วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

Numero Talk Vol:29 กับแดซอง กุมภาพันธ์ 2017


"Talk" คือช่วงที่เราจะสัมภาษณ์พูดคุยกับนักแสดงชื่อดัง ศิลปิน และผู้สร้างสรรค์งาน 
ในหัวข้อ "on and off" ในเล่มที่ 29 นี้เราได้พูดคุยกับนักร้องและสมาชิกวงบิกแบง แดซอง 

เป็นเวลากว่า 10 ปีมาแล้ว บิกแบงได้เติบโตกลายเป็นวงที่มีความโด่งดังในระดับโลก ซึ่งในปีนี้เป็นปีที่ครบรอบพอดี แดซองในฐานะนักร้องนำประจำวงที่โปรยเสน่ห์ให้แฟนๆหลงใหลจากรอยยิ้มที่สดใส ได้เริ่มกิจกรรมในฐานะนักร้องเดี่ยวอีกครั้งหลังจากที่ห่างหายไป 2 ปี เค้ากำลังจะเปิดตัวอัลบั้มเดี่ยวที่มีเพลงที่เพิ่มความเร็วของจังหวะขึ้นมาอีกนิดและสามารถทำให้อารมณ์ดีขึ้นได้มาก และกำลังจะเริ่มการทัวร์คอนเสริต์ตามโดมต่างๆอีกด้วย 

ในวันนี้เค้าได้มาร่วมแบ่งปันความรู้สึกของเค้าในตอนนี้และความคิดของเค้าเกี่ยวกับงานดนตรีกับเรา

Numero:ก่อนอื่นเลยช่วยพูดถึง มินิอัลบั้มชุดใหม่ D-Day หลังจากที่เว้นไปกว่า2ปีของคุณหน่อยค่ะ คุณว่าอัลบั้มชุดนี้มีความพิเศษยังไงบ้างคะ?
Daesung: ถ้าจะเปรียบเทียบกับอัลบั้มชุดที่แล้ว D's Love สิ่งที่ผมเพิ่มเข้าไปคือแนวดนตรีที่เติบโตขึ้นครับ D-Day จะช่วยดึงอารมณ์ของทุกคนให้สดใสขึ้น เพลงที่มีความสดชื่นจะเข้ากับฤดูที่กำลังเริ่มที่จะอบอุ่นขึ้นได้เป็นอย่างดี ผมร่วมสร้างสรรค์เพลงกับศิลปินที่ผมชื่นชอบมากๆและฟังเพลงของพวกเค้ามาเยอะเลยละครับในอัลบั้มชุดนี้ 

Numero: คุณหมายถึงศิลปินอย่าง Yoshiki Mizuno จาก Ikimono Gakari , Motohiro Hata และ Ayaka อะไรที่เป็นตัวนำให้คุณขอให้ศิลปินที่เป็นตัวแทนของดนตรี pop ของญี่ปุ่นในตอนนี้เหล่านี้มาเขียนเพลงให้คุณคะ
Daesung:ตั้งแต่ที่ผมหยิบเอาเพลงของพวกเค้ามาร้อง cover ในอัลบั้มรวมเพลง cover ของผมผมก็เฝ้ารอที่จะทำงานร่วมกับพวกเค้าในการสร้างสรรค์เพลงใหม่ออกมาละครับ มันไม่ใช่แค่ว่าผมชื่นชอบเพลงของพวกเค้ามากๆเท่านั้นแต่ผมยังอยากที่จะได้พบปะพูดคุยกับพวกเค้าโดยตรงด้วยครับ ช่วงเวลาที่ผมต้องการก็เป็นช่วงเวลาที่ประจบเหมาะและโชคดีมากๆที่พวกเค้าต่างก็เห็นด้วยที่จะทำงานร่วมกับผม ซึ่งงานของเราก็เข้ากันได้อย่างราบรื่นครับ

Numero:คุณกำลังจะมีทัวร์คอนเสริ์ตเดี่ยวตามโดมที่ต่างๆด้วยอัลบั้มใหม่ชุดนี้ ช่วยบอกถึงแรงจูงใจของคุณหน่อยค่ะ
Daesung: ผมอยากที่จะจัดคอนเสริต์ที่ทุกๆคนร่วมลงมือทำร่วมกันมากกว่าคอนเสริต์ที่เน้นไปที่การโชว์แสงสีเสียง ผมอยากให้ผู้ชมได้มีเวลามีความสุขกับตัวเองและตัวผมก็จะได้รับความเข้มแข็งจากการได้เห็นว่าแฟนๆมีความสุข และนั่นเป็นเหตุผลที่ว่าผมจะไม่ขึ้นแสดงและร้องเพลงให้จบๆไป แต่จะเป็นการร่วมแบ่งปันช่วงเวลาและร่วมสร้างความทรงจำที่ดีร่วมกันที่ผมจะทำร่วมกับแฟนๆ ในคอนเสริต์เดี่ยวของผมผมจะไม่เน้นไปที่การเต้น แต่จะขยับตัวไปเรื่อยๆและมองลงไปในตาของแฟนๆ (ประจำที่นั่งในหลายๆระดับที่ต่างกัน) ในครั้งนี้ทุกเพลงเหมาะที่จะกระโดดไปมาและสนุกไปพร้อมๆกัน ซึ่งผมตั้งหน้าตั้งตารอให้มันเกิดขึ้นแล้วละครับ

Numero:ระยะหลังนี้ คุณยุ่งออกทัวร์กับสมาชิกในวงบิกแบงตลอด ช่วยบอกหน่อยได้ไม๊คะว่า อะไรที่ทำให้คุณเลือกเดินมาบนถนนสายดนตรีนี้ 
Daesung: ทุกคนในครอบครัวของผมต่างก็รักเสียงเพลงครับ ดังนั้นตั้งแต่เด็กๆเลยเรามักจะไปร้องคาราโอเกะร่วมกันเสมอและบ้านของเราก็มีเสียงเพลงอยู่ตลอดเวลาในขณะที่เสียงเพลงจะอยู่รอบตัวของผมเสมอ แต่จุดเปลี่ยนจริงๆอยู่ที่ว่าคุณครูในสมัยมัธยมของผมได้เอาชื่อของผมไปเข้าเสนอชื่อให้เป็นนักร้องนำและผมจะต้องร้องเพลงต่อหน้าผู้ชมจริงๆ ในตอนแรกผมรู้สึกประหลาดใจมากๆ แต่จนถึงวันนี้ผมก็ยังไม่อาจลืมความสุขที่ผมรู้สึกและไม่อาจลืมใบหน้าของผู้ชมที่มองมาในตอนที่ผมร้องจบในวันนั้นได้ ผมคิดว่าความพยายามอย่างสม่ำเสมอที่ผมได้พยายามก้าวไปทีละก้าวจากตอนนั้นสุดท้ายก็ส่งผลให้ตัวผมเป็นตัวผมในวันนี้ครับ

