วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2555

ในสายตา ทีมงานในวายจี จีดราก้อน คือ.... (shout 17:End)


Shout of the World GD

(shout1) ความคิดเห็นของ GD ที่มีต่อสมาชิกวง บิกแบง
(shout2) ย้อนไปเมื่อผมยังเป็นศิลปินฝึกหัด
(shout3) ทำไมตอนนั้นผมถึงต้องเข้มงวดกับพวกเค้าขนาดนั้น
(shout4) ผมเป็นคนยังไงกันนะ
(shout5) อะไรที่แย่ไปกว่าการที่ต้องเผชิญหน้ากับความล้มเหลว
(shout6) เรายิ่งทอแสงสว่างยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ด้วยกัน 5 คน
(shout7)เราต้องใช้ชีวิตจากนี้ไปประหนึ่งว่าเรายังเป็นศิลปินฝึกหัด
(shout8)พวกเราเปรียบเป็นต้นไม้ประเภทใดกันบ้าง?
(shout9)สำหรับผมแล้ว....เพื่อนคือ....
(shout10)ผมได้รับแรงบันดาลจากที่ไหนบ้าง?....
(shout11)สำหรับผมแล้ว...แฟชั่นคือ.......
(shout12)ความหมายที่อยู่ในรอยสักของผม
(shout13)สำหรับผม อิสรภาพคือ......
(shout14)ทำไมผมถึงไม่กลัวความล้มเหลว
(shout15)ในสายตาสไตลิสต์ จี-ดราก้อนคือ....
(shout16)ในสายตาคุณครูสอนร้องเพลง จี-ดราก้อนคือ...

==========================

ในสายตา ทีมงานในวายจี จีดราก้อน คือ....

เค้าเป็น หัวหน้าวงที่สามารถเชียร์สมาชิกในวงและทีมงานให้ร่าเริงมีกำลังใจขึ้นมาได้

ในช่วงนี้ตารางงานของบิกแบงแน่นมากๆจริงๆ ยังไงก็ตามถึงจะมีเรื่องมากมายมารอต่อคิวให้ทำมากแค่ไหน พวกเค้าก็มักจะพูดว่า " ไม่เป็นไรฮะ เราจะลองทำดู" ผมอยากจะพูดออกไปมากๆเลยว่า " เฮ้ พวกนายเยี่ยมจริงๆ" และผมก็ต้องการจะให้พวกเค้ารู้ด้วยว่า พวกเราก็ไม่อยากให้พวกเค้าเหนื่อยเกินไปหรอกนะครับเพราะเรารักพวกเค้ามาก

ภายในสถานการณ์ในตอนนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเราเลยที่จะไปแนะนำพวกเค้าให้ลองงานใหม่ๆเพิ่มขึ้นมาอีก ดังนั้นส่วนใหญ่เลยเราก็เอาแต่เงียบไว้ แต่กระนั้น จียงมักจะมองเห็นว่ามีอะไรบางอย่างเสมอ จากนั้นเค้าก็จะเข้ามาถามว่าเกิดอะไรขึ้น เค้าคือ " หัวหน้าที่เก่งไปซะทุกเรื่อง" และ " ปรมาจารย์ควอน"ของเราครับ ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่เค้าอยู่กับพวกเรา เค้าจะสามารถเชียร์สมาชิกในวงและหมู่ทีมงานให้ร่าเริงและมีกำลังใจขึ้นมาได้ ด้วยอิทธิพลของเค้าเราไม่รู้สึกเหมือนกับว่าทำงานอยู่เลยแต่เหมือนกับว่าเล่นสนุกกับสิ่งที่เรากำลังทำมากกว่า

จียง เป็นมืออาชีพมากๆเวลาที่เค้าทำงาน เค้าสามารถมีอิทธิพลเหนือผู้คนที่เค้าทำงานด้วยได้ ผลลัพท์ของงานที่เราทำมักจะดีขึ้นเสมอเมื่อทำงานร่วมกับเค้า ถึงแม้ว่าในบางครั้งเราจะเกิดมีความเห็นที่แตกต่างกันไป แต่เราก็หาทางออกได้เพราะการชี้นำของเค้า ผมอยากที่จะพูดคำว่า "ขอบคุณ" แก่เค้าเสมอในสิ่งที่เค้าทำลงไป

(จากทีมงานที่จัดการในส่วนของ Fans community บริษัท YG)

===================================

คำนำหนังสือ Shout of the world ในส่วนของน้องจี

เพื่อที่จะให้ฝันของผมประสบความสำเร็จ ผมได้ท้าทายตัวเองแม้ว่ากระบวนการมันจะยากลำบากมากแต่ผมก็คิดว่ามันคุ้มค่าเหลือเกิน

น้ำตาที่ผมต้องเสียไปจนถึงตอนนี้มันได้กลายเป็นรากฐานแห่งความสำเร็จในทุกวันนี้ของผม

ผมอยากจะเป็นคนที่สร้างสิ่งมหัศจรรย์ออกมาและเปี่ยมไปด้วยเสนห์รอบตัว

สำหรับผมแล้วพรที่ประเสริฐที่สุดคือ ผมสามารถที่จะยืนอยู่บนเวทีได้ตลอดไปเพื่อที่จะแสดงสิ่งที่ผมมีทั้งหมดให้พวกคุณได้เห็นกัน

[Note: If you want to repost it elsewhere, please include the following disclaimer:
I am not doing close translation of every word in the book, just quoting here and there from the sections. And I have paraphrased and summarized so it might contain errors. I am just sharing to spread the love, not hate. If you don’t feel comfortable reading it, please ignore me.And my works has nothing related to any profit making purpose. You are not allowed to reproduce it in any material forms for such a purpose. Thanks for your understanding.]

Source: Shout To The World (Chinese Version)

Translated by: godlovesrice@tumblr.com/rice@bbu

thai translation by mew mini museum

====================

ตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายแล้วละคะ สองวันนี้เร่งให้จบจนได้

แม้ว่าหนังสือเล่มนี้น้องจีจะเขียนไว้นานแล้วแต่อ่านๆไปรู้สึกว่าน้องก็ยังไม่เปลี่ยนไปเลย มุมมองในเรื่องต่างๆก็ยังคงเหมือนเดิม

จากนี้ไปหวังว่าน้องจะยังคงมุ่งมั่นเหมือนเดิม และเป็นผู้ใหญ่ขึ้นในหลายๆเรื่องนะคะ

เอาใจช่วยเชียร์อยู่ห่างๆต่อไปคะ >_<

ในสายตาคุณครูสอนร้องเพลง จีดราก้อน คือ......(shout16)


รู้สึกว่าใกล้เวลาคัมแบคของน้องๆเข้ามาทุกทีๆๆ แล้ว ตามที่ตั้งใจไว้ อยากจะทำ shout ให้เสร็จไปก่อน
ตอนนี้จริงๆก็เข้าโค้งสุดท้ายมาแล้วละคะ คิดว่าวันนี้ น่าจะจบได้ ส่วน shoutทาบิ จริงๆน้องไอซ์แปลไว้แล้ว แต่มิวก็ยังอยากจะแปลเก็บไว้เหมือนกัน ด้วยว่าทาบิเป็นเมนมิว 555 >///< รอคัมแบคผ่านไป เงียบๆว่างๆค่อยว่ากันใหม่นะคะ ทาบิ

================

Shout of the World GD

(shout1) ความคิดเห็นของ GD ที่มีต่อสมาชิกวง บิกแบง
(shout2) ย้อนไปเมื่อผมยังเป็นศิลปินฝึกหัด
(shout3) ทำไมตอนนั้นผมถึงต้องเข้มงวดกับพวกเค้าขนาดนั้น
(shout4) ผมเป็นคนยังไงกันนะ
(shout5) อะไรที่แย่ไปกว่าการที่ต้องเผชิญหน้ากับความล้มเหลว
(shout6) เรายิ่งทอแสงสว่างยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ด้วยกัน 5 คน
(shout7)เราต้องใช้ชีวิตจากนี้ไปประหนึ่งว่าเรายังเป็นศิลปินฝึกหัด
(shout8)พวกเราเปรียบเป็นต้นไม้ประเภทใดกันบ้าง?
(shout9)สำหรับผมแล้ว....เพื่อนคือ....
(shout10)ผมได้รับแรงบันดาลจากที่ไหนบ้าง?....
(shout11)สำหรับผมแล้ว...แฟชั่นคือ.......
(shout12)ความหมายที่อยู่ในรอยสักของผม
(shout13)สำหรับผม อิสรภาพคือ......
(shout14)ทำไมผมถึงไม่กลัวความล้มเหลว
(shout15)ในสายตาสไตลิสต์ จี-ดราก้อนคือ....

==============

ในสายตาคุณครูสอนร้องเพลง จีดราก้อน คือ....

