วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2557

ความรู้สึกของนักแสดงในเรื่องTazza2 ที่มีต่อ ท็อป


[นักแสดงชาย คุณ Kim Yoon Seok]
“ในตอนที่ผมเข้าร่วมกับทีมงานและนักแสดงในภาพยนตร์ Tazaa เพื่อรับบทเป็น “Agui” นั้นพวกเค้าได้ถ่ายทำมาเป็นเวลา 4-5 เดือนเท่านั้น แต่ชเวซึงฮยอนได้ละลายตัวตนตัวเองกลายเป็น HanDaegilตัวละครในเรื่องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อนคนนี้เป็นคนหนุ่มที่เต็มไปด้วยพลัง ผมมีความประทับใจในดวงตาที่สวยงามของเค้าครับ"

[ผู้กำกับ คุณ  Kang Hyung Cheol]
 “ผมต้องการนักแสดงชายที่มีดวงตาที่ดีมารับบท Daegil ครับ สำหรับ Daegil คุณจะต้องสามารถแสดงออกถึงเรื่องราวที่คุณจะต้องผจญมาในชีวิตออกมาให้ได้ทางสายตา และคุณจะต้องสู้สายตาของตัวละครอย่าง Agui ในเรื่องให้ได้ด้วย และเมื่อพูดถึงเรื่องสายตาแล้ว ผมว่า ชเวซึงฮยอนเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด โดยที่ไม่มีใครมาแทนที่เค้าได้ในเรื่องของนักแสดงที่มีดวงตาที่ดี"

 
[นักแสดงชาย คุณ Kwak Do Won]
“มันต้องเป็นการแสดงที่เต็มไปด้วยความเครียดมากๆแน่ๆในการที่จะต้องมาแสดงร่วมกับรุ่นพี่ในขณะที่ตัวเองอายุยังน้อยเพียง 28 ปีเท่านั้น และเค้าจะต้องทำงานอย่างหนักมากๆเพราะมีฉากที่จะต้องเปิดเผยร่างกายด้วย ซึ่งมันจะต้องเป็นเหมือนภาระอันหนักอึ้งมากๆสำหรับเค้า ผมไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถรับมือกับสถานการณ์นี้ได้ทั้งหมดในตอนที่ผมอายุเท่าเค้า แต่ชเวซึงฮยอนกลับรับมือกับมันได้ดีมากๆและทำอย่างสุดความสามารถของเค้าจริงๆ" 

[นักแสดงหญิง คุณ Shin Se Kyung]
 “ในขณะที่ฉันมองซึงฮยอนโอปป้าที่กำลังคิดอย่างจริงจังและทำงานอย่างขยันขันแข็ง มันมีหลายครั้งทีเดียวที่ฉันจำเป็นต้องหันกลับมามองตัวเอง ตัวฉันไม่ค่อยได้ทำงานแสดงร่วมกับนักแสดงที่มีอายุเท่าๆกันบ่อยเท่าไหร่ค่ะ ซึ่งจากการมองเค้าแล้ว ฉันรู้สึกประหลาดใจและประทับใจมากค่ะ" 


[นักแสดงชาย คุณ Kim In Kwon]
“ชเวซึงฮยอนมีบุคคลิกที่หลากหลายมากๆ เค้ามีด้านหนักๆซีเรียสของนักแสดงเลือดร้อน และ เค้าก็มีด้านที่ยืดหยุ่นขี้เล่นไม่รู้จบอีกด้วย เค้าเป็นนักแสดงที่อนาคตสดใสมากแน่ๆกับอาวุธครบพร้อมและคุณภาพครบครันอย่างที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนี้ครับ" 

[นักแสดงชาย คุณ Yoo Hae Jin]
 “ตั้งแต่ช่วงเวลาแรกที่เราเริ่มทำงานร่วมกัน เราก็เข้ากันได้อย่างกลมกลืนดีเลยครับ ผมเกือบจะมีความรู้สึกขอโทษกับบท Goni ที่คุณ Cho Seung Wooแสดงเอาไว้ ที่ผมเคยทำงานร่วมกับเค้าในภาพยนตร์เรื่อง <Tazza> ภาคแรกในปี (2006) เลย เพราะการที่ผมสนิทกับชเวซึงฮยอนมากๆในภาคนี้เหมือนกับผมหักหลังเค้าเลย แต่ในขณะที่ผมถ่ายทำไป โดยที่ผมไม่รู้ตัว ตัวละคร Daegil ได้เข้ามาแทนที่ Goni ได้อย่างสมบูรณ์แบบโดยที่ผมไม่ทันจะรู้ด้วยซ้ำ" 


 [ นักแสดงหญิง คุณ  Go Soo Hee]
 “ชเวซึงฮยอนเป็นนักแสดงที่เหมือนกับ ฟองน้ำ ในตอนที่ผู้กำกับคุณ KangHyungCheol ขอให้เค้าทำอะไรหรือกำกับอะไรให้เค้าแสดงในกองถ่าย เค้าจะดูดซับข้อมูลโดยที่ไม่ต้องอธิบายซ้ำเป็นครั้งที่ 2 หรือ 3 เค้าถึงกับเอาสิ่งเหล่านั้นที่เค้าเรียนรู้ไปปรับใช้ได้อีกด้วย และเค้าก็ทำมันออกมาได้ดีมากๆ โดยที่ไม่สูญเสียพลังไปเลยแม้แต่น้อย " 

[นักแสดงชาย คุณ Oh Jung Se]
 “เค้าเป็นนักแสดงที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับเด็กน้อยที่ไร้เดียงสาออกมา มันเป็นการผจญภัยที่ยอดเยี่ยมมากๆที่เค้าสามารถเปลี่ยนมันให้ออกมาเป็นการแสดงที่ดีได้" 


 [นักแสดงชาย คุณ  Lee Gyeong Young]
 “มันน่าประทับใจมากที่ได้มองดูเค้าทำงานอย่างเต็มไปด้วยความหลงใหล มีอยู่ฉากนึงที่ผมต้องกอด daegilเหมือนกับเค้าเป็นลูกชายแท้ๆของผม ตอนนั้นมันทำให้ผมรู้สึกภูมิใจและมีความสุขมากๆๆ มันถึงขั้นที่ว่าผมคิดว่าตัวผมเองมีลูกชายที่หล่อขนาดนี้เลยเหรอ (หัวเราะ) " 

[นักแสดงหญิง คุณ Park Hyo Ju]
 “เค้ามีความกระตือรือร้นเต็มไปด้วยความหลงใหลแม้ว่าจะไม่ได้อยู่หน้ากล้องก็ตาม และเป็นเพราะเค้ามีด้านที่สดใสและไร้เดียงสาเหมือนกับเด็กหนุ่มที่มีลักษณะท่าทางที่น่าหลงใหล ฉันสามารถทำงานร่วมกับเค้าได้อย่างราบรื่นด้วยความสุขใจค่ะ"

Eng Translated by bigbanggisvip
Thai Translated by miss mew 
Please take out with credits! 

=================

บทความนี้นำมาจาก นิตยสาร Maxmovie ค่ะ ทางดันอาเจ้าของบทแปลภาษาอังกฤษบอกว่าต้องการแปลให้ทุกคนอ่านเพราะมันแสดงให้เห็นว่าทาบิได้ทำงานอย่างหนักมากเพื่อภาพยนตร์เรื่องนี้ และเค้าได้รับคำชมจากนักแสดงรุ่นพี่มากมาย มันทำให้เรารู้สึกภูมิใจในตัวเค้านะคะ เช่นเดียวกับมิว มิวส่งต่อบทความนี้เป็นภาษาไทยให้ทุกคนได้อ่านถึงความความตั้งใจและความพยายามของทาบิเช่นกัน และมันทำให้มิวภูมิใจในตัวเค้าเช่นกันค่ะ 

หวังว่าทุกคนจะมีความสุขในการอ่านนะคะ XD
 

วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2557

[Part2] สัมภาษณ์ TOP จากนิตยสาร Arena: Korea ฉบับเดือน กันยายน2014


Q: ในการ์ตูนฉบับดั้งเดิม มีเนื้อเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศอยู่บ้าง บางทีคุณอาจจะต้องแสดงฉากนั้นบ้างรึเปล่าคะ? แล้วในฐานะที่เป็นไอดอลคุณกังวลใจบ้างไม๊?? TOP: ไม่เคยมีซักครั้งที่ผมจะพูดว่า"ผมทำไม่ได้" ครับ ผู้กำกับก็ไม่อยากจะแสดงออกให้มันดูโจ่งครึ่มหยาบโลนเกินไปด้วยเช่นกัน ผมคิดว่า เค้าคงคิดว่าเป็นเพราะเนื้อเรื่องก็มีเรื่องหยาบโลนมากพอแล้ว มันจะทำให้ต้นฉบับดูด้อยราคาลงไปมากถ้าพวกเราถ่ายทำฉบับภาพยนตร์กันอย่างโจ่งครึ่ม 

แต่ก็ถือว่ายังมีบางฉากที่เป็นแบบนั้นเหมือนกันนะครับ ผมได้ถ่ายทำฉากที่นักแสดงทั้งหมดต้องเปลือยกาย และผมก็ได้ถ่ายทำฉากบนเตียงด้วย ผมถ่ายทำฉากเหล่านั้นโดยสวมแค่กางเกงชั้นในเท่านั้นซึ่งเป็นครั้งแรกที่ผมเคยทำแบบนี้ตั้งแต่เกิดมา ถึงแม้ว่าผมจะเป็นคนที่ขนาดเสื้อแขนสั้นยังไม่ใส่เลยก็ตามฮะ 

Q: คุณรู้สึกถึงการได้ปลดปล่อยเป็นอิสระไม๊คะหลังจากที่ได้ลองทำแบบนั้นดู??
TOP: ไม่เลยฮะ ผมประหม่ามากๆ แต่ผมก็ไม่สามารถจะแสดงความประหม่าเหล่านั้นออกมาได้ ถ้าผมเกิดเครียดขึ้นมา ทีมงานและรุ่นพี่ทุกคนก็จะรับรู้ได้ถึงความเครียดและพลังด้านลบและประหม่าเช่นกัน 

ด้านนอกผมแสดงเหมือนกับว่าผมสบายดีทุกอย่างโอเค แต่จริงๆแล้วผมประหม่ามากๆเลยละครับ อย่างที่ผมบอกแหละครับ ผมไม่ชอบการโชว์ร่างกายหรือผิวพรรณมากๆ ผมไม่สวมเสื้อยืดแขนสั้นด้วยซ้ำทั้งๆที่อยู่ในฤดูร้อน แต่ในตอนที่ถ่ายทำฉากที่ไม่ได้สวมเสื้อผ้าตอนนั้นก็ไม่ค่อยมีความคิดใดๆผ่านเข้ามาในหัวผมหรอกนะครับ (หัวเราะ) บางทีนี่อาจจะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ผมจะถ่ายทำฉากที่เปิดเผยมากขนาดนี้ 

Q: ทำไมถึงพูด ด่วนสรุปแบบนั้นละคะ??
TOP: มันมีเหตุผลอยู่นะครับในการที่ผมตัดสินใจที่จะโชว์ร่างกายบ้างในภาพยนตร์เรื่องนี้ ยกตัวอย่างเช่น ในภาพยนตร์แอคชั่นอย่างเรื่อง <The Commitment> มันคงจะให้ความรู้สึกที่มากเกินไปถ้ามันจะมีฉากให้ถอดเสื้อโชว์กล้ามเนื้อเพื่อจะได้ดูเท่ ผู้คนอาจจะพูดกันว่า "ที่เค้าตัดสินใจถอดเสื้อเพราะอยากจะดูเท่ในหนังใช่ไม๊นะ?? " แต่ในภาพยนตร์เรื่อง <Tazza- Hand of God> พวกเค้าไม่ได้จัดแสงเพื่อให้รูปร่างผมดูเท่เลยครับ มันไม่ใช่ฉากแบบนั้น 