Numero:คุณจะอธิบายความรู้สึกที่คุณมีในขณะที่กำลังทำการแสดงคอนเสริต์ออกมาว่ามันรู้สึกยังไงคะ?
Daesung: มันเป็นอะไรที่คนเราจะไม่ได้ลิ้มรสในชีวิตประจำวันธรรมดาครับ ความสุขที่ผมได้รับในระหว่างการขึ้นแสดงนั้นมันยิ่งใหญ่จนไม่อาจจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมพยายามที่จะทำงานเพลงต่อไปเรื่อยๆเพื่อที่จะได้ขึ้นไปแสดงบนเวทีเรื่อยๆ มันเป็นความรู้สึกที่กรุ่นอยู่ในใจ หลังจากที่ร้องเพลงบนเวทีกว่า 2 ชั่วโมงเสร็จสิ้นลงการที่ได้เปิดเพลงจังหวะช้าๆในขณะที่เรานั่งอย่างสงบในรถระหว่างทางกลับยิ่งเป็นความรู้สึกที่สุดยอด สำหรับผมแล้วเสียงเพลงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยไม่ว่าจะเป็นตอนไหนก็ตาม 


Numero: ดูเหมือนว่าช่วงนี้คุณจะพยายามอย่างมากในการฝึกเสียงใช่ไม๊คะ? อะไรที่อยู่เบื้องหลังพลังที่คอยผลักดันให้คุณขัดเกลาทักษะและความสามารถต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลาแบบนี้คะ?
Deasung:การทัวร์คอนเสริต์เดี่ยวของผมจะเป็นการพิสูจน์ให้ผมเห็นอีกครั้งครับว่าเสียงของผมนั้นมีความสำคัญมากแค่ไหน เพราะเสียงของผมก็เปรียบเป็นเครื่องดนตรีชนิดนึงเหมือนกันดังนั้นผมจำเป็นต้องรักษาให้อุปกรณ์ชิ้นนี้ของผมอยู่อย่างปกติ ผมอยากให้คนที่มาชมคอนเสริต์ของผมได้มีความสุขที่ได้เห็นว่าเสียงของผมยังดีอยู่เหมือนเคยครับ

Numero:มีศิลปินคนไหนที่คุณนับถือเป็นพิเศษบ้างไม๊คะ?
Daesung:ผมชอบและฟังดนตรีได้ทุกๆแบบเลยครับ ระยะหลังนี้ผมฟังเพลง ร็อคเยอะมากเป็นพิเศษ และผมคิดว่าผมมาถูกทางแล้วที่ได้ทำเพลงที่ทำให้ผมรู้สึกดีกับตัวเอง ยกตัวอย่างนะครับ ออร่าและพลังที่ Freddie Mercury ปล่อยออกมาบนเวทีนั้นท่วมท้นมากๆ ก่อนที่จะขึ้นเวทีคอนเสริต์บางครั้งผมจะดูวีดีโอการแสดงของเค้าและผมจะรู้สึกประทับใจมากๆกับการที่เค้าทำให้ผู้ชมหลงใหลในทางที่ทรงพลังมากๆแบบนั้น

Numero:คุณใช้เวลาในวันว่างยังไงคะ?? คุณใช้วิธีไหนในการที่จะผ่อนคลายทั้งกายและจิตใจ??
Daesung:ช่วงนี้ผมยุ่งมากๆและแทบจะไม่ได้ใช้เวลาใดๆในวันหยุดเลยครับ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มีวันหยุดผมจะใช้เวลาอยู่คนเดียวที่บ้านหรือที่โรงแรมที่ผมต้องอาศัยอยู่ในช่วงเวลานั้น นอนบนเตียงและดูหนังก็ทำให้ผมมีความสุขแล้วครับ ส่วนใหญ่เลยผมก็จะหลับไประหว่างที่ดูหนังนั่นแหละ (หัวเราะ) แต่การได้ทำแบบนี้ก็สร้างความสุขให้กับผมแล้วครับ ผมคิดว่าด้วยวิธีนี้ทำให้ผมผ่อนคลายได้มากที่สุด

Numero: ในเรื่องของแฟชั่นมีอะไรที่คุณชอบมากเป็นพิเศษไม๊คะ?? คุณไปช้อปปิ้งซื้อของที่ไหน??
Daesung:จริงๆผมไม่ได้มีอะไรที่ชอบเป็นพิเศษในเรื่องของแฟชั่นแบบที่จีดราก้อนจะมีหรอกครับ โดยปกติแล้วผมจะเลือกซื้อเสื้อผ้าที่ญี่ปุ่นเท่านั้น แล้วก็มักจะหยิบเอาเสื้อผ้าที่สไตลิสต์ได้เตรียมไว้ให้ใช้ที่ประเทศญี่ปุ่นมาใช้ในชีวิตประจำวันอยู่เรื่อยๆ ถ้าจะให้ผมบอกว่าอะไรที่ผมซื้อล่าสุดก็คงจะเป็นถุงเท้าครับ (หัวเราะ) ผมจะเป็นคนที่จู้จี้ในเรื่องของถุงเท้าอยู่ครับ ถ้าพวกมันไม่มีความหนาที่พอดีนั่นแสดงว่าใช้ไม่ได้ครับ เมื่อสองสามวันก่อนสไตลิสต์ได้ไปเจอถุงเท้าที่มีความหนาที่สมบูรณ์แบบมากๆและผมก็ชอบมันมากๆผมเลยซื้อพวกมันทีเดียวเลย 200 คู่โดยซื้อโดยตรงจากโรงงานเลยครับ (หัวเราะ)

Numero:มีสถานที่ไหนในโตเกียวที่ไม่ว่ายังไงๆคุณก็จะต้องไปให้ได้ไม๊คะ?
Daesung:ผมชอบที่จะไปซื้อชิ้นงานของศิลปินที่ ร้าน MoMA ครับ นอกจากนี้ก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องแฟชั่นนะครับแต่ผมมักจะไปร้านอาหารเกาหลีร้านนึงในเมือง ทุกๆอย่างบนเมนูของร้านนี้อร่อยทุกจานครับ มันจะให้ความรู้สึกเหมือนผมไม่ได้อยู่ที่โตเกียวเลยเวลาไปร้านนั้น ผมชอบมันมากๆเลยครับ

Numero:สุดท้ายแล้ว ชื่ออัลบั้มครั้งนี้คือ D-Day ซึ่งหมายถึงวันที่สำคัญ คุณจะให้คำนิยามวันสำคัญของคุณว่าเป็นยังไงคะ?
Daesung:ทุกๆวันล้วนมีความสำคัญต่อผมครับ ตลอด10ปีมานี้ผมได้แต่วิ่งไปข้างหน้า จนตอนนี้เวลา10ปีได้ผ่านไปแล้วและผมเริ่มสงสัยว่ายังเหลือเวลาอีกมากน้อยแค่ไหนมีเวลาอีกนานแค่ไหนที่ผมจะเป็นที่รักแบบนี้ต่อไป และนั่นทำให้ทุกๆวันล้วนมีความหมายสำหรับผมครับ

