วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2558

TOP OF THE WORLD จาก Maison / Feb 2015


งานนิทรรศการระดับสากล งาน  “Singapore Art Week ” ฉลองความสำเร็จในปีนี้ที่จัดขึ้นเป็นปีที่สามแล้ว ซึ่งงานจัดขึ้นที่ประเทศสิงคโปร์ช่วงวันที่ 17-25 มกราคมที่ผ่านมา โดย ที่ Singapore Marina Bay Sands Convention Centre จะนับว่าเป็นจุดศูนย์กลางของงาน ซึ่งพิพิธภัณฑ์ทั่วประเทศต่างก็มีงานนิทรรศการและนับว่าเป็นส่วนหนึ่งของงาน Art week ด้วยเช่นกัน ซึ่งงานนี้นับว่ามีความสำคัญในการสำรวจกระแสของตลาดศิลปะในแนวร่วมสมัยในเอเซียและเป็นเครื่องการันตีถึงศักยภาพของแกลอรี่เล็กๆในท้องถิ่น

ท็อปได้เข้าร่วมงานเนื่องจากจะเดินทางไปรับรางวัล  Visual Culture Award ที่งาน Prudential Eye Awards ครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นรางวัลที่ได้รับมาจากการสำรวจของ แกลลอรี่ Saatchi Gallery ประเทศอังกฤษและ บริษัทประกันภัย Prudential Life  ร่วมไปถึงกลุ่ม Parallel Media Group ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ได้มุ่งมั่นที่จะค้นหาและสนับสนุนศิลปินในฝั่งเอเซีย 

โดยคำบอกเล่าจากปากของตัวแทนกลุ่มด้าน การดีไซน์และตบแต่งภายใน ท็อปนับว่าเป็นผู้สะสมชิ้นงานศิลปะ อาทิ เก้าอี้รวมกว่่า 80 ตัว และเป็นเจ้าของบ้านที่มีการตบแต่งด้วยชิ้นงานและเฟอร์นิเจอร์จากศิลปินและดีไซเนอร์  



ท็อปมีความลุ่มหลงและความเข้าใจอย่างลึกซึ้งให้กับการดีไซน์และนำเอาเฟอร์นิจเจอร์ของดีไซเนอร์เข้าไปร่วมแสดงในมิวสิควีดีโอในมุมมองแบบผู้เชื่ยวชาญ ซึ่งทางเราต่างก็สงสัยว่าความลุ่มหลงและความเข้าใจเหล่านั้นมาจากไหน ซึ่งท็อปกล่าวว่า 

"ผมเริ่มสะสมเฟอร์นิจเจอร์ดีไซเนอร์ในช่วงอายุ 20 ต้นๆครั้ง ในตอนเริ่มผมชอบ การดีไซน์ในแบบโมเดริ์นซึ่งได้รับการเสริมแต่งให้มีความงานในแบบธรรมชาติอย่างงานดีไซน์ของ คุณ Mark Newson หรือคุณ Ron Arad แต่เมื่อเวลาผ่านไปผมก็เริ่มสนใจในเฟอร์นิจเจอร์ในแบบวินเทจที่มีรูปลักษณ์เหนือกาลเวลา อย่างงานของคุณ Charlotte Perriand, Jean Prouvé, Ico Parisi, หรือคุณ Gio Pontiครับ

ท็อปคิดว่าตัวเค้าจะกลายเป็นชิ้นงานศิลปะ ในยุคที่กระแสต่างๆมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและสำหรับเค้า ศิลปะการการออกแบบเฟอร์นิเจอร์เป็นทั้งสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับเค้าและเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เค้าได้หลบหนีจากความเครียดต่างๆ ดูเหมือนว่าเค้าจะตระหนักรู้ได้ตั้งแต่อายุยังน้อยๆว่าศิลปะนั้นมีบทบาทคล้ายหน้าต่างที่ใช้เปิดเข้าไปสู่อารมณ์ต่างๆของมนุษย์เรา และทั้งยังเป็นสิ่งที่มอบความสามารถให้กับเราในการมองโลกในมุมมองที่แตกต่างไปอีกด้วย  

สำหรับท็อป ศิลปะและการออกแบบเป็นส่วนประกอบสำคัญในชีวิตของเค้าและในเสียงเพลงของเค้า ในขณะที่เรากำลังเดินชมงานกันอยู่ ฉันสามารถรับรู้ได้ถึงความหลงใหลของเค้าในงานศิลปะที่มากับแววตาที่เป็นประกายระยิบระยับนั้น และเมื่อไหร่ก็ตามที่หัวข้อในการพูดคุยของเราเปลี่ยนไปเป็นเรื่องศิลปะและการออกแบบ



