วันพุธที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2556

TOP “Let’s talk at home (IN MY ROOM) L’OFFICIEL /11-2013 (end)


LH: อ่าใช่ๆ ฉันได้ยินมาว่าคุณช่วยแทยังในการออกแบบตบแต่งภายในบ้านใหม่ของเค้ามากเลยใช่ไม๊คะ??
Choi Seung Hyun: อ่าา , ก็ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ จริงๆผมไม่ได้ทำอะไรมากเลย แทยังเค้าเลือกจัดออกมาได้ดีด้วยตัวเค้าเองครับ อย่างที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้ ผมรักเฟอร์นิเจอร์ครับ ผมชอบในเรื่องของสถาปัตยกรรม ดังนั้นผมจึงเริ่มอ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ด้วย จริงๆแทนที่จะเรียกว่าบ้านผมมีโกดังเก็บของส่วนตัวที่ที่ผมจะสะสมพวกอุปกรณ์ในห้องน้ำ เฟอร์นิเจอร์ เช่น เก้าอี้และโต๊ะ และพวกรูปปั้นๆต่างๆ เอาไว้ครับ 

LH: โอ้ว จริงเหรอคะเนี้ย?? นี่เป็นวิธีคลายเครียดของคุณเหรอคะ??
Choi Seung Hyun: ครับ ผมคิดว่าผมชอบทุกอย่างที่ดูน่ารัก ผมเดาเอาว่าตัวเองหลงใหลในสิ่งที่สวยงาม ร่างกายของผมจะสามารถพักผ่อนได้ในขณะที่ได้มองสิ่งที่สวยงาม ในตอนที่ผมยังเด็กผมจะชอบเสื้อผ้ามากเลยครับ ผมซื้อมาเยอะเลยและสะสมมัน ตอนนี้ผมอยู่ในช่วงปลายอายุ 20 แล้ว ความปรารถนาในเรื่องเสื้อผ้าของผมก็ลดลงไปด้วย 

LH: ได้ยินมาว่าคุณมี  Mark Ronson…เป็นแบบอย่างเหรอคะ??
Choi Seung Hyun: ไม่ครับ ผมไม่เคยพูดเลยว่าเค้าเป็นแบบอย่างของผม ไม่เคยเลยฮะ ผมสงสัยว่าเรื่องนี้มาจากไหนครับเนี้ย?? ใครเป็นคนพูด ??ผมจะไปเหมือนคนที่ยังมีชีวิตอยู่ร่วมยุคกับผมได้ยังไงกัน?? ผมไม่ใช่แบบนั้นนะฮะ  มันแค่เป็นสไตล์ที่ดังมากๆที่ยุโรป งั้นคุณก็สามารถพูดได้ว่าทุกคนที่อังกฤษและฝรั่งเศสก็อบบี้สไตล์ของ  Ronson มาแบบนี้จะได้เหรอฮะ??? ถ้าพูดว่าผมมี David Bowie เป็นแบบอย่างแบบนี้ผมยอมรับนะครับ 

ยังไงก็ตามแต่กลับมาที่คำถามนะครับ ในเวลาที่รู้สึกเป็นทุกข์ผมตระหนักว่าผมจะรู้สึกผ่อนคลายปล่อยวางเวลาที่ได้เห็นรูปวาดหรือเฟอร์นิเจอร์ แม้แต่ในช่วงที่ไปทัวร์คอนเสริต์ในต่างประเทศ ผมจะหาเวลาไปพิพิธภัณฑ์ศิลปะหรือแกลลอรี่ด้วยตัวเอง ตอนนี้ผมอินไปกับศิลปะในแบบ surrealismมากๆเลยครับ 

LH: ให้ฉันเดานะคะ  Dali! ใช่ไม๊??
Choi Seung Hyun: อ่า ใช่ครับ จริงๆผมมีเฟอร์นิจเจอร์ที่ออกแบบโดยมีงานของดาลีเป็นแรงจูงใจด้วย ผมชอบเฟอร์นิจเจอร์ที่ดูบิดๆเบี้ยวๆงานดีไซน์ของGaudi มากๆด้วยเหมือนกัน ในตอนที่ผมสะสมงานแบบนี้ได้มากพอ ผมกำลังคิดว่าอยากจะเปิดพิพิธภัณฑ์เล็กๆ ของเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผมไม่ได้มีโอกาสได้เห็นในตอนที่เป็นเด็ก ในตอนที่ผมแก่ตัวลงและในตอนที่ผมสามารถที่จะสะสมของให้เพิ่มมากขึ้นอีกๆ ผมต้องการพื้นที่ที่แม้แต่เด็กเล็กๆก็เข้ามาเยี่ยมชมได้ ซึ่งตอนนี้มันยังเป็นแค่สิ่งที่ผมหวังไว้ครับ



"กลุ่มพี่ชายที่โตกว่ามาก" ที่ชเวซึงฮยอนพูดถึงนั้นเป็นดาราระดับแนวหน้าที่อย่างน้อยๆต้องมีอายุมากกว่าเค้า 10 ปี ได้แก่ คุณ  Jung Woo Sung, Lee Jung Jae และ Lee Byung Hun พวกเค้าสามารถพูดคุยกันได้ทั้งคืนขอแค่มีเหล้าขวดเดียวก็พอแล้ว ชเวซึงฮยอนเรียนรู้เรื่องการแสดงและการควบคุมมันจากพวกพี่ๆเหล่านี้ คนที่เป็นกำลังใจคอยเชียร์ให้ท็อปอ่านบทหนังเรื่อง Alumni ก็เป็นถึง CEO บริษัทสร้างภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ในวงการ แต่ท็อปไม่เคยที่จะกล่าวถึงพวกเค้าเหล่านี้เลยในการให้สัมภาษณ์ เค้ายังมีเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นงานชิ้นดังจากต่างประเทศที่มีเรื่องราวเป็นเอกลักษณ์เฉพาะแต่ละชิ้นเก็บไว้อีกด้วย แต่เค้าไม่เคยเอาเรื่องแบบนี้มาอวดอ้างเลย เค้าเป็นคนที่ระมัดระวังตัวแบบนี้แหละ 

ชเวซึงฮยอนผู้ซึ่งมีความสนใจในเฟอร์นิเจอร์ ไม่ใช่แค่ไอดอลผู้ร่ำรวยมีชีวิตหรูหราทั่วๆไปนะคะ ทุกวันนี้เค้ากำลังสร้างเก้าอี้ในหัวของเค้าอยู่ เค้ากำลังสร้างโครงการและร่างภาพสเก็ตของมัน เค้ากำลังค่อยๆฝันอย่างระมัดระวังถึงวันที่เค้าจะสามารถสร้างเก้าอี้ในหัวตัวนี้ออกมาเป็นเก้าอี้จริงๆได้ 

เราสามารถเห็นท็อปหัวเราะและเล่นตลกเมื่อเราเริ่มพูดถึงงานอดิเรกของเค้า โดยที่ไม่คาดฝันมาก่อนก่อนที่เราจะมาพูดคุยกันเรื่องนี้ ริมฝีปากของเค้าสั่น ขาของเค้าก็สั่นด้วย เค้ามีแอปเปิ้ลเขียวถือไว้ในมือและเค้าก็เอาแต่จ้องกำแพงตลอดเวลาในตอนที่เค้าเริ่มพูด เค้าเป็นคนที่มีเสน่ห์น่าภาคภูมิอย่างมากบนเวที แต่กลับมีอาการประหม่าขนาดนี้ในการสัมภาษณ์นิดๆหน่อยๆ มันเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจอย่างมาก

LH: คุณไม่ชอบให้สัมภาษณ์แบบนี้เหรอคะ?? ยังไงเราควรจะพักกันหน่อยดีไม๊??
Choi Seung Hyun: ผมไม่ได้เกลียดมันหรอกฮะแต่ผมไม่ค่อยมีโอกาสได้ทำอะไรแบบนี้บ่อยๆเท่านั้นเอง แต่ผมชอบที่ผู้สัมภาษณ์ผมในวันนี้ไม่ใช่ผู้ชายนะครับ ผมชอบให้สัมภาษณ์กับผู้หญิงมากกว่าเหมือนในวันนี้ (หัวเราะ) มันเป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอฮะที่เราจะชอบทำอะไรบางอย่างกับเพศตรงข้ามมากกว่า?? 

LH: เช่นอะำไรคะ??
Choi Seung Hyun:อืมๆ ระยะหลังๆมานี้ผมอยากจะตกหลุมรัก

LH: จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณอยู่ในห้วงรักคะ??
Choi Seung Hyun: ผมจะเต็มไปด้วยอารมณ์ครับ ทุกอย่างที่ผมทำจะออกมาดีเพราะผมอยากจะดูเท่ต่อหน้าแฟนของผม (หัวเราะ) 

LH: คำถามที่งี่เง่าที่สุดที่คุณเคยได้ยินมาคือคำถามอะไรคะ??
Choi Seung Hyun: “แฟนเพลงที่ไหนเป็นแฟนเพลงคนโปรด??" และ " แฟนเพลงที่ไหนสร้างความประะทับใจมากที่สุด" ครับ แฟนๆทุกคนล้วนมีค่ากับผมดังนั้นแล้วผมจะพูดออกมาได้ยังไงว่าผมชอบใครมากที่สุดหรือชอบใครน้อยที่สุด?? ผมพูดไปแล้วก่อนหน้านี้ว่า ผมทำงานด้วยความรับผิดชอบที่ผมรู้สึกต่อแฟนๆของผม ความรับผิดชอบนั้นเป็นแรงจูงใจให้กับผม อืม.....นี่เป็นครั้งแรกที่ผมพูดเรื่องนี้ออกมานะครับ  แต่จริงๆแล้วผมกำลังเตรียมงานในอัลบั้มของตัวเองอยู่

LH: ตอนนี้คุณรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นแล้วสินะคะ
Choi Seung Hyun: ผมยังไม่รู้ว่าเป้าหมายจริงๆแล้วเป็นยังไงหรือยังไม่ได้มีวันที่เฉพาะเจาะจงลงไปในเรื่องนี้หรอกนะครับ แต่ผมรู้สึกเสียใจแทนแฟนๆของผมมากเลยเพราะตัวผมไม่ค่อยมีงานออกมา ดังนั้น ก็ใช่ครับ ผมกำลังทำมันอยู่ในตอนนี้

LH: อัลบั้มนี้คุณทำออกมาในฐานะที่เป็น แร๊พเปอร์ ท็อปใช่ไม๊คะ??
Choi Seung Hyun: ครับ แต่บางทีมันอาจจะไม่มีอะไรเหมือนกับท็อปที่คุณเคยเห็นมาก่อนเลยนะครับ ผมอยากจะให้มันออกมาในแนวที่ผมอยากจะให้มันเป็นจริงๆ ผมอยากจะเขียนเพลงและออกความคิดเห็นในเรื่องการโปรดิว ผมอยากให้ตอนเซ็บของมิวสิควีดีโอออกมาเป็นที่น่าตกใจมากๆด้วย 

ผมบอกเรื่องนี้กับพี่ผู้จัดการและเค้าก็บอกว่า "มันจะต้องจบเห่แนุ่ถ้านายจะทำออกมาในแบบที่นายอยากทำ" แล้วก็ถอนหายใจ (หัวเราะ) เค้าบอกว่าสิ่งที่ผมชอบนั้นมันดูไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนจะชอบเท่าไหร่ แต่ก็เหมือนอย่างภาพยนตร์เรื่องนี้ถ้าผมรู้ว่ามีคนที่สามารถทำได้ดีกว่านี้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ผมคงจะไม่เริ่มต้นทำหรอกครับ ผมไม่ได้จะดูว่าสาธารณชนนั้นชอบซิงเกิลใหม่ของผมมากแค่ไหน แต่ผมแค่อยากจะให้พวกเค้าคิดว่า " อ่า เค้าพยายามทำอะไรใหม่ๆออกมาอีกแล้ว" หรือ "เวลาที่เค้าลงมือทำอะไรเค้าทำมันออกมาได้แตกต่างไปเลยนะ"  แค่นั้นก็เพียงพอแล้วฮะ ผมหวังว่าพวกเค้าจะสามารถมองเห็นรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่ผมใส่เข้าไป 



LH: นักแสดงที่ชื่อ ชเวซึงฮยอน กับ แร๊พเปอร์ที่ชื่อท็อป มีความแตกต่างกันไม๊คะ?
Choi Seung Hyun: ทั้งคู่ก็คือ ท็อปแหละครับ ผมไม่คิดว่ามันจะมี ชเวซึงฮยอน จริงๆหรอกครั

LH: ดูคุณจะเคร่งครัดในเรื่องนี้มากเลย คนไหนกันคะที่ดูใกล้เคียงกับชเวซึงฮยอนตัวจริงมากที่สุด??
Choi Seung Hyun: นั่นก็ฟังดูไม่สมเหตุสมผลอยู่ดีแหละฮะ มันไม่สามารถมีซึงฮยอนได้หรอกครับ ผมไม่เคยมีสถานที่ที่ใดที่ผมจะเอาซึงฮยอนล้วนๆออกมาแสดงได้ ผมมีสิ่งที่อยากจะซ่อนเอาไว้และมีบางสิ่งที่จำเป็นต้องซ่อนเอาไว้ 