Source: https://numero.jp/talks29/3/
English Translation by Mshinju
Thai Translation by Miss Mew


วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

สัมภาษณ์แดซองจากนิตยสาร An-An japan Febuary 2017


Anan:เราได้เลือก แดซอง มาเป็นตัวแทนของคนที่ "พึ่งพาได้เสมอ" ของเราในฉบับนี้นะคะ เราได้ถามถึงความรู้สึกของเค้าว่ารู้สึกยังไงบ้างและเค้าก็ตอบพึมพำมาว่า "ผมเขินจังเลยครับ" ด้วยเสียงที่เบาจนแทบจะหายไป แม้ว่าเค้าจะเป็นหนึ่งในสมาชิกของวง Bigbang วงที่ประสบความสำเร็จกับการจัดคอนเสริต์หลายครั้งในหลายๆโดมก็ตาม อันที่จริงในช่วงฤดูใบไม้ผลิปีนี้ แดซองจะเป็นศิลปินเดี่ยวที่จะจัดคอนเสริ์ตบนเวทีโดมเดียวกับที่วงเคยทำมาแล้ว
Daesung: ไม่เคยเลยที่ผมจะคิดว่าตัวเองเป็นคนพิเศษครับ ผมจะมองหาสิ่งที่ผมยังบกพร่องขาดแคลนอยู่ตลอดและผมชอบที่จะทำแบบนั้นด้วยครับ และเมื่อไหร่ที่ผมมองหาข้อบกพร่องเหล่านั้นผมก็จะพบมันเยอะเลยละครับ (หัวเราะ)

ผมยอมรับตาเล็กๆของตัวเอง ขาโก่งๆและข้อบกพร่องต่างๆตามลักษณะร่างกาย แต่ผมจะไม่ยอมรับเด็ดขาดกับสิ่งที่ผมสามารถที่จะจัดการพัฒนาแก้ไขมันได้ เช่น วิธีการร้องเพลงของผม  และสำหรับสิ่งที่ผมยังขาดมันไป แฟนๆของผมและสมาชิกในวง จะเป็นผู้ที่เติมเต็มมันครับ ดังนั้นถ้าคุณจะเรียกผมว่าเป็นคนที่"พึ่งพาได้เสมอ" นั่นเป็นเพราะคนเหล่านั้นที่คอยช่วยผมครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังของแฟนๆนั้นมันยิ่งใหญ่มหาศาลมากๆ มีหลายครั้งเลยที่ผมไม่สบายและเสียงหายระหว่างที่มีคอนเสริ์ต ผมก้าวข้ามปัญหานั้นมาได้ด้วยการมองหน้าของแฟนๆ ผมเชื่อว่ามันมีพลังยิ่งใหญ่พลังที่มองด้วยตาไม่เห็นมันเป็นพลังที่ผมได้รับการแฟนๆครับ 

Anan: แดซองนั้นมีชื่อเสียงโด่งดังเรื่อง "รอยยิ้มเทวดา" ที่ทำให้ทุกคนมีความสุข ทุกครั้งที่เค้าผ่อนคลายและยิ้มออกมา เวทีและผู้ชมดูเหมือนจะเข้าใกล้กันยิ่งขึ้นยิ่งขึ้น ในการสัมภาษณ์นี้เค้าก็ยิ้มแย้มแจ่มใสตลอด ดูเหมือนว่าอะไรๆก็ทำให้เค้าโกรธไม่ได้ แต่...
Daesung: แน่นอนครับมีเวลาที่ผมโกรธ สิ่งที่จำเป็นที่จะต้องพูดออกไปแม้ว่ากำลังโมโหก็จำเป็นต้องพูดครับ เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกโมโหเป็นช่วงที่กำลังทำงานในอัลบั้ม D'scover ครับ ก่อนหน้านั้นผมเชื่อว่าการเป็นคนเจ้าอารมณ์นั้นไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาอะไรได้ ผมเป็นคนที่จะพูดว่า "ได้ครับ" อยู่เสมอเป็นคนที่สามารถรับได้ทุกอย่าง แต่หลังจากที่ต้องไปโรงพยาบาลและเช็คคอของผมดู คุณหมอบอกว่า "ผมเป็นห่วงเรื่องสภาพจิตใจของคุณมากกว่าสภาพคออีกนะครับ" " คุณควรที่จะแสดงออกความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองออกมามากกว่านี้ " คุณหมอทุกคนต่างบอกกับผมว่ามันจะดีกว่าถ้าผมปล่อยอารมณ์ที่แท้จริงก็ตัวเองออกมา ดังนั้นผมจึงตัดสินใจว่าจะไม่เก็บอะไรไว้กับตัวเองอีกแล้ว

เวลาที่ผมโมโหและทำให้บรรยากาศแย่ สิ่งเหล่านั้นมันก็แค่อยู่ชั่วคราวแต่ผลงานที่เราทำนั้นจะอยู่ตลอดไป ผมสามารถที่จะยังคงยิ้มได้ต่อไปบนเวทีก็เพราะทีมงานที่คอยทำงานอยู่ด้านล่างยอมรับความรู้สึกต่างๆของผมได้ มันอาจจะมีช่วงเวลาที่ผมต้องการให้พวกเค้าอดทนกับผม มันเป็นเหตุผลที่ทีมงานกับผมถึงได้แบ่งปันความคิดและไอเดียต่างๆร่วมกันเสมอว่าเราสามารถที่จะทำงานร่วมกันได้หรือไม่

Anan: ในโลกธุรกิจที่จำเป็นจะต้องพูดคำว่า "ไม่" ไปเพื่อผลลัพท์ที่ดีกว่าเดิม มีความแตกต่างกับ โลกของความสัมพันธ์บ้างรึเปล่าคะ?
Daesung: เวลาที่ผมอินเลิฟจริงๆ ผมสามารถยอมรับได้เกือบจะทุกเรื่องเลยละครับ แต่ถ้าคนรักเกิดมีคำถามว่า จะเลือก "ฉันหรืองาน อะไรที่สำคัญกว่ากัน??" นี่สิที่เป็นปัญหาจริงๆครับ มันมีเวลาที่ผมจะได้รับแจ้งตารางงานก่อนล่วงหน้าไม่นานใช่ไม๊ละครับ ซึ่งถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมันจะสร้างความปวดหัวให้กับผม ผมจะตอบว่ายังไงเหรอครับ?? ผมก็จะบอกว่า "ผมจะต้องไปทำงานจริงๆนะครับ แต่หัวใจของผมอยู่ตรงนี้กับคุณนะครับ " แล้วจากไปฮะ (หัวเราะ)