GD พูดกับคุณครู " ครูฮะ ผมไม่คิดว่ามันควรจะเป็นแบบนั้นนะฮะ"

ก่อนที่บิกแบงจะเดบิว มันเป็นบรรทัดฐานเลยก็ว่าได้ที่นักร้องในวงการนี้จะสามารถร้องเพลงในแนว R&B และเพลงที่ต้องใช้อารมณ์มากๆได้ ดังนั้นการฝึกสอนของเราก็มุ่งเน้นไปในเพลง 2 แบบนี้เช่นกัน

อย่างไรก็ดี ในวันนึง จียงก็เข้ามาคุยกับผมหลังจากที่เค้าได้คิดไตร่ตรองอย่างดีแล้วว่า " ครูฮะ ผมคิดว่าเราไม่ควรจะร้องเำพลงที่มันใส่อารมณ์มากๆ ผมคิดว่ามันไม่ตรงกับความจำเป็นของเราในตอนนี้นะฮะ เราต้องเปลี่ยนแนวทางและมุ่งเน้นในสิ่งที่ต่างไปจะดีกว่า " ผมค่อนข้างประหลาดใจมากที่ได้รับคำวิจารณ์แบบนั้นจากเทรนนี่ แต่ผมก็เห็นด้วยกับเค้านะครับ

ถึงแม้ว่าพวกเค้าจะใช้ชีวิตในทุกวันโดยที่มีตารางงานแน่นเอี๊ยดรออยู่เสมอ จียงก็ยังคงสามารถที่จะเจียดเวลาของเค้ามาเขียนเพลงเสมอ ผมคิดจริงๆว่า " โว้วว เด็กคนนี้วิเศษจริงๆ" ทำให้ผมต้องเตือนตัวเองเสมอว่า "เราคงต้องพัฒนาตัวเองให้เก่งในทุกๆเรื่องเพื่อที่จะได้สอนเค้าได้ " จียงอ่า ยังไงก็ขอให้ครูได้พักบ้างนะ

ว่ากันว่าเค้าเป็น แฟชั่นนิสต้า ระดับตำนานของวงการเลยทีเดียว ผมมักจะตื่นเต้นอยากรู้อยากเห็นทุกครั้งว่าอัลบั้มแบบไหนที่เค้าจะทำออกมาในอนาคตข้างหน้า ผมรู้ว่าจียงก็รู้เหมือนกันว่าทุกๆคนต่างก็ใส่ความคาดหวังลงไปในตัวเค้าอย่างมากเหมือนกัน ดังนั้น เค้าคงจะรู้สึกกดดันมากๆด้วย

แต่ยังไงก็ตามแต่ผมเชื่อมั่นอย่างแท้จริงว่าความตั้งใจในใจเค้าเกี่ยวกับเสียงเพลงจะยังมีอยู่ตลอดไปและจิตวิญญาณในการที่จะไม่ย่อท้อยอมแพ้ในการไล่ตามความฝันก็จะยังคงมีอยู่ด้วยเสมอ

[Note: If you want to repost it elsewhere, please include the following disclaimer:

I am not doing close translation of every word in the book, just quoting here and there from the sections. And I have paraphrased and summarized so it might contain errors. I am just sharing to spread the love, not hate. If you don’t feel comfortable reading it, please ignore me.And my works has nothing related to any profit making purpose. You are not allowed to reproduce it in any material forms for such a purpose. Thanks for your understanding.]

Source: Shout To The World (Chinese Version)

Eng Translated by: godlovesrice@tumblr.com/rice@bbu

Thai Translation by mew mini museum

ในสายตาสไตลิสต์ จีดราก้อน คือ....( shout15)


Shout of the World GD

(shout1) ความคิดเห็นของ GD ที่มีต่อสมาชิกวง บิกแบง
(shout2) ย้อนไปเมื่อผมยังเป็นศิลปินฝึกหัด
(shout3) ทำไมตอนนั้นผมถึงต้องเข้มงวดกับพวกเค้าขนาดนั้น
(shout4) ผมเป็นคนยังไงกันนะ
(shout5) อะไรที่แย่ไปกว่าการที่ต้องเผชิญหน้ากับความล้มเหลว
(shout6) เรายิ่งทอแสงสว่างยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ด้วยกัน 5 คน
(shout7)เราต้องใช้ชีวิตจากนี้ไปประหนึ่งว่าเรายังเป็นศิลปินฝึกหัด
(shout8)พวกเราเปรียบเป็นต้นไม้ประเภทใดกันบ้าง?
(shout9)สำหรับผมแล้ว....เพื่อนคือ....
(shout10)ผมได้รับแรงบันดาลจากที่ไหนบ้าง?....
(shout11)สำหรับผมแล้ว...แฟชั่นคือ.......
(shout12)ความหมายที่อยู่ในรอยสักของผม
(shout13)สำหรับผม อิสรภาพคือ......
(shout14)ทำไมผมถึงไม่กลัวความล้มเหลว

=====================

ในสายตาสไตล์ลิสต์ จี-ดราก้อน คือ.........

เค้าเกิดมาเพื่อเป็น fashionista

ฉันคิดว่าเป็นเพราะเค้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ เค้าน้อมรับแฟชั่นในทุกๆแบบทุกๆสไตล์ที่ฉันต้องการให้เค้าลองสวมดู ประกอบกับความคิดสร้างสรรค์ของเค้าเอง เค้าสามารถที่จะสร้างแนวแฟชั่นใหม่ขึ้นมาได้ซึ่งเป็นแนวที่เค้าเป็นคนคิดค้นขึ้นมาเป็นแนวของเค้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น

ในขณะที่เค้ามองดูสิ่งของ 1 อย่างเค้าจะมีมุมมองในการมองสิ่งของเหล่านั้นถึง 10 มุมที่แตกต่างกันไป ฉันรู้สึกตกใจมากกับความคิดสร้างสรรค์ของเค้า ยกตัวอย่างเช่น หากฉันเอาเสื้อไปให้คนอื่นดู พวกเค้าก็จะพูดว่า "เสื้อนี่สวยจังนะ" แต่จีดราก้อนจะพูดถึงว่าเค้าควรจะสวมเสื้อผ้าตัวนั้นในสถานการณ์ไหนหรือควรจะสวมยังไงให้เค้าและเสื้อผ้าโดดเด่นอยู่บนเวที ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดูธรรมดาสามัญแค่ไหน เค้าก็สามารถที่จะคิดค้นวิธีมาทำให้มันดูพิเศษไม่ธรรมดาได้ ฉันคิดว่าเค้าเกิดมาพร้อมกับความสามารถตรงนี้

เวลาที่เค้าเห็นอะไรบางอย่างที่เค้าไม่ชอบมันมากจริงๆ เค้าจะไม่ลังเลที่จะพูดออกมาว่า "ผมไม่ชอบ เลยฮะ" หรือ "ได้โปรดเถอะฮะ อย่าทำแบบนี้เลย" และนี่ก็เป็นเสน่ห์ของเค้า แต่ยังไงก็ตามแต่ บางทีอาจะเป็นเพราะเค้าเป็น หัวหน้าวงด้วย บ่อยครั้งที่เค้ามักจะโน้มแนวสมาชิกในวงให้เห็นชอบตามเค้ามากกว่าที่จะระบาย ความไม่พอใจของตัวเองออกมา

ไม่ว่าเค้าจะทำอะไก็ตามแต่เค้าจะมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนมาก และนั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเค้าถึงสามารถเรียนรู้และเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ถึงขนาดที่ว่า เราเพิ่งจะคุยกันอยู่ว่าเสื้อผ้าที่เราจะใช้สวมใส่ควรจะเป็นยังไง เค้าก็จะมีภาพเสื้อผ้าและแนวทางที่จะสวมใส่มันออกมาอยู่ในหัวเรียบร้อยแล้ว และรู้ว่าเสื้อผ้าที่จะใช้นั้นควรจะเป็นอารมณ์ไหนและเค้าก็รู้วิธีที่จะสวมใส่มันออกมาให้ดูดีตามที่คิดได้ ฉันได้ยินมาว่าขนาดเค้าอยู่กับเทรนเนอร์เค้ายังระบุลงไปว่าเค้าอยากจะให้ร่างกายของเค้าออกมาเป็นแบบไหนเพื่อจะได้ส่งเสริมเสื้อผ้าที่เค้าจะใส่ออกมาได้ดีอีกด้วย

คุณอาจจะคิดว่าที่เค้าทำแบบนี้ได้ก็เพราะเค้ามีพรสวรรค์ในเรื่องนี้ แต่ถึงยังไงก็ตามแต่ สำหรับฉันแล้ว ฉันว่าเค้าเป็นคนที่ทำงานอย่างหนักเพื่อจะได้ประสบผลสำเร็จในสิ่งที่เค้าต้องการ

(จาก Ji Eun สไตล์ลิสต์)

[Note: If you want to repost it elsewhere, please include the following disclaimer:

I am not doing close translation of every word in the book, just quoting here and there from the sections. And I have paraphrased and summarized so it might contain errors. I am just sharing to spread the love, not hate. If you don’t feel comfortable reading it, please ignore me.And my works has nothing related to any profit making purpose. You are not allowed to reproduce it in any material forms for such a purpose. Thanks for your understanding.]