การเริ่มจับงานแสดงไม่ใช่ทางเลือกของผมตั้งแต่แรก ผมไม่อยากจะโกหกและพูดออกมาว่าผมเข้ามาทำงานด้านการแสดงเพราะความหลงใหลที่ยิ่งใหญ่ในการแสดงตั้งแต่เริ่มต้น ไม่นับว่าถ้าคุณเป็นคนที่โชคดีที่ไปอยู่ในสถานการณ์ใดก็มักจะทำอะไรต่างๆที่คุณอยากทำออกมาดีได้ตลอดเวลา  ผมคิดว่ามันมีบางอย่างในชีวิตนะ ที่คุณจะสามารถทำอะไรออกมาได้ดีในเวลาที่ถูกต้องเท่านั้น

ผมต้องการที่จะทำการแสดงและทำงานเพลงตราบเท่าที่ผมจะทำได้ ผมคงจะหยุดเมื่อผมรู้สึกว่าตัวเองไม่มีพรสวรรค์ในด้านนี้อีกแล้ว มันไม่ใช่ความทะนงตัวนะครับแต่มันเหมือนกับการที่มีพลังงานมากกว่าคนอื่นเท่านั้นเอง ผมทำตัวเป็นปกติและเวลาที่ขึ้นเวที ผมก็มีความสุขที่จะได้ทำบ้าบอเหมือนโดนสิงบนเวที แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผมมีความสุขในทุกๆอย่างในชีวิต มันไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆเหมือนกันครับ แต่ผมจะต้องระเบิดพลังออกมาอีกครั้งแน่ๆครับ

LH: รู้ไม๊คะว่าคุณพึ่งจะยอมสบตาฉัน??
Choi Seung Hyun: (ยิ้มเขิน ) ผมอายเกินไปครับ

LH: เอาละค่ะ ฉันจะมอบโอกาสให้คุณได้นิยามความเป็นตัวเอง อธิบายตัวเองในหนึ่งประโยคนะ 
Choi Seung Hyun:  อ่า นี่น่าจะดีนะครับ " สวัสดีครับ ผมเป็นคนที่กลับมาปรากฏตัวแล้วครับหลังจากที่หายไปนาน" นี่เป็นความจริงนะครับ ดังนั้นมันน่าจะโอเคใช่ไม๊ครับ?? ในตอนที่ผมยังเป็นเด็กกว่านี้ ผมมักจะแนะนำตัวเองว่า " สวัสดีครับผมคือคนที่มักจะเมาอยู่เสมอ" เพื่อนๆของผมล้วนแปลกประหลาดกันไปหมดเลยครับและผมก็นับว่าค่อนข้างปกติเลยนะเวลาที่อยู่กับพวกเค้า 

อ่าาา คือผมไม่ได้จะบอกนะครับว่าผมมักจะเมาเสมอในช่วงที่เป็นเด็ก ช่วยเขียนย้ำกำกับลงไปด้วยนะครับว่า เมาในช่วงอายุต้น 20 (หัวเราะ) 

LH: โอเคอย่ามาทำตัวซีเรียสหน่อยเลยหน่า


Englisn Translation by BIGBANGISVIP 
Thai Translation by miss mew 
magazine  by L'official Homme 

================

ตามอ่าน L'official ตอนอื่นๆได้ตามนี้ 
top-lets-talk-at-home-in-my-room part1.html
top-lets-talk-at-home-in-my-room End.html 

TOP “Let’s talk at home (IN MY ROOM) L’OFFICIEL /11-2013 part 1


ก่อนทำการสัมภาษณ์ มันทำให้ฉันเกิดความลังเลอยู่ว่าจะเรียกเค้าว่า ท็อป จากวงบิกแบงหรือเรียก ชเวซึงฮยอนดี แต่เมื่อเค้าเดินเข้ามาในกองถ่าย สุดท้ายฉันก็นึกคำตอบออก เค้าคือ ชเวซึงฮยอนแน่ๆในวันนี้ เค้าผอมและดูเฉียบคมเอามากๆ

ภาพยนตร์เรื่อง Alumni (The Commitment) ที่จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ในเดือนพฤศจิกายนนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กชายจากเกาหลีเหนือ  Lee Myung Hoon ที่ต้องมีชีวิตอยู่ด้วยการปลอมตัวเป็น  Kang Dae ho เพื่อช่วยชีวิตน้องสาวคนเดียวของเค้า  Hye in (รับบทโดย Kim Yoo Jeong) พร้อมทั้งเจออุปสรรคมากมายที่เค้าต้องอดทนฟันฝ่า ในฐานะที่เป็นคนที่ถูกตามล่า เค้าไม่ได้รับอนุญาติให้สร้างมิตรภาพหรือมีความรู้สึกเหมือนกับเด็กทั่วไป และสิ่งเหล่านั้นกลายเป็นรอยแผลเป็นติดตัวเค้าอยู่

คนที่จะต้องพูดคุยเรื่องราวที่สลับซับซ้อนนี้ให้เราฟังในวันนี้ก็คือ ชเวซึงฮยอน พระเอกของเราในวันนี้ค่ะ

L’officiel Hommes : วันนี้เราสัมภาษณ์คุณในฐานะนักแสดงไม่ใช่นักร้องนะคะ ฉันได้ยินมาว่าทางบริษัทภาพยนตร์ได้เตรียมภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยในใจพวกเค้ามีคุณรับบทแสดงนำตั้งแต่แรกเลยทีเดียว
Choi Seung Hyun: ครับ ต้องขอขอบคุณมากเลยครับ จริงๆมันเป็นเรื่องที่น่าตลกนะครับ ผมไม่เคยได้อ่านบทหรืออะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลังจากที่พี่ผู้จัดการเอามันมาวางไว้ในห้องผม ผมมักจะมองมันจากที่ไกลๆและเดินผ่านตลอดไม่เคยจะหยิบมามองเลยครับ หน้าปกของบทภาพยนตร์เขียนเอาไว้ว่า ‘Alumni’ และผมก็คิดว่า "นี่เป็นหนังรังเอาใจเด็กหนุ่มสาวหรือเปล่า? หรือว่าเป็นหนังรักเหนือจริงเมโลดราม่าของเด็กมักธยมรึเปล่า?? " แล้วก็ปล่อยให้บทมันอยู่ตรงนั้น แต่หลังจากนั้นประมาณ 1 เดือน มีบางคนโทรหาผมครับ เค้าถามว่าผมได้อ่านบทรึยัง?? และนั่นทำให้ท้ายที่สุดแล้วผมจึงเริ่มหยิบบทเปิดหน้าแรกออกอ่าน

LH: คุณไม่ชอบรับบทบาทที่เหมือนเป็นตัวแทน ดาราไอดอลแบบนั้นเหรอคะ??
Choi Seung Hyun: ไม่ใช่ว่าผมเกลียดมันหรืออะไรนะครับ แต่ผมต้องการจะทำอะไรที่มันจริงจังมากกว่าบางทีนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงไม่ได้รับแสดงภาพยนตร์หลายๆเรื่อง มันเป็นความดีใจแต่ในขณะเดียวกันมันก็ถือว่าเป็นภาระเหมือนกัน เมื่อ3ปีก่อน ในตอนที่ผมถ่ายทำละครเรื่อง IRIS มันไม่ใช่เรื่องปกตินะครับที่ไอดอลจะได้มาร่วมทำงานในละครที่มีโปรดักชั่นยิ่งใหญ่แบบนั้น หลังจากที่ผมเล่นละครเรื่อง I am Samในปี 2007 ผมตระหนักว่ามันผ่านมากว่า 6 ปีแล้วนะ ผมตัดสินใจว่าผมควรจะเริ่มแสดงออกถึงด้านที่แตกต่างในตัวเองออกมาได้แล้วโดยการรับแสดงในภาพยนตร์ที่มีความแตกต่างหรือละคร ทีละเรื่องทีละเรื่องไปครับ

LH: ถ้าฉันมองจากงานที่ผ่านมาๆของคุณ คุณมักจะรับบทที่ไม่ค่อยมีบทพูดมากเท่าไหร่นัก คุณอาจจะชอบบทเหล่านี้เพราะคุณไม่จำเป็นต้องจำบทมากรึเปล่าคะ?? คุณเป็นคนที่จำบทเก่งรึเปล่า??
Choi Seung Hyun: โชคดีที่ผมค่อนข้างเก่งเรื่องการจำบทครับ ถ้าหากว่าผมไม่เข้าใจบทของภาพยนตร์ทั้งหมดอย่างถ่องแท้ ผมก็จะไม่สามารถที่จะแสดงบทบาทของตัวละครนั้นออกมาได้อย่างสมบูรณ์ จริงๆผมคิดว่านี่เป็นเรื่องปกตินะครับ แต่พอผมเริ่มทำ ผมจะคิดด้วยตัวเองเยอะมากและผมก็จะเอาแต่จัดระเบียบความคิดของตัวเองอย่างต่อเนื่อง เวลาที่ผมได้อะไรมาใหม่ผมจะอยู่ในภาวะที่เครียด ดังนั้นผมพยายามที่จะควบคุมจิตใจตัวเองให้ได้มากขึ้นอีกนิดครับ

LH: พูดแล้วทำให้ฉันนึกถึงภาพยนตร์เรื่อง 71: Into the Fireนะคะ พูดตามตรงว่าฉันไม่ได้คาดหวังอะไรมากจากภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่คุณกลับไม่ได้โดนรัศมีจากดาราใหญ่คนอื่นๆในเรื่องบดบังเลย ซึ่งถ้ามองอีกแง่นึง การที่คุณไม่โดนดาราคนอื่นเบียดบังเป็นเพราะว่านี่เป็นภาพลักษณ์ที่ขยายส่วนออกมาจาก ท็อปวงบิกแบงรึเปล่าคะ
Choi Seung Hyun: (พยักหน้า) แต่ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้แตกต่างไปนะครับ ในตอนที่ผมอ่านบท สิ่งแรกที่เข้ามาในใจผมคือ " ว้าวว นี่มันยากนะ" แต่ผมก็เกิดความคิดขึ้นมาอีกว่า " แต่ถ้าเราทำได้ดี มันจะกลายเป็นดีมากๆเลยนะ กลายเป็นภาพยนตร์ที่ดูลึกซึ้งเลยทีเดียว"

ความจริงที่ว่า การที่ผมเป็นคนที่มาจากเกาหลีเหนือและใช้ชีวิตเป็นนักเรียนในเกาหลีใต้นั้นมันก็เป็นนิยายมากเกินพอแล้ว และผมคิดว่าถ้าการถ่ายทอดอารมณ์ของผมมันออกมามากเกินไปมันก็จะดูไม่สมจริงดังนั้นผมควรที่จะควบคุมมัน  ผมมักจะุถามตัวเองแบบไม่จบไม่สิ้นว่า " ทำไมเราต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วย?? อะไรคือสิ่งที่เราจะต้องเข้าใจจากเหตุการณ์นี้ ??" 