ในตอนที่ผมอ่านบท ผมคิดว่า ยิ่งผมถอดเสื้อได้มากเท่าไหร่ก็จะยิ่งเพิ่มความสนุกให้กับเนื้อเรื่องมากเท่านั้น ผมคิดว่าการถอดเสื้อผ้าออกในครั้งนี้เป็นการเพิ่มความน่าสนใจให้กับเนื้อเรื่องครับ 

Q: จริงค่ะ ฉากที่พวกคุณต้องเปลือยกายเล่นไพ่ Hwatu มันเป็นสัญลักษณ์ของความเคลือบแคลงสงสัยและความละโมบโลภมาก TOP: เพราะผมรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องสำคัญ ผมจึงได้รับกำลังใจและเต็มใจที่จะถอดเสื้อผ้าออกครับ อืม..... เมื่อฟังๆดูสิ่งที่ผมได้พูดออกไป ผมพูดเหมือนกับนักแสดงหญิงเลยครับ (หัวเราะ)

Q: ฮาาา งั้นคุณคงตั้งสมาธิไปที่บทบาทมากกว่าที่จะมัวมาคิดเรื่องฉากนั้น ??
TOP: ผมคิดว่าผมคงจะไม่ถอดเสื้อผ้าออกหรอกครับถ้าฉากนั้นมันไม่ได้มีส่วนจำเป็นต่อการดำเนินเนื้อเรื่องในภาพยนตร์ คือผมรู้สึกมากกว่าการที่ต้องถอดเสื้อผ้าออกในภาพยนตร์นะครับ ผมคิดว่าตัวเองเกลียดการเปิดเผยร่างกายในแบบที่เป็นอาการทางจิตครับ ผมมักจะสวมแต่เสื้อแขนยาวเวลาอยู่บ้าน ผมเกลียดเวลาที่ผิวของผมไปสัมผัสโดนสิ่งต่างๆ เป็นเวลากว่า 10 ปีมาแล้วที่ผมไม่ได้สวมกางเกงขาสั้นเลย 

ผมจะไม่พูดว่าตัวเองอ่อนไหวเกินไปหรอกนะครับ เอาเป็นว่าผมขี้อายมากๆๆ สำหรับผม การเปิดเผยผิวพรรณ เป็นการกระทำที่น่าอายมาก ในตอนที่ผมถ่ายทำฉากบนเตียง ผมถามผู้กำกับว่า "คุณอยากให้ผมถอดกางเกงชั้นในออกด้วยรึเปล่าครับ??" (หัวเราะ) ผมคิดว่ามันคงไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่ในการที่จะสวมหรือถอดกางเกงในในตอนนั้นเพราะผมต้องถอดเสื้อผ้าโชว์ร่างกายอยู่แล้ว (หัวเราะ) 

มันสนุกดีครับ การที่ได้รับประสบการณ์ในบางอย่างแบบนี้ครั้งนึงในชีวิต 


Q: จริงๆมีเรื่องให้น่ากังวลมากอยู่ในนะคะเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้ เช่น คำวิจารณ์ต่างๆ TOP: ผมอ่านคำวิจารณ์นะครับแต่ผมไม่ได้รู้สึกว่าถูกทำร้ายจากพวกมันเลยครับ ขนาดในตอนที่บิกแบงออกอัลบั้ม ก็มักจะมีคอมเม้นซ์ที่เกลียดชังเสมอครับ แต่หลังจากนั้น ผมเรียนรู้ว่าผู้คนก็มักจะเปลี่ยนแปลงไปเมื่อเวลาผ่านไป มันค่อนข้างน่าสนใจทีเดียวนะครับในการมองดูการเปลี่ยนแปลงนี้ 

ผมรู้สึกว่าตัวเองมีแอนตี้แฟนน้อยลงๆจนถึงตอนนี้ (หัวเราะ) อ่าาา ครั้งนี้ในตอนที่ผมอ่านคำวิจารณ์ต่างๆผมได้เห็นว่าผู้ตนได้วิจารณ์ผมในบางอย่างที่ผมไม่เคยโดนวิจารณ์มาก่อน (หัวเราะ) 

Q: ทั้งงานนักดนตรีและนักแสดง คุณคิดว่าตัวเองสร้างความสมดุลในงานทั้งสองได้เป็นอย่างดี คุณไม่ได้เอนเอียงไปทางไหนเป็นพิเศษและก็ไม่ได้ลงมือทำในด้านไหนด้านหนึ่งมากเป็นพิเศษ??
TOP:อาชีพหลักของผมคือนักดนตรีครับ แต่ผมพยายามที่จะทำให้งานทั้งสองอย่างนี้มันสมดุลกันครับ 
ผมคิดว่าผมปรากฏตัวในละครเป็นครั้งแรกเมื่อ 8 ปีก่อน ผมคิดว่าตัวเองเป็นคนที่ระมัดระวังในการที่จะทุ่มตัวเองทั้งหมดลงไปในสิ่งสิ่งเดียว ผมไม่ใช่คนประเภทที่จะชอบลองอะไรที่หลากหลายและค้นพบสิ่งที่ชอบเพียงอย่างเดียว   แต่ผมเป็นคนประเภทที่จะทุ่มเทพลังงานทั้งหมดลงไปจัดการเตรียมงานทุ่มทั้งใจลงไปกับงานเป็นชิ้นเป็นชิ้นไป ดังนั้นผมว่าผมน่าจะสามารถหาทางสมดุลกับงานทั้งสองอย่างนี้ได้ดีนะครับ  

Q: ถ้าสถานการณ์เอื้อให้คุณทำได้แบบนั้นก็ดีสิคะ
TOP: อืมม ก็ไม่จำเป็นเท่าไหร่นะครับ ผมรู้ว่าครั้งนี้ผมควรจะขยันทำงานให้มากขึ้นอีก แต่ผมเป็นพวกที่ไม่ง่ายนักนะครับที่จะลงมือทำอะไร ผมรู้สึกว่าตัวเองมักจะเก็บรักษาอะไรบางอย่างไว้เสมอ ในตอนที่ผมทำการแสดงมันก็ยังมีบางครั้งที่ผมแอบดูรายการเพลง และผมมักจะมองดูว่าผู้คนในตอนนี้เค้าทำอะไรกันบ้าง คือผมไม่ชอบการกระโดดเอาตัวลงไปลอง ผมเกลียดการที่จะต้องยอมแสดงด้านอ่อนแอของตัวเองออกมา ดังนั้นผมจะไม่ลงไปลองหรือกระโดดลงไปลงมือทำในสิ่งที่ผมรู้สึกว่ามันไม่จำเป็นครับ 

Q: เพราะมันยังคงมีความเสี่ยงในการที่จะล้มเหลวได้ ทั้งๆที่ตัวคุณก็เป็นคนมีทักษะอยู่มากเหรอคะ??
TOP:ผมหมายถึงในทางตรงกันข้ามเลยละครับ ผมไม่อยากที่จะลงมือทำในสิ่งที่ในสาขานั้นๆไม่มีคนที่เก่งๆอยู่เลยครับ อืมมม ผมพูดตรงไปรึเปล่าครับ?? (หัวเราะ) ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ทำการสัมภาษณ์แบบนี้หลังจากที่ผมห่างไปนาน  

คือครับ ผมเป็นคนประเภทที่จะขยับตัวลงมือทำถ้าผมรู้สึกถึงแรงกระตุ้นบางอย่างในตัวผมครับ ผมค่อยๆกลายเป็นคนแบบนี้ไปแล้วครับ ความจริงที่ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีความเสี่ยงมากก็ยิ่งกระตุ้นตัวผมมากขึ้นอีก มันทำให้ผมถูกดึงดูดด้วยภาพยนตร์เรื่องนี้มากขึ้นอีก 

Q: เพราะว่ามันเป็นภาพยนตร์ที่"เสี่ยงสูงแต่ถ้าฮิตก็จะได้รับกลับคืนสูง" แบบนั้นเหรอคะ?
TOP:ผมยังคงไม่ค่อยแน่ใจนะครับว่าจะได้รับอะไรกลับมาจากการแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ เมื่อเทียบกับความเสี่ยงต่างๆที่ผมพูดมา ผมคิดจริงๆว่าผมคงไม่ได้รับอะไรที่ยิ่งใหญ่มากๆจากมันหรอกครับ หากผมทำออกมาดีไม่พอสำหรับการได้รับเสียงปรบมือจากผู้ชมทุกคน  มันเป็นภาพยนตร์ที่เสี่ยงสูงครับ 

ผมรู้ดีว่างานการ์ตูนชุดฉบับดั้งเดิมนั้นเป็นชิ้นงานที่ได้รับความรักจากผู้คนมากมาย แต่ผมก็ยังคงต้องการที่จะท้าทายตัวเองอยู่ดี

Q: เท่าที่ฟังคุณมาคุณเป็นคนที่ตั้งใจทำงานอย่างหนักมากจริงๆนะคะ
TOP:ผมพยายามที่จะไม่ขี้เกียจนะครับ เพราะตัวเองยังอายุน้อยอยู่ ผมพยายามที่จะทำงานในขณะเดียวกันก็มองไปยังอนาคต หากผมไม่ยอมเสี่ยงและลองอะไรใหม่ๆในตอนนี้ ผมรู้สึกว่าตัวเองคงกลายเป็นคนล้าสมัยแน่ๆในอีก 10 20 30 ปีข้างหน้า 

ถึงแม้ว่าคุณจะต้องล้มเหลว หากคุณยังคงพยายามมองหาอะไรใหม่ๆต่อไป ก็ยังจะเป็นคุณไม่ใช่เหรอที่จะเป็นคนที่นำกระแสได้เมื่อเวลาผ่านไป ? หากคนเราเอาแต่เลือกเดินทางที่ปลอดภัยโดยไม่ยอมรับความเสี่ยงเลย เค้าก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆในชีวิต ผู้คนก็จะเริ่มเบื่อหน่ายคนคนนั้น  

Q: เพราะโอกาสในการเปลื่ยนแปลงนั้น มักจะหมดลงง่ายๆ นะคะหากมองในแง่นี้ กลยุทธิ์ของคุณที่มักจะเก็บเนื้อเก็บตัวไม่แสดงตัวออกมาบ่อยจนเกินไป ก็ดูไม่เลวนะคะ?
TOP: แต่มันเป็นกลยุทธิ์ที่ยากต่อการปฏิบัติมากๆโดยเฉพาะในทุกวันนี้นะครับ ผมไม่ได้แสดงตัวออกมาบ่อยนักเป็นเพราะผมไม่มีอะไรในตัวที่จะเอาออกมาโชว์ได้เท่าไหร่ หากผมเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงมากๆ ผมคงถ่ายรูปตัวเองและโพสให้คนดูกัน แต่นี่เป็นเพราะ ผมเข้มงวดกับตัวเองมากเกินไป ปัญหาของผมคือ ผมเป็นคนที่คิดเยอะคิดมากเกินไปครับ 


 Q: คุณต้องกลายเป็นคนที่คิดมากรอบคอบเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายจากภายนอกเหรอคะ การที่คุณปรากฏกายออกมาบ่อยเกินไป มันอาจจะเกิดความเสี่ยงได้? 
TOP:ผมไม่เคยทำอะไรที่จะนำไปสู่สถานการณ์ที่อันตรายเลยครับ เวลาที่ผมพักผ่อน ผมจะเอาแต่อยู่ในบ้านหากผมได้รับวันหยุด 2 อาทิตย์ ผมก็จะอยู่แต่ในบ้านตลอดสองอาทิตย์นั้น ขนาดเวลาที่ผมจะนัดเจอเพื่อ ผมจะพาพวกเค้ามาที่บ้านและมาดื่มไวน์ด้วยกัน 