Source: Shout To The World (Chinese Version)

Eng Translated by: godlovesrice@tumblr.com/rice@bbu

Thai Translation by mew mini museum

วันเสาร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2555

GD:ทำไมผมถึงไม่กลัวความล้มเหลว (shout14)


Shout of the World GD

(shout1) ความคิดเห็นของ GD ที่มีต่อสมาชิกวง บิกแบง
(shout2) ย้อนไปเมื่อผมยังเป็นศิลปินฝึกหัด
(shout3) ทำไมตอนนั้นผมถึงต้องเข้มงวดกับพวกเค้าขนาดนั้น
(shout4) ผมเป็นคนยังไงกันนะ
(shout5) อะไรที่แย่ไปกว่าการที่ต้องเผชิญหน้ากับความล้มเหลว
(shout6) เรายิ่งทอแสงสว่างยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ด้วยกัน 5 คน
(shout7)เราต้องใช้ชีวิตจากนี้ไปประหนึ่งว่าเรายังเป็นศิลปินฝึกหัด
(shout8)พวกเราเปรียบเป็นต้นไม้ประเภทใดกันบ้าง?
(shout9)สำหรับผมแล้ว....เพื่อนคือ....
(shout10)ผมได้รับแรงบันดาลจากที่ไหนบ้าง?....
(shout11)สำหรับผมแล้ว...แฟชั่นคือ.......
(shout12)ความหมายที่อยู่ในรอยสักของผม
(shout13)สำหรับผม อิสรภาพคือ......

================

ทำไมผมถึงไม่กลัวความล้มเหลว

เพราะพวกเราต่างก็ยังเด็กอยู่ ดังนั้นจึงไม่เป็นไรหรอกครับที่เราจะต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดที่มาจากความล้มเหลว

ผมคิดว่าตัวเองเป็นคนที่โชคดีมากๆครับ ในขณะที่คนในวัยเดียวกันกับผมกำลังกังวลที่ต้องเจอกับความคาดหวังมากมายที่คุณพ่อคุณแม่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ให้ ผมกลับสามารถที่จะฝ่าฟันต่อสู้ไปให้ถึงจุดมุ่งหมายที่ตัวเองตั้งไว้และสามารถทำอะไรก็ได้ที่ตัวเองต้องการ เพราะคุณพ่อคุณแม่คอยสนับสนุนผมอยู่ ผมไม่ต้องทำในสิ่งที่พวกท่านต้องการให้ผมทำ แต่พวกท่านปล่อยให้ผมตัดสินใจเลือกทางเดินในชีวิตของผมด้วยตัวผมเอง

ผมโชคดี เพราะ ถึงแม้ว่าผมจะไม่ค่อยใส่ใจในเรื่องการเรียนเท่าไหร่ แต่ผมก็ยังคงสามารถได้เกรดดีๆตลอดเวลาที่เรียนในโรงเรียน ผมยังเด็กอยู่มากตอนที่ได้รับคำเชิญจากบริษัท วายจีให้ไปเป็นศิลปินฝึกหัดกับพวกเค้า ผมได้พบคนที่มีพรสวรรค์มากมายและคนที่คอยช่วยเหลือมากมายในตอนที่อายุยังน้อย และก็แน่นอนครับ สิ่งที่สำคัญมากที่สุดคือ การที่ผมได้พบท่านประธานของเรา คุณ ยาง ฮยอน ซอก

ทั้งหมดนี้เมื่อมีใครได้ยินผมพูดแบบนี้บางคนอาจจะคิดว่า "ฉันทนไม่ได้จริงๆนะที่ได้ยินควอนจียงพูดแบบแสนจะมั่นใจและเหย่อหยิ่งแบบนั้นออกมา ทัศนคติแบบนี้มันจริงๆเล้ย"

ยังไงก็ตาม เส้นทางชีวิตที่ผมเลือก มีลักษณะตามต่อไปนี้

เริ่มจากอายุ 13 ผมต้องไปโรงเรียนเช้ามากๆๆ จากนั้นผมต้องไปเข้าร่วมการเทรนทักษะต่างๆหลังเลิกเรียน แน่นอนละครับ ผมไม่ได้ทานอาหารตามเวลาปกติ ส่วนเรื่องนอนนั้นไม่้ต้องพูดถึงเลย ผมไม่ได้มีเวลาที่จะนอนหลับอย่างเพียงพอตามวัยในแต่ละวัน

ผมเป็นแค่เด็กวัยรุ่นคนนึงที่อายุเพิ่งจะย่างเข้าวัย 20 เท่านั้นเองแต่ผมกลับมีเวลานอนเพียงแค่ 2-3 ชั่วโมงต่อวันเพราะมีงานหนักมากมายเต็มเอี๊ยด ผมเขียนเพลงมากมายแต่ส่วนใหญ่ก็ถูกทิ้งลงถังขยะ ผมมักจะคิดเสมอว่า จะมีซักกี่เพลงนะที่จะสามารถเป็นเพลงที่โด่งดังได้?? ผมไม่อาจจะรู้ได้เลยจริงๆ ดังนั้นผมจึงรู้สึกเครียดมากๆเกือบจะทุกวัน

ถึงแม้ว่าบางครั้งผมจะคิดว่า โลกนี้ชั่งไม่ยุติธรรมเลย แต่ผมก็คิดว่า สิ่งที่ผมจะได้เก็บเกี่ยวในวันข้างหน้าคือสิ่งที่ผมได้เพาะหว่านลงไปในวันนี้ ผมได้ยินเรื่องราวประสบการณ์ความยากลำบาก และแสนจะเจ็บปวดในอดีตของรุ่นพี่ เช่น เรนเคยเล่าว่าเค้าทำได้แค่สวมแหวนที่คุณแม่ผู้ล่วงลับทิ้งไว้ให้ขึ้นเวทีเพื่อแสดงความอาลัยต่อเธอเท่านั้น ผมรู้สึกเสียใจมากเมื่อได้ยินเรื่องนี้

และมีอีกครั้งนึง นักดนตรี คุณ Cho So-mi กำลังมีคอนเสริต์ทัวร์ที่อเมริกา เธอได้รับข่าวร้ายอย่างกะทันหันว่าคุณพ่อของเธอเสียชีวิตลงแล้ว ซึ่งคนที่บอกข่าวนี้แก่เธอคือคุณแม่ของเธอเอง ซึ่งเล่าให้เธอฟังว่าคุณพ่ออยากจะให้เธอทัวร์คอนเสริต์ให้เสร็จสิ้นลงไปก่อนมากกว่าอยากจะให้เธอเดินทางกลับเกาหลีทันที ดังนั้นในคอนเสริต์รอบสุดท้ายเธอจึงร้องเพลง ‘On, my dear father’ ( ถึงคุณพ่อที่รัก) เพื่อเป็นการไว้อาลัยให้กับคุณพ่อ

ผมเชื่อว่า ความเจ็บปวดนั้นสามารถเปลี่ยนเป็นพลังขับเคลื่อนให้กับพวกเราเดินหน้าทำในสิ่งที่เราต้องทำต่อไปได้

ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามอย่าเพียงแต่ทำมันไปแบบขอไปทีหรือใช้พลังอย่างจำกัด ไม่ว่าจะเป็นในเรื่อง"ความรัก" "การเรียน" หรือ "การวิ่งไล่ตามความฝัน

สิ่งที่เราควรจะกลัวมันจริงๆแล้วไม่ใช่ความล้มเหลว แต่เป็น จิตใจที่ไม่มีความกล้าเหลือเพียงพอที่จะลองเสี่ยงหรือท้าทายอีกต่อไป หากใครที่กำลังร้องไห้เงียบๆอยู่คนเดียวเพราะต้องเผชิญกับความล้มเหลว ผมอยากจะบอกกับพวกเค้าว่า

"ไม่เป็นไรหรอกนะที่เราล้มเหลวในวันนี้ ก็เรายังเด็กอยู่นี่นา"

[Note: If you want to repost it elsewhere, please include the following disclaimer:

I am not doing close translation of every word in the book, just quoting here and there from the sections. And I have paraphrased and summarized so it might contain errors. I am just sharing to spread the love, not hate. If you don’t feel comfortable reading it, please ignore me.And my works has nothing related to any profit making purpose. You are not allowed to reproduce it in any material forms for such a purpose. Thanks for your understanding.]

