามากขึ้น ตอนนี้ผมมีความรู้เบื้องหลังติดตัวบ้างแล้ว ผมเชื่อมต่อสิ่งที่ฟังในการเทศนาเข้ากับสิ่งที่ผมอ่านเจอในไบเบิลและทุกอย่างก็ดูเข้าเค้ามากขึ้นในตอนนี้ แน่นอนว่าผมยังไม่สามารถเข้าใจในสิ่งที่เขียนในแต่ละหน้าอย่างถ่องแท้ทั้งหมด

ก่อนหน้านี้ ผมคิดว่า "โอเคโนอาลงมือสร้างเรือใช้เวลารวมกัน 120 ปี เจ๋งดีเนอะ อดัมและลามาร์สใช้เวลาอยู่ด้วยกัน 56 ปี โอเคจำได้แล้ว" แต่ตอนนี้ผมเข้าใจไปถึงว่ามันเกิดเพราะอะไรและเห็นความสำคัญของเรื่องราวชีวิตของพวกเค้า มันทำให้ผมตระหนักว่าผมจำเป็นต้องศึกษาพระธรรมคัมภีร์ให้มากขึ้น นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้นเองครับ


ทุกวันนี้คุณยังได้อ่านคัมภีร์ไบเบิลอยู่ไม๊ครับ??

อ่านครับ ผมกำลังอ่านพระธรรมสัญญาภาคแรก แต่ก็ยังไม่เชี่ยวชาญหรอกครับ

คุณดูจะเป็นแดซองที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงกับแดซองที่เราสัมภาษณ์ไปเมื่อปีที่แล้วนะครับ มีตอนไหนจากคำพูดในไบเบิลที่มักจะเข้ามาในใจของคุณในตอนที่ทุกอย่างมันดูสาหัสสำหรับคุณบ้างไม๊ครับ?

จาก Hymn ที่ 365 กล่าวว่า " จงลุกขึ้นด้วยความมั่นใจ" มันก้องกังวานเป็นพิเศษในใจผม ผมตระหนักว่าผมต้องการที่จะยืนหยัดด้วยตัวเองได้อีกครั้ง


คุณได้สวดภาวนาอธิษฐานบ้างไม๊ครับในทุกวันนี้??

ครับ เป็นการสวดอธิษฐานสั้นๆ เวลาโน่นทีเวลานี่ที ครั้งแรกคือตอนที่ผมตื่นนอน ในตอนที่ผมเดินออกไปข้างนอก ในตอนที่ผมขึ้นรถ และหลังจากที่ผมกลับจากโบสถ์ถึงบ้าน ก่อนจะเข้านอน ทำนองนี้ครับ


คุณได้อธิษฐานถึงอะไรในช่วงนี้ครับ??

ผมรู้สึกว่าตัวเองได้รับพระพรทางจิตวิญญาณผ่านการศึกษาพระธรรมไบเบิลครับ และผมรู้ว่าผมจะได้รับพระพรนี้ในไม่ช้าผ่านสายตาของตัวเอง ผมเฝ้าถามพระองค์ว่าท่านต้องการที่จะเปลี่ยนผมและใช้ผมในอาณาจักรของพระองค์หรือไม่ และผมก็อธิษฐานว่าผมจะไม่มีวันที่จะหมดศรัทธาและจะไม่มีทางหลุดไปจากความมุ่งมั่นในใจที่ผมมีในตอนนี้ ผมภาวนาว่าผมจะก้าวเดินไปพร้อมกับพระองค์ จะไม่เข้าไปเจอกับอะไรที่จะมาขัดขวางผมไม่ให้พบเจอกับสัจจะ ผมยังภาวนาให้ผมได้รับพระพรในการทำงานของผม ผมจะได้สามารถร้องเพลงด้วยความมั่นใจอีกครั้งและทำมันต่อไปได้


ปีนี้ก็เหลืออีกแค่ 3 เดือนแล้วละนะครับ คุณจะใช้เวลาที่เหลือนี้ยังไงครับ??
ผมวางแผนว่าจะใช้เวลาที่เหลือนี้พักผ่อนครับ ผมเป็นนักร้องและงานของผมคืองานเพลง แต่เวลานี้ไปจนถึงสิ้นปีผมต้องการที่จะมุ่งความสนใจไปที่โบสถ์ ผมเป็นหนึ่งในผู้นำกลุ่ม
Hepzibahที่ศึกษาพระธรรมด้วย ดังนั้นผมอยากจะตั้งใจทำในเรื่องนั้น