ผมพยายามที่จะไม่ไปทำผิดพลาดอะไรที่ไหน ผมรู้ว่าตัวเองเป็นเหมือนตัวอันตรายที่คาดเดาอะไรไม่ได้ ดังนั้นผมจึงพยายามที่จะควบคุมตัวเองมากขึ้นอีกนะครับ (หัวเราะ) 

Q: มันคงเป็นการยากในการที่ต้องรอคอยนะคะ 
TOP: มันมีคำกล่าวที่ว่า "ให้แบไพ่ในมือออกมาให้หมดหน้าตัก" (หมายถึงการที่แสดงออกตัวตนของตัวเองออกมาจนหมด)แต่ผมมักจะมั่นใจอยู่เสมอว่าตัวเองยังมีไพ่ที่ยังไม่ได้ใช้อยู่ในมืออีกเสมอ ผมพยายามที่จะเก็บรักษามันเอาไว้เสมอ 

ในฐานะที่เป็นศิลปินของประชาชน ผมสามารถเห็นภาพได้ว่าในครั้งนี้ผมควรจะลงมือทำอะไร เป็นเพราะแบบนี้ผมถึงไม่รู้สึกกระวนกระวายหรืออะไรทั้งนั้น มันยังคงมีอะไรอีกหลายอย่างที่ผมสามารถที่จะแสดงออกมาได้ 

ในเรื่องเพลงก็เช่นกันมันมีเหตุผลว่าทำไมผมไม่เคยออกอัลบั้มเดี่ยวเลยทั้งๆที่พวกเราบิกแบงฟอร์มวงมากว่า 10 ปีแล้ว แต่แน่นอนแหละครับ ผมพลาดช่วงเวลาที่จะทำอัลบั้มเดี่ยวเพราะผมมัวโปรโมทในฐานะนักแสดงและในนามของบิกแบงทำให้พลาดโอกาสไปแต่มันไม่ใช่เหตุผลเดียวหรอกครับ 

ดังนั้นในตอนนี้ผมกำลังสะสมไพ่ในมืออย่างต่อเนื่องครับ และผมก็สะสมเพลงเอาไว้ทำอย่างต่อเนื่องเหมือนกัน  

Q: งั้นคุณก็คำนวณอย่างดีเลยว่าเมื่อถึงเวลาคุณก็จะงัดเอาไพ่ในมือที่สะสมเอาไว้ออกมา เมื่อถึงเวลาจำเป็น?? 
TOP:ผมไม่ใช่คนที่จะคำนวณอะไรแบบนั้นได้ครับ จริงๆแล้วตัวผมเป็นคนที่อ่อนไหวเอามากๆ พูดตรงๆคือ ผมคิดว่าตัวเองหนักไปในทางขี้ขลาดด้วย และเพราะ ผมเป็นคนขี้ขลาดที่อ่อนไหวผู้ซึ่งไม่สามารถใช้ชีวิตในแบบที่ผ่านการคำนวณหรือวางแผนไว้ได้ผมจึงมักจะเอาแต่หลบซ่อน นอกจากนี้ผมยังคิดว่าตัวเองขาดความมั่นใจในตัวเองเอามากๆ

ผมจะรอคอยอย่างต่อเนื่องและจะแสดงออกเพิ่มขึ้นต่อหน้าผู้คนเมื่อผมแข็งแรงขึ้น หากจะให้ผมคำนวณพรสววรค์และทักษะต่างๆของตัวเองที่ผมได้แสดงออกไปแล้วนับได้แค่ 5%ของสิ่งที่มีทั้งหมดในตัวผมครับ เรื่องนี้ผมมั่นใจมาก 

Q: ตอนนี้คุณกำลังรอคอยช่วงเวลาที่จะระเบิดหลังการที่ปะทุเดือดๆมาแล้ว??
TOP: ผมชอบที่จะรอคอยอย่างอดทนนะครับ จริงๆแล้วตัวผมเป็นคนที่มีความกระตือรือร้นสูงมากๆ แต่เพราะผมกดความกระตือรือร้นนั้นไว้ ผมจึงรู้สึกถึงอารมณ์ที่จะต้องปลดปล่อย 

บางครั้งเวลาที่ผมมองไปที่คนบางคน ผมจะรู้สึกว่าพวกเค้าไม่มีอะไรเหลือในตัวเลยเพราะพวกเค้าแสดงออกมามากเกินไป คุณจะบอกได้เลยถ้าคุณทำงานในสาขาเดียวกัน แต่สำหรับตัวผมมักจะยึดเกาะสิ่งเหล่านั้นเอาไว้ ขนาดที่เวลาผู้คนรอบข้างผมบอกให้ผมลงมือทำมากขึ้นและกระตุ้นผม ผมก็จะยิ่งระมัดระวังตัวมากขึ้นอีก ผมต้องการที่จะแสดงออกตัวตนของผมมากขึ้นในตอนที่ผมอิ่มตัวมากกว่านี้ครับ 

================

Magazine Scans by criticalshot
Translated by bigbanggisvip
Thai Translated by miss mew 
Please credit when taking out!

=================

สัมภาษณ์ ทาบิจากนิตยสาร Arena : korea เดือนกันยายน 2014
Part 1 
part2 
 

[Part1] สัมภาษณ์ TOP จากนิตยสาร Arena: Korea ฉบับเดือน กันยายน2014

บูม! ชายคนนึงกำลังยืนอยู่หน้ากล้อง เค้ากำลังพูดคุยพร้อมๆไปกับแตะผมด้านหลังใบหู เค้าคือ ชเวซึงฮยอนนั่นเอง ในตอนนี้ชื่อนี้มีความหมายคล้ายคลึงกับคำว่า ท็อป ที่แปลว่าจุดสูงสุดแล้ว เค้าถ่ายทำภาพยนตร์ไปแล้วรวม 3 เรื่อง


เค้าโพสท่าโดยหันมือและเท้ามาทางกล้อง เค้าผ่อนคล้ายกล้ามเนื้อที่ไหล่และเอาบรรยากาศทั้งหมดอยู่หมัด แว่นตากันแดดสีเหลืองนั้นดูเหมือนมันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเค้าเลยทีเดียว จริงๆแล้วในความทรงจำของกองบรรณาธิการเค้าไม่ได้เป็นแบบนี้เลย ในตอนนั้นเค้ามาลงปกนิตยสารของเราพร้อมกับมีงานในภาพยนตร์เรื่อง <71: Into the Fire> เค้าดูแข็งๆในตอนนั้น สายตานั้นแหลมคมเหมือนกับคมปลายธนู แต่ร่างกายกลับแข็งเหมือนเป็นท่อนไม้

แต่ก็เป้นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายว่าทำไมเค้าถึงเป็นแบบนั้น ตอนนั้นภาพนตร์เรื่องนั้นเป็นภาพยนตร์เรื่องแรก
ของเค้าที่เค้าต้องประกบเคียงบ่าเคียงไหล่กับนักแสดงรุ่นใหญ่ทั้งนั้น แต่ถึงยังไงเค้าก็มีตัวตนโดดเด่นไม่ได้โดนกลืนไปแต่อย่างใด

ท็อป ผู้ซึ่งลงมาจากเวทีคอนเสริต์เป็นแบบนั้นแหละค่ะ เค้าดูเหมือนปลาที่โดนตักออกมาจากน้ำ แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นอดีตไปแล้วตอนนี้เค้าชักจะเคยชินกับสภาพแวดล้อมจนถึงจุดที่เค้าจะวาดท่าทาง อย่างเริ่งร่าโดยปราศจากน้ำอีกได้แล้ว อย่างน้อยก็ดูเป็นแบบนั้นละนะ

ถ้ามองกันในแง่ของพัฒนาการ เค้าประสบความสำเร็จมากๆ เพราะเค้ายังคงเอาตัวรอดได้จากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปแบบปัจจุบันทันด่วนอย่างในภาพยนตร์เรื่อง  <Tazza-Hand of God>ได้อีกด้วย.



Q: ดูเหมือนคุณจะกังวลมากๆเลยว่ามันจะออกมาดูเฉิ่มๆในระหว่างที่ถ่ายรูป ทำไมอย่างงั้นละคะ??
TOP: เราตัดสินใจกันว่าจะถ่ายรูปกันในแนวเรโทรย้อนยุคในแบบสนุกๆ โดยการจะต่อผมยาวๆนี้ให้กับผม ผมมักจะต้องสวมสูทเสมอเวลาที่จะต้องถ่ายภาพครับและเป็นเพราะผมกำลังพยายามที่จะแสดงออกด้านใหม่ๆของตัวเองออกมาด้วยผมที่ยาวๆและเสื้อผ้าในแบบย้อนยุค และทำหน้าจริงจังแมนๆ ซึ่งคอนเซ็บซ์แบบนี้มันง่ายมากเลยนะฮะที่จะออกมาดู เฉิ่มๆได้ ดังนั้นผมเลยกังวล

Q: แล้วผลที่ออกมา คุณคิดว่ามันออกมาใช้ได้ไม๊คะ?
TOP:ผมคิดว่ามันมีด้านใหม่ๆที่หลากหลายของผมปรากฏในภาพครับ ผมไม่ค่อยได้ลองถ่ายทำในคอนเซ็บซ์ใหม่ๆบ่อยๆเพราะผมอยากจะรักษามันไว้บ้างครับ ถ้าผมแสดงออกมามากเกินไป มันก็อาจจะหมดได้ ผมเลยมักจะเก็บรักษาคอนเซ็บซ์ต่างๆเอาไว้ เพื่อเพิ่มความสดใหม่อยู่เสมอแต่ครั้งนี้ผมได้พยายามลองอะไรใหม่ๆกับทาง <ARENA>.