Source: Shout To The World (Chinese Version)

Translated by: godlovesrice@tumblr.com/rice@bbu

Thai Translation by mew mini museum

GD:สำหรับผมแล้ว อิสรภาพคือ........(shout13)


Shout of the World GD

(shout1) ความคิดเห็นของ GD ที่มีต่อสมาชิกวง บิกแบง
(shout2) ย้อนไปเมื่อผมยังเป็นศิลปินฝึกหัด
(shout3) ทำไมตอนนั้นผมถึงต้องเข้มงวดกับพวกเค้าขนาดนั้น
(shout4) ผมเป็นคนยังไงกันนะ
(shout5) อะไรที่แย่ไปกว่าการที่ต้องเผชิญหน้ากับความล้มเหลว
(shout6) เรายิ่งทอแสงสว่างยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ด้วยกัน 5 คน
(shout7)เราต้องใช้ชีวิตจากนี้ไปประหนึ่งว่าเรายังเป็นศิลปินฝึกหัด
(shout8)พวกเราเปรียบเป็นต้นไม้ประเภทใดกันบ้าง?
(shout9)สำหรับผมแล้ว....เพื่อนคือ....
(shout10)ผมได้รับแรงบันดาลจากที่ไหนบ้าง?....
(shout11)สำหรับผมแล้ว...แฟชั่นคือ.......
(shout12)ความหมายที่อยู่ในรอยสักของผม

===========================

สำหรับผมแล้ว อิสรภาพ คือ.......

ผมคิดเรื่อง ความเป็นอิสระมากเลยละครับ หลังจากที่ผมได้มาเป็นศิลปิน

มีคนมากมายสนใจอยากรู้ว่าตอนนี้ผมทำอะไรอยู่ไปทำอะไรมาหรือกำลังจะทำอะไรในอนาคต ผมรู้สึกว่าผมโชคดีมากเมื่อมองย้อนกลับไปดูว่าเมื่อก่อนนี้ ผมได้รับอิสระมากมาย แต่ตอนนี้ผมรู้สึกเหนื่อยมากเพราะดูเหมือนว่า ผมจะถูกกีดกันไม่ให้ได้รับอิสรภาพเลย

บางครั้งผมก็คิดเหมือนกันนะครับว่า "มันคงจะดีไม่น้อยนะที่ผมจะสามารถคุยเล่นกับเพื่อนๆได้ในทุกๆเรื่องที่อยากจะพูด หรือไม่ก็ สามารถไปออกเดทกับแฟนสาวที่ผมรักได้ และมันก็คงจะดีเหมือนกันนะที่ผมจะสามารถได้ลิ้มรสของการมีความสัมพันธ์กับใครอย่างลึกซึ้งและยาวนาน หรือไม่ก็ ได้ลองรู้สึกว่ามันจะเจ็บปวดแค่ไหนที่จะต้องหัวใจสลายเมื่อความสัมพันธ์ไปกันไม่รอด เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้ผมเขียนเพลงและเนื้อเพลงออกมาได้ดีขึ้นและลึกซึ้งขึ้น ใช่ไม๊ฮะ??

แต่ยังไงก็ตาม ผมไม่มีโอกาสที่จะได้ทำเรื่องแบบที่ว่ามาหรอกครับ นอกจากนั้นผมยังคิดว่าหลังจากที่ผมเลือกที่จะดำเนินชีวิตมาตามเส้นทางอาชีพนี้แล้ว สิ่งที่ผมได้รับมานั้นมันมีมากกว่าสิ่งที่ผมต้องเสียไป

จริงๆผมอยากจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับนะครับแต่ไม่เป็นไรผมจะเล่าให้พวกคุณฟังแล้วกัน คือ นานๆทีผมก็จะแอบไปเที่ยวสวนสนุกครับ เพื่อที่จะปกปิดหน้าตาเอาไว้ ผมจำเป็นต้องใส่หน้ากากเอาไว้บางทีก็ต้องใส่ชุดรูปสัตว์ต่างๆ ผมไม่ได้แอบๆไปแบบเงียบๆหรอกนะฮะ บางทีผมจะไปแอบจับตัวผู้คน ไม่ก็จู่ๆไปตะโกนให้เค้าตกใจด้วยก็มี นี่เป็นวิธีที่ผมได้รับอิสรภาพคืนมาบ้าง และทุกครั้งที่ผมไปเล่นแบบนี้ ผมรู้สึกว่าความเครียดก็ลดน้อยลงนะครับ "

[Note: If you want to repost it elsewhere, please include the following disclaimer:

I am not doing close translation of every word in the book, just quoting here and there from the sections. And I have paraphrased and summarized so it might contain errors. I am just sharing to spread the love, not hate. If you don’t feel comfortable reading it, please ignore me.And my works has nothing related to any profit making purpose. You are not allowed to reproduce it in any material forms for such a purpose. Thanks for your understanding.]

Source: Shout To The World (Chinese Version)

Eng Translated by: godlovesrice@tumblr.com/rice@bbu

Thai Translation by mew mini museum

วันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2555

YG จะให้ความสำคัญกับ Bigbang เป็นอันดับ 1 ในปี 2012นี้


YG จะให้ความสำคัญกับ Bigbang เป็นอันดับ 1 ในปี 2012นี้


ท่านยางสัญญาคราวนี้จะไม่มีการเลื่อนการคัมแบค ทาง Osen ได้สัมภาษณ์ท่านยางทางโทรศัพท์ในวันนี้เกี่ยวกับการคัมแบคของบิกแบง สรุปสาระสำคัญๆได้ ตามนี้ค๊า

- CEO บริษัทวายจีเอนเตอร์เทนเม้นซ์ ท่านหยางฮยอกซอกกล่าวว่าเค้าทุ่มเทใจกายเต็มที่เพื่อการคัมแบคของ BB ในเดือนกุมภาที่จะมาถึงนี้

-ในปี 2012 นี้การเตรียมการทำงานของบิกแบงจะมาเป็นอันดับ 1 ถึงแม้ว่า วายจีจะมีการเดบิวนักร้องใหม่แต่คาดว่าเพราะบิกแบงวงใหม่อาจจะต้องเลื่อนไป เปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

- ปี 2011 ที่ผ่านมาถือว่าเป็นปีที่ยากลำบากสำหรับบิกแบง ท่านยางกล่าวว่า
" ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ยากลำบากที่สุดสำหรับ วายจี จะเรียกได้ว่าเป็นช่วงวิกฤตของเราเลยก็ว่าได้ อาการบาดเจ็บครั้งนี้ย่อมสร้างแผลเป็นให้กับเราแต่เราเจ็บครั้งนี้ย่อมสร้าง บทเรียนให้แก่เราด้วย ไม่ใช่แค่กับผมเท่านั้นแต่สมาชิกในวงบิกแบงทุกคนด้วย บิกแบงต่างก็ระมัดระวังมากขึ้นและความผิดพลาดก็สร้างผลสะท้อนให้พวกเค้าคิด มากมายผ่านเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมคิดว่านี่จะเป็นอะไรที่ทำให้บิกแบงก้าวไปข้างหน้าอีกขั้นและเหตุการณ์นี้ จะเป็นเหมือนดั่งยาที่ดีให้กับพวกเค้า"

- วายจีกล่าวว่าบิกแบงจะคัมแบคในเดือนกุมภาที่จะถึงนี้ จริงอยู่ที่ บิกแบงมักจะคัมแบคล่าช้ากว่ากำหนดที่ได้วางไว้เป็นประจำแต่คราวนี้ ท่านยางกล่าวว่า " ครั้งนี้เรื่องแบบนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างแน่นอน"

- ท่านยางเสริมว่า" ในช่วงที่หยุดพักมองดูตัวเองของสมาชิกในวงบิกแบง พวกเค้าทำงานกันอย่างหนัก ถึงกับว่าทำงานกันในวันอาทิตย์ด้วย พวกเค้าซ้อมการแสดงสดในสตูดิโอ เวลาแบบนั้นทำให้พวกเค้าได้ซึมซับกับงานเพลงอย่างเต็มที่ พวกบิกแบงยุ่งกันมาถึงขนาดที่ว่าผมก็ไม่ค่อยได้เจอหน้าพวกเค้า แต่เมื่อหากมีเวลาได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกับพวกเค้าัทั้ง 5 คนผมจะมีความสุขมาก "

"และเพื่อการใช้เวลาเต็มที่มองดูตัวเองนี้ ผมเกิดความคิดว่า ในช่วงที่บิกแบงเตรียมงานสำหรับอัลบั้มใหม่นี้ เราไม่ควรจะวางแผนรับงานอย่างอื่น "