Anan: ยังไงก็ตามคุณเป็นคนเดียวในวงบิกแบงที่ไม่ได้ใช้ สื่อ SNS เลย
Daesung: เมื่อไม่นานมานี้ ผมเปิดบัญชี Instagram เพื่อที่จะเข้าไปดูว่าสมาชิกคนอื่นโพสอะไรกันครับ แต่ท้ายที่สุดแล้วผมก็ไม่ได้เปิดมาเช็คเลยละครับ (หัวเราะ)ตั้งแต่ผมเด็กๆแล้วผมไม่ชอบการถ่ายรูปหรือโดนถ่ายรูปเลยละครับ ในขณะที่จะต้องมาโพสท่าแล้วได้ยินคำว่า "มองมาทางนี้นะ หนึ่ง สอง สาม" ผมมักจะคิดว่า "นี่ผมทำไมต้องมาทำอะไรแบบนี้เนี่ย??" ผมรู้สึกเสียใจเหมือนกันที่ผมไม่มีรูปของตัวเองตอนเด็กๆมากเท่าไหร่เพราะนิสัยนี้ แต่เวลาที่ผมรู้สึกประทับใจกับสถานที่ที่ได้เห็น ผมอยากที่จะมองเห็นมันด้วยตาของตัวเองมากกว่าที่จะถ่ายรูปเอาไว้ เวลาที่ผมไปที่ไหน ผมไม่ได้พอใจแค่ไปถึง ถ่ายภาพแล้วจากไปครับ


Anan: แดซองได้รับความรักมากมายจากแฟนๆและทีมงาน แต่ยังไงก็ตามสมาชิกวงบิกแบงก็ยังเป็นคนที่คุณมีความรู้สึกผูกพันธ์ด้วยมากที่สุด
Daesung: เราต่างมีนิสัยและความสนใจที่แตกต่างกันครับ สิ่งเดียวที่เรามีเหมือนกันคือเราทุกคนต่างมีเรื่องราวส่วนตัวของตัวเองให้ไปทำครับ (หัวเราะ) สำหรับช่วง 5 ปีแรกในอาชีพที่พวกเรามีร่วมกัน พวกเรามีความแตกต่างกันมากจนก่อให้เกิดปัญหา แต่หลังจากการบันทึกเสียงเพื่ออัลบั้ม Alive ทำให้สถานการณ์ต่างๆเปลี่ยนไปครับ เราหันมายอมรับความแตกต่างของกันและกัน การทำงานเป็นทีมของพวกเราดีขึ้นๆตามลำดับหลังจากที่เราตระหนักว่าพวกเราทุกคนเหมือนชิ้นส่วนของตัวต่อที่มีรูปร่างแตกต่างกันไปแต่ก็ต้องมาประกอบรวมกันได้เป็นภาพภาพเดียว ในตอนนี้ ผมจะรู้ว่าใครคิดยังไงเพียงแค่มองลงไปในตาพวกเค้าเท่านั้น ก็รู้แล้วละครับ

Anan: ตัวต่อทั้ง 5 ชิ้นเป็นชิ้นส่วนที่สมบูรณ์แบบที่ลงตัวให้กับ บิกแบง แต่กุญแจสำคัญคือคนที่คอยรักษาสมดุล ซึ่งคนคนนั้นคือ แดซอง
Daesung: โซลคุงและวีไอ เป็นคนประเภทที่จะคอยเดินออกมาข้างหน้าและรับเอาความสนใจไป ท็อปซังและจีดีซัง เป็นคนประเภทที่ว่าสายตาทุกคู่จะคอยจับจ้องพวกเค้าอยู่แล้วแม้พวกเค้าจะไม่ได้ทำอะไรเลยก็ตาม ส่วนตัวผมผมอยากจะเป็นคนที่คอยมองพวกเค้าทั้งหมดจากเบื้องหลัง ผมไม่ต้องการที่จะก้าวออกไปข้างหน้า ผมต้องคอยมองพวกเค้าจากด้านหลังและทำหน้าที่ "ควบคุมการจราจร" ครับ(หัวเราะ)

Anan: เป็นวงที่มีชิ้นส่วนแสนมหัศจรรย์ 5 ชิ้นนะคะ
Daesung: จะแน่ใจได้ยังไงครับว่ามันดีทั้ง 5 ส่วน (พูดเล่น โดยที่ชี้ไปที่รูปน้องซึงในนิตยสารที่วางอยู่) หรือ มี 4ชิ้นที่ดีกว่า ผมจะให้ทุกคนตัดสินใจกันเองนะครับ (หัวเราะ)


แดซองคิดยังไงกับเสน่ห์ของเค้าที่สามารถละลายใจของผู้คนได้

เสียงของเค้า
(เค้าโด่งดังมากจากเสียงที่แหบแต่ลึกซึ้งของเค้า จากเพลงที่ทรงพลังมาถึงเพลงบัลลาร์ตที่เต็มไปด้วยความลึกซึ้ง เค้าเป็นคนที่มีเสียงหลากหลายมาก)
จริงๆเสียงของผมนั้นเป็นความซับซ้อนในตัวของผมนะครับ เสียงผมแหบและสำหรับผมแล้วมันฟังแล้วไม่ชัดเจนครับ เป็นเสียงที่เอาแต่ใจตัวเองพร้อมกับเปลี่ยนอารมณ์ไปเรื่อยในแต่ละวัน ดังนั้นถ้าผมไม่ตามใจมันจนเหลิง มันก็จะอยู่กับร่องกับรอยใช้ได้ครับ (หัวเราะ) แต่ผมจะมีความสุขที่สุดก็ตอนที่ร้องเพลง ดังนั้นเพื่อที่จะให้ผมร้องเพลงไปได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมจะฝึกเสียงของผมเสมอ และผมก็เรียนรู้วิธีในการใช้เสียงโดยที่ทำให้คอของผมรู้สึกสบายที่สุด หากผมจะเปลี่ยนการใช้เสียงไปเลย มันก็ดูจะเป็นการหยาบคายกับคนที่ชอบเสียงของผมอยู่แล้ว ดังนั้นผมเห็นว่ามันสำคัญนะครับที่จะอยู่เป็นตัวของตัวเองแบบนี้ต่อไป

ริมฝีปาก
(แฟนๆหลายๆคนชอบริมฝีปากที่"อวบอิ่มและเซ็กซี่"ของเค้า มันเป็นแรงจูงใจให้ออกสินค้าต่างๆที่เกี่ยวกับริมฝีปากของเค้าออกมาด้วย)
ปากผมเซ็กซี่เหรอครับ??  อืมมม ผมแค่คิดว่ามันมีสีชมพูก็แค่นั้นเองครับ (หัวเราะ) เหตุผลที่ทำไมรูปริมฝีปากของผมกับจมูก กลายเป็นถาดทำน้ำแข็งในของที่ระลึกที่งานคอนเสริ์ตก็เพราะมันเป็นส่วนที่แฟนๆจะจดจำผมได้มากที่สุดครับซึ่งเป็นการตัดสินใจของผมเอง ซึ่งผมมักจะมีไอเดียมากมายเกี่ยวกับสินค้าที่ระลึกในงานคอนเสริ์ตครับ 