LH: มีใครเป็นพิเศษที่คอยช่วยคุณในตอนที่คุณเตรียมตัวสำหรับแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ไม๊คะ??
Choi Seung Hyun: มีหลายคนมากจนผมไม่สามารถเลือกใครออกมาได้เลยครับ ขอบคุณผู้กำกับและนักแสดงรุ่นพี่ทั้งหมดที่คอยตอบคำถามทั้งหมดของผม แต่ยังไงก็ตามแต่นี่ก็เป็นงานของผม ผมก็ยังคงต้องมีความรับผิดชอบมากอยู่  ภาพยนตร์นั้นจะต้องสามารถทำให้คนดูรู้สึกคล้อยตามได้ซึ่งผลสุดท้ายหนังจะออกมาเป็นยังไงก็อยู่ที่ตรงนี้แหละครับ จะได้คำชื่นชมหรือจะเหมือนโดนผู้ชมตบหน้าก็ตรงนี้

LH: คิดไปคิดมานี่เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของคุณในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเลยนะคะ
Choi Seung Hyun: ใช่ครับ ทุกครั้งที่ผมถ่ายทำภาพยนตร์ ผมก็มักจะทำงานในอัลบั้มไปด้วย จริงๆยังไม่ได้มีการตัดสินใจใดๆแต่ตอนนี้อย่างน้อยผมก็พยายามที่จะทำอะไรออกมาบ้าง ผมรู้สึกถึงความรับผิดชอบที่ผมมีต่อแฟนๆของผมเพราะผมไม่ค่อยจะมีการทำงานโปรโมทในงานเดี่ยวเลย ผมคิดเรื่องนี้เยอะมากในการใช้ชีวิตประจำและในช่วงเวลาที่ตรวจสอบตัวเอง มันเหมือนเป็นเวลาที่ผมจะถามคำถามกับตัวเองและหาคำตอบนั้นด้วยตัวเองครับ

LH: ช่วงเวลาตรวจสอบตัวเองเหรอคะ?? โอ้ ฉันไม่ได้ยินคำคำนี้มานานมากแล้วนะเนี้ย?
Choi Seung Hyun: (ทำหน้าจริงจัง) ผมไม่ได้ล้อเล่นนะครับ ผมจะจริงจังมากในการคิดถึงตัวเองและสิ่งที่ทำไปในแต่ละวัน ซึ่งอย่างน้อยๆผมจะถามตัวเองอยู่ตลอดทุกวันว่า " ตอนนี้ผมเดินมาในทางที่ถูกแล้วใช่ไม๊??" ผมจะถามตัวเองครับ ผมอาจจะมีภาพลักษณ์ดื้อๆ กบฏๆเป็นแร๊พเปอร์ที่มีความทนงตัว แต่จริงๆแล้วในตัวผมมีด้านมืดอยู่ด้วย และ มยองฮุนในภาพยนตร์ก็มีด้านมืดและมีบุคคลิกที่ซับซ้อน ตัวละครนี้เค้าเหมือนกับพบภัยอันตรายที่ไม่คาดคิดมาก่อนและจมดิ่งลงไปจุดที่ต่ำสุด บทนี้จำเป็นต้องอาศัยอารมณ์ที่กดดันลึกๆมากมาย เค้าอาจจะดูเหมือนกับนักฆ่าในเรื่อง IRIS นะครับแต่บทนี้แตกต่างไปครับ มันไม่ใช่ภาพลักษณ์ของ ท็อปวงบิกแบงเลยแม้แต่น้อย

LH: คุณคงต้องพยายามอย่างมากเลยนะคะ ในการรับบทเป็น มยองฮุนในครั้งนี้
Choi Seung Hyun: ผมอยากให้ด้านมืดที่ผมไม่เคยแสดงออกมาเลยบนเวทีออกมาปรากฏให้ได้เห็นบนจอภาพยนตร์ ผมอยากจะให้ตัวเองดูโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงามากที่สุดเพียงแค่ยืนเฉยๆเท่านั้น วิธีที่ดีที่สุดที่จะเรียนรู้ให้สามารถแสดงออกมาแบบนั้นได้คือผมต้องอยู่ตัวคนเดียว ผมไม่ได้พบใครเลยเป็นเวลาเกือบ 1 ปี ผมใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับตัวเอง ผมถึงขนาดบอกกับทางบริษัท YG ว่า ผมไม่อยากทำงานโปรโมทอะไรใดๆทั้งสิ้น ดังนั้นอย่าวางแผนงานใดๆลงไปในตารางงานของผม ทำแบบนี้มันต้องสร้างความลำบากให้กับพี่ผู้จัดการแน่ๆ เพราะเค้าต้องยกเลิกคำเชิญที่จะให้ผมไปปรากฏตัวตามรายการ TV และงานอื่นๆอีกทุกๆงานที่เข้ามา

LH: ฉันเดาเอาว่าสำหรับพี่ผู้จัดการแล้วคุณคงเป็นนักแสดงที่จู้จี้น่าดู 
Choi Seung Hyun: อาจจะนะครับ ผมจะทำทุกอย่างที่ผมอยากจะทำ และจะทำแต่สิ่งที่ต้องการจะทำเท่านั้น ไม่ใช่แค่เรื่องภาพยนตร์เท่านั้นแต่ในวง บิกแบงก็ด้วย หลังจากที่การถ่ายทำจบลงและในที่สุดก็มีการประกาศวันออกฉาย   น้องๆสมาชิกในวงมาบอกกับผมว่า " ฮยองฮะ เราจะไปดูหนังกันนะฮะจะได้ไปดูว่าหนังนั้นยอดเยี่ยมแค่ไหน" ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะฮะแต่จะเห็นได้ชัดเลยว่าในช่วงที่ทำทัวร์สมาชิกในวงพยายามที่อยู่ห่างๆผมเอาไว้เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะมีเรื่องขัดแย้งกับผม พวกเค้าพูดว่าพวกเค้าไม่กล้าที่จะคุยกับผมด้วยซ้ำ เพราะ ผมดูอ่อนไหวและดุดันมากในตอนนั้น 


มันไม่ได้ใช้เวลานานเลยในการที่ท็อปจะกลายเป็น ชเวซึงฮยอนและไม่นานเลยที่ชเวซึงฮยอนจะกลายมาเป็นมยองฮุน ภาพยนตร์เริ่มถ่ายทำในช่วงเดือนมกราคมที่หนาวเหน็บและจบลงในช่วงกลางฤดูร้อนชเวซึงฮยอนสารภาพว่าเค้าใช้เวลายาวนานเกินไปในการหลบซ่อน  ในตอนแรกเค้าวางแผนว่าจะตั้งใจมากขึ้นในภาพยนตร์เรื่องนี้เพราะต้องการให้ผู้ชมนั้นได้เห็นเค้าในด้านที่แตกต่างออกไปจากที่เคยเห็นในฐานะบิกแบง  แต่แม้กระทั่งการถ่ายทำภาพยนตร์จบสิ้นลงไปแล้ว มยองฮุนกลับยังอยู่ในตัวเค้า

หลายเดือนก่อนที่หนังจะประกาศวันออกฉาย ชเวซึงฮยอนไม่สามารถทำงานโปรโมทใดๆได้เลย เค้าเอาแต่นอนบนเตียงและดื่มจนเมาที่บ้านเป็นเวลากว่า 5 เดือน เค้ากล่าวว่าเค้ารู้สึกขอบคุณบริษัทต้นสังกัดมากที่เข้าใจในสถานการณ์ที่เค้ากำลังเผชิญอยู่ เค้ากลัวว่าเค้าอาจจะยิ่งจมดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆในสภาวะที่หดหู่แบบนี้ เค้าจึงพยายามดึงตัวเองออกจากบ้านไปพบปะผู้คนบ้าง และนั่นเป็นจุดที่เค้าเริ่มที่จะรวบรวมตัวตนของตัวเองให้กลับมาเข้าที่เข้าทางอีกครั้ง และ สุดท้าย ในตอนนี้เค้ากลับมายืนใต้แสงสปอต์ไลท์ได้อีกครั้ง 

LH: คนที่มีความลึกซึ้งนี่เค้าจะเต้นทันทีที่เข้ามาถึงในสตูดิโอกันแบบนี้เลยเหรอคะ คุณเต้นไปตั้งสองครั้งหนะนะ?? 
Choi Seung Hyun: จริงๆแล้วผมเป็นคนที่บอบบางมากนะครับ (หัวเราะ) จริงๆแล้วผมเป็นคนที่อ่อนไหวเซนซิทีฟครับ แม้แต่ในตอนที่ยังไม่ได้เป็นคนดัง ตั้งแต่เด็กมาแล้ว ผมยังเป็นเหมือนเดิม เวลานอนผมยังสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกหลายๆครั้ง แต่ผมก็เป็นคนที่ไม่ได้นอนหลับเพลินเหมือนกัน  แม้ว่าวันที่ไม่มีงานในตารางผมก็ยังคงจะตื่น 10 โมงเช้าตลอดครับ 

LH: ฉันมองออกว่าคุณเป็นคนที่ขี้อายจริงๆ
Choi Seung Hyun: ไม่ว่าจะเป็นใน TV หรือในภาพยนตร์ จะมีคนมากมายที่มีออร่าเปล่งประกายออกมามากเลยครับ เราเรียกอารมณ์แบบนี้ว่า สงครามจิตวิทยา และผมไม่ชอบที่จะอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นเลย ผมพยายามที่จะหลีกเลี่ยงมัน พูดตรงๆคือผมไม่อยากจะเอาพลังงานของผมไปเสียเปล่ากับอะไรแบบนั้น ผมจึงพยายามเทพลังงานออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ลงไปต่อหน้ากล้องหรือบนเวที ดังนั้นการถ่ายภาพและการสัมภาษณ์แบบนี้จะทำให้ผมรู้สึกเขินครับ และนั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงเริ่มเต้นทันทีที่ผมมาถึงสตูดิโอ (หัวเราะ)

LH: ในปีนี้คุณจะมีอายุ 27 ปีแล้ว ขนาดผู้ชายธรรมดาในช่วงอายุนี้ เค้าคงต้องเริ่มคิดอะไรที่จริงจังๆในความเป็นจริงแล้วไม๊คะ?? 
Choi Seung Hyun: อืมมม หากเทียบกับก่อนหน้านี้ ผมพยายามที่จะมีความสุขในงานอดิเรกของผมให้มากขึ้นครับ เช่น ผมมีความสุขที่จะได้ไป แกลลอรี่และร้านเฟอร์นิเจอร์ มันช่วยให้ผมตั้งจุดหมายในสิ่งใหม่ๆได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น ผมคิดว่าผมสามารถพูดได้เลยนะว่ามันสร้างแรงบันดาลใจให้กับผม

LH: พวกคุณไม่ได้สนใจไปที่รองเท้าและเสื้อผ้ามากกว่าเหรอคะ?? ฉันจำได้ว่าคุณเคยพูดในการให้สัมภาษณ์ที่ผ่านมาด้วยเหมือนกัน ตอนนี้คุณสนใจพวกเฟอร์นิเจอร์แล้ว เหมือนกับว่าคุณมองมันโดยรวมๆทั้งบ้านเลยรึเปล่า?? ถ้าแบบนั้นคุณมีมุมมองที่กว้างขึ้นในระดับโลกเลยไม๊?? 
Choi Seung Hyun: คือ งี้ครับ งานของผมก็เหมือนกับตัวตลก การเป็นนักร้องหรือนักแสดงนั้นเป็นงานที่คุณต้องโฆษณาตัวเองเอาตัวเองออกขาย มันไม่ได้มีแค่ผมที่ทำแบบนี้คนเดียว และ ผมก็ต้องทำตัวให้กลายเป็นคนอีกคนนึงอยู่เสมอ เมื่อผมนึกถึงโต๊ะหรือเก้าอี้ที่อยู่ในร้าน ชิ้นงานศิลปะเหล่านั้นมันดูแตกต่างไปและมันทำให้ผมเริ่มรู้สึกว่าผมแตกต่างไปด้วย เพราะผมสามารถเห็นว่าดีไซเนอร์ได้เทใจในการดีไซน์ลงไปในชิ้นงานเพื่อที่จะพยายามทำให้ผู้คนต้องการมันและทำให้มันเป็นที่สะดุดตา ผมก็สามารถเป็นสินค้าที่ถูกสร้างออกมาอย่างดีแบบนั้นได้เหมือนกัน 

เวลาที่ผมมีเวลาว่างผมชอบที่จะไปแกลลอรี่หรือดูนิทรรศการด้วยตัวของผมเอง ผมได้เจอผู้คนที่มีความสนใจอย่างมากในเรื่องของการตบแต่งภายในและเฟอร์นิเจอร์บ่อยๆที่นั่น  พวกเค้าต่างก็มีอายุมากกว่าผมมากแต่ผมไม่รู้สึกว่ามีช่องว่างระหว่างวัยใดๆเลยเวลาที่เราพูดคุยกันเรื่องต่างๆ จริงๆแล้วมันสนุกมากทีเดียวครับ 

Englisn Translation by BIGBANGISVIP 
Thai Translation by miss mew 
magazine  by L'official Homme 

=============

ตามอ่าน L'official ตอนอื่นๆได้ตามนี้ 
top-lets-talk-at-home-in-my-room part1.html
top-lets-talk-at-home-in-my-room End.html

วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2556

TOP "Running on empty" จากนิตยสาร W / 11-2013 (end )




มีสัมภาษณ์มากมายเลยที่คุณสัมภาษณ์ร่วมกับสมาชิกในวง บิกแบง แต่พูดตรงๆนะคะคุณไม่ได้ดูเป็นผู้ใหญ่เท่าไรเลยทั้งๆที่คุณเป็นพี่ใหญ่ของวง
TOP:ผมพยายามที่จะสบายๆเวลาที่ผมอยู่กับสมาชิกในวงครับ ผมคิดว่าสมาชิกในวงก็ชอบให้เป็นแบบนี้มากกว่าเพราะพวกเค้ายังเป็นเด็กกันอยู่เลยและบรรยายในการทำงานนั้นเต็มไปด้วยความเครียด เวลาที่เราทำงานมันจะช่วยได้มากเลยถ้ามีใครจะเล่นตลกปล่อยมุกและให้กำลังใจทุกคน ผมคิดว่ามันดีนะครับสำหรับพี่ใหญ่ที่สุดที่จะรับหน้าที่นี้ไป 