ท่านหยางกล่าวด้วยความมั่นใจในการคัมแบคของบิกแบงคราวนี้มาก "สมาชิกทั้ง 5 คน ต่างรวมกันเป็นหนึ่งใจเดียวในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาร่วมกันทำเพลงของพวก เค้า ดังนั้นจึงได้งานออกมามากมาย งานที่รวมใจเป็นหนึ่งเดียวทำกันออกมานั้นยอดเยี่ยมมาก ปีนี้บิกแบงจะเสนองานเพลงออกมามากกว่าเดิมและทำการโปรโมทมากขึ้นด้วย"

Source: OSEN
Eng Translated by: Sara @ bigbangupdates | fuckyeahbigbangstuff
Thai Translation by mewmew mini museum

วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2555

GD:ความหมายที่อยู่ในรอยสักของผม (shout12)

เป็นเพราะเมื่อวาน มีข่าวออกมาว่าน้องๆจะคัมแบคในเดือนกุมภานี้ ทั้งๆที่ในใจไม่เคยจะเชื่อว่าลุงจะตรงเวลา แต่จู่ๆ ก็คิดว่าน่าจะเร่งมือในการแปล shout ของน้องจีให้เสร็จโดยเร็วที่สุดจะดีกว่า เพราะถ้าปุ๊บปั๊บคัมแบคมาน่าจะมีเรื่องที่มิวอยากแปลเยอะอยู่ อืมๆ ต้องหาเวลาสินะ -_-!!

=====================

Shout of the World GD

(shout1) ความคิดเห็นของ GD ที่มีต่อสมาชิกวง บิกแบง
(shout2) ย้อนไปเมื่อผมยังเป็นศิลปินฝึกหัด
(shout3) ทำไมตอนนั้นผมถึงต้องเข้มงวดกับพวกเค้าขนาดนั้น
(shout4) ผมเป็นคนยังไงกันนะ
(shout5) อะไรที่แย่ไปกว่าการที่ต้องเผชิญหน้ากับความล้มเหลว
(shout6) เรายิ่งทอแสงสว่างยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ด้วยกัน 5 คน
(shout7)เราต้องใช้ชีวิตจากนี้ไปประหนึ่งว่าเรายังเป็นศิลปินฝึกหัด
(shout8)พวกเราเปรียบเป็นต้นไม้ประเภทใดกันบ้าง?
(shout9)สำหรับผมแล้ว....เพื่อนคือ....
(shout10)ผมได้รับแรงบันดาลจากที่ไหนบ้าง?....
(shout11)สำหรับผมแล้ว...แฟชั่นคือ.......

==================

ความหมายที่อยู่ในรอยสักของผม......

เพลง "lie" ที่ออกวางแผงในปี 2007 ได้รับการตอบรับที่ดีมากเช่นเดียวกับเพลง "HaruHaru" ที่ออกตามมาในปีถัดมา แต่หลังจากนั้นพวกเราก็โดนกล่าวหาว่าไปลอกเลียนแบบเพลงของนักร้องญี่ปุ่นที่มีชื่อว่า Free Tempo มา ถึงขนาดที่ว่าตัวนักร้องคนนั้นเค้ายังต้องออกมายืนยันบอกว่าเราไม่ได้ก็อปปี้เพลงของเค้า ถึงแม้ว่ากรณีพิพากนี้จะสงบลงในที่สุด แต่ผมก็ยังคงรู้สึกสับสนว่าผมทำอะไรลงไปในช่วงเวลานั้น

ในตอนนั้น มีประโยคนึง แว้บเข้ามาในหัวของผม ประโยคนั้นคือ

‘Too young to live, to fast to die.’ (ประโยคนี้เป็นคำพูดของวง Sex Pistols ในตอนที่สมาชิกในวงพยายามที่จะแย่งกันขึ้นมาแทนที่ มือเบสระดับตำนานประจำวงอย่าง Sid Vicous ในภาพยนตร์)

ซึ่ง ความหมายของประโยคนี้สามารถที่จะตีความออกมาได้ตามแต่ที่ใครจะคิดว่าเป็นยังไงแต่สำหรับผมแล้ว คำนี้หมายความว่า

"ไม่ว่าผมจะต้องเจอกับความความยากลำบากมากแค่ไหนมาทดสอบให้ผมต้องเอาชนะมัน แต่ในตอนนี้มันยังเร็วเกินไปที่ผมจะยอมแพ้ "ผมคิดว่าทัศนคติแบบนี้เป็นสิ่งที่ตรงมากๆสำหรับผมให้ผมสามารถนำไปปรับใช้ได้ในตอนนั้นเพราะผมต้องเจอกับความยากลำบากมากมายจริงๆ

ผมมักจะเป็นคนที่คิดเยอะมากเวลาที่เตรียมการทำงานในอัลบั้ม หลังจากที่เฝ้าคิดถึงความหมายของชีวิตตัวเองมาหลายหน ผมตัดสินใจที่จะสักคำว่า "Vita Dolce" เอาไว้ที่แขนข้างขวา แต่เดิมประโยคนี้ควรจะเป็น "Dolce Vita" ที่มีความหมายว่า "ไม่ว่าเมื่อไหร่อะไรก็ตามแต่ ผมจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข" แต่ผมเปลี่ยนมันเป็น "Vita Dolce" ซึ่งจะมีความหมายว่า " ชีวิตที่มีความสุข" และในแขนข้างซ้าย ผมสักคำว่า "Moderato" ลงไป ( หมายความว่า ทางสายกลาง) เพราะผมตั้งใจจะเตือนตัวเองไม่ให้ใช้ชีวิต แบบรวดเร็วฉาบฉวยเกินไป และจำเป็นต้องมองหนทางรอบข้างด้วยไม่ใช่มองเลยผ่านไป

[Note: If you want to repost it elsewhere, please include the following disclaimer:

I am not doing close translation of every word in the book, just quoting here and there from the sections. And I have paraphrased and summarized so it might contain errors. I am just sharing to spread the love, not hate. If you don’t feel comfortable reading it, please ignore me.And my works has nothing related to any profit making purpose. You are not allowed to reproduce it in any material forms for such a purpose. Thanks for your understanding.]

Source: Shout To The World (Chinese Version)
Translated by: godlovesrice@tumblr.com/rice@bbu Thai Translation by mew mini museum

วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2555

GD:สำหรับผมแล้ว....แฟชั่นคือ.......(shout11)


Shout of the World GD

(shout1) ความคิดเห็นของ GD ที่มีต่อสมาชิกวง บิกแบง
(shout2) ย้อนไปเมื่อผมยังเป็นศิลปินฝึกหัด
(shout3) ทำไมตอนนั้นผมถึงต้องเข้มงวดกับพวกเค้าขนาดนั้น
(shout4) ผมเป็นคนยังไงกันนะ
(shout5) อะไรที่แย่ไปกว่าการที่ต้องเผชิญหน้ากับความล้มเหลว
(shout6) เรายิ่งทอแสงสว่างยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ด้วยกัน 5 คน
(shout7)เราต้องใช้ชีวิตจากนี้ไปประหนึ่งว่าเรายังเป็นศิลปินฝึกหัด
(shout8)พวกเราเปรียบเป็นต้นไม้ประเภทใดกันบ้าง?
(shout9)สำหรับผมแล้ว....เพื่อนคือ....
(shout10)ผมได้รับแรงบันดาลจากที่ไหนบ้าง?....

===================

สำหรับผมแล้วแฟชั่น คือ.....