"หากผมหาเงินมาได้ 100 วอน 90 วอนจะถูกนำไปซื้อเฟอร์นิจเจอร์ไม่ก็งานศิลปะครับ ณจุดนึง ผมพัฒนานิสัยนี้ของตัวเองขึ้นมาหลังจากที่ผมขาดความตื่นเต้นในงานและการใช้ชีวิตของตัวเองฮะ โดยความหมายต้นๆของการซื้องานศิลปะเลยคือการจัดระเบียบชีวิตของตัวผมเองฮะ และมันเป็นการขยายกิจกรรมที่ผมจะสามารถทุ่มทุกอย่างในตัวเองลงไปได้ " 

ท็อปคิดว่าแทนที่จะจับเอาเฟอร์นิจเจอร์และชิ้นงานศิลปะที่เค้าชอบขึ้นหึ้งบูชาจับต้องไม่ได้เหมือนรูปบูชาศักการะ เค้าคิดว่า เค้าควรจะนำมาใช้ควบคู่ไปในชีวิตประจำวันของเค้ามากกว่า ฉันรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากๆในข่าวลือที่ว่า บ้านของเค้านั้นน่าทึ่งมากๆ โดยถึงจุดที่ว่าได้ยินเข้าหูบ่อยๆว่ามีคนจำนวนมากอยากจะไปลองสำรวจบ้านเค้าดูซักที ฉันจึงเริ่มถามเค้าเรื่องการตบแต่งต่างๆในบ้านของเค้าและท็อปก็เล่าว่า

“หนึ่งในสมบัติล้ำค่าของผมคือเก้าอี้จากปี 1970s เป็นเก้าอี้พรูสต์(Proust chair)ของเก่างานดีไซน์ของคุณ Alessandro Mendini และเพราะมันไม่ใช่เก้าอี้ที่ทำมางานผ้าหลากสีสันแต่เป็นเก้าอี้ที่ถูกลงสีโดยตรงลงบนตัวเก้าอี้เลย ทำให้เวลาที่ผมจับมันไปตั้งไว้หน้ากำแพงที่ว่างเปล่า สีขาว พื้นที่ตรงนั้นก็กลายเป็นชิ้นงานศิลปะไปโดยปริยาย 

ในห้องครัว ผมแขวน โคมระย้า Murano (Murano chandelier)ขนาดมหึมาไว้เหนือ โต๊ะงานดีไซน์ของคุณ Prouvé table และรอบๆนั้น ก็จะมีงานประติมากรรมที่ศิลปนชาวญี่ปุ่นคุณ Kohei Nawa สร้างมันขึ้นมาเพื่อผมโดยเฉพาะและผนังแถวนั้นเค้าก็เดินทางมาบ้านผมเพื่อวาดรูปลงไปด้วยตัวเค้าเอง "

ท็อปยังเอ่ยถึงรสนิยมส่วนตัวและความรู้ในเรื่องการตบแต่งภายในอย่างดีว่า 
"ผมคิดว่ารอบๆโซฟาที่ทำจากหนัง คุณจะต้องมีการผสมวัสดุต่างๆอย่างเช่น เหล็ก ไม้ และผ้า เข้าด้วยกันเพราะส่วนตัวแล้วผมคิดว่าวัสดุแต่ละประเภทต่างก็มีจุดแข็งที่ต่างมุมมองกันออกไปและเมื่อคุณผสมวัสดุเหล่านี้เข้าด้วยกัน ก็จะทำให้พื้นที่นั้นเต็มไปด้วยพลังงานดีๆออกมาครับ" 
ภายใต้การกำกับของท็อปจากนั้นเฟอร์นิจเจอร์และชิ้นงานศิลปะที่เค้าสะสมก็เริ่มกลายเป็นงานชิ้นเอก โดดเด่นในพื้นที่นั้น ด้วยการจัดวาง 


ระหว่างที่เค้าพักอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ ท็อปได้เดินทางไป Singapore Tyler Print Institute printmaking workshop รวมถึงชมแกลอรี่ต่างๆอย่าง  Singapore Art Museum, Ikkan Art Gallery, และงาน Art Stage Singaporeในการเดินทางครั้งนี้เค้ามีศิลปินชาวญี่ปุ่นคุณ  Kohei Nawa และผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์อิสระคุณ Lee Youngjoo มาเป็นเพื่อน

"บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าผมและคุณ Kohei Nawa เราต่างก็มีความต้องการไปในทางเดียวกันที่จะสร้างสรรค์อะไรบางอย่างออกมาผ่านงานศิลปะและงานเพลงก็เป็นได้ครับ เราไปกันได้ดีทั้งๆที่อายุต่างกันถึง 12 ปี เราไม่เพียงแต่คุยกันในเรื่องของงานศิลปะเท่านั้น แต่ ยังคุยกันในเรื่องของการบันทึกเพลงอีกด้วย " 

ในขณะที่เดินไปทั่วแกลลอรี่ ท็อปจะหยิบโทรศัพท์ของเค้าออกมาถ่ายรูปทุกครั้งเมื่อเค้าเจอชิ้นงานศิลปะที่เค้าชอบ เมื่อฉันถามเค้าเกี่ยวกับชิ้นงานศิลปะที่สร้างความประทับใจให้กับเค้ามากๆและเป็นงานที่เค้าชอบ  เค้ากล่าวสนับสนุนผู้กำกับชาวสิงคโปร์ คุณ  Ho Tzu Nyen เจ้าของผลงาน The Cloud of Unknowing’ (2011), และร่วมแบ่งปันความคิดของเค้าโดยกล่าวว่า "ถึงแม้ว่าชิ้นงานนี้จะเป็นชิ้นงานที่อยู่ในขั้นทดลองแต่เป็นงานที่อยู่เหนือสถานที่และเวลา มันเป็นทำให้เกิดแรงบันดาลใจและเป็นวีดีโอที่สร้างความประทับใจครับ "  

ภายใน แกลลอรี่ Ikkan ท็อปได้สำรวจงานศิลปะที่สร้างมาจากวีดีโอดอกไม้อย่างระเอียดชิ้นงานนั้นมีชื่อว่า ‘Moving Light Roving Sight’ เค้าถึงกับนอนลงบนพื้นที่เปรียบเหมือนดั่งเตียงที่เต็มไปด้วยดอกไม้โดยมีวีดีโอที่มีดอกไม้ฉายลงบนพื้น ท็อปสร้างความประทับใจสั้นๆด้วยการทำการแสดงเดี่ยวสั้นๆนั้นขึ้น ล้มตัวลงนอนบนทะเลแห่งศิลปะ ห้องโถงนิทรรศการถูกเติมเต็มไปด้วยท่าทางขี้เล่นขอความไร้เดียงสาแห่งวัยเยาว์ 

ท็อปเล่าว่า " หากพูดถึงเรื่องจิตรกร ผมชอบงานของจิตรกรชาวอังกฤษ Francis Baconและ Cecily Brown และงานของจิตรกรชาวอเมริกัน Mark Rothko ครั้งแรกที่ผมเห็นงานของคุณ Mark Rothko 
มันเป็นงานที่เหมือนกับว่าผมกำลังดูโทรทัศน์ที่กำลังปิดอยู่ ซึ่งผมไม่ได้เข้าใจในความหมายของรูปนั้นแต่อย่างใดหรอกฮะ แต่ยิ่งผมมองลงไปมากเท่าไหร่ ผมก็พบว่าหลุมสีดำนั้นก็ยิ่งกลืนผมให้ดำดิ่งลงไปในภาพเขียนมากเท่านั้น ดูเหมือนว่าประสบการณ์ที่สร้างความยินดีแบบนี้มันกระตุ้นผม และทำให้ผมใจเต้นแรงครับ" 


ในตอนนี้ ท็อปอยู่ในระหว่างการทำงานอยู่ 2 โครงการ โดยเค้าถูกวางตัวให้ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ร่วมกับผู้ดูแลพิพิภัณฑ์อิสระคุณ Lee Youngjoo ร่วมกันจัดงานแสดงผลงานของกลุ่มศิลปินชาวเอเซีย โดยการคัดเลือกผลงานของศิลปินชาวเกาหลีและชาวญี่ปุ่นมาจัดแสดงในงานนิทรรศการ ท็อปกล่าวว่า " ในสายตาของผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์บางคน คุณอาจจะพูดได้ว่าการจัดเตรียมงานครั้งนี้เป็นการใช้ประโยชน์จากการที่สังคมรู้ดีว่าผมเป็นหนึ่งในสมาชิกวงบอยแบรนด์ระดับเอเซีย และมันดูเหมือนว่างานที่กำลังจะเกิดนี้ไม่มีอะไรยืนยันได้ว่ามันจะเป็นงานที่น่าชื่นชม แต่ยังไงก็ตามแต่ ผมไม่ได้ทำงานนี้โดยหวังในเรื่องของเงินทอง แต่ทำเพื่อความปรารถนาของผมในการที่จะช่วยอุปถัมภ์ร่วมงานนี้เพื่อให้มันเป็นเหมือนหน้าต่างที่จะเปิดตลาดศิลปะให้กับทางศิลปินชาวเกาหลีและชาวญี่ปุ่นให้กว้างขึ้นครับ"