บทบาทที่ผมแสดงในภาพยนต์เรื่องใหม่นั้นแตกต่างจากบทที่ผมเคยแสดงมาก่อนอย่างมากดังนั้นในตอนนี้ผมรู้สึกกระตือรือร้นในการที่จะแสดงออกด้านใหม่ๆของตัวเองออกมา และผมก็คิดว่าผมควรจะแสดงออกในสิ่งใหม่ๆในการถ่ายแบบเป็นครั้งแรกหลังจากห่างหายไปนานแบบนี้ด้วย

Q: การได้มองคุณในระหว่างการถ่ายแบบนั้นเป็นเรื่องใหม่เหมือนกันนะคะ คุณดูผ่อนคลายมากกว่าตอนที่คุณโปรโมทภาพยนตร์เรื่อง <71:Into the Fire> มากๆเลย 
TOP:ในตอนนี้ผมรู้สึกจะผ่อนคลายมากเกินไปแล้วละครับซึ่งมันจะเป็นปัญหาเอาได้นะครับ (หัวเราะ) จริงๆแล้วพื้นฐานผมชอบการถ่ายแบบนะครับ ผมสนุกกับมันและรูปจะออกมาดีขึ้นด้วยถ้าผมสนุกไปกับมัน ถึงผมจะทำตามคอนเซ็บซ์ที่ได้รับมา แต่ผมก็เรียนรู้ที่จะแสดงออกด้านที่หรูหราของตัวเองลงไปในคอนเซ็บซ์ที่ได้รับด้วย คุณต้องมีความรู้สึกละโมบอยากให้รูปออกมาดีๆ 

จริงๆแล้วผมมักจะป้องกันไม่ให้ตัวเองขี้เกียจฮะ เพราะถ้าขี้เกียจสิ่งใหม่ๆก็จะไม่ได้ทำให้สำเร็จออกมา ผมมักจะซ่อนไพ่ของตัวเองไว้เสมอและเตรียมตัวให้พร้อม

Q: ภาพยนตร์เรื่องใหม่ของคุณก็เป็นแบบที่คุณอธิบายมาเลยนะคะ มันเหมือนกับว่าคุณโชว์ไพ่ที่คุณเก็บซ่อนตลอด ออกมาให้พวกเราได้เห็น
TOP: ในตอนที่ผมให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่อง <The Commitment>,ผมเคยพูดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นเรื่องสุดท้ายที่ผมจะแสดงออกบุคคลิกของตัวเองออกมา และผมจะเลือกบทบาทที่น่าตกใจและคาดไม่ถึงเลยในภาพยนตร์เรื่องต่อไป

ในขณะที่กำลังมองหาบทแบบที่ตั้งใจผมก็มาเจอบทภาพยนตร์เรื่อง <Tazza-Hand of God>ครับ แต่ผมก็ลังเลในตอนแรกนะครับเพราะ ผมอาจจะโดนวิจารณ์อย่างดุเดือดจากแฟนๆการ์ตูนฉบับดั้งเดิมได้  แต่ตอนนี้ผมจะไม่สนใจในเรื่องใดเลยถ้าเรื่องนั้นมันไม่ได้กระตุ้นอะไรบางอย่างในตัวผม ถึงแม้ผมจะรู้ว่ามันจะต้องหนัก ผมก็อยากจะท้าทายตัวเอง ในขณะที่ถ่ายทำผมยังคงพยายามที่จะดึงเอาด้านต่างๆที่ตัวเองไม่มี ออกมาอยู่เรื่อยๆอย่างต่อเนื่องครับ

Q: เรื่องในชีวิตประจำวัน , อารมณ์ความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนระหว่างเพศ, การต่อสู้ในโลกแห่งการพนัน , มนุษยธรรม และเรื่องอื่นๆอีกมากมาย คุณจำเป็นต้องแสดงออกเรื่องที่กว้างมากๆแบบนี้ของมนุษย์ในระหว่างที่แสดงด้วย ซึ่งมันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับบทบาทล่าสุดของคุณเลยที่จะเน้นหนักแสดงออกไปที่ความรู้สึกเท่านั้น
TOP:ขนาดในตอนที่ผมอ่านบท ผมคิดว่าผมคงจะแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้แน่ๆถ้าไม่ยอมละเปลือกชั้นต่างๆในตัวเองออกไปซัก สองสามชั้น และเป็นเพราะแบบนี้ผมจึงต้องต่อสู้กับตัวเองอย่างมาก ถ้าหากผมพยายามเกินไปที่จะดึงเอาด้านที่ตัวเองไม่มีออกมา คนดูก็คงคิดว่า " เอ?? ทำไมคนคนนี้ถึงทำแบบนี้ละ??" และคงคิดว่าผมพยายามเกินไปและคงจะยากสำหรับพวกเค้าที่จะอินไปกับภาพยนตร์ได้ซึ่งคุณจะต้องไม่ยอมให้ผู้ชมเห็นแบบนั้นเด็ดขาด

ในคืนก่อนที่จะเริ่มการถ่ายทำ ผมมีปัญหามากเลยละครับ การที่ย้อนคิดไปว่า ผมจะบรรยายบทบาทนี้ออกมายังไงให้มันดูไม่ซ้ำซากจำเจ?? ผมคิดเรื่องนี้เยอะมากครับ ผมไม่อยากจะวาดกรอบขีีดเส้นด้วยว่าจะไปได้สุดๆที่ตรงไหน แต่ผมแค่อยากจะลอกเปลือกชั้นที่ห่อหุ้มตัวเองออกไปให้หมด  



Q: คุณชอบการพนันรึเปล่า??
TOP:ผมเป็นคนไม่ชอบเล่นเกมเลยครับ รวมถึงไพ่ด้วย ถึงขนาดที่ว่าผมไม่เคยเล่นเกมไพ่ในคอมพิวเตอร์ด้วยตั้งแต่เด็กๆมาแล้ว ผมมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าในการที่จะเอาชนะครับ ดังนั้นผมมีความรู้สึกว่าผมต้องมองเห็นจุดจบของมันให้ได้ทันทีที่เริ่มเล่น ผมมักจะเตือนตัวเองอยู่เสมอและไม่เคยเล่นเกมใดๆเลย

ผมฝึกเล่นไพ่ Hwatu หนักมากๆในครั้งนี้ แต่ผมก็มีจุดประสงค์ว่าจะเป็นแบบนี้เพื่อการแสดงเท่านั้น ผมสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่า ไม่ว่าผมจะเล่นไพ่นี้เก่งแค่ไหนก็ตาม ผมก็จะไม่มีทางเล่น Hwatu เด็ดขาดครับ

Q:คือคุณไม่ต้องการจะเล่นเลยเพราะมันจะทำให้คุณโกรธมากถ้าหากว่าเกิดแพ้ขึ้นมาใช่ไม๊คะ? ฉันเข้าใจนะว่าคุณหมายถึงอะไร 
TOP: ใช่ครับ ผมอาจจะต้องเอาชีวิตตัวเองลงมาเลยละฮะ (หัวเราะ)

Q: จริงๆแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ของคุณก็เหมือนกับการเล่นพนันเหมือนกันนะคะ
TOP:ผมคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่ผมจะได้เติบโตอย่างแน่นอนครับ เพราะผมต้องแสดงออกถึงด้านที่ผมไม่เคยแสดงออกมาก่อนหรือด้านที่ไม่มีในตัวผมด้วยซ้ำออกมา ผมรู้ว่าผมกำลังจะต้องเสี่ยงอย่างมาก แต่เพราะผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องเสี่ยง ผมจึงถูกมันดึงดูดมากขึ้นไปอีก ตอนนี้ผมจะไม่สนใจในสิ่งที่ไม่เสี่ยงเลยละครับ 

Q: ตอนนี้การถ่ายทำภาพยนตร์ก็เสร็จสิ้นลงไปแล้ว ในด้านไหนที่ทำให้คุณเติบโตขึ้นคะ?? 
TOP: พูดตรงๆนะครับ ผมไม่แน่ใจว่า ตรงนี้มีเส้นของความเหมาะสมอยู่ตรงไหนมันจะเหมาะไม๊ (555)   ในตอนที่ถ่ายทำผมพยายามที่จะจับเอาความจำเพาะของนักแสดงแต่ละคนเอาไว้และผมมั่นใจว่าจะสามารถโชว์ในสิ่งที่เรียนรู้มานี้ได้ในภาพยนตร์เรื่องต่อไป ผมได้รับความมั่นใจมากขึ้นนิดนึงในทางที่ดีนะครับ

มีคนกล่าวไว้ว่า เมื่อคุณทำงานกับคนคนนึงคุณจะสามารถเห็นด้านที่หลากหลายของการใช้ชีวิตของเค้าได้ ด้วยประสบการณ์อันนี้ ผมสามารถมองเห็นด้านที่หลากหลายนั้นในระดับนึงเลยครับและมันทำให้ผมได้รับพลังที่ดีๆมามากมาย 

Q: เป็นเพราะมีนักแสดงรุ่นพี่มากมายร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย ในตอนแรกคุณรู้สึกกลัวเหมือนโดนข่มขวัญบ้างไม๊คะ?? 
TOP: จริงๆแล้วมันทำให้ผมมั่นใจมากขึ้นซะอีกครับ เป็นเพราะภาพยนตร์เรื่องนี้ผมได้พบกับคนที่คล่องแคล่วเชี่ยวชาญ คนที่น่าทึ่งแสนวิเศษหลายๆคนที่ช่วยกระตุ้นความปรารถนาในการที่จะเอาชนะในตัวผมให้ลุกโชน ดังนั้นผมจึงได้รับพลังดีๆจากพวกเค้าครับ 

พวกเค้ากล่าวว่ามันมักจะมีสงครามประสาทระหว่างนักแสดงในระหว่างถ่ายทำ และระหว่างนักร้องเวลาที่ขึ้นเวที แต่ผมไม่เก่งที่จะทำอะไรแบบนั้นหรอกครับ ในทางตรงกันข้าม ผมพยายามที่จะรับรู้เอาพลังดีๆจากคนอื่นมากกว่า ผมพยายามรับเอาส่วนที่ดีที่ทรงพลังเอาไว้และส่งมันกลับคืนไปให้พวกเค้าเช่นกัน ผมทำแบบนั้นบ่อยมากๆในระหว่างที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ 



Q: <Tazza-Hand of God>เป็นหนังประจำเทศกาลชูชอก เมื่อไหร่ที่คนพูดกันว่า "เป็นหนังประจำเทศกาลชูชอก" นั่นหมายความว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะได้รับความสนใจและถูกจับตามองเป็นพิเศษ มันคงเป็นความรู้สึกที่แตกต่างไปนะคะที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์แบบนี้ 
TOP: ผมไม่เคยคิดแบบนั้นเลยละครับ มันยังคงให้ความรู้สึกเหนือจริงอยู่นะครับในการได้ฟังคำว่า "หนังประจำเทศกาลชูชอก" หรือคำว่า"หนังที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ" 

เฉพาะตัวหนังก็สร้างความหนักใจให้กับผมอยู่แล้วละครับดังนั้นผมจะไม่เอาพลังงานของผมไปกังวลในเรื่องนั้นเพิ่ม เพราะผมรู้อยู่แล้วละฮะว่ามีความเสี่ยงสูง

Ham Daegil เป็นตัวละครจากการตูนชุดของคุณ Heo Young Man เรื่อง <Tazza>ซึ่งถูกอ่านและได้รับความรักมากมายจากคนในรุ่นผู้ใหญ่ ผมคิดแล้วคิดอีกคิดแล้วคิดอีกว่าผมควรจะทำให้บทบาทนี้น่าสนใจขึ้นได้ยังไง ผมยังคงรู้สึกอยู่เลยว่า ผมเป็นตัวแทนของ Daegil ที่ผสมผสานมาจากการสร้างของผู้กำกับ Kang Hyung Cheol และคุณ Heo Young Man.

Q: ดัวยความหนักใจทั้งหมดที่ว่ามา คุณคงรู้สึกผ่อนคลายแล้วในเมื่อการถ่ายทำจบลงซักที
TOP: ก็ไม่เชิงครับ ใบหน้าผมดูแย่มากๆในช่วงนี้ ปกติแล้วผมเป็นคนที่สิวไม่ขึ้นนะครับ ผมรู้สึกตกใจเลยฮะเมื่อมองหน้าตัวเองในการถ่ายภาพครังนี้ 

ช่วงก่อนที่ภาพยนตร์จะออกฉายหรือช่วงก่อนที่อัลบั้มจะออกวางแผงจะเป็นช่วงที่ใบหน้าผมจะแย่ที่สุดครับ การที่ทำงานเสร็จสิ้นและต้องรอที่จะนำเสนองานนั้นสู่สายตาผู้คน เป็นช่วงที่น่ากระวนกระวายใจที่สุดในโลก 

มันเป็นช่วงที่ประสาทจะเล่นงานเอาครับ ผมจะกลายเป็นคนที่อ่อนไหวมากขึ้นในช่วงนี้ ผมจะประหม่า ผมจะนอนไม่หลับ ดังนั้นผมจะนั่งดื่มคนเดียวเยอะมากเลยฮะ  ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงที่น่ากระวนกระวายใจที่สุดสำหรับผม เพราะมันเป็นภาพยนตร์ที่ผมทุ่มเทเอาพลังงานและความรู้สึกทั้งหมดในช่วงกว่า 1 ปีของชีวิตตัวเองลงไปในนั้นนะครับ

=====================


Magazine Scans by criticalshot
Translated by bigbanggisvip
Thai Translated by miss mew 
Please credit when taking out!