ถ้าผมสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ผมคงจะเปลี่ยนขาที่โก่งของผมครับ ถ้าขาของผมตรงผมคงจะสูงขึ้นหลายเซนเลยครับ คุณแม่ได้ซื้อที่ดัดขามาให้ลองใช้ด้วยแต่มันไม่ได้ผลกับผมละครับ

อารมณ์ขัน
(ชื่อของแดซองที่ญี่ปุ่นจะใช้คำว่า D-light ที่มาจากคำว่า Delight ที่แปลว่าทำให้ยินดีมีความสุข ซึ่งเค้าไม่เคยลังเลที่จะทำให้ช่วงพูดคุยบนเวทีเต็มไปด้วยความสนุกสนามเพิ่มมากขึ้นเลย)
อารมณ์ขันเป็นส่วนสำคัญในตัวผมเลยละครับ ดังนั้นผมจึงรู้สึกดีใจมากที่สามารถทำให้บรรยากาศมันสดใสขึ้นมาและทำให้ผู้คนมีความสุข ตั้งแต่ตอนเป็นเด้กแล้วผมชอบทำให้เพื่อนๆที่โรงเรียนหัวเราะ แต่ที่บ้านผมจะไม่ทำอะไรแบบนั้นเลย ผมจะไม่ค่อยพูด เพราะคุณพ่อคุณแม่เข้มงวดเรื่องเกรดของผมมากดังนั้นผมจึงอยู่เงียบๆดีกว่า (หัวเราะ) พี่สาวของผมได้เกรดดีมากๆไม่เหมือนกับผม เธอจะหงุดหงิดขึ้นมาทันทีเพียงแค่ไม่สามารถตอบคำถามไม่กี่ข้อในตอนสอบได้ เล่นเอาผมก็หมดคำพูดครับ 



Cover-story เบื้องหลังการถ่ายทำ

เพื่อนร่วมงานที่เคยสัมภาษณ์แดซองมาก่อนได้เล่าว่า" อารมณ์ขันและรอยยิ้มของเค้านั้นออกมาจากจิตใจที่อ่อนโยน" ครั้งนี้เป็นเกียรติของฉันที่ได้พบแดซองในการถ่ายทำปกและร่วมสัมภาษณ์ ฉันดีใจมากและยินดีที่สิ่งที่เพื่อนเคยเล่านั้นเป็นเรื่องจริง 

ด้วยอารมณ์ขันของเค้าในวงบิกแบง แดซองมักจะมีรอยยิ้มเสมอเวลาที่ขึ้นแสดงบนเวที ช่วยไม่ได้ที่ฉันจะเชื่อว่าแฟนๆทั่วโลกต่างก็ต้องถูกต้องมนต์สะกดจากหัวใจที่อ่อนโยนและอบอุ่นของเค้าเช่นกัน

แดซองได้มอบเวลาอย่างเหลือเฟือให้แก่พวกเราในการทำสัมภาษณ์และการสัมภาษณ์ทั้งหมดทำโดยพูดภาษาญี่ปุ่นตลอดเวลา แดซองพูดภาษาญี่ปุ่นได้อย่างคล่องแคล่วแม้ว่ามันจะเป็นภาษาต่างประเทศสำหรับเค้าก็ตาม แถมเค้ายังจัดการให้พวกเราได้หัวเราะทุกๆ3นาทีด้วยภาษาต่างประเทศของเค้า (ขอบคุณแดซองนะคะที่ทำให้ทุกคนได้มีความสุขในการทำงานขนาดนี้) แดซองไม่ได้หลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามข้อไหนเลย ซ้ำยังใช้คำที่เหมาะสมในการที่จะอธิบายความรู้สึกตัวเองออกมาได้อย่างดี 

แดซองยังทำงานร่วมกับช่างภาพได้ดีมาก เค้าเอ่ยปากในตอนแรกว่า เค้าไม่ค่อยเก่งในการโพสท่าถ่ายภาพเท่าไหร่ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นคำโกหกเพราะเค้าสามารถดึงเอาภาพลักษณ์ที่หล่อและเท่ออกมาได้ตั้งแต่เริ่มโพสท่าแรกในการถ่ายภาพเลยทีเดียว จากนั้น การถ่ายภาพได้ย้ายไปถ่ายในห้องนอน อาจจะเป็นเพราะโลเคชั่นที่ใช้ในการถ่ายทำจึงทำให้แดซองในตอนนี้ได้เปิดเผยด้านที่เซ็กซี่ของเค้าออกมา ช่างแต่งหน้าได้แซวว่า "คุณดูเป็น bad boy เลยตอนนี้(หัวเราะ)" พอได้ยินแบบนั้น แดซองก็ยิ้มอายพร้อมทำหน้าเขินแบบลูกแมวและกระโดดโพสท่าอุตตร้าแมนบนเตียงก่อนที่จะพูดเบาๆว่า "อะไรฮะเนี่ย" พร้อมบิดหมอนไปด้วย การที่ได้เห็นด้านที่น่ารักแบบนั้นของแดซองทีมงานทุกคนต่างก็ยิ้มออกมา อย่างไรก็ตามจากนั้นแดซองก็เปลี่ยนสีหน้าพร้อมกับการถ่ายภาพ จากเด็ก 5ขวบกลายมาเป็นจริงจัง การเปลี่ยนจากหน้าเท่ๆไปเป็นใบหน้าที่น่ารักๆ ทำให้เราได้เห็นอารมณ์ที่หลากหลายจากเค้าจริงๆ


ด้วยความที่เค้าใส่ใจและเข้าใจความรู้สึกของผู้คนรอบตัวเค้าได้อย่างดี เค้าเตรียมพร้อมและทุ่มสุดตัวเมื่อรู้ถึงสิ่งที่ผู้คนคาดหวังจากเค้า เค้าเป็นคนจริงที่สามารถจู่โจมเข้าไปในหัวใจของคนอื่นได้อย่างตรงเป้าหมายและเติมเต็มทุกคนรอบตัวด้วยความดีของเค้า นี่คือความรู้สึกของฉันหลังจากที่ได้ทำงานร่วมกับแดซองมาหลายชั่วโมง ฉันหวังว่าผู้อ่านนิตยสาร Anan จะได้ร่วมรู้สึกความรู้สึกเหล่านี้ผ่านภาพถ่ายและการสัมภาษณ์ครั้งนี้ด้วยนะคะ

และมีเราได้รับของขวัญจาก แดซองด้วยค่ะ ในการเซ็นลายเซ็นลงบนโพลารอยด์ที่ระลึก เค้าได้วาดรูป D-Kun ลงไปด้วยระหว่างวาดก็บ่นว่า"นี่มันแปลกๆรึเปล่าฮะ??" ซึ่งไม่แปลกเลยค่ะมันน่ารักมากๆทุกคนอย่าพลาดนะคะ


นี่คือห้องของโรงแรมที่ใช้ในการถ่ายภาพ ภาพปกถ่ายตรงกระจกหน้าต่างที่เห็นข้างโซฟา บทสัมภาษณ์เราสัมภาษณ์กันตรงโต๊ะกลมและเก้าอี้นับไป 3 ตัวคือเก้าอี้ที่แดซองใช้นั่งในการทำการสัมภาษณ์ค่ะ