ตั้งแต่เป็นเด็กแล้ว ผมชอบและใส่ใจในเรื่องของแฟชั่นมาก ผมยังคงจำได้ดีว่าเมื่อตอนเป็นเด็ก ผมจะเฝ้ารอคอยและกระตือรือร้นเป็นพิเศษให้วันหยุดมาถึง เพราะผมจะได้ไปช้อปปิ้งกับคุณแม่และพี่สาว ผมคิดว่าร้านเสื้อผ้าก็เป็นเหมือนกับพิพิธภัณฑ์ที่เอาไว้แสดงผลงานศิลปะ บางทีที่ผมคิดแบบนี้เพราะตัวผมเองชอบมันมากและสามารถที่จะสร้างสรรค์อะไรต่อยอดจากตรงนี้ได้อีกก็เป็นได้

เมื่อผมโดนพิธีกรตามรายการทีวีถามว่า สิ่งที่ผมชอบที่สุดเมื่อตอนเป็นเด็กคืออะไร?? คำตอบของผมมักจะสร้างความประหลาดใจให้กับพวกเค้าเสมอ เพราะพวกเค้าคาดเดาไปว่าคำตอบของผมน่าจะเป็น ของเล่น รถ หรือหุ่นยนต์ แต่ผมกลับตอบไปว่า ผมชอบ แฟชั่นที่สุด ปฏิกริยามันเหมือนกับว่าผมบอกพวกเค้าไปว่า ผมต้องการรูป โมน่า ลิซ่า ยังไงยังงั้นเลยทีเดียวมันเหมือนกับว่าสิ่งที่ผมต้องการเป็นส่วนผสมของทั้งความฝันและเรื่องจริง

ผมไม่เคยคิดว่าการสวมใส่เสื้อผ้าที่มียี่ห้อดังจะหมายความว่าผมมีรสนิยมในเรื่องแฟชั่นดีกว่าคนอื่น แต่ยังไงก็ตามผมก็ซื้อพวกของมียี่ห้อเหมือนกันนะครับ แต่ผมจะดีใจมากกว่าถ้าผมสามารถค้นพบเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับตัวเองในแผงขายของข้างถนนออกมาได้

สำหรับผมแล้ว แฟชั่นไม่ใช่ ป้ายราคา หรือ ยี่ห้อ แต่มันเป็น ปีกคู่เก่งที่ผมจะสวมใส่มันเพื่อแสดงออกถึงตัวตนที่แท้จริงของผมออกมา หากจะบอกว่าดนตรีเป็นแหล่งความสุขของผม แฟชั่นก็จะเป็นปีกที่ทำให้ผมสามารถออกเดินทางค้นหาความคิดสร้างสรรค์ในตัวเองได้

เป็นเพราะผมไม่ค่อยตามกระแสแฟชั่นเท่าไหร่อีกทั้งยังไม่เคยสนใจว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับสิ่งที่ผมกำลังสวมใส่อยู่ เลยทำให้บางครั้งก็เกิดเรื่องที่ไม่ค่อยดีขึ้น มันทำให้ผมตระหนักว่า ผมจำเป็นต้องรับผิดชอบในทุกๆอย่างที่ผมทำลงไป เพราะความที่ผมเป็นคนที่มีคนรู้จักมากมายและเป็นคนที่ทุกคนสนใจ

ครั้งนึงผมเคยใส่เสื้อที่มีคำว่า ‘I LOVE SEX’ อยู่บนตัวเสื้อ มันทำให้ผมถูกสื่อวิจารณ์อย่างรุนแรง ผมเลือกซื้อเสื้อตัวนั้นเพราะมันเป็นงานของ ดีไซเนอร์คนโปรดของผม คือ John Galliano เท่านั้นเอง ซึ่งมันเหมือนกับเรากำลังแก้ตัวที่ไม่ระมัดระวังกับคำที่เขียนไว้บนเสื้อนะครับ ซึ่งผมรู้สึกเสืียใจมากจริงๆกับความผิดพลาดนี้ที่ผมทำลงไป

[Note: If you want to repost it elsewhere, please include the following disclaimer:

I am not doing close translation of every word in the book, just quoting here and there from the sections. And I have paraphrased and summarized so it might contain errors. I am just sharing to spread the love, not hate. If you don’t feel comfortable reading it, please ignore me.And my works has nothing related to any profit making purpose. You are not allowed to reproduce it in any material forms for such a purpose. Thanks for your understanding.]

Source: Shout To The World (Chinese Version)
Eng Translated by: godlovesrice@tumblr.com/rice@bbu Thai Translation by mew mini museum

วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2555

1 TYMer's Tear


ตั้งแต่เริ่มปีใหม่มา ทาง YG ก็เริ่มกระจายข่าวเรื่อง comeback ของน้องๆออกมาเรื่อยๆนะคะ
เท่าที่ได้ยินมาเค้าว่ากันว่าไม่เดือนมกราก็กุมภานี่แหละ ( ก็แน่สิ บิกโชว์ 2012 เซตวันแล้ว คือ 2-4 มีนาคมถ้าไม่รีบคัมแบคช่วงนี้ก็ไม่ทันแล้ว >_<)

ท่ามกลางมาม่า เรื่องของ VIP4 และเรื่อง YGFriends วีไอพีต่างบ่นกันว่าเป็นการรอคอยการกลับมาที่แสนจะยาวนานจริงๆ วันนี้มิวไปอ่านเจอ วันไทม์เมอร์ คนนึง มาเล่าถึงการรอคอยในฝ่ายเค้าบ้าง อ่านแล้วเราจะรู้เลยว่าเรารอคอยน้องๆแค่นี้ ก็ยังนับว่าห่างไกล จากการรอคอยของเค้า

ออกแนวตัดพ้อต่อว่าไปทางท่านลุงมากทีเดียว แต่ก็เข้าใจเค้าจริงๆ เราวีไอพีบางทีก็อย่าไปคร่ำครวญอะไรมาก สำหรับอิลุงบ้าได้แค่นี้ก็นับว่าดีแล้วละคะ

อ่อๆๆ เกือบลืม ขอแนะนำอะไรซักนิดก่อนอ่าน คือสิ่งที่เรากำลังจะอ่านเป็นจดหมายตัดพ้อต่อว่า บ่นตามสไตล์แฟนคลับ เป็นความเห็นส่วนตัวฝ่ายเดียวของคนเขียน ดังนั้นเรื่องเกี่ยวกับแทบิน เท็ดดี้ เบคกี้ จินฮวา ก็เป็นมุมมองจากแฟนคลับ ใครจะมีความสุขกับงานที่ทำไม๊? หรือใครอยากจะทำอะไร? เราไม่อาจจะรู้ความรู้สึกที่แท้จริงของเค้าได้ แฟนคลับก็อยากจะให้คัมแบคแหละคะ ถ้าถามมิวนะ เท่าที่มิวดูๆ ตอนนี้ก็ดูเหมือนทุกคนก็มีความสุขดีกับงานที่ทำอะนะค่ะ

===============

น้ำตาจาก 1TYMer

อย่าได้คิดจะดูถูกพวกเรา ชาว 1TYMer เลยนะ
ชาว VIP รู้สึกเศร้าโศกเสียใจซะแล้วในการรอคอยบิกแบง 2 ปีกับอีก3เดือน
แต่ ชาว 1TYMer รอคอยมาแล้ว 5ปีกับอีก 4 เดือน ( จนถึงเดือนมีนาคม 2011)
เวลายาวนานมาก นานพอที่จะให้ท่านยางมีลูกได้ 6 คนเลยทีเดียว

ทางวายจีได้ประกาศว่า วันไทม์จะมีอัลบั้มที่ 6 เมื่อ Jin Hwan ออกจากกรม
แต่นี่เวลาผ่านมา 4 ปีแล้ว ไหนละอัลบั้มที่ 6 ที่ว่าจะออกมา

วีไอพีและบีเจ บางครั้งก็มักจะคิดว่าตัวเองถูกตัดขาดจากข่าวสารต่างๆ
แต่เราสิ เราไม่มีแม้แต่คำว่า ข่าวสาร ให้ตัดขาดด้วยซ้ำ
ในที่สุด วายจีก็ทำ คอนเสริต์ครอบครัววายจีขึ้นอีกครั้ง แต่ก็ไม่มี วันไทม์ขึ้นโชว์อีก
คอนเสริต์ "ครอบครัว" สุดห่วยอะไรอะไรกันนี่ ??

มันก็รับได้นะที่จะปิดตัว แฟนคลับอย่างเป็นทางการไป แต่เป็นบ้าอะไรมาปิด เวปไซด์อย่างเป็นทางการด้วย
แบบนี้จะเรียกตัวเองว่าเป็น ครอบครัวได้ยังไงถ้าไม่มี วันไทม์
ถ้าเราไม่มี 2ne1 TV ใครจะจำเท็ดดี้ได้บ้างไม๊??
ก็อีกแหละในซีซั่นแรกก็ยังมี Teddy TVแต่ซีซั่นที่ 2 กลับมาน้อยลงกว่าเดิมอีก

ถ้าเค้าทำอะไรดี ก็พากันไปเรียกเค้า Teddy papa ไม่มีใครสนว่าเค้าจะเหนื่อยรึเปล่า??
นักวิจารณ์เอาแต่วิจารณ์เค้าว่าเค้าเขียนได้แต่เพลง electronics
แต่ใครจะรู้ว่าเค้าไม่มีเวลาที่จะแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนอะไรมากหรอก

วายจีรู้ว่า เท็ดดี้กลายเป็น สิ่งที่คนสนใจเลยพยายามที่จะปั่นกระแสในตัวเค้า
ถ้าไม่มีเท็ดดี้ก็ไม่มี บิกแบง ไม่มี 2ne1
พวกเธอเข้าใจรึเปล่าว่าเรารู้สึกเจ็บปวดเมื่อเห็นเค้าแบบนั้นและเราคิดถึงเ้ค้าแค่ไหน??