=================

สัมภาษณ์ ทาบิจากนิตยสาร Arena : korea เดือนกันยายน 2014
Part 1 
part2

วันพุธที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2557

[จีดราก้อน: 100 บุคคลที่จะทำให้เกาหลีสดใสในอีก 10ปีข้างหน้า]



Q1:ถ้าเกิดจะต้องเขียนประวัติตัวเอง เหตุการณ์ใดที่คุณจะเขียนว่าเป็นเหตุการณ์ที่ดีที่สุดในชีวิตคุณ?
GD: เหตุการณ์นั้นยังมาไม่ถึงฮะ ผมกำลังคาดหวัง และรอคอยมันอยู่ 

Q2:คุณเคยมีเหตุการณ์ใดที่เปลี่ยนแปลงชีวิตคุณไปเลยไม๊?? มันคืออะไรและมันเปลี่ยนแปลงชีวิตคุณยังไง??
GD : เป็นเรื่องของเสียงเพลงครับ มันคือเสียงเพลงที่เปลี่ยนชีวิตผม ผมเคยฝันเวลาที่ได้เห็นรุ่นพี่ร้องเพลงบนเวที มันทำให้ผมฝันอยากที่จะเป็นแบบนั้นและมันทำให้ฝันของผมเป็นจริง มันทำให้ผมเป็นตัวผมทุกวันนี้ 

Q3 : มีช่วงเวลาที่ล้มเหลวหรือเหตุการณ์อะไรไม๊ที่ทำให้คุณได้รับบทเรียนที่ดีจากเหตุการณ์เหล่านั้น บทเรียนที่คุณยังคงจำมันได้จนถึงทุกวันนี้ แล้วคุณใช้วิธีไหนที่จะข้ามผ่านก้าวข้ามความล้มเหลวหรือความลำบากนั้นๆมาได้??
GD : เมื่อสองสามปีก่อนผมทำให้ครอบครัวของผม แฟนๆของผม และผู้คนรอบตัวผมต้องผิดหวังด้วยความผิดพลาดส่วนตัวของผมเอง ความคิดและพลังในแง่บวกที่ช่วยผมไม่ให้ท้อถอยยอมแพ้ช่วยให้ผมลุกขึ้นมาทำงานเพลงอีกครั้ง ความไว้ใจ ความดูแลเอาใจใส่ และ ความรักจากผู้คนเหมือนเป็นหนี้บุญคุณที่ผมยังติดค้างอยู่ ผมพยายามที่จะจ่ายหนี้ของผมอันนี้ครับ

Q4 : อะไรที่คุณอยากจะพูดมากที่สุดกับลูกของคุณให้เตรียมรับเวลาในอีก 10 ปีข้างหน้า ?? คุณสามารถจะพูดแนะนำหรืออะไรก็ได้ให้กับเยาวชนของเกาหลีในอีก 10 ปีด้วยนะคะ
GD : จงเชื่อมั่นในตัวเองนะครับ มันเป็นเรื่องยากที่จะมุ่งความตั้งใจไปยังสิ่งสิ่งเดียวบนโลกใบใหญ่ใบนี้ แต่ยังไงก็จงพยายามทำในสิ่งสิ่งเดียวนี่แหละจนถึงที่สุดเพราะยังไงก็ตามคุณจะประสบความสำเร็จกับมัน อย่าไปกังวลมาก ให้คิดในแง่บวกเข้าไว้ ครับ

Q5 : หากจะให้คะแนนความสำเร็จในชีวิตเต็ม 100 คะแนน คุณจะให้คะแนนตัวเองเท่าไหร่ในเรื่องของสัมพันธภาพในครอบครัว?? มีเรื่องใดไม๊ที่คุณจะต้องทิ้งมันไปเพื่อแลกกับความสำเร็จในทุกวันนี้?
GD : ให้ 67คะแนนมั้งครับ ผมยังคงเป็นน้องเล็กสุดในบรรดาคนในครอบครัว แต่ผมไม่ได้ทำตัวเหมือนน้องเล็กสุดท้องคนอื่นๆหรอกนะครับ ผมไม่ได้ใช้เวลามากเท่าไหร่กับคนในครอบครัว ซึ่งจนถึงตอนนี้มันก็ยังดูเป็นเรื่องที่เป็นงานหนักสำหรับผมอยู่เลยครับ 

Q6 : บอกหน่อยได้ไม๊คะว่าคุณมีเคล็ดลับในการจัดการชีวิตตัวเองยังไงบ้าง? คุณพยายามที่จะทำให้มันเข้าที่เข้าทางหรือมีวิธีพัฒนาจิตใจอะไรดีๆเป็นพิเศษรึเปล่า??
GD :ผมไม่รู้ว่าถ้าตอบไปแบบนี้พวกผู้ใหญ่จะคิดยังไงนะครับ แต่ผมพยายามที่จะนอนหลับให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้นผมจะนอนหลับตลอดในทุกๆครั้งที่มีโอกาสในทุกๆครั้งที่ผมสามารถจะนอนได้ ผมชอบที่จะฝันผมได้แรงบันดาลใจมากมายจากความฝันครับ 

Source : http://news.donga.com/ISSUE/100people/view?y=2014&idxno=66
Ehglish translation by Yoon aka ShrimpLJY
Thai Translation by miss mew 

วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

(Part2:end) สัมภาษณ์ GDYB จากนิตยสาร Bazaar's Man (มีนาคม 2014)




WE OWN THE NIGHT
ในคืนที่หนาวเหน็บ เราได้เจอกับ จีดราก้อนและแทยังบนรถที่กำลังผ่านทางเข้าอันยิ่งใหญ่ของ ‘Les Invalides’.เราพูดได้ว่านี่เป็นไฮไลท์ของงานปารีสแฟชั่นวีคเลยก็ว่าได้ จีดราก้อนนั้นตื่นเต้นมากๆที่จะได้ดูโชว์ของ  Hedi Slimane ที่โชว์ของแบรนด์ Saint Laurent ผู้ซึ่งมีอิทธิพลต่อเค้ามาหลายปีแล้ว ส่วนแทยังก็ร้องเพลงอะไรซักเพลงอยู่เหมือนทุกครั้ง 

จากแชมเปญแก้วแล้วแก้วเล่า ผู้คนต่างก็พูดคุยกันอย่างตื่นเต้นที่งานแฟชั่นโชว์ ทั้งคู่ได้พบปะกับ Pierre Bergé ผู้ที่เป็นเคยเป็นคู่หูในแบรนด์ Saint Laurent และยังได้พบกับ Carine Roitfeld ผู้บริหารใหญ่นิตยสาร<BAZAAR> ในระดับโลก
จากนั้นทั้งคู่ก็นั่งลงบนเก้าอี้ที่มีชื่อ "เมอซิเออร์ จีดราก้อน" และ "เมอซิเออร์ แทยัง" หลังจากที่โชว์สิ้นสุดลงจีดราก้อนและแทยังก็ได้เข้าไปหลังเวทีและพบปะกับดีไซเนอร์ เราได้พบกับทั้งคู่อีกครั้งที่ร้านอาหารใกล้ๆ พร้อมกับ Samgyubsal (ท้องหมู), Dwenjang-jigae (ซุปเต้าเจี้ยว), โซจู และ Bokbunja-ju (เครื่องดื่มจากแบล็กเบอรี่).

“นี่มันดีจริงๆใช่ไม๊ละฮะ” จีดราก้อนพูดขึ้นมาหลังจากที่ดื่มโซจูในแก้วชอตของเค้าลงไป "เหมือนทุกครั้งเลยฮะ เค้าใช้เพลงของวงร็อคตัวจริง เพลงที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก และใช้นายแบบที่ผอมมีหลังค่อมเล็กน้อยซึ่งจริงๆเป็นพวกนักดนตรีมาเดิน ดูย้อนยุค ร็อคแบบเก๋ๆ และเป็นฟังก์ มันทำให้ผมคิดว่านี่แหละทำไมเค้าถึงถูกเรียกว่าเป็น "ราชาแห่งความเท่ " " 

ถ้าจีดราก้อนมี Hedi Slimane แทยังก็มี Rick owen " ไม่ว่าจะเป็นดีไซเนอร์หรือนักดนตรี ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญมากที่สุดสำหรับคนที่คอยมองอยู่นั่นคือพวกเค้าต้องแสดงออกถึงบางสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ มันจะต้องมีอะไรที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเค้า ในอารมณ์นั้น ผมคิดว่ามันเท่มากๆที่ Rick Owen มักจะเชื่อใจตัวเองและแสดงออกถึงความมุ่งมั่นตั้งใจนั้นออกมาในงานดีไซน์ของเค้า ผู้คนมักจะบอกว่าผมเป็นคนดื้อ ในตอนนี้ที่ผมคิดถึงเรื่องนี้ ผมว่าเวลาที่คุณชอบใครคนนึงมากๆคุณมักจะพยายามหาความเหมือนที่คุณมีเหมือนกับเค้าแลัวจากนั้นคุณก็จะยิ่งชอบเค้ามากขึ้นไปอีก" 

เมื่อสองปีที่แล้ว จีดราก้อนได้มาที่แฟชั่นวีคนี้ แทยังมาเมื่อปีที่แล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกไม๊คะที่พวกคุณมาที่ปารีสนี้ด้วยกัน วางแผนกันว่ายังไงบ้างคะเนี่ย?
Taeyang: เราไม่ได้วางแผนอะไรเป็นจริงเป็นจังเลยฮะจู่ๆเราก็ตัดสินใจว่าจะมา หลังจากที่ต่างก็เคยมาที่นี่กันครั้งนึงแล้วเราก็อยากจะกลับมาที่แฟชั่นวีคนี้อีกจริงๆ จริงๆแล้วพวกเราไม่ค่อยมีเวลาหรอกฮะ แต่คราวนี้พวกเราไม่มีงานในตารางเลยเป็นเวลา 1 อาทิตย์ ดังนั้นเลยตัดสินใจมาครับ


เรามาพูดถึงโชว์ทั้งหมดที่คุณไปดูมาจนถึงตอนนี้ดีกว่า มีบางโชว์ที่ทิ้งความประทับใจให้กับพวกคุณอย่างที่เห็นตามรูปภาพต่างๆบน Instagram ใช่ไม๊คะ? 