บางทีที่คุณทำแบบนั้นออกไปเป็นเพราะพวกคุณสนิทกันก็ได้นะคะ แต่คุณคงไม่ได้ทำแบบนั้นบ่อยๆเวลาที่ถ่ายทำภาพยนตร์ใช่ไม๊คะ??
TOP:ผมมักจะเล่นตลกไปทั่วแหละครับแม้กระทั่งในตอนที่ถ่ายหนังก็ด้วย ผมเต้นต่อหน้ากล้องไปด้วยครับ เราวางแผนว่าจะทำ making film และออกวางขายพร้อมสมุดภาพภาพยนตร์ Alumniครับ

ฉันได้ยินมาว่าบิกแบงก็กำลังจะคัมแบคเร็วๆนี้ใช่ไม๊คะ? 
TOP:จริงๆมันถึงเวลาที่เราจะทำงานเพลงใหม่ของเราแล้วละครับ แต่เรายังคงไม่ได้ทำเลยเพราะเราต่างก็ยุ่งกันมาก ดังนั้น วันที่คัมแบคยังไม่ได้กำหนดหรอกครับ

เร็วๆนี้คุณได้ไปฟีืเจอริ่งกับ Diplo (Major lazer)ในเพลง ‘Bubble Butt’…นี่คะ
TOP:โดยไม่ได้มีหัวข้อหรือออดิโดนำใดๆ พวกเค้าบอกให้ผมทำอะไรก้ได้ที่อยากจะทำออกมา เป็นเพราะผมเป็นชาวเกาหลี ผมมักจะพกเอาความภาคภูมิในความเป็นคนเกาหลีของผมไปในทุกๆที่เวลาที่ต้องออกไปทำงานในต่างประเทศ ชาวต่างชาติมันจะพูดว่าชาวเกาหลีนั้นมีเสียงที่ดูแข็งกระด้าง แต่ผมอยากจะทำให้เห็นว่าการแร๊พในภาษาเกาหลีนั้นสามารถทำให้เซ็กซี่ได้ด้วยการเขียนเนื้อเพลง แต่สารภาพนะครับเพลงนั้นผมทำเสร็จเมื่อ 2 ปีก่อนแล้วละครับ แต่มันพึ่งออกมาให้ได้ฟังกันเท่านั้นเอง

ฉันรู้สึกได้ว่า เวลาที่คุณทำงานแสดงคุณก็ต้องการอยากทำเพลง เวลาที่คุณทำงานเพลงคุณก็อยากจะทำงานการแสดงด้วยแบบนั้นใช่ไม๊คะ? 
TOP:ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆแหละครับ เหตุผลที่ผมไม่สามารถขี้เกียจได้เลยก็เพราะเวลาที่ผมทำงานเพลง ผมก็ต้องการอยากจะแสดงในภาพยนตร์ด้วย และในตอนที่ผมถ่ายทำภาพยนตร์ผมก็ต้องการอยากจะทำงานเพลงอีก ผมคิดว่าพลังงานนี้มันถูกชาร์ตใหม่ในทุกๆครั้ง แต่บางครั้งผมรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองใช้ความแข็งแกร่งตรงนี้ไปในทางที่ผิดยังไงก็ไม่รู้ครับ

งั้นคุณคงต้องรู้สึกอยากขึ้นเวทีให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เลยใช่ไม๊คะ?
TOP:ผมต้องการจะพบแฟนๆของผมผ่านทางงานเพลงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เลยครับ ผมรู้สึกเสียใจขอโทษกับคนที่ยังคงรอคอยและมีศรัทธาในพรสวรรค์ของผมในด้านนี้ ดังนั้นผมต้องการที่จะเตรียมการให้พร้อมและคัมแบค เหมือนกับเป็นการมอบของขวัญให้กับพวกเค้าที่รอคอยอยู่ครับ 

คุณพูดแบบนั้นในเรื่องของการออกเดทด้วยรึเปล่าคะ??
TOP:พวกผู้หญิงไม่ชอบเหรอฮะที่แฟนของพวกเธอจะมอบรองเท้าพร้อมกับแหวนให้กับพวกเธอ แทนที่จะมอบแหวนให้แค่อย่างเดียว??

คุณมีมุมมองความรักเป็นที่น่าปรารถนาจริงๆนะคะ 
TOP:ถ้าผมเป็นผู้ชายประเภทที่แสนดีเสมออยู่แล้ว มันก็คงจะไม่น่าปรารถนาอะไรหรอกครับ แต่ผมอยากจะเป็นผู้ชายประเภทที่บางครั้งก็จะตระเตรียมเหตุการณ์ที่ดูจริงใจให้กับคนรักของผมบ้าง

ก่อนหน้านี้คุณพูดเกี่ยวกับช่วงอายุ 30 ไปแล้ว คุณคิดว่าคุณจะเป็นยังไงในตอนที่คุณมีอายุ 30 คะ??
TOP:มันเร็วๆนี้แล้วนะครับ แค่อีก 3 ปีจากนี้ คุณไม่คิดเหรอว่าผมน่าจะยังเหมือนในตอนนี้นะฮะ?? 

แต่ถ้าคุณคิดว่าถ้าเทียบตอนนี้กับเมื่อ 3 ปีก่อน คุณไม่คิดเหรอคะว่ามีอะไรแตกต่างไปอยู่นะ??
TOP:ตอนนี้เมื่อผมมาคิดๆดูแล้ว ผมคิดว่าผมเคยบอบบางและอ่อนโยนเมื่อ 3 ปีก่อนและผมคิดว่าตอนนี้ผมเริ่มที่จะมีทักษะมากขึ้นและมั่นคงขึ้น แต่สิ่งที่ดูจะเฉียบคมมากไปในตอนนั้นตอนนี้กลับอ่อนลง  และในตอนนี้ผมหยุดที่จะยึดติดในสิ่งเล็กสิ่งน้อยและเข้มแข็งมากขึ้น ดังนั้นผมคิดว่าสิ่งที่ผมได้เรียนรู้คือ การที่จะหาสมดุลต่างๆให้กับตัวเองมากกว่าที่ผมเป็นเมื่อ 3 ปีก่อน 

ผมหวังว่าผมจะกลายเป็นคนที่มีประสบการณ์ในการควบคุมสิ่งต่างๆและแสดงออกแต่ในด้านดีๆของตัวเองและสามารถที่จะสร้างสิ่งใหม่ๆและขัดเกลามันออกมาได้ด้วย ผมคิดว่าผมกล้าหาญขึ้นนะ  



lสมาชิกในวงบิกแบงกำลังทำอะไรกันอยู่บ้างคะ? 
TOP:GD กำลังยุ่งอยู่เสมอกับการทำอะไรหลายสิ่งหลายอย่าง อัลบั้มของแทยังกำลังจะออกมาแล้วนะครับ แดซองงี ก็มีคอนเสริต์หลายรอบเลยที่ญี่ปุ่น และซึงรีก็กลายเป็นพิธีกรในรายการทีวีของญี่ปุ่นไปแล้ว ผมคิดว่าแฟนๆรู้ดีกว่าผมเยอะนะครับว่าสมาชิกในวงกำลังทำอะไรกันอยู่ 
  
อะไรที่คุณกำลังสนใจอยู่อีกบ้างคะในตอนนี้นอกเหนือจากเรื่องงาน
TOP:จริงๆตอนนี้ก็ไม่มีอะไรครับ ผมเคยสะสมพวกของเล่นในเชิงศิลปะ (art toys) แต่ผมรู้สึกว่าผมบรรลุกับมันแล้วครับ คุณแม่ของผมบอกว่าไม่มีที่จะเก็บแล้วและเธอก็เอาพวกมันทั้งหมดใส่ในห้องเก็บของของผมและบอกให้ผมหยุด 

ผมชอบสะสมเฟอร์นิจเจอร์เริ่มมานานแล้วละครับและผมก็ยังสะสมพวกมันต่อไป ผมชอบเก้าอี้สไตล์โมเดริ์นของดีไซเนอร์ยุค60ชาวอิตาเลี่ยนคุณ Antonio Citerrio มาก ผมชอบมันเพราะมันดูกล้าหาญและองอาจแข็งแกร่ง มันให้แรงบันดาลใจกับผม ก็เหมือนกับบิกแบง ครับ มันทำให้ผมนึกถึงความกล้าหาญของบิกแบงในวัยหนุ่ม ลักษณะจำเพาะที่องอาจ และผมพยายามที่จะสร้างแรงบันดาลใจจากมัน

ผมคิดว่าผมพอใจบรรลุกับสไตล์ของ Ettore Sottsass แล้วนะครับผมชอบอะไรที่ดูคลาสลิกมากขึ้นในตอนนี้ เมื่อนานมาแล้ว ผมเคยต้องการที่จะพยายามลองแฟชั่นในหลากหลายสไตล์แต่มันก็จบลงที่ผมจะหยิบมันมาสวมใส่แค่ 2-3 ครั้งเท่านั้น ดังนั้นผมคิดว่ามันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ปกติของคนในวัย 30 นะครับที่จะย้อนกลับไปหาอะไรที่เป็นพื้นฐานสวมใส่อะไรที่เรียบง่าย 

ผมเดาเอาว่าช่วงอายุ 30 คงเข้ามาสู่ตัวผมแล้วละในตอนนี้ และผมคิดว่าผมเป็นคนประเภทที่จะเบื่ออะไรง่าย เวลาที่ผมชอบอะไรบางอย่างผมจะเห็นจุดจบของสิ่งนั้นด้วยเสมอดังนั้นผมจึงเบื่อมันได้ง่ายๆครับ
  
ในภาพยนตร์เรื่อง 71: Into the Fire บทบาทของคุณจะตรงกันข้ามกับบทบาทที่ Kwon Sangwooได้รับเลย แต่มันกลับไปได้ด้วยดีสำหรับคุณสองคน ในการทำงานภาพยนตร์ มันเป็นยังไงบ้างคะในการทำงานร่วมกับนักแสดงคนอื่นๆ? 
TOP: ผมคิดว่าพวกเราต่างก็มีความสัมพันธ์ไปในเชิงบวกด้วยกันทั้งนั้นนะครับ นักแสดงแต่ละคนล้วนมีจำนวนฉากที่จะต้องมาเข้าฉากกับผมในจำนวนที่พอๆกันทุกคน ความน่าสงสารที่ใหญ่ที่สุดในภาพยนตร์จะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างผมกับยูจอง แต่จำนวนฉากที่ผมต้องเข้าฉากเจอกับยูจองนั้นก็จะมีจำนวนพอๆกับฉากที่ผมต้องเจอกับรุ่นพี่ เชมูน ดังนั้นมันเลยไม่ดูเยอะไปหรือน้อยไปแต่กลายเป็นเอกลักษณ์ 

แต่มันยากที่จะแสดงบทบาทนี้ออกมาเพราะตัวบทต้องทำมันออกมาให้กลมกลืนกับนักแสดงคนอื่นทั้งหมดด้วย เวลาที่ผมเข้าฉากกับนักแสดงที่ต่างกันออกไป ด้านใหม่ๆที่แตกต่างของตัวละครนี้ก็จะปรากฏออกมาด้วย ผมรู้สึกว่ามันจะออกมาดีมากเป็นพิเศษในฉากที่ผมเข้าฉากกับ คุณ Han Yeri นะฮะ

คุณเคยพูดว่าคุณจะกลับไปสู่พื้นฐานและอยู่กับแฟชั่นในแบบคลาสลิก นี่หมายความว่าคุณจะหยุดลองทำสีผมสีเด่นๆไปเลยหรือเปล่าคะ?? 
TOP:ผมอยากจะจัดการเสื้อผ้าและสไตล์ของผมให้อยู่ในแบบคลาสลิกครับแต่ผมก็ไม่ขอที่จะไปไกลเกินกว่าสีหลักๆพื้นฐานเหมือนกันในเรื่องของสีผม ผมอยากให้ตัวเองดูเป็นคนหนุ่มที่สุขุมในขณะที่สวมใส่เสื้อผ้าและมีสไตล์ที่คลาสลิก แทนที่จะดูเป็นพวกเรียบร้อยเนี๊ยบไปทุกกระเบียดนิ้ว ผมคิดว่าผมกลายเป็นไม่ค่อยชอบแฟชั่นในแบบ หัวก้าวหน้ามากเท่าไหร่แล้ว

(mew's note: แฟชั่นในแบบ หัวก้าวหน้า (avant-garde) จะเป็นแฟชั่นแนวใหม่ๆที่มักจะลองอะไรนอกกรอบ แปลกใหม่ทำในสิ่งที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อนค่ะ)

ดีไซเนอร์คนโปรดมีใครบ้างคะ?? 
TOP:ผมชอบ Tomford ครับ ผมรัก Saint Laurent เหมือนกันแต่ผมไม่คิดว่ามันจะเหมาะกับรูปร่างในแบบผม ผมคิดว่า Hedi Slimane นั้นเก่งเหมือนกันครับ แต่ผมรักงานของ Yves Saing Laurent ด้วย ในตอนที่ผมกลายเป็นคุณปู่ในอนาคตผมอยากจะกลายเป็นคนอย่าง Laurent ผมอยากจะรับบทบาทพิเศษจำเพาะในเรื่องวัฒนธรรมในสังคม ผมอยากจะเป็นคนที่อยู่ในความทรงจำของผู้คนครับ

