จีดราก้อนแห่งวงบิกแบงได้เข้าสู่วงการเพลงด้วยการตอบโจทย์เป็น Bow wow ตัวจิ๋วในเวอร์ชั่นเกาหลี ในตอนนี้จีดราก้อนวัย 24 ปี ได้รับฉายาว่าเป็นดาวรุ่งที่อนาคตไกลตั้งแต่อายุยังน้อย ภายใต้การดูแลของค่ายที่ทำเพลงฮิบฮอบค่ายใหญ่ของวงการเกาหลีอย่าง Yg Entertainment ควอนไปโผล่ในเพลงชื่อดังต่างๆของค่ายตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้เมื่อเค้าเดบิวอย่างเป็นทางการเป็นหนึ่งในวงบอยแบรนท์ BigBang จึงกลายเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจไม่น้อย ผลที่ได้ แม้ว่าจะมีช่วงที่สะดุดอยู่บ้าง ในฐานะวงนักร้อง 5 คนที่มากับกระแส kpop ที่แผ่กระจายไปทั่วเอเซีย ด้วยเพลงที่จีดราก้อนเขียนและแต่งเอง (“Last Farewell” และ Lies”) ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ อัลบั้มเดี่ยวของเค้า Heartbreaker ที่ออกมาในปี 2009 ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงความรุ่งเรืองของเค้าให้ก้าวไปสู่การเป็นคนดังที่มีอิทธิพลต่อเยาวชนมากที่สุดของประเทศเกาหลี เสื้อผ้าที่เค้าสวมใส่กลายเป็นของยอดฮิต ในขณะที่แสดงออกตรงกันข้ามกับสไตล์ดนตรีที่มีรากฐานที่แข็งแกร่งของเค้า นอกจากนี้เค้ายัง มีภาพลักษณ์ไม่เหมือนกับไอดอลส่วนใหญ่ของเกาหลีที่มีภาพลักษณ์สะอาดหมดจด
จีดราก้อนเข้าไปพัวพันกับข่าวอื้อฉาว ( มีเรื่องสูบกัญชาและเรื่องที่เค้าคัดลอกผลงานของศิลปินต่างชาติ) นี่เค้าเป็น Kanye west แห่งวงการเพลงเกาหลีหรอกเหรอ?? จริงๆคำพูดนี้ก็ไม่ได้พูดเกินเลยซักนิด
ด้วยซิงเกิลล่าสุด One of a kind ที่สร้างเสียงตอบรับได้ท่วมท้นกว่าผลงานใดๆของศิลปินKpop ที่ออกผลงานมาในปีนี้ ความสำเร็จเหล่านี้ล้วนมาจากตัวเค้าเองทั้งนั้น ในช่วงที่บิกแบงมีทัวร์คอนเสริต์ที่นิวยอร์เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ทาง XXL ได้มีโอกาสได้พูดคุยกับ ไอดอลศิลปินแร๊พเปอร์ที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักมากที่สุดจากเกาหลีคนนี้
บทความและสัมภาษณ์โดย Jaeki Cho
เริ่มแรกเลยคุณรู้จักกับเพลงแร๊พและเพลง hiphop ได้ยังไงครับ??