Taeyang: ก่อนอื่นเลยต้อง Rick owen ฮะมันน่าสนใจมากๆที่เค้าดีไซน์ที่คลุมผมเหมือนกับผ้าคลุมผม Hijab ของสาวมุสลิม  เหมือนกับที่ผมใช้ฟร้อนซ์ภาษาอาราบิกในชุดเสื้อผ้าของเพลง ‘RINGA LINGA’ ผมได้รับแรงบันดาลใจมากมายจาก สถานที่ในประวัติศาตร์และจากวัฒนธรรมที่แตกต่างไปและจากธรรมชาติ ดังนั้นโชว์ของ Rick Owen นั้นสร้างความประทับใจให้กับผมครับ สารภาพนะครับ ผมชอบทุกๆอย่างที่เค้าทำออกมาเลยครับ เสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ รูปถ่าย ทุกอย่างเลยครับ

GD: โชว์จากLanvin สร้างความประทับใจให้กับผมเหมือนกันครับ ลาแวงที่ผมเคยรู้จักไม่ได้เต็มไปด้วยสีสันและ อาจหาญแบบนั้นฮะ และไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ผมดูโชว์ของ Juun.J เค้าทำให้ผมภูมิใจจริงๆ เมื่อปีที่แล้ว โชว์ทุกโชว์ของJuun.J ที่ผมกับยองเบไปดูก็ยอดเยี่ยมมากๆเหมือนกันฮะ เรามีความสุขที่ได้สวมใส่เสื้อผ้า ของ Juun.J ในทุกๆวันปกติของเราฮะ ดังนั้นเราจึงรู้ว่าเสื้อผ้าของเค้ายอดเยี่ยมจริงๆ ในแบบที่สวมใส่ได้จริงๆฮะ 

Taeyang: ในทุกๆปี มันเป็นเรื่องที่ดีจริงๆที่ได้เห็นดีไซเนอร์ชาวเอเซียได้ก่อร่างสร้างก้าวที่แข็งแกร่งลงบนสัปดาห์แฟชั่นที่เป็นแนวทางของเทรนในระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันดีจริงๆที่มีนางแบบชาวเกาหลีมากมายด้วยฮะ  (Kim Tae Hwan, Park Sung Jin และ Park Hyung Sub เดินให้กับแบรนด์ KENZO พวกเค้ารู้จักกับนายแบบหลายคนทีเดียวและช่างแต่งหน้าของบิกแบงก็ดีใจมากๆที่ได้เห็น  Park Hyung Sub ในชุดฟินาเล่ที่โชว์ของ Kenzo )

GD: ผมมักจะรักโชว์ของ Thom Brown อยู่เสมอครับ และครั้งนี้พวกเค้าใช้เพลงที่ได้โปรดิวเซอร์ที่ทำเพลงให้กับภาพยนตร์เรื่อง<Rust and Bone>มาทำเพลงสำหรับโชว์นี้ด้วย มันเต็มไปด้วยช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจฮะ ตอนนี้ที่เรามาพูดกันแบบนี้ ทุกๆโชว์ล้วนแต่ล้ำค่ามากจริงๆ ผมรู้สึกดีใจมากที่ได้มาที่นี่ฮะ (หัวเราะ) 


ในบรรดาดีไซเนอร์ที่คุณไปเจอมาที่หลังเวที ใครที่ทิ้งรอยประทับใจอันแรงกล้าไว้กับพวกคุณมากที่สุดคะ? 

Taeyang: สำหรับผม มันดีมากเลยฮะที่ผมได้พบกับ  Rick Owens เพราะผมชื่นชอบเค้ามานานแล้ว แต่คุณ Rei Kawakubo ที่เราเจอหลังเวทีโชว์ของ Comme des Garçons ได้ทิ้งความประทับใจไว้ให้กับเรามากที่สุด จียงก็ิคิดแบบนั้นใช่ไม๊?

GD: ผมหน้าม้าของเธอถูกตัดออกมาเนี๊ยบและตรงมากๆ เธอมีรูปร่างที่เล็ก เสียงที่เล็ก แต่ผมสามารถรับรู้ได้ถึงจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งจากเธอครับ

Taeyang: จริงๆเราไม่ได้พูดอะไรมากหรอกครับ " โชว์เป็นยังไงบ้าง?? " " สีและรายละเอียดของเนื้อผ้าและเพลงประกอบโชว์ทุกอย่างล้วนยอดเยี่ยมครับ" และประโยคอะไรที่คล้ายๆแบบนั้น แต่ในวันนั้นผมกับคุณ Rei สวมเสื้อแบบเดียวกันฮะ ผมไม่รู้เลยเพราะมัวแต่ตื่นเต้น แต่เธอเดินเข้ามาจับเสื้อของผมและบอกกับผมว่า " เราสวมเสื้อแบบเดียวกันเลยค่ะ" แล้วก็ยิ้มน้อยๆ ยังไงก็ตามเวลาที่ผมมอง คุณRei ผมจะคิดว่า "นี่แหละที่เค้าว่าเสน่ห์ที่แท้จริงเป็นแบบนี้นี่เอง" (คุณ Rei Kawakubo เป็นที่รู้กันดีว่าเธอเป็นคนที่เงียบมากและมักจะไม่แสดงออกอารมณ์ใดๆ แต่เธอรู้สึกดีใจมากๆหลังจากที่ได้พบ กับจีดราก้อนและแทยัง ) 



ในทุกๆโชว์พวกคุณได้นั่งในที่นั่งแถวหน้าที่มีกล้องมากมายกำลังจับภาพพวกคุณอยู่ ในโชว์ของ Thom Browne  คุณ Stephen Jones ผู้ซึ่งเป็นคนออกแบบหมวกที่โชว์ของ Thom Browne ก็เป็นฝ่ายที่จำพวกคุณได้ก่อนและมาทักทายพวกคุณ และที่โชว์รูมแบรนด์ KENZO พวกคุณได้เจอกับ Humberto Leon และ Carol Lim และได้ดูคอลเลคชั่น S/S ของพวกเค้าอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีแฟนๆจากทั่วโลกเลยที่รอพบคุณอยู่ที่โรงแรมที่พวกคุณพัก งานแฟชั่นวีคนี้เป็นเหมือนกับรันเวย์ที่แสดงให้เห็นถึงความโด่งดังของพวกคุณในระดับโลก เลยใช่ไม๊คะเนี่ย?? 

Taeyang: ฮะ ใช่แล้วฮะ (หัวเราะ) ผมคิดว่ามันดูไร้สาระนะฮะที่จะมาถ่อมตัวในเรื่องนี้ ดังนั้นผมกับจียงต่างก็รู้สึกตื่นเต้นมากๆ ผมรู้สึกเหมือนกับเรากำลังลอยอยู่เลยฮะ รู้สึกเหมือนกับว่ากำลังจะบินเลยทีเดียว เราต่างก็เริ่มสังเกตแล้วละว่าเราเริ่มดังในระดับโลกในตอนที่เราทำ world tour เมื่อปีที่แล้ว แต่ในโลกของแฟชั่นวีคมันเป็นโลกใหม่ที่แตกต่างออกไปเลยนะฮะ ผมคิดว่าเราได้รับความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ในหมู่ผู้คนเหล่านี้พวกเค้าก็เป็นคนดังในสายตาของเราเหมือนกันนะฮะ ดังนั้นผมคิดว่าเรามีความมั่นใจมากขึ้นที่จะเข้าหาพวกเค้าอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้นละครับ 

พูดตามตรงนะคะ ผลลัพท์ที่ออกมาแบบนี้เป็นผลที่เราคาดการณ์ไว้อยู่แล้วละ จีดราก้อนเป็นคนดังในกระแสที่มีแบรนด์เสื้อผ้าหลายแบรนด์ชอบเค้าอยู่แล้ว อย่างตอนที่ Hedi Slimane มาทำงานภายใต้แบรนด์ Saint Laurent เค้าก็เป็นคนที่มอบคอลเลคชั่น  F/W 2013 ให้กับจีดราก้อนก่อนใครเลย
GD: ผมรู้สึกขอบคุณมากๆเลยละครับ การที่ได้มาที่แฟชั่นวีคได้ดูโชว์ของดีไซเนอร์ ได้พบปะพวกเค้าหลังเวที แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่มันก็ล้ำค่ามากจริงๆสำหรับผม มันเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเข้าใจในแบรนด์นั้นๆ และการที่ได้พบพวกเค้าตัวต่อตัวแบบนี้ บางครั้งมันช่วยให้คุณเป็นเพืื่อนกับพวกเค้า ดังนั้นผมจึงรู้สึกว่าตัวเองกำลังสร้างสายสัมพันธ์สายใหม่ที่มีค่ากับผู้คนที่ต่างก็มีความชอบและความสนใจและความรักในแฟชั่นที่เหมือนกันครับ

เอ?? มันไม่ยากเหรอคะที่ต้องเปลี่ยนชุดในทุกๆโชว์เลย ไม่เพียงแต่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเท่านั้นแต่ต้องเปลี่ยนทรงผมและการแต่งหน้าอย่างต่อเนื่องอีกด้วย ช่างภาพคุณ Hong Jang Hyun ถึงกับส่ายหน้าเลยละค่ะ เพราะมันจะต้องกลายเป็นงานหนักเลยละถ้าคุณไม่ได้มีความสุขที่กับสิ่งเหล่านี้จริงๆ (หัวเราะ)
GD: ทำไมฮะ?? สนุกมากเลยตั้งหากฮะ มันก็ออกจะลำบากอยู่ฮะเวลาที่เราไม่สามารถจะแว้บไปทานข้าวได้เพราะต้องเปลี่ยนชุดและไปให้ถึงที่โชว์อย่างทันเวลา แต่นอกเหนือจากนั้นมันก็ไม่ได้สร้างความเหนื่อยยากอะไรเลยฮะ (หัวเราะ) คุณจินตนาการไม่ออกหรอกครับว่ามันสนุกแค่ไหนในการที่จับเอางานของดีไซเนอร์ที่เรามีอยู่แล้วมาสวมให้เข้ากับงานคอลเลคชั่นใหม่ของเค้าที่เราพึ่งได้รับมาจากที่ปารีสนี้เอง และเหตุผลที่ทำให้ทริปนี้ที่ปารีสสนุกมากๆก็เพราะผมไม่ได้เจาะจงมาทำงานหรือเจาะจงมาเที่ยวเล่นเฉยๆฮะ ผมได้ดูโชว์ด้วย ผมได้เที่ยวเล่นด้วย ผมได้ทำงานด้วย คือกิจกรรมทั้งหมดนี้มันผสมกลมกลืนไปด้วยกันเลย ดังนั้นผมไม่เหนื่อยเลยละครับ มันสนุกมากจริงๆ 

Taeyang: มันเป็นแบบนั้นจริงๆฮะ และในไม่ช้านี้เราก็จะต้องกลับบ้านกันแล้ว และมันรู้สึกเศร้าจริงๆฮะ ผมอยากจะมีอพาร์ตเม้นซ์ใกล้ๆแม่น้ำ Seine และอยู่ต่ออีกซักสองสามวัน นั่งฟังเพลงไปเรื่อยๆตลอดมั้งวัน (หัวเราะ)


คนคนแรกหรือสถานการณ์แรกที่ทำให้คุณเกิดมีความสนใจและความหลงใหลในเรื่องของแฟชั่นคือใครคะ?? 

GD: ผมคิดว่าเราน่าจะพูดได้ว่ามันเริ่มมาจากตอนที่เราเริ่มชอบแบรนด์ Chrome hearts นะครับ สำหรับพวกเราบริษัทเหมือนเป็นโรงเรียน เราไม่ได้ไปโรงเรียนเลยในตอนที่เราเป็นเด็ก เราฝึกซ้อม กินข้าว และคลุกอยู่ที่บริษัทของเราทั้งวัน ท่านประธาน วายจีก็เหมือนกับคุณครูใหญ่ พี่สไตลิสต์ จีอึน นูน่าเป็นเหมือนคุณครู และ Jinusean และ 1TYM ฮยองเป็นรุ่นพี่ของพวกเรา ในวายจีก็จะมีเทรนที่ฮิตๆเหมือนกับเรื่องที่ทุกโรงเรียนก็จะมีเทรนฮิตๆเช่นกัน เป็นเพราะในตอนนั้นเรายังเป็นเด็ก เรารู้ว่าเทรนไหนมันฮิตแต่เราก็เป็นเด็กไม่มีปัญญาหาซื้ออะไรซักอย่างมาใส่ได้ดังนั้นเราจึงทำได้แค่ฝันและก้มหน้าพอใจกับของขวัญที่เราได้มาจากพวกพี่ๆเท่านั้น สรุปคือ ผมคิดว่าความสนใจในแฟชั่นของเราเริ่มต้นมาจากการที่เราเริ่มคิดแล้วละว่า " ถ้าเรามีเงินเยอะๆในอนาคตนะ ฉันอยากจะลองซื้อโน่นนี่มาใส่บ้าง"

เมื่อวานฉันได้ไปที่งาน พรีเซนเตชั่นของ แบรนด์ A.P.C โดยมี  Kanye West คอยอธิบายถึงเรื่องราวของคอลเลคชั่น A.P.C X Kanye West ด้วยตัวของเค้าเองเลย ฉันได้ยินมาว่าพวกคุณก็ได้รับคำแนะนำในเรื่องของแฟชั่นมามายเช่นกัน พวกคุณเคยร่วมงานกับแบรนด์บางแบรนด์มาแล้วอย่าง AMBUSHและ Chrome Hearts แต่พวกคุณมีแผนการที่จะออกแบรนด์ของตัวเองออกมาไม๊คะ?? หรือมีธุรกิจที่เกี่ยวกับแฟชั่นอยู่ในแผนการอย่างเป็นจริงเป็นจังรึเปล่า??  