Source: Anan (Feb. 2017)
English translation by @mmvvip +@Mshinju +daesungfishh for cover story 
Thai Translation by miss_mew 
Phot Credit to Kangdaesung Bar

วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

กงยู "ผมชอบผู้หญิงที่ผมจะสามารถใช้ชีวิตอย่างสบายๆด้วยได้"

จริงๆไม่ได้ตั้งใจที่จะโพสเรื่องนี้ในวันวาเลนไทน์เลยละค่ะ แต่เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆที่ช่วงก่อนมิวตามอ่านบทสัมภาษณ์ต่างๆแล้วคิดอยากจะรวบรวมไว้เหมือนกันว่า กงยู เค้าเคยพูดถึงสาวในสเปคเอาไว้ยังไงบ้างวันนี้ว่างหน่อยเลยลงมือแปล  บทสัมภาษณ์เหล่านี้จะว่าไปก็ผ่านมานานแล้วละค่ะ ในเมื่อยังไม่มีฉบับอัพเดทกว่านี้ ก็ขอรวบรวมให้อ่านกันเล่นๆแบบนี้ก่อนแล้วกันเนอะ มิวได้วงเล็บที่มาที่ไปไว้ด้วยค่ะ

==============


กงยูอยากจะเดทกับผู้หญิงที่มีความลุยๆแบบผู้ชายแต่ก็แอบมีความเป็นผู้หญิงอยู่บ้าง เค้าสนใจผู้หญิงที่ดูดีในกางเกงยีนส์กับรองเท้าผ้าใบมากกว่าผู้หญิงที่สวมกระโปรงและรองเท้าส้นสูง เค้าไม่ได้เป็นคนที่คลั่งไคล้ชอบสาวน้อยน่ารัก เค้ากล่าวว่า  Gong Hyo Jin และ Diane Lane เป็นผู้หญิงที่ใกล้เคียงกับสเปคของเค้าที่สุด
(จาก dramafever.com มิถุนายน 2016 ตัดมาจากสัมภาษณ์ในเดือนธันวาคมปี 2011)

กงยูกล่าวว่า สาวในสเปคของเค้านั้น คือคนที่มีเสน่ห์ในสองด้าน กงยูได้พูดเอาไว้ในการให้สัมภาษณ์กับรายการ TV’s Midnight TV Entertainment ที่ออกอากาศในเดือนธันวาคม ปี 2011 ทางช่อง SBS ว่า
"ผมไม่ชอบผู้หญิงที่ดูสง่าและเป็นผู้หญิงมากๆ แต่กลับชอบผู้หญิงที่ดูเหมือนผู้ชายและซ่อนความเป็นผู้หญิงไว้บ้าง ผมชอบผู้หญิงที่ดูดีในรองเท้าส้นแบนมากกว่ารองเท้าส้นสูง ผมไม่ชอบผู้หญิงที่ดูเป็นมิตรมากเกินไป หรือ คนที่ดูหยิ่งเกินไป ผมชอบผู้หญิงที่ซื่อตรงเปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่ประดิษฐ์ปรุงแต่ง "

ในปีเดียวกัน กงยูให้สัมภาษณ์ในรายการ star date ในปีนั้นกงยูได้มีโอกาสให้สัมภาษณ์ในรายการต่างๆมากมาย เพราะเค้ามีงานภาพยนตร์เรื่อง Silenced ซึ่งสร้างชื่อเสียงและกระแสตอบรับอย่างล้นหลามให้กับเค้า ในปีนั้นกงยูอายุ 33 ปีได้ชื่อว่าเป็นนักแสดงที่ได้รับเสียงชื่นชมมากมายและมีความโด่งดังมาก แต่เค้าก็ยังไม่ได้แต่งงานและไม่มีข่าวเรื่องสาวๆเลย ในรายการพิธีกรกล่าวว่า แฟนๆรู้สึกกังวลว่าทำไมกงยูยังไม่แต่งงานซักที กงยูตอบว่า ทำไมแฟนๆถึงต้องกังวลด้วย แฟนๆน่าจะรู้สึกยินดีกับเค้ามากกว่า และลงท้ายว่า ยังไงๆซักวันนึงเค้าก็ต้องแต่งงานแหละดังนั้นแฟนๆไม่ต้องกังวลและเค้าก็อยากจะมีลูกด้วย

กงยูกล่าวว่าเค้าชอบผู้หญิงที่ฉลาดและสวยงาม เรื่องรูปร่างหน้าตานั้นเป็นแค่ตัวเลือกเท่านั้น แต่ประเด็นอยู่ที่จิตใจมากกว่า เค้าชอบผู้หญิงที่มีจิตใจที่สวยงาม 

เมื่อกงยูพูดถึงสเปคสาวที่เค้าชอบว่ามีลักษณะลุยๆเท่ๆ เป็น Boyish นักข่าวมากมายต่างเล็งไปที่ สาว  ยุนอึนเฮ ที่เคยรับบทนางเอกคู่กับเค้าในเรื่อง Coffee Prince ซึงกงยูก็ได้พูดดักคอเอาไว้ว่า
"ผมมั่นใจเลยว่าหลังจากที่ผมพูดไป จะต้องมีบทความนับไม่ถ้วนเขียนว่า สาวในสเปคของผมคือคุนยุนอึนเฮ จากละครเรื่อง coffee prince ดังนั้นผมเลยจะขออธิบายว่า ผมไม่ได้พูดถึงใครเฉพาะเจาะจงนะครับ " ซึ่งทำเอานักข่าวหัวเราะกันใหญ่ แต่หลังจากนั้นก็มีบทความเขียนเรื่องยุนอึนเฮคือสาวในสเปคของกงยูออกมามากมายอยู่ดี

ต่อมาทางเวปไซด์ Minor8 ได้เขียนถึงการสัมภาษณ์ทางรายการโทรทัศน์นึง ถึงคำถามที่กงยูโดนถามอีกครั้งเรื่อง ผู้หญิงในสเปคของเค้า กงยูได้ตอบว่า "ผมเคยชอบผู้หญิงที่มีสไตล์เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่ตอนนี้ผมชอบผู้หญิงที่ธรรมดาๆมากกว่าครับ" "บางทีผมอาจจะไม่สามารถควบคุมผู้หญิงในแบบที่ผมเคยชอบได้อีกต่อไปแล้วละครับเลยขอแบบธรรมดาจะดีกว่า" ทำเอาทุกคนหัวเราะเสียงดัง

นอกจากนี้กงยูยังบอกว่าผู้หญิงที่ดูใสซื่อนั้นออกจะน่าเบื่อไปหน่อยดังนั้นเค้าจึงสนใจผู้หญิงที่มีท่าทางลุยๆเท่ๆมากกว่า เค้ายังบอกอีกว่าเค้าอยากจะแต่งงานก่อนอายุ 40 และอยากจะมีลูกด้วย เค้ากล่าวว่า 
"ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญที่จะมีชีวิตกับผู้หญิงคนนึง คนที่ผมจะรักได้ทั้งในฐานะนักแสดงและในฐานะผู้ชายคนนึง แต่ผมไม่เคยมีจินตนาการใดๆเลยเกี่ยวกับการแต่งงาน "