ผมรู้สึกยินดีที่ได้รับใช้โบสถ์ในหลายๆทาง และผมก็ภาวนาว่าผมจะสามารถจัดการทุกอย่างที่เข้้ามาในทางของผมได้เป็นอย่างดี และผมจะใช้ชีวิตด้วยพระธรรม เมื่อผมเข้าไปในโรงสวดหลัก ผมหัวเราะตัวเองที่เคยเข้ามาที่นี่และเอาแต่หลบหน้าหลบตา ไม่มีใครมองว่าผมเป็นคนดัง พวกเค้าเห็นผมเป็น พี่ชายคนนึง น้องชายคนนึง และเพื่อนคนนึงเท่านั้น


เพลงที่คุณร้องเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว มันวิเศษมากเลยครับ
มันเป็นครั้งแรกที่ผมร้องเพลงเพื่อการวิงวอนคนเดียวเดี่ยวๆครับ ผมรู้สึกประหม่ามาก ขาของผมไม่เคยสั่นเวลาขึ้นเวทีเลยนะครับ แต่อาทิตย์ที่แล้วมันสั่น มันเป็นความประหม่าในขั้นที่ผมไม่สามารถที่จะทำอะไรกับมันได้เลยครับ ผมรู้สึกประหม่ามากที่สุดตอนที่้ร้องท่อนอธิษฐาน มันเป็นอะไรที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิงกับการร้องเพลงบนเวทีคอนเสริต์ เนื้อเพลงนั้นโดนใจของผมมาก

มีอะไรที่คุณอยากจะพูดในตอนจบของบทสัมภาษณ์นี้ไม๊ครับ??

เมื่อคุณได้เสนอเรื่องว่าจะทำการสัมภาษณ์ผม ผมคิดไปถึงการสัมภาษณ์ที่ให้ไปเมื่อปีก่อนอย่างมาก ผมคิดถึงคำตอบที่ผมเคยตอบไปและรู้สึกอายมากเลยครับ ถ้าผมไม่ได้ผ่านอุปสรรคนี้และไม่ได้พบกับช่วงเวลาที่ลำบากสาหัสนี้ในชีวิต ผมอาจจะไม่ได้เข้ามาที่โบสถ์พร้อมกับความตั้งใจและศรัทธาท่วมท้นในใจถึงเพียงนี้ ผมรู้สึกขอบคุณมากๆในการเปลี่ยนแปลงนี้ครับ

การสัมภาษณ์นี้ทำขึ้นเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2011 หลังจากการสัมภาษณ์จบลงทางเราได้ไปค้นหาบทสัมภาษณ์ที่ได้ทำไว้เมื่อปีก่อน เราเจอว่าครั้งก่อนเราสัมภาษณ์เค้าในวันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม ซึ่งห่างจากการสัมภาษณ์ในครั้งนี้ 365 วันพอดี


พระเจ้าได้ปกป้องเค้าและสร้างความเชื่อให้เติบโตในตัวเค้าตลอดเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา เราจะเฝ้ารอ แดซองที่จะยิ่งเติบโตในความศรัทธาในอีก 365 วันต่อจากนี้ไป


Source & Image: Champyungan

Eng Translations from allkpop

Thai Translation by mew in mini museum

วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

สัมภาษณ์ แดซองจาก Champyungan

สัมภาษณ์ แดซอง จาก Champyunpan กับเรื่องราวหลังเกิดอุบัติเหตุ

พวกเราได้จัดการสัมภาษณ์กับแดซองครั้งนี้ขึ้นด้วยความระมัดระวัง หลังจากที่ได้เกิดอุบัติเหตุที่ชวนให้ตกใจเมื่อ 4 เดือนก่อน ไม่เพียงแต่เค้าได้หยุดกิจกรรมในวงการทุกอย่างอย่างกะทันหันเท่านั้นแต่เค้ายังไม่ต้องการให้สัมภาษณ์ใดๆกับสื่อด้วยเช่นกัน ภายใต้สถานการณ์แบบนั้น แดซองบอกกับเราว่า " ผมเชื่อว่าการที่ผมให้สัมภาษณ์กับทาง Champyungan ครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากการตัดสินใจของคนธรรมดาอย่างเราๆ แต่หากเมื่อพระเจ้าทรงเห็นชอบด้วยแล้วสิ่งที่จะต้องเกิดมันก็จะต้องเกิด หากเมื่อมันยังไม่ถึงเวลาที่ควรมันคงไม่เกิดขึ้นเช่นกัน เราไม่จำเป็นที่จะต้องยืนหยัดพยายามทำอะไรมากไปหรอกครับ "

และไม่กี่วันต่อมา เราก็ได้รับคำตอบตกลงว่าคำขอสัมภาษณ์ที่เราเสนอไปนั้นสำเร็จผล
ในวันที่ 2 ตุลาคม 2011 หลังจากที่เสร็จสิ้นการสวดภาวนา 2 ครั้ง เราก็พบ คัง แด ซอง