GD: ผมยังไม่สามารถพูดออกมาได้ว่ามีแผนการอะไรที่เฉพาะเจาะจงออกมาไม๊นะฮะ แต่ถ้าหากว่ามันมีโครงการที่เราสามารถที่จะใส่ความหลงใหลของเราลงไปได้แล้วละก็ เราก็จะพยายามทำมันให้ดีที่สุดครับ 


 ก่อนที่ฉันจะรู้ตัวอีกที ขวดโซจูเปล่าก็เต็มข้างโต๊ะไปหมดและจีดราก้อนก็กำลังยุ่งในการเสนอเครื่องดื่มให้กับทุกคน เค้าเป็นหนุ่มราศีสิงห์ที่สดใส มีลักษณะเป็นผู้นำที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณ และเค้าก็เป็นคนประเภทที่เปลี่ยนบรรยากาศที่น่าอึดอัดดูอึ้มครึ้มๆให้กลายเป็นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นได้ 
แทยังที่ไม่ค่อยสนุกกับการดื่มดูเป็นคนเก็บตัวและกลับเป็นคนที่เต็มไปด้วยพลังงานเก็บกักเอาไว้ในตัวของเค้า เค้าเป็นชาวราศีพฤษภ และเค้าก็มีพรสวรรค์ที่โดดเด่น
จีดราก้อนและแทยังที่อยู่ด้วยกันมามากกว่า 10 ปีแล้ว ในฐานะ เด็ก ฮิบฮอบ เด็กฝึกวายจี และในฐานะเพื่อน พวกเค้าเชื่อในเซ้นซ์บางอย่างระหว่างกัน

GD: “บางครั้งยองเบจะพูดขึ้นมาว่า " อ่าาา นี่ฉันรู้สึกว่าจะต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่ๆ ระวังกันเอาไว้หน่อยนะ" ถ้าเค้าพูดมาแบบนี้คุณจะต้องระวังตัวเอาไว้จริงๆนะครับ เค้าเหมือนกับพวกมีพลังจิตและเค้ามีความสามารถในเรื่องซิกซ์เซ้นซ์แบบนั้นจริงๆฮะ 

Taeyang: “เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเจอผู้หญิงที่เราไม่เคยพบมาก่อนในที่ใดที่หนึ่ง จียงจะถามผมก่อนเลยว่า " นายคิดว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นไงบ้าง??"

ดูเหมือนว่าเซ้นซ์ของแทยังจะมีประโยชน์มากๆในเวลานั้นสินะ (หัวเราะ) ก่อนที่พวกเค้าจะไปจากปารีส ฉันตื่นเต้นมากๆที่ได้ยินมาว่าพวกเค้าน่าจะมียูนิตพิเศษในปีนี้ ถ้า GD & TOP เป็นเด็กเท่ๆที่สนุกกับการปาร์ตี้จริงๆ GD & YBน่าจะเป็นเด็กที่จะเอายุคทองของเพลงฮิบฮอบกลับมารุ่งโรจน์ได้อีกครั้ง 

Taeyang: “มันเคยมีแผนการสำหรับยูนิตนี้ครับ แต่ตอนนี้ผมไม่รู้เกี่ยวกับมันอีกต่อไปแล้วละฮะ ผมคิดว่าบางทีมันอาจจะโดนเลื่อนออกไปอีกหน่อยละมั้ง? 

GD: “เราไม่เคยที่จะพูดคุยกันเกี่ยวกับยูนิตนี้แบบเป็นจริงเป็นจังซักทีฮะ แต่มันเป็นอะไรที่เราตั้งใจอยากจะทำจริงๆ ผมคิดว่าทางยองเบก็คิดในแบบเดียวกับผมเหมือนกัน " 

 ทั้งคู่กำลังจะกลับแล้วละค่ะ และทิ้งเราให้อยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับยูนิตพิเศษใหม่นี่ต่อไป พวกเค้าต้องไปแล้วเพราะ Hedi Slimane ได้เชิญพวกเค้าให้ไปร่วมงาน after party
ค่ำคืนนี้พึ่งจะเริ่มต้นเองสำหรับสองหนุ่มที่รู้จักสนุกสนานในงานปาร์ตี้ ค่ำคืนและวันเวลาเหล่านี้ที่พวกเค้าอยู่ที่ปารีส จะปรากฏในสมุดภาพที่จะออกขายโดยวายจีในเดือนพฤษภาคมนี้ค่ะ

============================================

English Translated by Dana a.k.a bigbanggisvip 
Magazine Scans by Joey + special thanks to Joey for the interview scans
Thai Translated by miss mew 

นิตยสาร Bazzar's Man เดือน มีนาคม 2014 สัมภาษณ์ GDYB 
Part 1

===========================================

วันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

(Part1) สัมภาษณ์ GDYB จากนิตยสาร Bazaar's Man (มีนาคม 2014)


DOUBLE EDGE
กลางเดือนมกราคมที่ผ่าน จีดราก้อนและแทยังเดินทางมาถึงที่ปารีสทันทีที่แฟชั่นวีคประจำฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวปี 2014 ได้เริ่มขึ้น จากนั้นมาจากที่อพาร์ตเม้นซ์ในถนนย่าน Champs-Élysées จนถึง  Palais de Tokyo จาก ฟร้อนซ์โรลโชว์ของ Saint Laurent ช่างภาพและอินสตาแกรมของแฟนๆทั่วโลกต่างจับจ้องอยู่ที่ผู้ชายทั้งสองคนนี้ 



GD: นิสัยใจคอของเราทั้งคู่ต่างก็ตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิงฮะ ดังนั้นเราถึงเข้ากันได้ดี ถ้าหากว่าเราเหมือนกันเราอาจจะมีข้อขัดแย้งกันมากก็ได้ แต่นี่ตั้งแต่ยังเด็กๆเราก็แตกต่างกันแล้วตั้งแต่เริ่ม ก็มีเรื่องใหม่ๆเกี่ยวกับเค้าที่ผมพึ่งจะค้นพบอยู่บ้าง แต่ยังไงก็ตามผมรู้จักเค้ามานานมากๆ และเราต่างก็เป็นแรงในด้านบวกให้กันและกันฮะ 

Taeyang: ผมคิดว่ามีคำนึงที่จะอธิบายมันออกมาได้ครอบคลุมที่สุดนะ นั่นคือ "ครอบครัว" ฮะ 

GD: เรามีเรื่องพูดคุยกันได้ไม่รู้จบ เราทั้งคู่ต่างก็ชอบพูดคุยกันโดยเฉพาะเรื่องราวในอดีตของเรา

Taeyang: ผมคิดว่าเราพูดคุยกันในหลายๆเรื่อง เวลาเราอยู่ในสถานการณ์บางอย่างเราก็มักจะคุยกันว่า " ฉันเคยผ่านสถานการณ์แบบนี้มานะ " ไม่ก็ "ย้อนกลับไปในตอนนั้น มันเป็นแบบนี้นะ" เวลาที่เราขับรถผ่านร้านอาหารที่เราเคยไปทานกันเมื่อตอนเป็นเด็กฝึก เราจะคิดเลยไปถึงเมนูที่เราเคยสั่งทานกันในอดีต บางครั้งเราก็ถึงกับแวะไปที่นั่นและสั่งเมนูนั้นมาทาน จนถึงตอนนี้ สำหรับผมมันก็ยังอร่อยมากฮะ (หัวเราะ) 


RENAISSANCE MAN
ฉันเคยอ่านจากที่ไหนซักแห่งว่า ความหมายของความเป็นคนนั้นไม่ได้อยู่ที่ความสำเร็จของเค้าแต่อยู่ที่สิ่งที่เค้าพยายามมุมานะทำให้ประสบความสำเร็จตั้งหากและเมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันมองไปที่ แทยังฉันจะนึกถึงคำพูดนี้อยู่เสมอ ทัศนคติของแทยังนั้นมีแต่การถ่อมตัวอยู่เสมอ เมื่อเทียบกับการแสดงที่แสนวิเศษเหล่านั้นที่เค้าทำออกมา ในหัวเค้าเต็มไปด้วยความหลงใหลและแผนการที่มีไว้สำหรับการแสดงของเค้าเท่านั้น ดังนั้นแทนที่จะเอนหลังและสนุกผ่อนคลายไปกับการแสดงของแทยัง ฉันกลับนั่งตัวตรงและตั้งสมาธิในการดู 
แต่เพลงของเค้าเพลง Ringa Linga เพลงที่ดูเหมือนเป็นเพลงเรียกน้ำย่อยให้กับอัลบั้มเดี่ยวอัลบั้มที่สองของเค้า กลับสร้างความท่วมท้นให้กับฉันและเพลงนี้มันดูผ่อนคลายมากขึ้นจริงๆ 

Taeyang: ผมก็คิดเรื่องนั้นมามากเหมือนกันครับ ผมรู้นะว่ามีคนมากมายชอบที่จะได้เห็นการแสดงของผมที่มีความตั้งใจมากๆและเตรียมการมาอย่างดี แต่เพื่อที่จะทำให้เพลงของผมและการแสดงบนเวทีของผมดูใกล้ชิดกับผู้ชมมากขึ้นซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นผมว่าผู้ชมก็น่าจะสนุกกับมันเล่นกับมันได้ดีเหมือนกัน ดังนั้นการแสดงบนเวทีเพลง RingaLinga จึงออกมาแบบที่เห็นเพราะผมมีความคิดแบบนี้อยู่ในใจฮะ 

แทยังไม่เหมือนกับคนอื่นทั่วไปที่มักจะเอาใจปัจจัยแวดล้อมภายนอกและหาแรงบันดาลใจเอาจากคนอื่นหรือสิ่งอื่นๆในโลก แต่แทยังกลับเรียนรู้มากมายเอาจากตัวตนที่แท้จริงภายในตัวเอง และที่นั่นเป็นที่มาของความดื้อดึงหัวแข็งของเค้า 

Teayang: สารภาพนะครับ ในทุกๆวันของผม....คือผมเกลียดที่จะต้องพูดมันออกมานะฮะ แต่ทุกๆวันของผมเต็มไปด้วยปัญหาและความกังวลใจ ความรู้สึกที่ผมปล่อยออกไปบนเวที " นี่มันผ่อนคลายพอรึยัง?? " นี่มันให้พลังออกมารึเปล่า?? " คือผมไม่รู้ว่าคำตอบที่ถูกต้องสำหรับเรื่องเหล่านี้คืออะไร ผมเคยต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบากมากในตอนที่ผมเป็นเด็กเพราะผมไม่รู้จริงๆเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้และทำให้เกิดความขัดแย้งกันในตัวตนของผม  แต่ในตอนนี้ผมรู้สึกขอบคุณจริงๆ ผมโตขึ้นและผมคิดว่าผมรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร ผมสามารถที่จะแก้ข้อขัดแย้งในใจต่างๆออกไปได้แล้ว แต่ผมคิดว่ายังไงๆผมก็ยังต้องสู้ต่อไปอยู่ดี สำหรับผมอย่างเร็วก็คงจะใช้เวลาซัก 5 ปี อย่างช้าก็ 10 ปีในการที่จะทำให้ตัวเองแข็งแกร่งพอครับ