G-Dragon: ในตอนนั้นผมอายุประมาณ 9 ขวบครับเป็นครั้งแรกที่ผมได้ฟังเพลง“C.R.E.A.M.” ของ Wu-Tang ก่อนหน้านั้นผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการแร๊พและเพลง hiphop เลย ผมแค่หลงใหลอยู่ในวงการเพลงป็อปของเกาหลีเท่านั้นเอง คือก่อนที่จะมีปรากฏการณ์K-pop นะครับ ผมแค่ฟังเพลงที่เป็นเพลงตลาดทั่วๆไปในประเทศเกาหลีและผมก็จะเต้นตาม ผมไม่ได้มีแรงบันดาลใจหรือความใฝ่ฝันที่จะร้องแร๊พหรือว่าอะไรเลย ผมแค่ชอบการเต้นผมจึงทำแบบนั้น มีบางทีที่ผมจะร้องแร๊พไปตามศิลปินแร๊พชาวเกาหลีบ้าง
จากนั้นเพื่อนของผมได้แนะนำให้ผมรู้จักกับ Wu tang และเปิดอัลบั้ม Enter the 36th Chambers. ให้ผมฟัง มันทำให้ผมช็อคไปเลยครับ จากนั้นผมก็เริ่มที่จะหาอัลบั้มอื่นๆมาฟังด้วย ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ยังไม่มีอินเตอร์เนท ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะหาเพลงมาฟังและยิ่งยากเข้าไปอีกถ้าจะหามิวสิควีดีโอมาดู ดังนั้นผมจึงค่อยๆหาดูไปทีละเล็กทีน้อย หากผมเจอมิวสิควีดีโอ ผมจะดูมันซ้ำแล้วซ้ำอีก และจากนั้นเมื่อผมอยู่ ป.5 ผมเริ่มที่จะเขียนท่อนแร๊พท่อนแรกของตัวเองครับ มันห่วยมากเลยแต่ผมก็ยังเขียน (หัวเราะ) จากนั้นผมก็เริ่มที่จะฟังเพลงแร๊พของเกาหลีมากกว่าเพลงป็อป ซึ่งในตอนนั้นยังเป็นแนวเพลงที่ไม่ค่อยแพร่พลายเป็นแค่แนวเพลงใต้ดินในขณะนั้นฮะ
คุณเดบิวตั้งแต่อายุยังน้อยมาก คุณเป็นส่วนหนึ่งของอัลบั้มฮิบฮอบรวมเพลงแร๊พ ที่มีชื่อว่า Hip-Hop Flex ในปี 2001ด้วยนี่ครับ
G-Dragon: ตอนนั้นมีการรวมตัวของคนที่ชอบ Hiphop กันในนาม People Crew ครับ ตอนนั้นในเกาหลีไม่มีที่ไหนเลยที่จะทำเพลงแร๊พออกมาดังนั้น peoplecrewจึงเป็นเจ้าภาพจัดโปรแกรมในช่วงฤดูร้อนสอนร้องแร๊พและสอนเต้น ผมขอร้องคุณแม่ของผมให้พาผมไปลงเรียนเพื่อที่จะได้เรียนร้องแร๊พ และจากพี่ๆใน PeopleCrew พวกเ้ค้าชมผมว่าร้องได้ดี พวกเค้าแนะนำผมให้กับคุณ Lee Hee-sung ซึ่งเป็นหัวหน้าวงแร๊พที่มีชื่อว่า X-Teen ในตอนนั้น Bow Wow ดังมากครับ ผมคิดว่าคุณ Hee-sung คงคิดว่าเกาหลีคงอยากได้ BowWow ตัวจิ๋วในแบบเกาหลีบ้าง และคิดว่าตัวเค้าเองก็คงอยากจะเป็นเหมือน Jermaine Dupri(หัวเราะ) ดังนั้นผมจึงได้เข้าไปมีส่วนร่วมในอัลบั้ม Hip-Hop Flex ในปี 2001 และนั่นทำให้ผมกลายเป็นหัวข้อให้เขียนถึงว่าเป็นแร๊พเปอร์ที่อายุน้อยที่สุดในประเทศ ทางวายจี เอนเตอร์เทนเม้นซ์ เห็นเข้าและตัดสินใจที่จะรับผมเข้ามาในค่ายครับ
ดังนั้น จริงๆแล้วคุณอยากจะเป็นแร๊พเปอร์สินะครับ งั้นคุณมีปฏิกริยายังไงเมื่อรู้ว่าตัวเองจะต้องเดบิวมาเป็นสมาชิกคนนึงในวงบอยแบรนด์???