1) เราได้เคยสัมภาษณ์คุณมาก่อนเมื่อปีที่แล้ว แต่หลังจากนั้นมีเรื่องมากมายเกิดขึ้น ในตอนนี้คุณเป็นยังไงบ้างครับ??
Dae: โดยปกติแล้วผมใช้เวลาของผมอยู่ที่โบสถ์ครับ ทั่วไปแล้วผมก็อยู่ช่วยงานที่โบสถ์ไม่ก็ที่กลุ่มเยาวชน Hepzibah จากนั้นผมก็จะไปที่กลุ่ม Commission ต่อ

2) คุณได้ทำงานช่วยเหลือมากมายและเป็นเพราะทุ่มเทเวลาและความพยายามมากมายที่โบสถ์ มันทำให้คุณรู้สึกยังไงบ้างครับ ??
Dae: หลังจากที่เกิดอุบัติเหตุมีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นและมันก็น่าเหนื่อยล้าอย่างมากถึงขนาดที่ผมมีความคิดที่ว่า " หากผู้คนไม่เชื่อใจในตัวผม ผมก็ไม่รู้จริงๆว่าผมอาจจะตัดสินใจทำเรื่องโง่ๆอะไรลงไปก็ได้" หลังจากที่ผ่านวันอันแสนจะเหนื่อยล้าไปได้ 3-4 วันผมก็ต้องการที่จะพบกับเออเดอร์ผู้ที่เป็นคนคอยสอนศาสนาที่โบสถ์ของผม ผมได้ถามคุณพ่อบาทหลวงว่าจะเป็นไปได้ไม๊ที่ผมจะเข้าพบเออเดอร์ซึ่งผมก็ได้รับคำตอบในแง่บวกกลับมา หลังจากที่ได้พบกับเออเดอร์แล้วผมรู้สึกสงบลงและเค้าก็ให้คำพูดที่ช่วยปลอบใจผมได้อย่างมาก คำพูดของเค้าทำให้ใจของผมสงบและตั้งแต่นั้นมาโบสถ์ก็เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของผมครับ มันเป็นสถานที่เดียวที่ผมจะสามารถหาความสงบสุขมาสู่จิตใจของผมได้

3. "หากผมไม่ได้รับความไว้ใจจากคนอื่น ผมอาจจะทำเรื่องโง่ๆลงไปก็ได้" หมายความว่ายังไงครับ??
Dae: มีศิลปินมากมายที่ตัดสินใจฆ่าตัวตายใช่ไม๊ครับ?? ผมเข้าใจความรู้สึกของพวกเค้านะครับเพราะมันย่อมต้องมีเหตุผลในการที่พวกศิลปินเหล่านั้นตัดสินใจฆ่าตัวตาย ถึงแม้ว่าผมจะไม่มีความคิดที่จะฆ่าตัวตายแต่ผมคิดว่าหากผมไม่ได้รับความเชื่อใจจากผู้คนผมอาจจะหักเหเดินไปใช้เส้นทางสู่การฆ่าตัวตายได้ ดังนั้นผมคงต้องขอบคุณพลังในการอธิษฐานผมต้องขอขอบคุณที่เชื่อใจในตัวผม คอมเม้นซ์เหล่านั้นมันทำร้ายจิตใจผมมากๆ ถ้อยคำเหล่านั้นมันทำให้ผมรู้สึกอ่อนล้า มีครั้งนึงมีคนแปลกหน้านำป้ายที่มีคำว่า "ฆาตกร" มายืนชูอยู่หน้าโบสถ์ สิ่งที่ผมคิดคือ ผู้คนใช้คำว่า "ฆาตกร" มาตีตราผม



4. ตราบใดที่คุณอยู่ในโบสถ์ทุกอย่างจะไม่เป็นไร นี่คือสิ่งที่คุณคิดใช่ไม๊ครับ?
Dae: แน่นอนครับ เพราะมีกลุ่มคนที่เห็นเหตุการณ์และเป็นพยานในเหตุการณ์อุบัติเหตุครั้งนั้น ผมไม่สามารถที่จะอยู่อย่างสงบได้ แต่ผมได้รับความสุขสงบในใจกลับมาเมื่อผมอยู่ที่โบสถ์ ในทางตรงกันข้ามผมรู้สึกกระวนกระวายมากเมื่ออยู่ที่หอพัก ในตอนนั้นผมไม่สามารถที่จะทานอะไรได้เลยแต่เมื่ออยู่ที่โบสถ์ผมทำได้ เพราะที่โบสถ์นั้นมีการงานที่จะต้องทำให้เสร็จ ดังนั้นในขณะที่ผมทำงานผมก็ไม่ได้คิดอะไรในแง่ลบ