และนั่นเป็นเหตุผลที่มีคำพูดที่ว่า ปีทองของช่วงชีวิตคนเรานั้นอยู่ในช่วงอายุ กลางๆสามสิบเพราะในช่วงอายุนั้นคุณจะสามารถเห็นผลลัพท์จากสิ่งที่คุณต่อสู้มาในชีวิตได้ 

 
Taeyang: ผมตั้งใจเอาไว้ว่าผมจะสามารถทำเพลงที่เป็นตัวเองได้มากขึ้นหากผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองมากขึ้น ผมคิดว่านี่คือชะตากรรมของคนเป็นศิลปินนะฮะ คือคุณต้องพยายามที่จะหาโลกของตัวเองต่อไปเรื่อยๆและบรรยายโลกนั้นออกมา
 แรงบันดาลใจที่แทยังได้จากโลกใบนี้อาจจะแตกต่างไปจากผู้สร้างสรรค์ผลงานคนอื่นๆในรุ่นเดียวกับเค้าเล็กน้อย แทยังได้รับแรงบันดาลใจจากซากปรักหักพังของวัฒนธรรมต่างๆ ธรรมชาติและจักรวาล ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนมีอิทธิพลและแสดงออกมาให้เห็นในดนตรีและภาพลักษณ์ของเค้าด้วย

 Taeyang: ปีที่แล้ว ผมมีโอกาสได้เดินทางไปยังประเทศต่างๆมากมายระหว่างที่เราทำ world tour ระหว่างช่วงเวลานั้นผมได้แรงบันดาลใจมากมายจากการใช้ชีวิตของผู้คนที่มีวัฒนธรรมที่แตกต่างออกไป นอกจากนี้ผมยังค้นพบสิ่งที่ผมเคยสนใจแต่ลืมมันไปแล้วอีกด้วย ในตอนที่ผมไปที่ เปรู ผมได้เดินทางไปยังแหล่งอารยธรรมอินคาและได้ไปตลาดของพวกเค้า ที่ตลาดพวกเค้าขายของทำมือที่ชาวพื้นเมืองทำขึ้นมา และผมคิดว่ามันเยี่ยมจริงๆ  ผมชอบสัญลักษณ์ หรือเครื่องประดับพื้นเมืองของชาวพื้นเมือง และผมยังได้แรงบันดาลใจให้กับทรงผมของตัวเองมาจากสัตว์อีกด้วย เช่น ครั้งนึงผมเคยทำทรงแมลงป่องด้วยนะฮะ (หัวเราะ)

 แทยังเป็นคนที่เหมาะที่สุดที่จะนั่งลงและคุยกับเค้า เค้าเป็นคนที่จริงจังและเต็มไปด้วยความคิดต่างๆ นอกจากนี้เค้ายังเป็นคนที่จู่ๆก็จะฮัมเพลงและเต้นออกมาซะดื้อๆ แทยังยังเป็นคนที่กังวลว่าถ้าเค้าเอาพรสวรรค์ที่มีมากมายของเค้าออกมาเล่นสนุกมากเกินไป พรสวรรค์เหล่านั้นจะไม่เหลือให้กับการแสดงบนเวที 

Taeyang:คงต้องพูดว่าผมกังวลเรื่องนั้นจริงๆครับแต่ผมคิดว่ามันจะดีที่สุดถ้าผมใช้พลังลงไปกับการแสดงบนเวที ถ้าเกิดว่าผมชอบที่จะเล่นสนุกมากขึ้นเรื่อยๆจากนั้นผมก็จะเอาแต่ทุ่มเทพลังลงไปกับการเล่น แต่ผมจะมีความสุขมากกว่าที่จะได้เล่นสนุกบนสนามเด็กเล่นของผมที่มีชื่อว่า"เวที" นะฮะ 

ฉันคิดว่าสิ่งที่เค้าพูดออกมานั้นถูกต้องทีเดียว ที่คอนเสริต์ของบิกแบงที่จัดขึ้นหลังจากที่เค้ากลับจากปารีสเพียง 2 วัน ที่นั่น พรสวรรค์ของแทยังที่เปรียบเหมือนดั่งธนูทองคำได้ยิงไปโดนผู้ชมมากมาย 

 
 FANTASTIC MAN
ฉันไม่อยากจะเห็นจีดราก้อนในละครหรือภาพยนตร์ใดๆเลย แทนที่จะมองเค้าแสดงออกบุคคลิกที่เป็นตัวตนที่ถูกสร้างขึ้นโดยบทละคร การได้มองดูตัวตนที่เรียบง่ายและการแสดงออกอย่างเป็นเอกลักษณ์ของเค้าผ่านเสียงเพลงเป็นเรื่องที่น่าสนใจกว่าตั้งเยอะ
จีดราก้อนในรายการทางช่อง MBC รายการ<Infinite Challenge> เป็นอีกตัวตนของจีดราก้อนที่น่าสนใจมากๆ ไม่ว่าเค้าจะทำเพลง ไม่ว่าเค้าจะไปออกรายการวาไรตี้โชว์ เค้าก็แสดงออกเป็นจีดราก้อนในแบบจีดราก้อนออกมา

GD: ครั้งแรกที่ผมเข้ามาที่บริษัทวายจี ผมอายุแค่ 5 ขวบเองครับยังเด็กมากๆ จากนั้นผมก็ไปที่วายจีเหมือนกับไปโรงเรียนและผมก็จะเขียนเพลงแร๊พและฝึกซ้อมไป และผมมักจะเลียนแบบแร๊พเปอร์ที่เค้ามี swag ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของเค้าเองการทำแบบนี้เป็นการเรียนสำหรับผมฮะ คำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เปรียบเป็นตัวแทนการกระทำของผมและเพลงของผมคือ คำว่า Gangster ฮะ ในตอนแรกผมอาจจะแค่ลอกเลียนแบบสิ่งที่รุ่นพี่ในค่ายทำกัน พอถึงจุดหนึ่งสิ่งเหล่านั้นเริ่มมีอิทธิพลต่อผมและผมเองก็เริ่มหาสไตล์ที่เป็นของตัวเอง ผมเริ่มพัฒนาจุดยืนของตัวเองออกไป

ไม่ว่าผมจะอยู่บนเวที หรือในมิวสิควีดีโอ หรือในรายการอย่าง <Infinite Challenge> บางคนอาจจะคิดว่าพวกเค้าได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของจีดราก้อนอยู่ในขณะที่บางคนก็อาจจะคิดว่าเห็นด้านปลอมๆของจีดราก้อนอยู่ แต่สิ่งที่ผมคิดในตอนนี้คือผมเป็นตัวของตัวเองอยู่ตลอดเวลาและผมก็เป็นตัวผมจริงๆในทุกๆสถานการณ์ในชีวิตของผม

 การเป็นแฟนเพลงของจีดราก้อนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะคุณจะต้องมีแหล่งข่าวสารที่ดีและต้องมีความหลงใหลใจรักด้วย เพลงที่หลากหลายจากอัลบั้มเต็ม 2 อัลบั้มและ 1 มินิอัลบั้มที่ออกมาจนถึงตอนนี้ มิวสิควีดีโอและแฟชั่นที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง และการโปรโมทของเค้าที่แตกต่างจากนักร้องคนอื่นๆโดยสิ้นเชิง สิ่งที่จีดราก้อนสนใจที่เค้าแสดงออกผ่าน SNS ก็ดูจะยากที่แฟนๆจะตามเค้าทัน
ครั้งนึงจีดราก้อนเคยพูดว่าเค้าเข้าใจเหตุผลของ Kanye west ที่พยายามจะเปลี่ยนแปลงสไตล์เพลงที่ทำอย่างที่ใจต้องการไปเรื่อยๆ ซึ่งจีดราก้อนก็เกือบจะเหมือนกับ Kanye west เหมือนกันเพราะเค้าก็เป็นคนที่ชอบทำอะไรที่ท้าทายๆมากขึ้นไปเรื่อยๆ 

 GD: ที่ทั้งหมดเป็นแบบนั้น เป็นเพราะ ภาวะ ‘Narcissism’.( ภาวะการหลงตัวเอง) เรื่องแบบนี้มันไม่เกี่ยวกับการถ่อมตัวหรอกครับ  ผมรู้ว่าผมทำอะไรได้ดีที่สุด แต่ผมก็ยังคงต้องการอยากจะทำอะไรบางอย่างที่แตกต่างออกไป เพราะสำหรับผมแล้วมันสนุกดีครับ ถึงแม้ว่าผมจะทำเรื่องนึงได้ดีมากๆอยู่แล้ว แต่มันก็น่าเบื่อนะฮะที่จะต้องทำอะไรแบบเดิมในทุกๆครั้งและมันก็จะทำให้คนที่ฟังเพลงของผมเบื่อไปด้วย 

ทุกครั้งที่ผมทำงานในงานอะไรก็ตาม ความสนุกจะต้องมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามผมต้องคิดก่อนว่าคุณทำแล้วมีความสนุกรึเปล่า?ถ้ามี สิ่งอื่นๆก็จะตามมา ยอดขายอัลบั้มหรือยอดบนชาร์ตไม่ใช่สิ่งสำคัญเลย คนอื่นก็จะมองแต่ยอดขายแล้วคิดต่อไปว่า " เค้าจบเห่แล้วละ" หรือไม่ก็ " เค้าล้ำเส้นไปแล้วนะ" แต่ผมพนันได้เลยว่า Kanye ไม่สนใจหรอกครับซึ่งก็เหมือนผม ผมไม่สนใจมันเลย เวลาที่ผมออกอัลบั้มใหม่ ผมไม่มีอะไรที่จะต้องมานั่งเสียใจเลยถ้าคนอื่นไม่ชอบมัน เพราะว่าผมได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำครับ" 

ศิลปินในโลกสมัยใหม่นี้ทัศนคติและผลงานของพวกเค้าถูกมองว่าเป็นศิลปะและมันก้แสดงออกให้เห็นว่าเค้าเป็นศิลปินและentertainerตัวจริงและศิลปินที่ทำงานเหล่านี้ก็ถูกมองว่าเป็นอัจฉริยะ 
จีดราก้อนพยายามที่จะทำให้ความรู้สึกของเค้า การกระทำของเค้า หรือแม้แต่การดำรงอยู่ของเค้าใส่ลงในศิลปะ 
ในทุกๆชั่วขณะเค้าจะกลายเป็นคนใหม่ที่เราไม่คุ้นเคย มันจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ตลอดกาลที่เราจะเข้าใจจีดราก้อนได้อย่างถ่องแท้สมบูรณ์ ทุกครั้งที่คุณคิดว่าคุณรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเค้า เค้าก็จะเผยโฉมด้านใหม่ที่คุณไม่เคยเห็นอย่างสิ้นเชิงออกมา เสน่ห์ที่แสนวิเศษของผู้ชายคนนี้ก็คือ เค้ามักจะคิดค้นสิ่งใหม่ๆที่เกี่ยวกับตัวเค้าเองออกมาเสมอ 



English Translated by Dana a.k.a bigbanggisvip 
Magazine Scans by Joey + special thanks to Joey for the interview scans
Thai Translated by miss mew 

สัมภาษณ์ GDYB จากนิตยสาร Bazaar's Man เดือนมีนาคม 2014
Part2


============================================