คุณได้ดูสารคดีเรื่อง L’amour fou ที่บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของ Yves Saint Laurent รึยังคะ?
TOP:มันเป็นภาพยนตร์ที่ผมรักมากจริงๆครับ ภาพยนตร์นั้นน่าประทับใจและนิสัยใจคอของเค้านั้นคล้ายกับผมมากทีเดียวครับ 

Yves Saint Laurent มีคู่หูชื่อ Pierre Berge คุณมี??
TOP:ผมก็มีชาร์ลีครับ

ชาร์ลีเหรอคะ?
TOP:เค้าเป็นสุนัขพันธ์ cocker spaniel ของผมเองฮะ 
ในตอนที่ผมตายไป เจ้าชาร์ลีคงเอาเฟอร์นิเจอร์ที่ผมสะสมไว้ ออกประมูล

==============

 Englisn Translation by BIGBANGISVIP
Thai Translation by miss mew 
magazine scan by ShrimpLYJ

============ 

สามารถตามอ่าน ตอนอื่นๆ ได้ตามนี้ค่ะ 
top-running-on-empty-w-11-2013-part-1.html 
top-running-on-empty-w-11-2013-part-2.html 
top-running-on-empty-w-11-2013-end.html 



TOP "Running on empty" จากนิตยสาร W / 11-2013 (part 2 )


ฉันคิดว่านักร้องทุกคนที่ขึ้นแสดงต่างก็มีด้านนั้นนะคะที่ว่าเหนื่อยแต่ก็มีความสุขที่ได้ทำ แต่ดูเหมือนคุณกำลังสวมบทบาทตัวละครที่ชื่อ TOP ออกมาเวลาแสดงบนเวทีใช่ไม๊คะ? มันไม่ยากหรอกเหรอคะที่จะแสดงเป็นท็อปแทนที่จะแสดงออกตัวตนของคุณในแบบตามธรมชาติออกมา?? 
TOP:ผมพยายามที่จะทำแบบนั้นเองแหละครับ ผมคิดว่าเราควรจะทำแบบนั้น ผมคิดว่าผู้คนจะเกิดอาการเบื่อหน่ายผมเอาง่ายๆหากผมแสดงออกตัวตนที่แท้จริงของตัวเองออกไปมากจนเกินไป ดงนั้นผมมักจะคิดถึงการเปลี่ยนแปลงและผมก็จะพยายามที่จะแสดงออกถึงท็อปที่ดีขึ้นเสมอๆ ออกมา ทำแบบนี้มันเหมือนกับเป็นกลเม็ดเคล็ดลับนะครับ


ในตอนที่ดารานักแสดงยากที่จะเข้าถึงผู้คนผ่านทางสื่อต่างๆ ผู้คนก็ชื่นชอบดาราในแบบคลาสลิกที่เป็นแบบนั้นคือยากต่อการเข้าถึง แต่ตอนนี้คุณไม่คิดเหรอคะว่าผู้คนน่าจะชอบดาราที่ดูเป็นมิตรมากขึ้น??
TOP:ผมคิดในทางตรงกันข้ามนะครับ ผมคิดว่าความชื่นชอบในแบบสมัยก่อนกำลังจะกลับมาฮิตใหม่ โดยเฉพาะเนื่องจากประเทศเราเป็นประเทศเล็กๆ ผู้คนจะเริ่มเบื่อดาราหรือคนดังที่เปิดเผยตัวตนออกมามากจนเกินไป การที่เป็นคนดังก็เหมือนกับการมีแฟนแหละครับ คุณจะไม่เบื่อหรอกเหรอฮะถ้าจะต้องเจอใครคนนึงบ่อยๆหรือยาวนานเกินไป?? ดังนั้นผมจึงพยายามที่จะแอบซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้และแสดงมันออกมาในตอนที่ผมจะต้องแสดงออก แทนที่จะแสดงออกถึงอะไรบางอย่างที่ดูไม่สมบูรณ์และน่ากระอักกระอ่วนใจ ผมพยายามที่จะแสดงออกถึงสิ่งที่แปลกใหม่และสมบูรณ์แบบ มากกว่า 

คุณต้องเข้มงวดกับตัวเองมากเลยนะคะ?
TOP:ผมคิดว่าวิธีที่คนดังเราทำงานก็เหมือนกับวิธีการที่พวกเราใช้กับความรักแหละครับ แม้ในตอนที่ผมออกเดทผมก็มักจะรักษาระยะห่างเอาไว้ในจุดนึงเสมอ ผมจะพูดจาสุภาพเรียบร้อยตลอดเวลาและผมจะไม่นัดเจอกันบ่อยๆ

ผู้ชายแบบนี้นี่มักจะทำให้ผู้หญิงเจ็บปวดนะคะ 
TOP:ผมก็เป็นเรื่องยากสำหรับทางผมเหมือนกันนะครับ (หัวเราะ) ผมก็จะคิดถึงเธอด้วยเหมือนกัน

แต่คุณก็ยังคิดว่ามันน่าดีกับสัมพันธภาพที่มี ที่จะห่างๆกันเอาไว้ ??
TOP:ผมกลัวว่าคนรักจะเบื่อผมครับ

แล้วความสัมพันธ์จะคงอยู่ยืดยาวกว่าหากคุณรักษาระยะห่างเอาไว้หนะเหรอคะ? 
TOP:ผมก็ไม่ได้มีประสบการณ์มากขนาดนั้น ดังนั้นผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่การรักษาระยะห่างนี้มันจะช่วยกันคุณจากการทะเลาะกัน หากคุณใกล้ชิดกันมากเกินไป คุณจะทะเลาะกันมากขึ้น มันเหมือนกับว่าคุณอาจจะพูดสิ่งที่คุณไม่ได้ตั้งใจจะพูดออกไปก็ได้เวลาที่คุณพูดมากเกินไป

คุณมีเสียงที่เป็นเอกลักษณ์นะคะไม่ว่าเวลาที่แสดงหนังหรือเวลาที่แร๊พ ฉันคิดว่าโทนเสียงของคุณเหมาะกับการแสดงนะ
TOP: ผมได้ยินคนมากมายพูดแบบนั้นเหมือนกันครับ แต่ผมไม่เคยคิดจริงๆว่ามันจะเป็นข้อได้เปรียบ จริงๆแล้วโทนเสียงแบบนี้มันไม่ได้ช่วยอะไรเลยในการแสดง มันมีความเป็นเบสมากเกินไปและเสียงที่ออกมาก็จะเป็นโทนต่ำเสมอดังนั้นการออกเสียงออกมามันจะไม่ชัดเจนเท่ากับโทนเสียงแบบคนทั่วๆไป 

ผู้คนมักจะบอกผมว่าผมมีโทนเสียงที่ดีต่อการเป็นแร๊พเปอร์แต่จริงๆแล้วมันยากมากเลยในการที่จะส่งผ่านเนื้อเพลงออกมาได้ แต่สิ่งที่จะทำให้โทนเสียงแบบนี้ฟังแล้วเพราะก็คือ "ทักษะ"  

มันทั้งมีข้อดีและเป็นการเสี่ยงอยู่แต่การที่ผมจะใช้เสียงแบบนี้ออกมายังไงนั้นเป็นสิ่งที่ผมต้องคิดหาทางครับ หากผมแสดงในหนังแบบการ์ตูนและพูดบทแปลกๆออกมา มันก็จะฟังดูตลก  หากผมแสดงในหนังซีเรียสและทำเสียงซีเรียสมันก็จะออกมาจริงจังมากไปได้เหมือนกัน ซึ่งเหนือสิ่งอื่นใดเลยมันขึ้นอยู่กับผมที่จะตัดสินใจใช้พรสวรรค์ที่ได้มานี่อย่างไร มันอาจจะเสี่ยงแต่ผมก็จะพยายามอย่างหนักหาดูว่าจะใช้มันยังไงดี 

งั้นฉันเดาเอาว่าในตอนนี้คุณอยู่ในระหว่างการเรียนรู้ว่าจะใช้เสียงคุณยังไงในการแสดงใช่ไม๊คะ? 
TOP:ผมกำลังพยายามอยู่ครับ เพราะผมเป็นนักดนตรี หูของผมจึงจะอ่อนไหวและตรวจจับทุกสิ่งที่ผมพูดออกมา

อะไรคือสิ่งที่ยากที่สุดในการทำภาพยนตร์เรื่องนี้คะ?? 
TOP:สิ่งที่ยากที่สุดคือการทำฉากแอคชั่นครับ ร่างกายของผมไม่ได้พริ้วขนาดนั้นและเพราะเวลาที่ผมเต้นบนเวที ผมจะขยับตัวไปกับจังหวะไปกับทำนองเพลง ดังนั้นมันจึงยากที่จะโยนเอาความเคยชินนั้นทิ้งไป แต่ผมก็พยายามอย่างหนักที่จะทำออกมาให้ดีที่สุดในหนังแอดชั่นของผมเรื่องนี้ครับ 

คุณพูดว่าคุณจะรับบทเป็นเด็กวัยรุ่นไปตลอดเท่าที่จะทำได้ นี่เป็นเพราะคุณไม่ได้ใช้เวลาในโรงเรียนแบบเด็กปกติรึเปล่าคะ??เพราะในตอนที่คุณเป็นวัยรุ่นคุณก็มาเป็นศิลปินฝึกหัดแล้ว??
TOP:ไม่ใช่หรอกครับ พูดตรงๆผมมาเป็นศิลปินฝึกหัดแค่ 1 ปีเท่านั้น ผมมาอยู่ที่ YG เพียงปีเดียวก่อนที่บิกแบงจะมีการเดบิวและผมก็เป็นแร๊พเปอร์ใต้ดินมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ผมเหมือนกับพี่ชายที่จียงและแทยังจะมาคุยเรื่องดนตรีด้วย ผมไม่ได้หลงใหลกับบทเด็กวัยรุ่นเพราะตัวเองไม่ได้ใช้เวลาสนุกในโรงเรียนแบบวัยรุ่นทั่วไป

แร๊พเปอร์มักจะใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งอยู่คนเดียว คิดและเขียนเนื้อเพลงแร๊พ จากนั้นเป็นต้นมาผมมักจะมีความรู้สึกไม่มั่นคงปลอดภัยและอ่อนไหว อีโก้ในตัวของผมนั้นมันมีมากและมันยากที่ผมจะรับมือกับมันด้วยตัวเอง และแบบนี้แหละครับที่ผมมักจะถูกดึงดูดด้วยบทบาทของเด็กชายที่มักจะมีความไม่มั่นคงปลอดภัยในอารมณ์แบบนั้นเหมือนกัน เวลาที่มีคนที่รู้จักพลังของอารมณ์ที่ไม่มั่นคงนั้นเข้าใจในความรู้สึกนั้นได้มารับบทบาทแบบนี้ มันจะสามารถที่จะส่งผ่านความตึงเครียดไปสู่คนดูได้มีประสิทธิภาพมากกว่านะครับ   

คุณพูดว่าอยากจะรับบทเด็กในวัย 20 ในตอนที่คุณอยู่ในวัย 30 ใช่ไม๊คะ?? 
TOP:จริงๆนั่นเป็นมุกตลกนะครับ (หัวเราะ) ตอนนี้ผมอยากจะถูกจับแต่งตัวและแสดงเป็นคุณปู่นะครับถ้าผมสามารถจะทำได้ แต่ทำไม่ได้ผมเลยไม่ได้ทำนะครับ 

มันจะสำคัญกว่าไม๊คะที่จะมองไปถึงบทบาทที่ได้รับว่ามีอะไรที่เหมือนกับเราไม๊?? มากกว่าที่จะมองที่อายุ??
TOP:ผมคิดว่ามันสำคัญมากที่คุณจะต้องรู้ว่าตัวคุณจะเป็นผู้นำเนื้อเรื่องไปยังไง ซึ่งถ้าคุณถามว่า ผมจะนำเนื้อเรื่องไปยังไง ผมขอตอบว่าผมจะไปในทางที่อารมณ์ของผมพาไป



ฉันดูออกว่าคุณฟังเพลงมาตั้งแต่ยังเด็กมาก แล้วภาพยนตร์ละคะ?? คุณมีนักแสดงคนโปรดบ้างรึเปล่า??
TOP:ผมรู้สึกเขินเวลาที่จะต้องพูดถึงนักแสดงนะครับ ผมชอบหนังดังของดาราคนดัง อย่างการแสดงของ Robert De niro โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องTaxi Driver ทุกครั้งที่ผมดูหนังของเค้าในแต่ละทีผมจะสามารถตีความอะไรออกมาแตกต่างกันไปเสมอ ในตอนที่ผมยังเป็นเด็กกว่านี้ผมชอบการแสดงของ Al Pacino แต่ยิ่งผมดูมากเท่าไหร่ผมก็ยิ่งชอบรายละเอียดเล็กๆน้อยๆในการแสดงของเดอนีโรครับ ผมรักที่การแสดงของเค้ามีเอกลักษณ์และเร้าอารมณ์ แม้กระทั่งการที่เค้าโบกมือแทนที่จะแสดงออกอารมณ์บรรยายออกมาตรงๆ 