กงยูเล่าต่อว่า "บางครั้งในชีวิตการแต่งงานนั้นอาจจะลำบากแต่ผมก็อยากจะสัมผัสและรู้สึกในทุกๆอย่างไม่ว่ามันจะลำบากแค่ไหน ผมอยากรู้ว่ามันจะเป็นยังไงถ้าผมมองไปที่ลูกของผมแล้วเด็กคนนั้นที่เหมือนผมมองจ้องกลับมา"
ในรายการ Section TV ทางช่อง MBC กงยูเคยพูดย้ำในเรื่องนี้ไว้ว่า " สเปคสาวในอุดมคติของผมได้เปลี่ยนไปแล้วครับ ในตอนที่ยังเด็กกว่านี้ ผมชอบผู้หญิงที่มีอารมณ์ปุ๊บปั๊บ น่าค้นหา แต่ตอนนี้ผมชอบผู้หญิงที่ผมจะสามารถใช้ชีวิตอย่างสบายๆด้วยได้ ผมคิดว่าถ้าเป็นคนที่มีอารมณ์แกว่งไปมาปุ๊บปั๊บ คงยากที่จะรับมือละครับ"

----------------------
Source: Minor8.com 
Thai translation by miss mew
Picture credit to epigram 

วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

"แม้ว่าผมจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ผมคิดว่าความท้าทายนี่แหละที่มีความสวยงามในตัวของมันเอง"


ทุกคนคงจะต้องมีช่วงเวลาที่เรามีความรู้สึกว่า มีแค่เราสองคนในโลกนี้ ช่วงเวลาที่เหมือนกับเรื่องเหลือเชื่อในภาพยนตร์แต่มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง อย่างไรก็ตามช่วงเวลานั้นไม่นานก็ถูกฝังเก็บไว้ในใจของพวกเค้าทั้งสองกลายเป็นเรื่องที่พวกเค้าเก็บไว้ในใจไม่เคยบอกเล่าให้ใครฟัง 

นักแสดงหนุ่ม กงยู ได้บอกเราถึงความรู้สึกนั้นว่า มันเป็นความงุ่มง่ามแต่มันก็เป็นความรู้สึกที่จริงแท้ เกิดขึ้นอย่างระมัดระวังรอบคอบแต่ก็เด็ดขาดรุนแรง 

เมื่อไม่นานมานี่ กงยู ได้ให้สัมภาษณ์กับทางข่าว Bnt ที่ร้านกาแฟในย่าน Samcheong-dong ในโซลก่อนที่ภาพยนตร์เรื่อง  A Man and a Woman  ของเค้าจะเริ่มฉายรอบปฐมทัศน์ ในวันนั้นเค้ากลับมีใบหน้าที่ซีดเซียวยังกับคนที่มีปัญหาเรื่องความรัก

กงยูเลือกภาพยนตร์เรื่อง A Man and a Woman เป็นผลงานในการคัมแบคหลังจากแสดงในภาพยนตร์เรื่องThe Suspect ในปี 2013 การคัมแบคครั้งนี้เป็นครั้งแรกของเค้าในการแสดงในภาพยนตร์แนว เมโลดราม่า เค้ารับบทเป็น กีฮง ชายที่ตกหลุมรักอย่างบ้าคลั่งกับ ซางมิน


เหตุผลหลักๆที่ทำให้เค้าตัดสินใจแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเพราะ คุณ จอนโดฮยอน เธอเป็นเหตุผลข้อหลักๆที่ทำให้เค้าเลือกงานนี้
"ผมอยากจะทำงานกับคุณ จอนโดฮยอน มากจริงๆตั้งแต่ผมยังอายุน้อยๆครับ สำหรับผมแล้ว เธอเซ็กซี่ตลอดกาลและเพราะเธอถูกแคสติ้งให้มารับบทคู่กับผมในเรื่อง ก็ไม่มีเหตุผลใดที่ผมจะลังเลแล้วละครับ"

"แน่นอนว่าเรื่องในภาพยนตร์ก็เป็นแค่ภาพยนตร์ครับ แต่มันก็สำคัญว่าต้องมีเหตุผลว่าผมสามารถที่จะรักคนคนนี้ที่จะมารับบทเป็นคู่ของผมในเรื่องได้หรือไม่ ในภาพยนตร์ผมจะต้องรักกับคุณ จอนโดฮยอน เธอเป็นเหตุผลใหญ่ที่สุดที่ทำให้ผมตัดสินใจทำเรื่องต่างๆในภาพยนตร์ ถ้าไม่ใช่เธอผมก็อาจจะไม่ตัดสินใจแบบนี้"

"ยิ่งภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์เมโลดราม่าที่แต่งขึ้นมาใหม่ ความรู้สึกส่วนตัวของผมต่อผู้แสดงที่มารับบทเป็นคู่กับผมในเรื่องย่อมจะสะท้อนออกมาให้เห็นในการแสดงด้วย มันดูเหมือนว่าผมตัดสินใจที่จะมาแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้เพื่อความต้องการของตัวเองซึ่งพูดไปมันก็จริงนะครับ แต่ในชีวิตจริงเรื่องราวแบบนี้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะถูกต้อง "



ความรู้สึกต่างๆของกงยูที่แสดงออกมาในภาพยนตร์จริงๆแล้วมาจากผู้กำกับ คุณ Lee Yoon Ki ในขณะที่พูดถึงมาตรฐานที่เค้าตั้งเอาไว้เวลาเลือกรับงาน กงยูกล่าวว่า เค้าพยายาม"หลีกเลี่ยงงานที่ดูเป็นแบบแผนเดิมๆ" ดังนั้นแทนที่จะคาดหวังไปกับสิ่งที่คุ้นเคย การเลือกของเค้ากลับไม่เป็นแบบนั้น และครั้งนี้  A Man and a Woman ก็เป็นแบบนั้น

“ผมคิดว่าในภาพยนตร์เรื่อง A Man and a Woman มันมีอะไรที่ต่างไปจากภาพยนตร์ในแนวเมโลดราม่าทั่วๆไปครับ มันไม่ใช่แค่ดูเป็นละครประโลมโลกธรรมดาๆ "  


เค้าเปิดเผยว่าที่ภาพยนตร์เรื่องนี้แตกต่างไปก็เพราะความเท่ของผู้กำกับ Lee Yoon Ki  เอกลักษณ์ของผู้กำกับคือการแสดงออกความรู้สึกอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาส่งข้อความที่ชัดเจนต่อผู้ชม เพราะเอกลักษณ์นี้ ผู้ชมสามารถที่จะรู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่ลึกซึ้งจากภาพยนตร์ของเค้าโดยที่ไม่ต้องอาศัยคำอธิบายอะไรมากผ่านเนื้อเรื่องที่ดำเนินออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ 