5. สำหรับคนที่ไม่เชื่อกับคำพูดที่ว่า " การได้ไปโบสถ์จะทำให้จิตใจของคุณสงบลง" คงพูดว่ามันจะได้ผลจริงเหรอ??ทำไมการไปโบสถ์จะทำให้ใจสงบลงได้ละ??
Dae: พวกเราต่างก็เป็นศรัทธาที่โบสถ์ดังนั้นเราจะสามารถเข้าใจความหมายของมันได้ครับ สำหรับผมถ้าเทียบกับที่บ้าน การมาอยู่ที่โบสถ์ทำให้ใจของผมสงบมากกว่า ผมได้อ่านบทความที่ว่าผมได้รับความสงบในใจได้ที่โบสถ์ ผู้คนต่างก็คิดแง่บวกเกี่ยวกับเรื่องนี้และให้คอมเม้นซ์ดีๆในเรื่องนี้มามากเช่นกันครับ

6. คุณใช้เวลาในช่วง 3-4 วันหลังจากที่เกิดอุบัติเหตุยังไงครับ??
Dae: มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยสำหรับผมที่จะก้าวเท้าออกจากห้องครับ ผมรู้สึกผิดมากๆๆ เหตุการณ์ตอนที่เกิดอุบัติเหตุนั้นมันปรากฏอยู่เสมอในใจของผม เวลาที่ผมอยู่ที่หอพักคนเดียวผมมักจะคิดถึงแต่เรื่องแย่ๆ และผมก็เอาแต่คิดแบบนั้นทั้งวันทั้งคืนครับ

7. อะไรอีกครับที่คุณคิดในช่วงเวลานั้น??
Dae: ม่ว่ามันจะเป็นยังไง ผมคิดว่ามันเป็นความผิดของผมครับดังนั้นผมจึงรู้สึกเสียใจมากๆต่อเค้า (ผู้เสียชีวิต) และผมก็อธิษฐานเยอะมาก แต่เมื่อผมอธิษฐานผมก็จะย้อนกลับไปนึกถึงช่วงเวลาที่เกิดขึ้นในอุบัติเหตุอีกทำใ้ห้ไม่สามารถที่จะอธิษฐานต่อไปได้ ทำได้แค่ในช่วงเริ่มเท่านั้น หลังจากที่ผมเริ่มภาวนา ผมจะพูด "ขอโทษนะครับ" จากนั้นก็ไม่สามารถที่จะภาวนาต่อพระเจ้าต่อไปได้ ในเวลา 20 นาทีผมเอาแต่พูดคำว่า ผมเสียใจ ผมขอโทษ และเริ่มที่จะร้องไห้

8.ทำไมคุณถึงรู้สึกเสียใจละครับ?
Dae: อย่างแรกเลยผมรู้สึกเสียใจกับผู้เสียชีวิต บริษัทของผมและสมาชิกในวงครับ นอกจากนี้พอผมมาคิดแล้วผมรู้สึกว่าโบสถ์ของเราก็อาจจะโดนกระทบด้วยเช่นกันผมไม่เพียงแต่ทำให้โบสถ์ต้องมาเจออิทธิพลที่แย่ๆแต่ทางโบสถ์ก็ยังต้องทนรับกับคำวิจารณ์แย่ๆอีกด้วย ผมรู้สึกเสียใจมากๆ ผมรู้สึกเสียใจต่อพ่อแม่ของผมและต่อพ่อแม่ของผู้เสียชีวิตด้วยครับ

9. หลังจากเหตุการณ์อุบัติเหตุิคุณได้ไปร่วมงานศพของเค้าด้วย ผมคิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยใช่ไม๊ครับ?
Dae: แม้ว่ามันจะลำบากมากแต่ผมคิดว่าผมจำเป็นที่จะต้องไปครับ ไม่ว่ายังไงก็ตามแต่ผมก็มีส่วนในเรื่องนี้ด้วย ผมรู้สึกเบื่อกับความเศร้าใจอย่างมากที่มันฝังอยู่ในใจดังนั้นผมคิดว่าผมจำเป็นที่จะต้องไปร่วมงานให้ได้ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นเรื่องที่ยากมากที่จะก้าวเท้าเข้าไปในงานศพของเค้าครับและผมต้องพบกับสมาชิกในครอบครัวของเค้าแบบเผชิญหน้ากันตรงๆอีกด้วย แต่เหนือความคาดหมาย สมาชิกในครอบครัวของเค้าต่างก็ปลอบโยนผม

10. พวกเค้าพูดอะไรบ้างครับ?
Dae: พวกเค้าคงรู้สึกโกรธผมมากในตอนนั้นแต่หลังจากที่ได้คุยกันแล้ว พวกเค้าพูดว่า " เรื่องมันก็เกิดขึ้นมาจนเป็นแบบนี้แล้ว ในอนาคตเราควรที่จะเฝ้าถนอมและใช้ชีวิตของเราให้จริงจังมากขึ้น ฉันหวังว่าถ้าเราต้องมาพบกันอีกครั้ง ขอให้มาเจอกันเพราะเรื่องดีๆแสนวิเศษก็แล้ว กันนะ"คุณป้าของเค้าบอกกับผมว่าคุณพ่อคุณแม่ของผู้ตายก็ป่วยมากๆในตอนนั้น คุณป้าของเค้านับถือศาสนาคริสต์และได้เข้ามาพูดคุยกับผมครับและเพราะเธอเป็นชาวคริสต์ หลังจากที่ได้อธิษฐานกับพระเจ้า เธอคิดว่าเธอควรจะให้อภัยผม