แล้วภาพยนตร์เรื่องโปรดละคะ??
TOP:ผมไม่ได้สนใจเกี่ยวกับประเภทของหนังเลยครับ แต่ผมชอบหนังที่เกี่ยวกับ อัตลักษณ์ อย่างเรื่อง Gattaca และ A.I. ในตอนที่ผมเห็นบทภาพยนตร์เรื่อง Alumni เป็นครั้งแรก ผมคิดว่ามันมีความเหมือนกับเรื่อง A.I. ดังนั้นผมจึงอยากที่จะทำงานในภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมยังจำสายตาเยือกเย็นของหุ่นยนต์ตัวหลักในเรื่องได้ แบบนั้นแหละครับ ผมชอบสไตล์การแสดงที่ดูเหมือนไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆออกมาเลยแต่จริงๆแล้วมันเต็มไปด้วยอารมณ์  ผมคิดว่าผมอาจจะสามารถสร้างความประทับใจให้กับตัวละครในเรื่องAlumniนี้ได้หากผมพยายามที่จะดึงรายละเอียดในตรงนี้ออกมา มันเป็นบทบาทที่ยากเพราะถ้าผมแสดงออกมามากจนเกินไป มันก็จะกลายเป็นมากเกินไปครับ 

การที่ฉันได้ยินคุณพูดมา คุณไม่ชอบอะไรที่เห็นชัดเจน มากจนเกินไป และดูเยอะใช่ไม๊คะ? 
TOP:นั่นเป็นเพราะผมคนเก่าเป็นแบบนั้นครับ เหมือนกับตัวผมบนเวทีในช่วงแรกๆของบิกแบงหลายๆงาน ในตอนนี้พอผมมองย้อนไป ผมเห็นนักร้องที่ยังไม่ผ่านการขัดเกลาชื่อท็อป ผมสามารถเห็นตัวเองที่พยายามอย่างหนักที่จะดูเท่ ผมไม่รู้ว่าคนอื่นจะสามารถมองเห็นอะไรแบบนี้รึเปล่า?? แต่ผมพยายามอย่างหนักมากเกินไปจริงๆในตอนนั้น

คุณมีทัศนคติที่แตกต่างออกไปบ้างไม๊คะในตอนนี้??
TOP:ผมพยายามที่จะค่อยๆควบคุมสิ่งต่างๆค่อยๆขัดเกลามันไปทีละน้อย ผมคิดว่าการกระทำแบบนี้เรียกว่า "ทักษะ" นะครับ แทนที่จะแสดงออกถึงความสามารถที่คุณมีออกมาทีเดียวเลย การค่อยๆตัดมันและแสดงพวกมันออกมาให้ดีเยี่ยมแบบนั้นแหละที่ เราเรียกว่าทักษะ ทุกคนสามารถที่จะทำอะไรได้สารพัดสิ่งแต่เมื่อคุณเริ่มที่จะทำอะไรจนมากเกินไป มันก็จะไม่มีจุดจบ ผมได้เรียนรู้และพยายามอย่างมากที่จะไม่เป็นแบบนั้นครับ 

นี่เป็นบางอย่างที่คุณได้เรียนรู้หลังจากที่มีประสบการณ์ในการลองผิดลองถูกมาแล้วมากมาย คุณคิดไม๊คะว่าสามารถที่จะเอาแนวคิดแบบนี้มาใช้ในการแสดงด้วยเหมือนกัน?? 
TOP:บางครั้งในภาพยนตร์คุณจะสามารถเห็นทักษะที่นักแสดงชั้นยอดเลือกใช้ในการแสดงได้นะครับ ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด บางทีใบหน้าของพวกเค้าจะไม่แสดงความรู้สึกใดๆออกมาเลย แต่พวกเค้าสามารถที่จะทำให้คนดูรู้สึกได้ถึงความตึงเครียดที่เกิดขึ้น แบบนั้นแหละครับ ผมอยากจะเป็นคนที่สามารถควบคุมและเล่นกับสถานการณ์แบบนั้นได้ 

ผมไม่ต้องการให้ตัวเองต้องออกจากจอไปอยู่ต่อหน้าผู้ชม แต่ผมต้องการจะดึงผู้ชมเข้ามาในจอ เพราะพวกเค้าเกิดความอยากรู้อยากเห็นว่า ผมคิดอะไรอยู่?? ผมอยากจะทำให้คนดูอินไปด้วยแม้กระทั่งกับการกระทำธรรมดาๆสามัญ ในแง่มุมนั้น มันเหมือนกับว่าผมจะร้องไห้จะกรีดร้องออกมาอยู่แล้วแต่ผมไม่ได้ทำ ผมพยายามควบคุมมันไว้ แบบนั้นแหละครับ 

ดังนั้นในตอนนี้นักแสดงคนโปรดของผมคือ  Ryan Goslingเค้าไม่ได้มีบทพูดมากมายเลยในภาพยนตร์เรื่อง  Drive แต่การแสดงที่เต็มไปด้วยการควบคุมของเค้านั้น ทรงพลังมาก 

คุณได้ดูภาพยนตร์เรื่องใหม่ของRyan Gosling เรื่อง Place beyond the pinesรึยังคะ?
TOP:ผมจะเก็บมันไว้ดูหลังจากนี้ครับ ผมอยากจะดูเรื่อง Only God Forgives ก่อนเพราะว่าเป็นงานของผู้กำกับคนเดียวกันกับเรื่อง Drive แต่บท Lee Myunghoon ในเรื่อง Alumni นั้นมีความคล้ายคลึงกับบทนำในเรื่อง  Drive เหมือนกันนะครับ เพราะตัวนำในภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องนั้นไม่ได้พูดอะไรมากนักแต่ทั้งคู่ต่างก็แสดงออกถึงการควบคุมอารมณ์เอาไว้เป็นอย่างดี 

หลังจากถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้จบลง ผมตัดสินใจว่าผมจะไม่แสดงภาพยนตร์ที่ต้องการการควบคุมอารมณ์แบบนี้อีกแล้ว ผมพบว่ามันยากที่จะแสดงอะไรแบบนั้นออกมา ในตอนที่ดูเหมือนว่าบทละครตัวนี้ควรจะพูดออกมาเค้ากลับปิดปากเงียบ และเวลาที่ดูเหมือนว่าเค้าไม่ควรจะพูด เค้ากลับพูดออกมา 

อ้าว คุณพึ่งพูดว่าคุณเลือกภาพยนตร์เรื่องนี้เพราะเหตุผลนี้ไม่ใช่เหรอคะ? 
TOP:ฮะ เพราะผมมีรสนิยมที่แปลกประหลาด (หัวเราะ)

คุณไม่คิดเหรอคะว่าุคุณก็จะยังรับแสดงในภาพยนตร์ที่่คล้ายๆกันอีกแบบนี้ จากนี้ไป?? 
TOP:ไม่ครับ ผมคิดว่าคงจะทำอะไรบางอย่างที่น่าสนใจกว่านี้สำหรับผม แม้ว่ามันจะยากขึ้นก็ตาม

ดูเหมือนว่าคุณจะเป็นพวกไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองสบายเลยนะคะ?
TOP:สบายๆผ่อนคลายมันไม่ใช่เรื่องสนุกสำหรับผมครับ ผมชอบอะไรที่ยากและเจ็บปวด

ฟังดูโรคจิตนะคะเนี่ย ฉันล้อเล่นนะ
TOP:ผมเดาว่าผมน่าจะมีส่วนที่บิดเบี้ยวในตัวนะครับ เพราะไม่งั้นทำไมผมถึงได้ทำงานอะไรแบบนั้นออกมาได้ละจริงไม๊ฮะ?? แต่ความชอบทางเพศของผมไม่ได้เป็นแบบนั้นเลยนะครับ (หัวเราะ)

===================

Englisn Translation by BIGBANGISVIP
Thai Translation by miss mew 
magazine scan by ShrimpLYJ

สามารถตามอ่าน ตอนอื่นๆได้ตามนี้ค่ะ 
top-running-on-empty-w-11-2013-part-1.html 
top-running-on-empty-w-11-2013-part-2.html 
top-running-on-empty-w-11-2013-end.html

TOP "Running on empty" จากนิตยสาร W / 11-2013 (part 1 )


ได้ยินมาว่าคุณพึ่งกลับมาจากงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติปูซานเมื่อวานนี้ใช่ไม๊คะมีประสบการณ์ไหนที่สร้างความประทับใจให้กับคุณบ้าง? 
TOP: เป็นครั้งที่2 ครับที่ผมได้ไปร่วมงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติที่ปูซานหลังจากที่เคยไปร่วมงานเพื่อภาพยนตร์เรื่อง 71:Into the Fire มาแล้ว ผมเป็นคนขี้อายครับดังนั้นผมไม่ได้ไปเข้าสังคมสังสรรค์ในที่ที่มีคนมากๆ แทนที่จะทำยังงั้น ผมดื่มไวน์ที่โรงแรมและไปที่ร้านเหล้ารถเข็น ที่นั่นผมพบกับเพื่อนสนิทของผม ลีฮยอกซู ครับ

ผมชอบปูซานเพราะมันมีชายหาดที่นั่น ผมเดาเอาว่าเพราะบรรยากาศที่สถานที่ปล่อยออกมา ผมคิดว่าพลังงานนั้นได้ส่งผ่านมาถึงผมด้วยเหมือนกัน มันมีผลกระทบต่อผมมากจริงๆและผมพึ่งเริ่มที่จะโปรโมทภาพยนตร์ของผม Alumni ด้วยนอกจากนี้ยังจะได้เห็นปฎิกริยาของผู้คนอีกดังนั้นผมจึงรู้สึกดีมากครับ

มันใช้เวลาหลายเดือนอยู่นะคะกว่าหนังจะถูกปล่อยออกมาหลังจากที่ถ่ายทำเสร็จสิ้นกันไป ดังนั้นนักแสดงบางคนเคยพูดเอาไว้ว่ามันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าพวกเค้าได้กลับมาพบกับภาพยนตร์ที่เค้าทำอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้เจอมานาน
TOP:เป็นช่วงสิ้นเดือนมกราคมครับตอนที่การถ่ายทำจบลง มันก็นานพอสมควรตั้งแต่การถ่ายทำเสร็จสิ้นแต่เรื่องราวในภาพยนตร์ทั้งเรื่องยังคงอยู่ในหัวของผม ผมไม่ได้รู้สึกเหมือนกับว่าผมกลับมาพบมันอีกครั้งหลังจากที่ลืมไปแล้วหรอกครับ จริงๆมันใช้เวลาระยะหนึ่งเลยสำหรับผมในการที่จะออกจากบทบาทที่ได้รับ และผลระยะยาวมันอยู่ในตัวผมเป็นเวลายาวนานเหมือนกับแผลในใจ มันเป็นบทบาทที่ผมต้องสวมบทบาทมาเกือบจะหนึ่งปีเต็มๆ ดังนั้นผมจะรู้สึกว่าผมได้กลับมาตรวจสอบเช็คดูมากกว่าว่ามีอะไรตรงไหนที่ผมพลาดไปรึเปล่าในตอนที่ผมได้ดูภาพยนตร์ 

แล้วเป็นยังไงบ้างคะหลังจากที่ได้ดูภาพยนตร์ที่ผ่านการตัดต่อแก้ไขมาแล้วบนจอภาพ?
มันเคร่งเครียดและควบคุมอารมณ์มาก มันไม่ใช่หนังที่ดูเล่นๆเลย ดังนั้นผมชอบมันครับ

ฉันได้ดูตัวอย่างหนังแล้วและในนั้นไม่มีฉากไหนเลยที่คุณจะสามารถผ่อนคลายและหัวเราะได้ 
TOP:คุณจะได้เห็นในตอนทีุ่คุณดูภาพยนตร์ครับแต่มันไม่ใช่ตลกในสถานการณ์ที่ปกตินะครับแต่มันจะมีฉากให้ตลกกันในที่ที่ไม่คาดคิดมาก่อนและมันจะทำให้คุณหัวเราะ
  
คุณคงจะพิจารณาไตร่ตรองอย่างมากเลยในการที่จะเลือกบทภาพยนตร์เรื่องที่2ที่คุณจะแสดง มีเหตุผลอะไรที่คุณเลือกภาพยนตร์เรื่อง Alumni นี้คะ ??
TOP:ผมเป็นนักดนตรีครับและผมไม่ได้ตั้งใจจะเบนเข็มไปเป็นนักแสดงดังนั้นมันไม่ใช่จุดมุ่งหมายที่ผมตั้งเอาไว้ในการที่จะแสดงภาพยนตร์หลายๆเรื่อง ดังนั้นผมได้รอคอยภาพยนตร์ที่จะทำให้ผมสามารถอุทิศความอ่อนเยาว์ของผมในวัย 27 และอารมณ์ความรู้สึกของผมในการที่จะสามารถบรรยายเล่าเรื่องราวที่จริงจังออกมาได้ และผมยังสามารถที่จะสื่อความคิดเห็นของตัวเองสื่อลงไปได้อีกด้วย ดังนั้นนี่แหละเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงรอถึง 3 ปีกว่าที่จะลงมือแสดงในภาพยนตร์เรื่องที่ 2 หลังจากที่ได้อ่านบทAlumni แล้ว ผมรู้สึกมั่นใจว่าผมจะสามารถที่จะทำมันออกมาได้ดีแน่ๆ ดังนั้นผมจึงเลือกเรื่องนี้ครับ