G-Dragon: ในตอนแรกผมไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นครับ ผมไม่เข้าใจมันเลย ผมและแทยังเป็นเด็กฝึกที่วายจีมานานมากแล้ว ดังนั้นเราคิดๆกันว่าเราคงได้เดบิวในฐานะคู่ดูโอฮิบฮอบ หรืออะไรประมาณนั้น จากนั้นทางค่ายกลับตัดสินใจที่จะหาสมาชิกในวงอีก 3 คนและมีแผนว่าจะเดบิวเราในฐานะวงไอดอล ผมไม่พอใจในเรื่องนั้นเท่าไหร่ จริงๆผมเกลียดมันเลยละครับ ผมรู้จัก ท็อปตั้งแต่ยังเด็กดังนั้นเราจึงเป็นเพื่อนกันมาก่อน แต่ผมไม่รู้จักสมาชิกในวงอีกสองคนที่เหลือเลย
เราไม่รู้ว่าเราควรจะต้องทำยังไง ดังนั้นเราจึงเอาแต่ฝึกท่าเต้นทุกวันๆ ผมไม่รู้จริงๆว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ ด้วยตัวยี่ห้อที่ติดกับวายจีมา ถ้าค่ายนี้จะทำวงบอยแบรนด์พวกเค้าจะไม่ทำเพลงป็อปใสๆฮิตตามตลาดอยู่แล้ว และเป็นเพราะรากฐานจริงๆของค่ายทำเพลงฮิบฮอบ ผมจึงเชื่อใจแนวทางของทางค่าย ซึ่งมันก็เป็นไปด้วยดีและผมก็พอใจมากเลยครับตอนนี้
คุณว่าบิกแบงแตกต่างจากวงไอดอล K-pop วงอื่นยังไงบ้างครับ??
G-Dragon: ในตอนนี้ ในเรื่องของดนตรีของวงไอดอลนั้นพัฒนาไปมากนะครับ คือ จริงอยู่ที่ยังมีส่วนน้อยที่พวกเค้าจะทำเพลงเองหรือเขียนเพลงเอง แต่ในฐานะที่เราก็เป็นวงkpopไอดอล ในตอนนั้นที่เราเดบิวเราเป็นเพียงวงเดียวที่ทำเพลงเองและเขียนเพลงเอง ผมคิดว่าเราเป็นวงแรกที่ทำแบบนั้น ดังนั้นถ้าจะให้ผมบอกถึงความแตกต่างชัดๆลงไป ผมว่าเป็นเพราะสมาชิกในวงของเราเขียนเพลงกันเองในเมื่อเราทำเพลงออกมาด้วยตัวของเราเอง เราก็สามารถเข้าใจและมีความพอใจมากกว่าเมื่อเราขึ้นแสดงบนเวที เรารู้ว่าเราเก่งในด้านไหน มันไม่เหมือนกับการที่มีคนหยิบยื่นเพลงมาให้ร้อง เรากำลังทำในสิ่งที่เราชอบที่จะทำ ดังนั้นมันจึงเป็นการช่วยให้พวกเราได้สร้างโลกของตัวเองขึ้นมาให้เหนียวแน่นมากกว่าเดิมอีก ในทางดนตรีแล้ว เสียงเพลงนั้นจำเป็นต้องมีการร่วมมือร่วมใจเป็นเพราะเราเขียนเพลงของเราเองเราสามารถที่จะบรรยายความคิดความรู้สึกที่เรามีลงไปในเพลงได้ดีมากกว่า แทนที่จะให้คนอื่นมาคอยแปลความรู้สึกนั้นให้ครับ
ผมได้ยินมาจาก Choice 37 (โปรดิวเซอร์ประจำค่าย YG) ว่าคุณมักหยิบเพลงขึ้นมาปรับแต่งและจัดการกับเพลงเพื่อให้มันเข้ากับภาพที่คุณอยากได้มากที่สุด ช่วยอธิบายถึงการเขียนเพลงของคุณและกระบวนการทำงานของคุณให้เราได้ฟังหน่อยได้ไม๊ครับ
G-Dragon: ตั้งแต่ที่ผมยังเป็นเด็ก หนึ่งในงานที่ผมได้รับมอบหมายให้ทำจากวายจีคือการเขียนเพลงไปส่งครับ ในตอนที่ผมอยู่ชั้นมัธยมเค้าจะบอกให้ผมเขียนให้ได้หนึ่งเพลงภายในหนึ่งอาทิตย์ ซึ่งในตอนนั้นจะเป็นการใส่จังหวะและเนื้อเพลงที่เขียนเองลงไปในทำนองที่มาจากเพลงของชาวอเมริกัน ผมทำแบบนั้นอยู่เป็นปี