11.เวลาที่คนเราเจอเหตุการณ์แบบนี้มักจะตัดพ้อว่า ทำไมเหตุการณ์แบบนี้ต้องมาเจอกับเราด้วย "ทำไมต้องเป็นเรา" คุณคิดว่ายังไงครับ??
Dae: ในเวลานั้นผมไม่ได้ใส่ใจอะไรมากครับและไม่สามารถที่จะมานั่งคิดว่าทำไมเรื่องแบบนี้ถึงมาเกิดขึ้นกับผมจนกระทั่งตอนนี้ เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อเหตุการณ์มันเข้าใกล้ตอนจบเข้าทุกทีๆในเวลาที่ผมพักผ่อนผมจะฉวยโอกาสนั้นอ่านไบเบิลสองสามบทและใช้เวลาทบทวนหลักความเชื่อในใจของตัวเอง ผมคิดว่าเป็นเพราะพระเจ้าต้องการที่จะประทานเวลามาให้ผมได้ทำเรื่องแบบนั้น ดังนั้นท่านจึงจัดแจงให้เหตุการณ์แบบนี้มาเกิดขึ้นกับผมครับ

12. คุณเคยทำงานเป็นคนดังมาเป็นเวลายาวนาน ในตอนนี้ต้องหยุดชะงักงานทุกอย่างไว้หลายเดือนทีเดียว คุณรู้สึกเบื่อบ้างรึเปล่า??

Dae: ผมอยากที่จะร้องเพลงครับแต่ผมไม่มีความมั่นใจที่จะทำงานด้วยรอยยิ้มที่มีความสุขได้ในตอนนี้ผมไม่เบื่อที่จะเปิดเผยให้คุณรู้ว่าจริงๆแล้วผมรู้สึกยังไงในตอนนี้ จนถึงตอนนี้ผมยังคงคิดว่าเวลาที่ผมได้ใช้ไปที่โบสถ์เป็นเวลาที่ดีที่สุด จากบ้านไปโบสถ์ จากโบสถ์กลับบ้าน ผมคิดว่าวงจรนี้เป็นทางที่ดีที่สุดสำหรับผม

13. แล้วตอนนี้คุณรู้สึกยังไงครับ??
Dae: พอเวลาผ่านไปผมไม่รู้สึกกระวนกระวายอีกต่อไปแล้วเพระผมรู้ว่าผมมีพรสวรรค์และมีภารกิจที่จะต้องทำให้ลุล่วงไป ในตอนนี้ผมกำลังทำตัวเองให้พร้อมที่จะเริ่มก้าวเดินต่อเนื่องในการเดินทางของผมอีกครั้งครับ

14. เกี่ยวกับ "ภารกิจที่จะต้องทำให้ลุล่วง" คุณยังคงยึดถือความเชื่อเดิมที่คุณมีก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุรึเปล่าครับ??
Dae:อุบัติเหตุครั้งนี้ได้หยิบยื่นเวลามาให้ผมได้คิดสะท้อนทบทวนหลักความเชื่อในใจของผมและในตอนนี้ผมยิ่งมั่นใจมากขึ้นไปอีกในสิ่งที่ผมเชื่อ ผมได้รับคำชื่นชมก็เพราะเสียงของผมและผมได้รับพรสวรรค์มาในเรื่องนี้ มันเป็นความปิติยินดีมากที่ผมได้รับพรสวรรค์นี้มา นอกจากนี้อาชีพของผมยังทำให้ผมสามารถเผยแพร่ความเชื่อนี้ออกไปได้ในทุกๆที่ ผมต้องการจะใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ให้มากที่สุดครับ

15. หลังจากที่เกิดอุบัติเหตุ เออเดอร์สอนศาสนาที่โบสถ์ได้ช่วยเหลือคุณ ตอนนี้ยังคงได้พบกันอีกไม๊ครับ??
Dae: ครับ เราเจอกันบ่อยเลยละครับช่วงนี้ ผมจะปรึกษาเรื่องต่างๆกับเค้าไม่ว่าจะเป็นเรื่องเ็ล็กหรือเรื่องใหญ่ หลังจากเกิดอุบัติเหตุ ผมจะอธิษฐานก่อนที่จะกำหนดลมหายใจและทำงานตามตารางงาน จริงๆแล้วสมาชิกในวงบิกแบงกำลังที่จะเดินทางไปเที่ยวกันในวันถัดจากที่เกิดอุบัติเหตุขึ้น และมันก็เป็นทริปที่เราจะไปเที่ยวกัเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เราคัมแบคมาครับ หลังจากที่เกิดเหตุการณ์นั้นผมมาพบว่าตัวเองไม่ได้สวดภาวนาต่อพระเจ้าก่อนที่จะตัดสินใจไปเที่ยวกัน ไม่เพียงแต่เรื่องทริปนี้เท่านั้นแต่เรื่องหลักๆที่ใช้ในสถานการณ์ทั้งหมดด้วย มันจึงทำให้ผมคิดว่าเรื่องมันเกิดขึ้นจากความผิดของผม