เวลาที่ผู้คนดูภาพยนตร์เรื่องนี้ในแง่ของความเป็นจริง มันเป็นความจริงที่พวกเค้าไม่สามารถเข้าใจการกระทำของกงยูในภาพยนตร์ได้  ภาพยนตร์ A man and a woman เน้นเนื้อเรื่องไปที่ความรู้สึกล้วนๆ แต่ภาพยนตร์ก็บรรจุเนื้อเรื่องที่ผิดศีลธรรมอยู่ คือ การคบชู้นอกใจ กงยูกล่าวว่า " หากผมจะมองมันในแง่ศีลธรรม กีฮงและชางมินนั้นแย่มากครับ แต่ยังไงก็ตาม มันเป็นเรื่องในภาพยนตร์นะครับ" 

"ผมคิดว่าความรู้สึกของกีฮงและชางมินเป็น รักแท้ครับ ผมต้องระมัดระวังที่จะพูดอะไรออกไปนะครับเพราะผมยังไม่ได้แต่งงาน แต่ถึงแม้ว่าผมจะแต่งงานแล้วและกลายมาเป็นคุณพ่อแล้ว หัวใจของผมก็ยังสามารถที่จะเต้นรั่วสั่นไหวโอนเอียงได้นะครับ ซึ่่งถ้าความรู้สึกแบบในภาพยนตร์ก็อาจจะเกิดขึ้นกับผมเช่นกัน แต่ที่ต่างไปคือถ้ามันเกิดขึ้นผมจะเพิกเฉยต่อความรู้สึกนั้นครับ"


ความคิดเห็นที่ห้าวหาญและตรงไปตรงมาของกงยูน่าสนใจทีเดียว เราจะเห็นว่ามีการไตร่ตรองมากมายเกิดขึ้นในทุกๆคำพูดของเค้าเหมือนกับ ตัวละคร กีฮงที่เค้ารับบทในภาพยนตร์ กีฮงที่ไม่รู้วิธีที่จะหลบซ่อนความรู้สึกของตัวเอง

กงยูกล่าวว่า
" กีฮงเป็นคนที่ ทื่อๆ และน่าเบื่อครับ เค้ายังไม่สามารถที่จะอธิบายความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองออกมาได้อีกด้วย ยังไงก็ดี เค้าต้องการที่จะเป็น ผู้ชายที่ดี จนกระทั่งเค้าได้มาพบกับชางมิน จากตรงนี้ ผมพบบางส่วนตรงนี้ของเค้าคล้ายกับผม เวลาที่ผมจะทำอะไรผมมักจะไม่คิดคำนวณใดๆทั้งนั้น"

กงยูได้แบ่งปันความคิดของเค้าเกี่ยวกับเรื่องความรักออกมาด้วย เค้าคิดว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับกีฮงนั้นไม่ได้เกิดขึ้นแบบปัจจุบันทันด่วนหรือรุนแรงฉับพลัน เค้ากล่าวว่า " คนเราจะพบว่าตัวเองกำลังหัวเราะและดวงตาจะเปลี่ยนไปเมื่อพวกเค้าอยู่กับคนที่พวกเค้ารักจริงๆแม้ว่าพวกเค้าจะอยู่ในห้วงแห่งความกังวลหรือกำลังมีปัญหา จริงๆผมไม่ค่อยรู้เรื่องความรักเท่าไหร่หรอกครับ แต่ว่าความรักนี่แหละที่เปลี่ยนแปลงผู้คน" 




มีความรู้สึกว่ากงยูจะดึงทุกคนเข้าสู่โลกแห่งแฟนตาซี ความคิดและคำพูดของเค้าล้วนดูแยกตัวออกจากโลกแห่งความเป็นจริง แต่มันก็ให้ความรู้สึกว่ามันสามารถจะเป็นจริงขึ้นมาได้เพราะมันออกมาจากปากเค้า กงยูรู้ตัวดีว่าผู้คนและสาธารณชนต่างก็มีจินตนาการที่เกี่ยวกับเค้า แต่เค้ากลับไม่ได้แสดงออกเพื่อคนอื่นหรือเพื่อเติมเต็มภาพที่คนอื่นคิดเกี่ยวกับเค้าว่ามีแต่ภาพลักษณ์ดีๆ แทนที่จะทำแบบนั้น เค้ากลับเดินหน้าแสดงออกตามความพอใจของตัวเองและเพื่อความสำเร็จของตัวเค้าเองต่อไป กงยูกล่าวว่า "แม้ว่าผมจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ผมคิดว่าความท้าทายนี่แหละที่มีความสวยงามในตัวของมันเอง"

แต่ไม่ใช่ว่าตัวเค้าต้องการที่จะเปลี่ยนภาพลักษณ์ของตัวเองโดยการตามหางานที่จะมาเป็นตัวทดลองไปเรื่อยๆ เค้าเสริมว่า " ผมรู้ว่ามันย่อมต้องมีข้อขัดแย้งอะไรเกิดขึ้นบ้าง บางครั้งผมรู้สึกว่าความต้องการของผมกับชีวิตจริงนั้นมันแยกออกจากกัน" 


"และนั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงพยายามค้นหาเหตุผลที่ชอบธรรมอยู่เสมอหากผมเอาแต่ตามใจตัวเองในอดีตผมคงลองทำทุกๆอย่างไปแล้วแม้ว่ามันจะดูไม่เข้ากับภาพรวมเลยก็ตาม แต่ถึงแม้ว่าผู้คนรอบตัวผมสงสัยว่าทำไมผมถึงตัดสินใจรับงานในเรื่อง  ‘Train to Busan’ และ ‘The Age of Shadows’ ก็ตามแต่สำหรับผมแล้วผมมีเหตุผลของผมครับ ดังนั้นคอยจับตาดูก็แล้วกันครับ " 

กงยูมีความคิดมากมายและความกังวลมากมาย เรารู้สึกถึงสิ่งเหล่านั้นได้ผ่านการสัมภาษณ์ครั้งนี้ที่เค้าพูดถึงจุดเป้าหมายลึกๆที่ทำให้เค้าก้าวไปข้างหน้าต่อไปโดยปราศจากการคำนวณใดๆ คนเราจำเป็นที่จะต้องทำงานด้วยความรู้สึกที่เอาความรู้สึกส่วนตัวของตัวเองออกมา ซึ่งมันต่างจากการพึ่งพาคนอื่น ความรู้สึกเหล่านั้นมันสร้างความเชื่อมต่อในการทำงานร่วมกันตั้งหาก ดังนั้น เรื่องราวทั้งหมดในงานของเค้ามันถึงดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริง และมันนำเอาความเศร้ามาให้เค้าพอๆกับความพอใจ  


English Translated by Woorim Ahn Via Mnet Kpop news // 28.02.2016

Photo credit to showbox
Thai translation by Miss mew