อะไรที่ทำให้คุณรู้สึกมั่นใจว่าตัวเองจะทำออกมาได้ดีคะ??
TOP:เพราะลักษณะจำเพาะที่มีของบท และลักษณะจำเพาะของตัวภาพยนตร์ครับ มันน่าสนใจเพราะมันไม่ใช่บทบาทที่ดูเป็นบทละครจนเห็นได้ชัดจนเกินไป ครั้งแรกที่ผมได้รับบทมา แทนที่จะมีแนวทางกำกับอย่างระเอียดมันมีเพียงแนวทางคร่าวๆเท่านั้น หากว่าผมต้องแสดงไปตามสิ่งที่ได้วางแผนเอาไว้แล้วในบทละก็ ผมคิดว่าผมก็คงจะไม่สนใจมันขนาดนี้

แนวทางการกำกับของผู้กำกับ Park Heung Soo ก็เป็นไปในแนวทางนั้นไม๊คะ??
TOP:เค้าเป็นประเภทที่ปล่อยให้ผมตัดสินใจในหลายๆเรื่องครับ บางครั้งผมจะถามเค้าว่าสิ่งที่ผมกำลังโฟกัสอยู่นี้มันดูน่าเบื่อจนเห็นได้ชัดเกินไปรึเปล่า?? ผมพยายามที่จะทำให้ในทุกๆฉากนั้นมีความเฉียบคมและผมต้องการที่จะแสดงออกแม้กระทั่งในสิ่งที่เป็นเรื่องธรรมดาให้ออกมามีอารมณ์ที่แตกต่าง

ทำแบบนั้นมันจะไม่ประสาทเสียเหรอคะเพราะคุณเป็นนักแสดงหน้าใหม่ที่ไม่ได้มีประสบการณ์ด้านการแสดงมามาก มันน่าจะง่ายต่อคุณมากกว่านะคะที่จะทำตามแนวทางที่คุณได้รับหรือทำงานตามสิ่งที่ผู้กำกับแนะนำแนวทางมาให้อย่างเคร่งครัด?? 
TOP:ผมไม่ใช่คนที่ชอบเดินทางตามแนวทางที่ถูกวาดเอาไว้แล้วนะครับ แม้แต่ในเรื่องของการทำเพลง ผมคิดว่ามันจะออกมาเป็นธรรมชาติมากกว่าถ้าผมจะทำไปตามสิ่งที่ร่างกายผมอยากจะให้เป็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแสดงหรืองานเพลง ผมไม่คิดว่าการที่จะมองหาคำตอบเฉพาะตายตัวเหมือนกับเปิดหาในหนังสือเรียนนั้นจะเป็นเรื่องน่าสนุก


ฉันคิดว่ามีความเหมือนกันอยู่นะคะในบทบาทเรื่อง 71: Into the Fire และเรื่อง Alumni นี้ พวกเค้าต่างก็เป็นเด็กผู้ชายและพวกเค้าต่างก็เสียสละตัวเองเพื่อประเทศและเพื่อครอบครัว 
TOP:ข้อเหมือนข้อเดียวคือพวกเค้าต่างเป็นเด็กผู้ชายอยู่เลย และนั่นเป็นเพราะผมรู้สึกหลงใหลในบทของคนหนุ่มครับ (หัวเราะ)

ทำไมคะ?
TOP:ผมต้องการที่จะรับบทเป็นเด็กวัยรุ่นไปจนกว่าผมจะทำไม่ได้ และในตอนที่ผมอายุ 30 ผมก็จะรับบทเป็นเด็กในช่วงอายุ 20 แทน (หัวเราะ) 

นั่นไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่นักแสดงแสดงออกมาเหรอคะ?? คุณ Han Yeri ที่ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องเดียวกับคุณ ตอนนี้อายุ 30 แล้วเธอก็ยังสามารถรับบทเป็นเด็กมัธยมออกมาได้ยอดเยี่ยมเช่นกันนะ
TOP: Yeri นูน่านั้นมีใบหน้าที่อ่อนเยาว์เหมือนเด็กครับ ผมคิดว่าผมยังคงมีหัวใจแบบ PeterPan อยู่ ผมคิดว่าผมชอบภาพยนตร์ที่แสดงออกถึงด้านที่บริสุทธิ์ของวัยรุ่นแทนที่จะรับบทผู้ใหญ่  หากจะให้เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างบทสองบท ในภาพยนตร์เรื่อง 71: Into the Fire ผมเป็นคนที่หนักแน่นผู้ที่เชื่อมั่นศรัทธาในความหวัง แต่ในเรื่อง Alumni Lee Myunghoon กำลังใช้ชีวิตในแบบที่แตกต่างกันสองด้าน ในตอนเช้าเค้าปลอมตัวเป็นเด็กนักเรียน แต่ในตอนกลางคืนเค้ากลับเป็นนักฆ่าผู้เลือดเย็น 

โชคชะตาที่มีสองด้านของตัวละครนี้สร้างความสนใจให้กับผม หากผมแสดงออกมามากจนไป ภาพยนตร์เรื่องนี้จะออกมาดูเป็นนิยายจนเกินไป ดังนั้นผมพยายามที่จะแสดงออกบรรยายอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครออกมาในแบบที่เรียบง่ายแต่มีความหมายลึกซึ้ง การแสดงแบบนี้มันยากครับแต่มันก็สนุกด้วย

ฉันลองมองดูเค้าโครงร่างแล้ว มันทำให้ฉันนึกถึงบทบาทในหนังบางเรื่องขึ้นมาอย่าง บทของ  Won Bin ในเรื่อง The Man from Nowhereและบทของ Kang Dongwon ในเรื่อง Secret Reunionนะคะ
TOP:บทบาทเหล่านั้นแตกต่างไปจากบทของผมอย่างสิ้นเชิงนะครับ แต่หัวเรื่องและประเภทของภาพยนตร์นั้นอาจจะมีความเหมือนกันอยู่บ้าง หากพูดถึงเรื่องของชายหนุ่มที่ถูกส่งมาจากเกาหลีเหนือมันก็จะไปเหมือนเรื่อง Secret Reunion หากมองในเรื่องของความพยายามที่จะช่วยเหลือเด็กผู้หญิงคนนึง มันก็จะไปเหมือนเรื่อง The man from nowhere แต่หากถ้าคุณมองมันในลักษณะนี้ คุณก็จะหาสิ่งที่มันเชื่อมถึงกันได้ไม่รู้จบหรอกครับ ถึงขนาดที่ว่าคุณสามารถจะพูดได้ด้วยว่ามันไปเหมือนกับภาพยนตร์เรื่อง Taken ด้วยอีก 

ในเรื่องของความเหมือน ไม่ว่าจะเป็นการจัดฉากหรือประเภทของหนัง มันขึ้นอยู่กับว่าผู้ชมจะประเมินตีค่าความเปลี่ยนแปลงของบทที่มันเปลี่ยนไปยังไงและวิธีการที่ผู้กำกับสร้างเรื่องราวขึ้นมามากกว่า ผมพยายามที่จะเปลี่ยนลักษณะจำเพาะของบทบาทที่ได้รับมานิดหน่อยและผมต้องการที่จะแสดงออกบทบาทนี้ในแบบที่ไม่เป็นเกาหลีใต้มากจนเกินไป ผมเลือกเสื้อผ้าและให้ความสำคัญแม้กระทั่งในรายละเอียดที่เล็กที่สุดครับ 

ในตอนที่ฉันดูตัวอย่างภาพยนตร์ คุณดูเหมือนดาราหนังฮ่องกงเลย ดูเป็นคนหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาแต่ดูอ่อนไหวไม่มั่นคงและดูเศร้า 
TOP:ผมชอบโศกนาฎกรรมและความรู้สึกอ่อนไหวไม่มั่นคงปลอดภัยแบบนี้แหละครับ ยุวชนทหารในเรื่อง 71: Into the fire ก็เป็นแบบนั้นด้วยเหมือนกัน และบทบาทในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ดึงดูดใจผมเพราะความรู้สึกนี้เหมือนกัน บางครั้งผมรู้สึกสนุกมีความสุขไปกับความอ่อนไหวไม่มั่นคงนี้และผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ทรงพลังที่คุณสามารถทำให้คนที่ดูคุณอยู่นั้นรู้สึกเหมือนกับคุณได้ และผมคิดว่าผมมีอารมณ์ที่หลากหลายแบบนั้นในตัวผม

ความรู้สึกไม่มั่นคงปลอดภัยนั้น สามารถมองเห็นได้จากตาของคุณ
TOP:ตั้งแต่เริ่มแรกในภาพยนตร์ ผมพยายามที่จะเริ่มต้นจากการแสดงออกอารมณ์ความรู้สึกผ่านทางสายตาของเด็กผู้ชายที่อยู่ในห้วงของความสิ้นหวัง ดังนั้นในด้านจิตใจแล้วมันยากและสร้างความเจ็บปวดให้กับผมในการแสดงแบบนี้

คุณพูดว่ามันยากที่จะดึงตัวเองออกจากเรื่องราวในภาพยนตร์และมีนักแสดงหลายคนพูดว่ามันยากที่จะเอาตัวออกจากบทบาทที่สวมอยู่หลังจากที่ต้องแสดงในฉากที่เร้าอารมณ์และฉากที่เคร่งเครียด 
TOP:จู่ๆผมก็กลายเป็นเหนื่อยหน่ายเฉื่อยชาไปเลยหลังจากที่การถ่ายทำภาพยนตร์เสร็จสิ้นลง จากเดือนมกราคมจนถึงเดือนพฤษาคม ผมไม่ได้ทำอะไรเลยและผมก็นอนอยู่บนเตียงตลอดทั้งวัน ในระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์ ผมยังมีworldทัวร์คอนเสริต์กับบิกแบงด้วย ตารางงานในตอนนั้นทำเอาผมเกือบตาย ผมถ่ายทำภาพยนตร์ในวันจันทร์จนถึงวันพฤหัสโดยที่ทำงานตลอดคืนจนเช้า จากนั้นในวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ผมต้องเดินทางไปต่างประเทศและแสดงคอนเสริต์ ผมนอนหลับบนเครื่องบิน และกลับเข้าสู่การทำงานในตารางงานแบบนี้อีกครั้ง 

ผมคิดว่าผมเกิดอาการสับสนทางสภาพจิตใจและอัตลักษณ์ตัวตนของผมนั้นถูกสลับไปมาในตอนนั้น ในตอนเช้าผมต้องเข้าฉากที่เห็นเลือดและมีการฆ่าคน จากนั้นในช่วงสุดสัปดาห์ผมต้องแสดงออกบนเวทีต่อหน้าคนนับพันด้วยการแสดงบนเวทีอันทรงพลัง เวทีที่ตระการตาและสถานการณ์ที่ต้องจมลงจนถึงขีดสุดในภาพยนตร์มันซ้อนทับกันไปมาและมันสร้างความหดหู่ให้กับผมและผมก็เริ่มที่จะอ่อนไหวอย่างมาก 

และในตอนที่ทัวร์คอนเสริต์จบลง และการถ่ายทำภาพยนตร์จบลงด้วย หลังจากนั้นผมไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลย ผมแค่หยุด และ นั่งลงพักชั่วขณะนึง

เวลาได้ช่วยให้คุณกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมไม๊คะ??
TOP:ผมนอนบนเตียงเป็นเวลา 4-5 เดือนเลยทีเดียวและผมรู้สึกว่าชีวิตของผมต้องพังพินาศแน่ๆถ้าขืนยังอยู่แบบนี้ต่อไป ในตอนนั้นเป็นช่วงที่ผมควรจะเตรียมงานเดี่ยวของตัวเองแต่ผมไม่สามารถที่จะคิดหรือทำอะไรได้ ผมไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลยในตอนนั้น ผมค่อยๆบังคับตัวเองให้ออกมาข้างนอกและทานอาหารร่วมกับคนอื่นในช่วงสุดสัปดาห์และนั่นเป็นช่วงที่ผมรู้สึกว่าตัวเองได้ตื่นขึ้นมาจริงๆ ในตอนนั้น ผมรู้สึกได้เลยว่าตัวเองกำลังจะกลายเป็นคนที่ไม่ชอบสังคมไปแล้ว 