16. มันเป็นเรื่องดีจริงๆนะครับที่คุณมีความเชื่อและตั้งใจแบบนั้น คุณขอบคุณพระเจ้า้ด้วยไม๊ครับที่ทำให้คุณตั้งใจแบบนี้ได้??
Dae: ผมขอบคุณพระเจ้ามากๆครับ ถ้าไม่มีอุบัติเหตุครั้งนี้ผมคงเอาแต่ก้าวไปข้างหน้าในทางโลก แต่ไม่มีโอกาสที่จะเข้าใจและได้เริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างหมดจดแบบนี้ ผมได้รับโอกาสที่จะมานั่งคิดสะท้อนในสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวผมเองในช่วงที่เกิดเหตุการณ์นั้น หลังจากที่คิดไตร่ตรองสะท้อนดูแล้ว ผมเข้าใจว่าทำไมผมถึงต้องมามีประสบการณ์แบบนี้ในตอนนี้ ผมขอบคุณพระเจ้าที่ประทานโอกาสนี้มาให้ผม ในขณะเดียวกัน ผมก็จะคอยเตือนตัวเองว่าผมควรจะต้องมีสติกับทุกสิ่งทุกอย่าง

17. เวลาที่คุณรู้สึกเหนื่อย คุณพ่อคุณแม่ของคุณได้พูดอะไรกับคุณครับ??
Dae: พวกเค้าจะบอกว่า " ไม่ต้องห่วงนะ" ตอนที่ผมอยู่ที่หอพักคนเดียวในช่วง 3-4 วันแรกคุณแม่ได้มาเยี่ยมผมครับ แต่ตอนนั้นผมไม่ต้องการที่จะเจอใครเลยจริงๆดังนั้นคุณแม่จึงโมโหผมมาก พวกเค้าต่างยอมรับผมในทุกๆอย่างและสนับสนุนผมมาโดยตลอดจนถึงตอนนี้ ผมรู้สึกว่าผมเป็นหนี้พวกเค้ามากมายและรู้สึกขอบคุณมากๆที่มีพวกเค้าอยู่ข้างๆผม พวกเค้าจะโมโหผมถ้าผมทำตัวไม่มีเหตุผลครับ

18. ผมได้ยินมาว่าคุณชวนจีดราก้อนให้มาโบสถ์กับคุณเหรอครับ??
Dae: ผมคิดว่าเป็นเพราะผมนะครับเค้าถึงไปโบสถ์ พี่จียงได้บอกกับพี่ผู้จัดการว่าอยากจะมาที่โบสถ์ครับ ตามปกติแล้วพี่เค้าจะไปอีกโบสถ์นึงครับและก็นานมากแล้วที่พี่เค้าไม่ได้เข้าโบสถ์ แต่ว่า ผมเองแหละฮะที่ชวนพี่เค้าให้กลับเข้าโบสถ์อีกครั้งแต่พี่เค้าบอกว่า มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเหนื่อยในการที่จะต้องไปโบสถ์หลังจากที่ทำงานตามตารางงานเหนื่อยมา ดังนั้นผมเลยคิดหาวิธีว่าจะทำยังไงให้พี่เค้าผ่อนคลายและกลับมาเข้าโบสถ์อีกครั้ง จากนั้นผมก็เริ่มชวนเค้าครับ จริงๆมันเป็นเวลาที่เราไม่ได้รับอนุญาติให้เข้าไปอธิษฐานในเวลานั้นครับแต่ทางโบสถ์ก็อนุญาติให้เราเข้าไป

19. งั้นคุณก็สนิทกันแล้วสิครับ??
Dae: พวกเราทั้ง 5 คนต่างก็สนิทกันมากครับ แต่เป็นเพราะพี่จียงเป็นหัวหน้าวง เค้าสามารถที่จะเข้าใจสถานการณ์ของผมได้ง่ายกว่าเท่านั้นเองครับ