จากนั้นระยะเวลาที่กำหนดให้จะสั้นลงอีก ผมถูกสั่งให้เขียนเพลงใหม่ทุกๆสามวัน และจากนั้นก็กลายเป็นทุกๆสองวัน และ กลายเป็นทุกวัน เป็นเพราะผมถูกเทรนให้ทำแบบนั้นเป็นเวลานาน การที่จะต้องเขียนเพลงให้ได้ทุกวันนั้นกลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับผม มันกลายเป็นเหมือนกับงานอดิเรกไป และเหนือสิ่งอื่นใดเลยผมได้ระบบที่ยอดเยี่ยมที่คอยสนับสนุนผมอยู่ ไม่ว่าจะเป็นพี่เท็ดดี้ หรือ ตอนนี้มี Choice พวกเค้าได้สร้างงานมากมายและจัดการในส่วนของพื้นฐานให้กับผม ผมอยากจะพูดว่าพวกเค้าได้ทำงานส่วนใหญ่ในเพลงไปแล้วและทำงานหนักกว่าผม และตัวผมแค่มาตรวจสอบให้มันเข้าที่เข้าทางครับ
มิวสิควีดีโอเพลง “One of a Kind,” และ “Crayon” ได้รับเสียงฮือฮามากมายในเรื่องของภาพที่ปรากฏออกมา ใครเป็นผู้กำกับนะครับ คุณ Suh Hyun-seungใช่ไม๊? คุณใส่ความคิดสร้างสรรค์ของคุณลงไปมากน้อยแค่ไหนครับ??
G-Dragon: คุณ Suh Hyun-seung เป็นคนที่ บ้าบอขนานใหญ่จริงๆครับ เค้าเป็นพวกนอกคอกอย่างแท้จริง คล้ายๆกับเป็นพวก โอตากุ เค้าไม่ค่อยออกไปสังคมกับใคร ไม่ค่อยได้พบเจอกับคนหมู่มาก เค้าเป็นคนที่ไม่ถูกจูงด้วยเงิน หากจะให้เค้าถ่ายมิวสิควีดีโอให้ เค้าจะฟังเพลงนั้นก่อน ถ้าเค้าชอบเค้าถึงลงมือจะทำให้ เค้าจำเป็นต้องมีภาพในหัวและเค้าต้องมองเห็นสิ่งที่เชื่อมโยงในเพลงกับศิลปิน ผมรู้สึกว่ามีศิลปินมากมายอยากที่จะทำงานกับเค้ามาก แต่ถึงจะต้องการตัวเค้าไปทำงานแค่ไหน พวกเค้าก็ไม่สามารถทำได้ พี่เค้าจะเป็นประเภทที่ว่าถ้าเค้าฟังเพลงของคุณแล้วและเค้าไม่ชอบ เค้าจะไม่ตอบกลับคุณเลย โชคดีที่เค้าชอบเพลงที่บริษัทของผมทำออกมา และในช่วงที่ทำงานเราพบกันทุกๆวันเลยครับ เค้ามีห้องตัดต่อส่วนตัวอยู่ที่ตึกวายจี
และเมื่อคุณคิดถึงว่ามันเป็นเรื่องงานแล้ว ผมรู้สึกว่ามันต้องไม่ใช่อะไรที่จะออกมาตามที่คิดต้องการไปหมดทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเพลง ดนตรี แฟชั่น หรือ มิวสิควีดีโอ คุณต้องสบายๆ ดูวีดีโอตลกๆ พูดคุยกันว่าแบบนั้นดูจะเป็นไอเดียที่เข้าท่าไม๊ แบบนั้นมากกว่า ผมใส่ใจมากกับความกลมกลืนและความสนุกในมิวสิควีดีโอของผม ผมพยายามอย่างเต็มที่ที่จะใส่ใจในทุกรายละเอียดเท่าที่จะเป็นไปได้ คร่าวๆเช่น หากผู้คนคอยคิดแต่จะแปลเนื้อเพลงออกมาตรงๆ เราก็จะคิดภาพที่หักมุมออกมาเพื่อที่สร้างความหมายที่ลึกซึ้งมากขึ้นออกมา ดังนั้นเวลาที่ผู้คนมาดู พวกเค้าก็จะพูดกันว่า " โอ้ นี่น่าสนใจทีเดียวนะมันตีความหมายออกมาแตกต่างได้อีกจริงๆ" แทนที่จะทำมิวสิควีดีโอที่ควรค่าแก่การดู เราพยายามที่จะทำบางอย่างที่สามารถแสดงออกถึงคุณค่าออกมาได้แทน
มิวสิควีดีโอในงานเดี่ยวของคุณแตกต่างไปจากของวงยังไงครับ??