เวลาผู้คนได้ยินว่านักร้องแสดงหนังไปด้วย ร้องเพลงไปด้วย พวกเค้าคงไม่ได้คิดถึงความยากลำบากเหล่านี้เลยนะคะ
TOP:เหตุผลเดียวที่ผมไม่สามารถไปปรากฏตัวในรายการทีวีบ่อยๆหรือผมไม่สามารถที่จะออกเพลงหลายๆเพลงออกมาทีเดียวได้ เพราะผมเป็นคนที่จะตั้งใจตั้งเป้าหมายและทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างที่มีลงไปในสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ เวลาที่ผมลงมือทำอะไรแล้ว ผมจะทำงานอย่างหนักมากและอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมดลงไปในงานนั้น ดังนั้นหลังจากที่ทุ่มเทลงไปแบบนั้นแล้ว ผมก็เหมือนกับหมดแรงไปเลย เมื่อคนเราหมดแรงหมดพลังไปอย่างสิ้นเชิงแบบนั้นแล้ว ผมไม่คิดว่างานของพวกเค้าไม่ว่าจะเป็นงานแสดงหรืองานเพลงจะมีพลังใดๆออกมาได้ ดังนั้นมันไม่มีประโยชน์เลยที่จะฝืนทำงาน ผมคิดว่าคุณควรจะหยุดพักจนถึงเวลาเช่นนี้แหละ และนี่เป็นสิ่งที่ผมใช้ในการประเมินตัวเองอย่างเคร่งครัดครับ 

เพราะว่างานเหล่านั้นเป็นงานที่คุณต้องแสดงออกถึงตัวตนของคุณออกมานะึคะ แต่ว่าคุณไม่สามารถที่จะเอาแต่นอนบนเตียง 4-5 เดือนไปในทุกๆครั้งที่คุณรับแสดงภาพยนตร์เรื่องใหม่ได้นะคะ (หัวเราะ) คุณคงจะต้องเปลี่ยนวิธีการแล้วนะถ้าคุณยังจะทำงานต่อไปในด้านการแสดงพร้อมๆกับเป็นนักร้องไปด้วย อย่างน้อยก็ควรจะต้องทำงการจัดการงานในตารางให้ดีๆ
TOP:ถึงแม้ว่าบิกแบงจะอยู่ในช่วงพักและผมมีเวลาที่จะไปถ่ายหนัง ผมก็ทำแบบนั้นไม่ได้ จนกว่าผมจะมีหนังที่ผมชอบที่ผมอยากจะแสดง ดังนั้นผมจึงเหมือนกับว่าทิ้งให้โชคชะตาเป็นผู้กำหนดและรอคอยเท่านั้น พูดตรงๆคือผมเป้นคนประเภทที่อันตรายนะครับ เวลาที่ผมตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง ผมจะทำไปตามสันชาตญาณของตัวเอง " เลือกทางนี้เถอะเพราะมันเป็นสิ่งที่ผมต้องการในตอนนี้ " ผมจะไม่คิดวิเคราะห์ใดๆเลย แบบนั้น

แทนที่จะใช้หัวสมองคิดเหตุผล คุณเลือกที่จะทำตามสิ่งที่หัวใจคุณรู้สึก?
TOP:ผมเลือกที่จะทำตามความรู้สึกและสันชาตญาณของผม

ฉันคิดว่า GD น่าจะเป็นประเภทที่ใช้หัวสมองมากกว่า
TOP:จียงแค่ทำหลายสิ่งหลายอย่างสเปะสปะไปหมดก็เท่านั้นเองฮะ (หัวเราะ)

จากบทสัมภาษณ์ที่ผ่านมา คุณกล่าวว่าคุณไม่ชอบภาพลักษณ์ในแบบ "น้องชายแห่งชาติ" ใช่ไม๊คะ?? 
TOP:ไม่สามารถที่จะเรียกผมในแบบนั้นได้ด้วยซ้ำครับ แต่ผมก็ยังกล้าที่จะพูดมันออกมานะ (หัวเราะ) ผมคิดว่าบทบาทในเรื่องนี้นั้นมันมีความเฉพาะตัวมาก ผู้ชมจะรู้สึกประหม่าอึดอัดเวลาที่ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ คุณจะรู้สึกลุ้นว่าตัวละครตัวนี้จะตัดสินใจถูกไม๊ แทนที่จะตกหลุมรักในตัวละครนี้ 

เพราะบทบาทที่ผมได้รับเป็นคนที่มีปัญหาวิกฤตในเรื่องของความมีตัวตนของตัวเอง (เพราะเป็นสายลับต้องปลอมตัว) มันเลยทำให้ผมกลายเป็นคนที่อ่อนไหวไปด้วย หลังจากถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้เสร็จ มีครั้งนึงที่บิกแบงไปทานอาหารค่ำร่วมกันทั้ง 5 คน สุดท้ายสมาชิกในวงก็มาบอกผมจนได้ว่า ผมอ่อนไหวมากๆในช่วงทัวร์จนพวกเค้าไม่มีใครกล้าที่จะเข้ามาพูดกับผมเลย 

คุณเคยพูดแบบนี้เหมือนกันนะคะในตอนที่สัมภาษณ์หลังจากถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง 71
TOP:Ah เหรอครับ?? ผมคิดว่าผมกลายเป็นคนอ่อนไหวเพราะว่าต้องเห็นใครบางคนตายอยู่ตลอดเวลา เพราะ......จริงๆแล้วผมเป็นคนที่บอบบางนะครับ (หัวเราะ) 

ฉันเดานะคะว่ามันไม่มีหรอกที่จะถ่ายทำภาพยนตร์ที่มีเนื้อเรื่องซีเรียสได้อย่างผ่อนคลายสบายใจ ปราศจากความตึงเครียดในด้านของอารมณ์
TOP:มันคงจะง่ายกว่านี้มาก ถ้าผมแค่คิดว่านี่มันเป็นไม่ใช่เรื่องจริง หรือ มันเป็นเหมือนกับเกมส์เกมส์นึงเท่านั้น แต่ในเวลานั้นผมไม่สามารถที่จะคิดแบบนั้นได้จริงๆ ผมคิดว่าผมอินไปในเนื้อเรื่องจริงๆ เพราะผมเอาแต่คิดว่าตัวเองจะต้องจมดิ่งลงไปให้ลึกลงไปอีกในบทบาทที่ได้รับ 

แต่คุณก็ยังคงเอาแต่เลือกรับงานภาพยนตร์ประเภทที่ยากลำบากแบบนี้ต่อไปเองนี่คะ?
TOP:คนที่มีความสุขในความเจ็บปวดแบบนี้ก็จะยังคงทำแบบนี้ต่อไปแหละครับ ก็เหมือนกับงานเพลง ถ้าผมแสดงออกสิ่งที่ดุเดือดลงไปบนเวที เวลาที่ลงจากเวทีผมก็จะรู้สึกเหนื่อยมากๆ มันเหมือนกับคุณเทพลังงานทั้งหมดที่คุณมีลงไปต่อหน้าผู้ชม แต่นั่นก็เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ผู้คนสามารถรู้สึกได้ถึงเสน่ห์และพลังงานจากคุณ หลังจากที่ผมเหนื่อยจนหมดแรงแบบนั้นแต่ผมก็มีความสุขมากบนเวที ดังนั้นผมก็จะทำมันต่อไปครับ 

ทำไมคุณต้องหาเรื่องลำบากมาใส่ในชีวิตมากมายขนาดนี้น้า?
TOP:ก็เพื่อเมื่อผมแก่ตัวลงผมจะพบความสบายและพบนิพพานในภายภาคหน้าไงครับ (หัวเราะ)

====================

Englisn Translation by BIGBANGISVIP
Thai Translation by miss mew 
magazine scan by ShrimpLYJ


สามารถตามอ่าน ตอนอื่นๆ ได้ตามนี้ค่ะ 
top-running-on-empty-w-11-2013-part-1.html 
top-running-on-empty-w-11-2013-part-2.html 
top-running-on-empty-w-11-2013-end.html

วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556

1st trailer The Alumni

ในตัวอย่างภาพยนตร์เื่รื่องใหม่ของเค้า The Alumni ท็อปแห่งวงบิกแบงได้จัดการลดความเข้มของสายตาที่เคยดุดันลงเพื่อสื่อให้เห็นถึงความเศร้าและความกลัวออกมา 

เพื่อที่จะสร้างภาพสายลับหนุ่มที่มีความขัดแย้งในตัว เค้าได้วาดภาพมันออกมาจากความรู้สึกที่ไม่มั่นคงของเค้าเอง ซึ่งเทคนิคนี้เค้าเคยใช้มาก่อนแล้ว

ท็อปหรือ ชเวซึงฮยอน ไม่เคยเข้าเรียนการแสดงมาก่อน แทนที่จะทำแบบนั้น เค้ากลับพยายามที่จะหาอะไรบางอย่างในตัวของเค้าเองขึ้นมาวาดภาพเพื่อสร้างตัวละครในแต่ละตัวขึ้นมา เค้าใช้อารมณ์ความรู้สึกของตัวเองวาดภาพ นักฆ่าเลือดเย็น "วิค"ขึ้นมาในละครเรื่อง Iris ใช้อารมณ์ของตัวเองแสดงบทบาททหารวีรบุรุษใน “71: Into The Fire” และใช้อารมณ์ความรู้สึกของตัวเองวาดภาพ Seo Jung Hun ผู้ซึ่งต้องหลบหนี ในภาพยนตร์เรื่อง “Nineteen.”

"ทุกคนล้วนมีความคิดในเรื่องของการแสดงที่แตกต่างกันออกไปครับ แต่ผมคิดว่ามันจะเป็นการถูกต้องสำหรับผมที่จะลองพิจารณาไตร่ตรองมองหาในบุคคลิิกของตัวเอง" 
"ผมชอบมากกว่าที่จะหยิบประสบการณ์ที่ผมเคยประสบมาหรือความรู้สึกที่ผมรู้สึกนำพวกมันมาสะท้อนลงไปในการแสดงของผม แทนที่จะเข้าเรียนเป็นจริงเป็นจังในแบบวิธีมาตรฐาน"

ในภาพยนตร์เรื่องใหม่นี้ ท็อปรับบทเป็น Myung Hoon ที่จำใจกลายเป็นมือสังหาร  Myung Hoon ที่มีอายุเพียง 19 และใฝ่ฝันอยากเป็นนักเปียโน แต่นิ้วของเค้ากลับไม่ได้สัมผัสคีย์บอร์ดของเปียโนแต่ต้องมาเหนื่ยวไกลปืนแทน 

Myung Hoon ถูกบังคับให้กลายมาเป็นมือสังหารหลังจากคุณพ่อของเค้าซึ่งเป็นสายลับชาวเกาหลีเหนือ ทำภารกิจที่ได้รับล้มเหลว Myung Hoon และน้องสาวที่กำลังป่วย Hye in ซึ่งรับบทโดย Kim You Jung ถูกส่งตัวไปยังค่ายแรงงาน เพื่อเป็นการช่วยชีวิตน้องสาว Myung Hoon จึงอาสาไปเป็นสายลับที่เกาหลีใต้

ในขณะที่ปลอมตัวอยู่ที่เกาหลีใต้ เค้าได้กลายเป็นเพื่อนกับสาวน้อย ที่รับบทโดย Han Ye Ri เธอเป็นเหยื่อของการกลั่นแกล้งที่โรงเรียน ทั้งสองคนมีอะไรหลายอย่างที่คล้ายๆกัน แต่รัฐบาลก็จะเข้าแทรกแซงสัมพันธ์ภาพที่กำลังพัฒนาของทั้งคู่

ทันที่ที่ทางเกาหลีใต้ เริ่มระแคะระคายเรื่องของ  Myung Hoon ทางรัฐบาลเกาหลีเหนือก็ตัดสินใจที่จะยกเลิกภารกิจนี้และจะฆ่าเค้า และ Myung Hoon มีเรื่องสำคัญที่เค้าจำเป็นต้องทำการตัดสินใจรออยู่

สำหรับท็อป ในตอนนี้เค้าตัดสินใจแล้วว่าอยากจะลงทำงานในการแสดงให้มากขึ้น เมื่อเค้าให้สัมภาษณ์ในตอนที่รับบทในเรื่อง 71 เค้ากล่าวว่า ถึงแม้ว่าการแสดงจะยังคงเป็นเรื่องใหม่สำหรับเค้าแต่เค้ารู้สึกว่าเค้าถูกบังคับให้เดินหน้าเรียนรู้เกี่ยวกับมันให้มากขึ้น 

"ผมอยากจะทำให้ดีขึ้นในเรื่องที่ผมยังขาดไปครับ " เค้ากล่าว " ความกระหายอยากที่แท้จริงในเรื่องของการแสดงนั้นมันค่อยๆเติบโตขึ้นอย่างช้าๆในตัวผม" 

และโอกาสที่เค้าจะเติบโตไปในสวยในวงการนี้ก็เริ่มเติบโตให้เห็นเช่นกัน
  

 

credit to 2013 KDramaStars.com All right reserved 
Thai Translation by miss mew