และมีโครงการคือ งานที่ท็อปทำร่วมกับพิพิธภัณฑ์  Vitra ท็อปกล่าวว่า 

"เก้าอี้ที่ผมสร้างนั้นจะเป็นเก้าอี้ที่เซ็กซี่โดยได้รับแรงบันดาลใจมากจากภาพเขียนในแนวเหนือจริงของ  Dali พวกมันมีรูปร่างเหมือนหยดน้ำหวานจากแมททาลิกไหลไปทั่วตัวเก้าอี้ "

เก้าอี้ตัวนี้ของท็อปจะออกสู่สายตาสาธารณชนในเดือนสิงหาคมและยังมีกำหนดออกแสดงในงานนิทรรศการที่แกลลอรี่  Saatchi ในเดือนกันยายน 

"ผมทั้งประหม่าและทั้งความหวังในการที่จะสร้างเก้าอี้ตัวนี้ออกมาจริงๆ ซึ่ง เก้าอี้นี้มันมีความหมายส่วนตัวกับผมโดยมันอยู่ในยุคที่พรมแดนระหว่างศิลปะและการดีไซน์มันหลอมละลายเข้าด้วยกันครับ"

ในตอนนี้ ท็อปอยู่ในกระบวนการที่เข้าร่วมประชุมกับทางทีมงานของพิพิธภัณฑ์ Vitra ทุกๆอาทิตย์เพื่อโครงการออกแบบและสร้างเก้าอี้ตัวนี้ให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น 



ท็อปรับหน้าที่ เป็นแร๊พเปอร์ให้กับวงบิกแบง แต่ท็อปนั้นมีความสุขในการฟังเพลง แจ๊สและบลู เค้าชอบฟังเพลงของ  Frank Sinatra, Ray Charles, และเพลงบลูจากยุค 1960s 

“ผมมักจะฟังเพลงคลาสลิกเสมอๆด้วยเหมือนกันครับ อย่างเพลงของ Bach มันไม่ใช่ว่าผมพยายามจะทำตัวหัวสูงหรอกนะครับ แต่ผมทำเพลงฮิบฮอบมาตั้งแต่ยังเด็ก ดูเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในใจผม มันเกรี้ยวกราดอยากจะเป็นอิสระ และนั่นทำให้ หลังจากที่ผม จัดระเบียบทั้งภายในภายนอกร่างกายตัวเองอย่างเข้มงวดแล้ว โดยการฟังเพลงคลาสลิกและสวมสูทอย่างเนี๊ยบ ผมพบว่ามันทำให้ใจผมเบาขึ้นฮะ

ดูเหมือนว่า รสนิยมในการฟังเพลงจากยุค  1950s และ 60s ณ จุดนึงได้สร้างความลุ่มหลงให้กับเค้าที่อายุเดินทางมาถึงช่วงปลายอายุ 20 แล้ว และการตระหนักรู้ของเค้าในเรื่องที่ว่าความจริงแล้วการออกแบบและงานศิลปะที่อยู่เหนือกาลเวลาจะได้รับความรักและความชื่นชมเป็นเวลานานนั้น ทำให้ฉันคิดว่า ท็อปบิกแบง หรือ จะว่า คุณชเวซึงฮยอนคนนี้กำลังปีนขึ้นไปทีละเล็กทีละน้อยสู่ความฝันของเค้าในการที่จะเป็นเจ้าของแกลลอรี่  คุณชเวซึงฮยอนคนนี้คงจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเค้าออกมาในอนาคตอันใกล้จากนี้ไปแน่นอน 

================

Original source: http://www.maisonkorea.com/trend/trand_view.aspx?IPAGE=1&seq=7778&bd_no=04010000
English translation by @kwonaventure
Thai translaton by miss mew