20. แล้วทำไมเค้าถึงไปที่โบสถ์ของคุณละครับ??
Dae: ครับ ผมมักจะไปโบสถ์คนเดียว ถ้าไม่อยู่ที่หอพักผมก็จะไปโบสถ์ บางทีพี่เค้าอาจจะสงสัยอยากรู้ว่าโบสถ์แบบไหนกันนะที่ผมไป นักแต่งเพลงที่บริษัทผมก็ไปโบสถ์เดียวกับผมนะครับบางทีพี่เค้าอาจจะได้รับอิทธิพลมาจากพวกนักแต่งเพลงด้วยก็ได้ครับตอนที่พี่จียงมาที่โบสถ์ผมกำลังอ่านไบเบิลและโบสถ์ก็กำลังซ่อมปรับปรุงอยู่ พี่เค้าบอกว่าไม่เป็นไร จากนั้นเราก็หัวเราะกันใหญ่

ผมไม่เคยคิดว่าพี่เค้าจะมาและสิ่งที่เราจะต้องร้องในตอนนั้นคือ เพลง ‘I love Jesus’.ในตอนที่ผู้สอนศาสนากำลังเทศน์สอนผมเอาแต่จดโน้ตย่อๆอย่างเอาเป็นเอาตาย พี่จียงที่นั่งข้างๆผมกระซิบว่า " ฉันได้ยินไม่ค่อยชัดเลยในสิ่งที่เค้าพูด" ดังนั้นผมจึงได้อธิบายเรื่องราวบางตอนให้พี่เค้าฟัง หลังจากได้ฟังเทศน์ พี่เค้ารู้สึกว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ดี ทำให้พี่เค้ากลับมาที่โบสถ์ในครั้งต่อไปและได้พูดคุยกับผู้สอนศาสนาด้วย ในระหว่างทางกลับบ้าน ผมถามพี่เค้าว่าเค้ารู้สึกยังไงบ้าง พี่เค้าบอกว่า เวลาที่ได้มองลึกลงไปในตาของผู้สอนศาสนา มันเหมือนกับว่ากำลังมองรุ่นพี่ที่เค้ารู้ว่าเรารู้สึกยังไง ซึ่งมันให้ความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมมาก

Korean source: Champyungan
Chinese translation: 咚咚噗 @BBCN via Baidu
English translation: rnosel@twitter and Rice @bigbangupdates
Thai Translation by mew in mew mini museum


ความรู้สึก YB ในการร่วมงานกับ Tablo ใน "Tomorrow"

สัมภาษณ์ YB เกี่ยวกับการทำงานร่วมกับ Tablo เป็นครั้งแรก

Q: ไปยังมาไงถึงได้มาร่วม featuring กับทาโบลในเพลงโปรโมท อัลบั้มPart2 เพลงtomorrow ในครั้งนี้ค่ะ??
TY: เพลงนี้เป็นเพลงแรกที่บันทึกเสียงกันในวันแรกเลยที่พี่ทาโบลมาที่ YG ฮะ พี่เค้าให้ผมฟังเพลงนี้ก่อนและแนะนำว่ามันจะเยี่ยมไปเลยถ้าผมจะมา featuring ด้วย และผมก็ชอบเพลงนี้มากเราเลยเริ่มทำงานบันทึกเสียงกันทันทีในวันนั้นแหละฮะ

Q: คุณรู้จักคุ้นเคยกับทาโบลมาก่อนไม๊ค่ะ??
TY: ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เราทำงานเพลงร่วมกันครับ แต่ผมทราบมาว่าพี่เค้าพูดถึงผมบ้างตามรายการต่างๆ ในตอนที่พี่เค้าทำงานในนาม EpikHigh และผมก็ชอบ Epik high มากๆๆเหมือนกัน ผมรู้สึกดีใจมากๆที่เราอยู่บริษัทเดียวกันแล้วในตอนนี้

Q: คุณจะช่วยเล่าความหมายเพลง Tomorrow ให้เราฟังแบบคร่าวๆได้ไม๊ค่ะ??
TY: เพลง“Tomorrow” เป็นเพลงที่เกี่ยวกับการคร่ำครวญกับการจากลากับคนรัก โดยพร้ำเพ้อว่า " มันไม่มีวันพรุ่งนี้"จนกว่าเธอจะกลับมา ไม่สามารถที่จะก้าวต่อไปได้ ได้แต่รอคอยการกลับมาของเธอคนนั้น

Q: ตอนนี้การทำงานในเพลงนี้ก็เสร็จสมบูรณ์แล้ว คุณได้วางแผนที่จะขอให้ ทาโบลมา featuring กับคุณในอัลบั้มใหม่ของตัวเองรึเปล่า??
TY: ผมไม่สามารถที่จะพูดในรายละเอียดเจาะจงลงไปได้ในตอนนี้ แต่ผมได้ทำงานมากมายร่วมกับพี่ทาโบลในงานโซโล่ของผมที่ผมกำลังเตรียมการอยู่ในตอนนี้ครับ เราทำงานกันอย่างหนักเพื่อจะผลิตงานดีๆออกมา ยังไงก็ช่วยรอคอยมันด้วยนะครับ