Danny ก็อยากที่จะร้องเพลงนะแต่วายจีก็ไม่ยอมให้เค้าออกแม้กระทั่งซิงเกิล
เค้าัทั้งหล่อ มีเสียงที่แสนเซ็กซี่ รู้ภาษาเกาหลีและภาษาอังกฤษ แต่ทั้งหมด เปล่าประโยชน์

Baekkyung เปิดร้านข้าวแกงกระหรี่ น่าเสียดายที่ไม่มีแม้แต่คำเชิญให้ไปร่วมคอนเสริต์ครอบครัว
มันทำให้หัวใจสลายนะที่ต้องเห็นมือของนักดนตรีคนนี้เปลี่ยนไปทำแกงกะหรี่ ไม่ใช่มือสำหรับเล่นคีย์บอร์ดอีกต่อไป

วายจีบอกว่า วันไทม์จะกลับมา ไหนละ ตอนนี้คำคำนี้เป็นแค่คำโกหกใช่ไม๊???

(roughly tran & skip a lot segaments)
credit: 百度朴洪俊吧出品 and thank you Taiwan Jwalker
teddy bar@baidu http://tieba.baidu.com/f?kz=1021215326
Thai Translation by mewmew

วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555

GD:ผมได้รับแรงบันดาลใจจากที่ไหนบ้าง??.....(shout10)


Shout of the World GD

(shout1) ความคิดเห็นของ GD ที่มีต่อสมาชิกวง บิกแบง
(shout2) ย้อนไปเมื่อผมยังเป็นศิลปินฝึกหัด
(shout3) ทำไมตอนนั้นผมถึงต้องเข้มงวดกับพวกเค้าขนาดนั้น
(shout4) ผมเป็นคนยังไงกันนะ
(shout5) อะไรที่แย่ไปกว่าการที่ต้องเผชิญหน้ากับความล้มเหลว
(shout6) เรายิ่งทอแสงสว่างยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ด้วยกัน 5 คน
(shout7)เราต้องใช้ชีวิตจากนี้ไปประหนึ่งว่าเรายังเป็นศิลปินฝึกหัด
(shout8)พวกเราเปรียบเป็นต้นไม้ประเภทใดกันบ้าง?
(shout9)สำหรับผมแล้ว....เพื่อนคือ....

=========

ผมได้รับแรงบันดาลใจจากที่ไหนบ้าง?? ...

ผมเป็นคนประเภทที่ว่าไม่ยอมให้ตัวได้พักหรือเว้นว่างเลย ถึงแม้ว่าจะเป็นวันอาทิตย์ก็ตามผมก็ไม่ค่อยได้พักมากเท่าไหร่ ผู้คนต่างก็กังวลที่ผมเป็นแบบนี้ แต่ยังไงก็ดี ผมไม่สามารถที่จะหยุดสร้างสรรค์งานไม่อย่างใดก็อย่างนึงออกมาได้หากผมมีเวลาว่าง หลังจากการทำงานในวันที่ตารางงานแสนยุ่งเมื่อผมกลับมาอยู่ที่ห้อง ผมก็มักจะต้องการเขียนอะไรบ้างอย่างออกมา ไม่เขียนเพลงก็วาดรูป ถ้าผมไม่มีอารมณ์จะทำอะไรเลยผมก็จะดูหนังครับ แต่อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าผมเป็นคนที่ไม่ชอบการพักผ่อนนะ ในวันถัดมา เวลาที่ผมเอางานที่ผมพิ่งทำในคืนที่ผ่านมาออกมาโชว์ให้กับสมาชิกในวงดูกัน พวกเค้าก็จะประหลาดใจ และถามว่า " นายไปทำมาเมื่อไหร่เนี่ย?? "

เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมต้องการที่จะเขียนอะไรออกมา มันเหมือนกับอาการบ้าคลั่งเลยทีเดียว ไม่ว่าผมจะเห็นอะไรผมจะสามารถนำมันมาเข้าร่วมกับการทำงานเพลงของผมได้หมด ทั้งภาพยนตร์ ทั้งหนังสือ หรือสิ่งเล็กๆน้อยๆที่ดูเหมือนไม่มีสาระที่ผมได้พบเจอในชีวิต เมื่อจู่ๆแรงบันดาลใจมันมาเมื่อไหร่ผมก็จะคว้าสมุดออกมาจดทุกอย่างที่ผมนึกได้ลงไป ถึงแม้ว่าผมจะรู้สึกมีความสุขที่สามารถได้ร้องแร๊พบนเวที แต่สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจมากที่สุดคือผมสามารถที่จะร้องเพลงที่ผมเป็นคนสร้างสรรค์มันขึ้นมาเองบนเวทีครับ

กระบวนการในการที่จะแปรรูปสิ่งที่ผมได้อ่าน หรือประสบการณ์ที่ผมได้รับเข้าไปในเพลงที่ผมสามารถแบ่งปันให้ผู้คนฟังนั้นมันเป็นความรู้สึกที่แสนวิเศษ ผมเป็นของผมแบบนี้มาตั้งแต่อายุ 13 แล้วละฮะ ผมได้รับรู้ได้เห็นผู้คนที่ทำงานตั้งใจอย่างหนักพอๆกับผมแต่เค้ากลับไม่ได้รับโอกาสให้ส่องแสงเจิดจ้าบนเวทีเลย นอกจากนี้ผมยังรู้จักผู้คนที่มีความสามารถและได้ร้องเพลงเจิดจรัสบนเวทีเพียงแค่ในช่วงเวลาอันสั้นๆและพวกเค้าก็หายไปเหมือนกับระยะน้ำขึ้นน้ำลง ที่ขึ้นและลงเพียงช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นเท่านั้น ดังนั้นผมจึงเห็นคุณค่าของโอกาสที่ผมได้รับอย่างมาก ผมรู้สึกถึงคุณค่าในทุกๆครั้งทุกๆโอกาส

ผมรู้ว่าไม่ใช่แค่ผมหรอกนะครับที่คิดแบบนี้ ผมก็ไม่ได้นับซะด้วยว่าตอนนี้เวลาผ่านไปกี่ปีแ้ล้วแต่ผมยังคงได้ยินเสียงใครบางคนกำลังเล่นดนตรีดังมาจากห้องของเค้า และได้ยินเสียงอีกหลายๆคนกำลังซ้อมเต้นอยู่ในสตูดิโอ เราต่างก็ทำมันแบบนี้เป็นประจำไม่ใช่เพราะหน้าที่บังคับหรอกครับ แต่เราทำเพราะ "รัก"

[Note: If you want to repost it elsewhere, please include the following disclaimer: I am not doing close translation of every word in the book, just quoting here and there from the sections. And I have paraphrased and summarized so it might contain errors. I am just sharing to spread the love, not hate. If you don’t feel comfortable reading it, please ignore me.And my works has nothing related to any profit making purpose. You are not allowed to reproduce it in any material forms for such a purpose. Thanks for your understanding.]

Source: Shout To The World (Chinese Version)

Eng Translated by: godlovesrice@tumblr.com/rice@bbu

Thai Translation by mew mini museum

วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2555

GD:สำหรับผมแล้ว เพื่อนคือ.... ( shout 9)

Shout of the World GD

(shout1) ความคิดเห็นของ GD ที่มีต่อสมาชิกวง บิกแบง
(shout2) ย้อนไปเมื่อผมยังเป็นศิลปินฝึกหัด
(shout3) ทำไมตอนนั้นผมถึงต้องเข้มงวดกับพวกเค้าขนาดนั้น
(shout4) ผมเป็นคนยังไงกันนะ
(shout5) อะไรที่แย่ไปกว่าการที่ต้องเผชิญหน้ากับความล้มเหลว
(shout6) เรายิ่งทอแสงสว่างยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ด้วยกัน 5 คน
(shout7)เราต้องใช้ชีวิตจากนี้ไปประหนึ่งว่าเรายังเป็นศิลปินฝึกหัด
(shout8)พวกเราเปรียบเป็นต้นไม้ประเภทใดกันบ้าง?

===================

สำหรับผมแล้ว เพื่อนคือ.....