G-Dragon: ในตอนที่เราทำมิวสิควีดีโอให้บิกแบง เป็นเพราะบิกแบงนั้นยังเป็นวงที่เข้ากับกระแสหลักมากกว่างานเดี่ยวของผม เราจึงตั้งใจที่จะมุ่งสมาธิไปยังการขยายขอบเขตของผู้ฟังให้มากขึ้น ในตอนที่ผมทำงานในโปรเจคงานเดี่ยวของตัวเอง ผมแค่ทำในสิ่งที่ผมต้องการอยากจะทำ ผมสามารถที่จะตลกและแปลกแตกต่างได้ ภาพลักษณ์ของผมก็ไม่ได้ขาวสะอาดหมดจดอยู่แล้ว ดังนั้นในงานเดี่ยวผมพยายามที่จะเล่นสนุกกับตรงนี้ ทุกๆเพลงในอัลบั้มนี้ต่างก็แตกต่างกันไป ดังนั้นผู้กำกับและผมต่างก็พยายามที่จะดึงเอาจุดที่แตกต่างกันนั้นออกมาให้ได้มากที่สุด
เพลง “That XX,” ให้ความรู้สึกว่าเป็นเรื่องส่วนตัวมากเลยนะครับ มาจากเรื่องในชีวิตจริงของคุณรึเปล่า?
G-Dragon: ทุกเพลงที่ผมเขียน คือ ก็แน่อยู่แล้วครับ บางท่อนบางตอนมันเหมือนกับผสมเข้ากับนิยายหรือเรื่องที่แต่งขึ้นมา แต่ผมพยายามที่จะเขียนเรื่องราวของตัวเองลงไปในส่วนใหญ่ของเพลงครับ ผมไม่อาจจะพูดได้ว่าผมเคยผ่านเหตุการณ์ที่เหมือนกับในเนื้อเพลงตรงๆทุกตอน แต่ผมเคยผ่านความรู้สึกแบบที่มีในเพลง และผมยังจำมันได้ดี และผมก็ทำเพลงนี้ออกมา
อ่า โชคไม่ดีนะครับ
G-Dragon: ผมก็ห่วยแตกได้นะครับ (หัวเราะ)
แล้วตอนนี้ห่วยแตกอยู่ไม๊??
G-Dragon: ตอนนี้เหรอครับ?? อาจจะไม่แล้วละ แต่ตอนที่ยังเด็ก ไม่ใช่แค่เพราะคุณชอบใครคนนึงนั่นจะหมายความว่าเธอจะสามารถอยู่กับคุณได้ ผมมีประสบการณ์มามากฮะในตอนที่อารมณ์ยังไม่คงที่ (หัวเราะ) ในตอนที่ผมร้องท่อนแร๊พ ผมสามารถที่จะแร๊พเกี่ยวกับสาวโฉดได้ แต่เวลาที่ผมร้องเพลงรักผมต้องการให้มันคร่ำครวญ แลดูเป็นคนโง่เป็นผู้แพ้ อยากให้เป็นแบบนั้น ผมคิดว่ามันจะดีกว่าถ้าเขียนออกมาแบบนั้น มันเป็นอารมณ์อย่างหนึ่งของเพลงบัลลาร์ดในแบบเกาหลีครับ
source: XXL
Thai translation by mew
พี่มิว TT ดาไม่รู้จะขอบคุณพี่มิวยังไงดีเลยค่ะ ขอบคุณมากๆนะค่ะ พี่มิว >/\< จากหัวใจเลย >3<
ตอบลบ