Q: สุดท้ายนี้มีอะไรอยากจะฝากไม๊ค่ะ??
TY: อัลบั้มเดี่ยวอัลบั้มแรกของพี่ทาโบลออกมาแล้วนะครับ ผมก็ฟังมันทุกวันเลยนะครับ มันเป็นอัลบั้มที่เต็มไปด้วยเพลงที่ยอดเยี่ยมทั้งนั้น พี่ทาโบลกลับมาพร้อมกับเพลงดีๆแบบนี้ หลังจากที่หายไปนาน ผมหวังมากๆว่าทุกคนจะสนับสนุนพี่เค้าด้วยนะครับ ยังไงอย่าลืมฟังเพลง Tomorrow ที่ผมไปร่วมร้องด้วยนะครับ ขอบคุณครับ

( จาก Mnet)

Q: ครั้งนี้เป็นการร่วมงานกับทาโบลเป็นครั้งแรกของคุณที่ใครๆต่างก็ตั้งหน้าตั้งตารอ ไปยังไงมายังไงถึงได้มาร่วมงานกันได้ค่ะ??
TY: จริงๆการทำงานร่วมกันในเพลง tomorrow ครั้งนี้เป็นอะไรที่เกิดขึ้นกะทันหันมากครับ วันแรกที่พี่ทาโบลมาที่วายจี ผมก็อยู่ที่สตูดิโอเหมือนทุกๆวัน พี่เค้าให้ผมฟังเพลงและแนะนำว่าถ้าผมได้ featuring ในเพลงนี้จะดีมากเลย มันเป็นเพลงที่ดีมากๆ ผมคิดว่ามันเป็นโปรเจคที่เยี่ยมไปเลย ดังนั้นผมเลยบันทึกเสียงทันทีเลยครับ

Q: ความรู้สึกแรกที่คุณรู้สึกหลังจากที่ได้ฟังเพลง tomorrow ครั้งแรกเป็นยังไงบ้างค่ะ?? และคุณใช้อารมณ์แบบไหนในการร้องเพลงนี้ ??
TY: ข้อความที่ผมได้จากเพลงนี้คือ มันเป็นความสิ้นหวังที่ว่า "มันไม่มีวันพรุ่งนี้สำหรับฉันถ้าไม่มีเธอ" ผมพยายามที่จะบรรยายความรู้สึกนี้ออกมาฮะ

Q: งานในรูปแบบไหนที่คุณจะมีโอกาสร่วมทำกับทาโบลอีกต่อจากนี้ไป ?
TY: ผมได้ทำงานหลากหลายแนวทางกับพี่ทาโบลในอัลบั้มโซโล่ของผมนะครับ ซึ่งผมได้ใช้เวลาเตรียมการมาตั้งแต่ช่วงกลางๆปีแล้ว แต่ผมยังไม่สามารถบอกในรายละเอียดได้ แต่ว่าเราได้พูดคุยแบ่งปันความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องของดนตรีกันมากเลย ในด้านของเสียงเพลงแล้วผมคิดว่ามันเป็นความสัมพันธ์ที่มีค่าและสำคัญมากๆ สำหรับผมเลยละครับ

( จาก Cyworld)



“ตั้งแต่ผมได้ฟังเพลง “Look At Only Me,” ผมฝันว่าจะได้ทำงานร่วมกับเค้าในเพลงที่ผมแต่งขึ้นมาเอง ผมรู้สึกประหลาดใจมากและรู้สึกขอบคุณ และมีความสุขมาก เมื่อได้ยินเสียงที่ผมชอบมาร้องเนื้อเพลงมาร้องทำนองในเพลงที่ผมเขียนขึ้นมา ผมรู้สึกว่าผมได้เรียนรู้อะไรมากมายในการทำงานร่วมกับยองเบ

นอกเหนือจากอะไรทั้งหมด วิธีที่เค้าสละเวลาจากตารางงานของเค้ามาบันทึกเสียงซ้ำทั้งๆที่ผมบอกเค้าว่า "โอเคแล้ว" มันเป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบมาก วิธีที่เค้าทำเหมือนกับว่าเพลงนี้เป็นเพลงของเค้าเองคือทำงานเพื่อความสมบูรณ์แบบเท่านั้น และวิธีที่เค้ามีความรู้สึกที่ บริสุทธิ์ ความรักหลงใหลเหมือนเด็กที่มีความสุขในทุกขั้นตอนในการทำงานเพลง ผมรู้สึกตื้นตันใจมากจนถึงจุดที่รู้สึกอายเมื่อคิดย้อนกลับไปในตอนที่ตัวเองรู้สึกเหลิงและเวลาที่ขี้เกียจครับ"

-----------------

Eng Translations by SYLVIA @ ALWAYSTAEYANG
Thai Traslation by mew in mini museum
-----------------