ครั้งนึงคุณพ่อเคยบอกกับผมว่า " ลูกผู้ชายอย่างเราจำเป็นต้องมีเพื่อนเยอะๆเข้าไว้" จริงๆแล้วถึงจะไม่มีคำพูดนี้ของคุณพ่อมาบอกผม ผมก็เห็นคุณค่าของเพื่อนๆของผมอย่างมากอยู่แล้วซึ่งผมได้เรียนรู้อะไรมากมายจากพวกเค้า

ก่อนหน้านี้ผมได้อ่านความหมายของเพื่อน จากที่ไหนซักแห่ง ตามนี้

F= Face (ใบหน้า: เราจะต้องอ่านสีหน้าของเพื่อนๆเราให้ได้)
R= Recognization ( เป็นที่จดจำ:เราจะต้องจำไว้เสมอถึงความสำคัญของเพื่อนๆในชีวิตเรา)
I=Interaction (มีปฏิสัมพันธ์)
E= Equality (มีความเสมอภาค)
N= Need (เป็นสิ่งจำเป็น : เราจะต้องเห็นความจำเป็นของอีกฝ่ายอย่างเท่าเทียม)

D= Dependence (เป็นที่พึ่งพาได้ :เราจะต้องเป็นคนที่อีกฝ่ายจะสามารถมาพึ่งพาได้ )

ผมคิดว่าความหมายเหล่านี้ เป็นจริงอย่างมากและมันสามารถนำมาใช้ในชีวิตของผมได้ด้วยเช่นกัน สำหรับผมแล้วเพื่อนของผมเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ผมใช้ชีวิตอยู่ในทุกวันนี้ ผมจะรู้สึกมีความสุขมากเป็นพิเศษโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าได้อยู่กับเพื่อนเก่าๆ

ในตอนที่ผมเขียน "รายชื่อคนที่จะขอบคุณ" ในอัลบั้มเดี่ยวของผม ผมเขียนชื่อหลายๆชื่อลงไป จนแฟนๆบอกว่าผมมีเพื่อนเยอะจริงๆ อืม.....ผมคิดว่าผมเป็นคนที่เป็นเพื่อนกับคนอื่นได้ง่าย มีเพื่อนๆหลายคนเลยที่ผมจะต้องขอบคุณ ผมจะรู้สึกดีใจมากๆเลยละฮะถ้าได้ยินคนมาพูดว่า " ผมเป็นเพื่อนกับควอนจียง"

ยังไงก็ตาม นอกจากจะมีเพื่อนมากมายหลายคน แต่ก็มีที่พิเศษในชีวิตของผมสำหรับแทยังโดยเฉพาะ ในตอนที่ผู้คนดูสารคดีขั้นตอนในการเดบิวของเรา พวกเค้าจะวาดภาพว่าผมกับแทยังเป็นคู่แข่งกัน ซึ่งมันไม่จริงเลยฮะ แทยังได้กลายเป็นเพื่อนที่แสนวิเศษของผมมาเป็นเวลานานแสนนานมาแล้ว

ตอนที่ผมตำหนิสมาชิกในวงอย่างรุนแรง แทยังมักจะเป็นคนที่คอยปลอบใจพวกเค้าเสมอด้วยหัวใจที่แสนจะอ่อนโยนของเค้า และ ในเวลาที่ผมไม่สามารถที่จะทำหน้าที่ หัวหน้าวงได้ด้วยเหตุผลหลายๆประการ เค้าจะเป็นคนที่เข้ามารับหน้าที่ต่างๆนั้นไป ผมได้รับกำลังใจ การกระตุ้น และความอบอุ่นจากแทยังทุกๆวัน ผมต้องการที่จะเดินไปตามเส้นทางนี้กับเค้า เดินไปด้วยกันจนกระทั่งถึงจุดจบ เพราะเค้ามักจะคอยย้ำเตือนผมเสมอไม่ให้หลงทางไปตลอดทางที่เราไล่ตามความฝันในการทำงานในเส้นทางดนตรีนี้

หากผมจะต้องเลือกคนคนนึงที่จะมาแทนที่ตำแหน่งของผมเมื่อผมตาย คนคนนั้นที่ผมเลือกแน่นอนว่าจะต้องเป็นแทยังแน่นอน แทยังเพื่อนที่ผมจะรู้สึกขอบคุณเสมอที่ได้เค้ามาเป็นเพื่อน

[Note: If you want to repost it elsewhere, please include the following disclaimer:I am not doing close translation of every word in the book, just quoting here and there from the sections. And I have paraphrased and summarized so it might contain errors. I am just sharing to spread the love, not hate. If you don’t feel comfortable reading it, please ignore me.And my works has nothing related to any profit making purpose. You are not allowed to reproduce it in any material forms for such a purpose. Thanks for your understanding.]

Source: Shout To The World (Chinese Version)

Eng Translated by: godlovesrice@tumblr.com/rice@bbu

Thai Translation by mew mini museum


=========================


วันเสาร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2555

GD:พวกเราเปรียบเป็นต้นไม้ประเภทใดกันบ้าง?? ( Shout8)



Shout of the World GD

(shout1) ความคิดเห็นของ GD ที่มีต่อสมาชิกวง บิกแบง
(shout2) ย้อนไปเมื่อผมยังเป็นศิลปินฝึกหัด
(shout3) ทำไมตอนนั้นผมถึงต้องเข้มงวดกับพวกเค้าขนาดนั้น
(shout4) ผมเป็นคนยังไงกันนะ
(shout5) อะไรที่แย่ไปกว่าการที่ต้องเผชิญหน้ากับความล้มเหลว
(shout6) เรายิ่งทอแสงสว่างยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ด้วยกัน 5 คน
(shout7)เราต้องใช้ชีวิตจากนี้ไปประหนึ่งว่าเรายังเป็นศิลปินฝึกหัด

=================

พวกเราจัดเป็นต้นไม้ประเภทใดบ้าง??

ครั้งนึงท่านประธานเคยพูดกับพวกเราว่า " พวกเธอทั้ง 5 คนต่างก็เหมือนกับต้นไม้ที่แตกต่างกันไป เธอจีดราก้อน เป็นต้นไม้ที่จะเติบโตเป็นต้นไม้ที่สวยงามออกดอกเป็นที่ต้องตาต้องใจผู้คน ท็อป เป็นต้นไม้ที่แข็งแกร่งพอที่จะยืนหยัดทนต่ออุปสรรคต่างๆได้ แทยังจะเป็นต้นไม้ที่เจริญเติบโตงอกงามแม้ว่าจะไม่มีคนคอยดูแลก็จะสามารถอยู่ด้วยตัวเองได้ แดซองเป็นต้นไม้ที่ออกผลไม้งดงามหลากหลาย และซึงรีเป็นต้นไม้ต้นเล็กๆที่จะสามารถเติบโตอย่างแข็งแรงต่อไปในอนาคต "

ผมคิดว่าคำพูดนี้ของท่านประธานที่ใช้ในการบรรยายพวกเรานั้นถูกต้องทีเดียว

ทุกครั้งก่อนที่เราจะขึ้นแสดงบนเวที เรามักจะบอกกันและกันเสมอว่า " มาเล่นสนุกกันนะ" ไม่ใช่เป็นเพราะความจริงที่ว่าเราสนุกและมีความสุขมากเวลาที่อยู่บนเวทีเท่านั้นนะครับแต่ยังเป็นเพราะความจริงที่ว่าเราได้สะสมประสบการณ์ในการแสดงบนเวทีมามากมาย เราชอบมากๆที่จะนำเสนอการแสดงบนเวทีของเราแก่ผู้ชมในแบบที่ไม่ได้ วางแผนเตรียมการมาก่อน ทุกอย่างเลยเกิดขึ้นตามสถานการณ์ตรงหน้า

เป็นเพราะเราไม่ได้เตี๊ยมจัดการเตรียมทุกอย่างเอาไว้ล่วงหน้าก่อน เราอาจจะเกิดความผิดพลาดเล็กๆน้อยขึ้นในตอนที่แสดงจริงบนเวที แต่หากมีข้อผิดพลาดเหล่านั้นเกิดขึ้น เราจะหัวเราะใส่กันว่าทำเรื่องผิดพลาดแบบเซ่อๆออกไป ผู้คนอาจจะคิดว่าเรานี่เซ่อกันจริงๆ แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า เรารู้สึกมีความสุขและสนุกจริงๆที่จะแสดงและเล่นบนเวทีแบบนั้น เราเล่นสนุกกันแทนที่จะทำทุกอย่างเหมือนเดิมแบบงานประจำ เราต้องการที่จะแสดงออกถึงใบหน้าหลายๆด้านของบิกแบงเท่าที่เราจะทำได้บนเวทีและจะได้สามารถแบ่งบันความสุขของเราร่วมกับทุกๆคนด้วย


เราได้เล่นสนุกแบบนี้มาตั้งแต่เราเริ่มเดบิวกันแล้วฮะ เพราะก่อนหน้านั้นเราก็ได้มีโอกาสที่จะขึ้นแสดงตามรายการต่างๆมากมาย อย่างเช่น คอนเสริต์ครบ 10 ปีครอบครัววายจี เป็นต้น และเพราะประสบการณ์เหล่านี้มันถึงทำให้ทักษะในการแสดงบนเวทีของเราก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ

[Note: If you want to repost it elsewhere, please include the following disclaimer:
I am not doing close translation of every word in the book, just quoting here and there from the sections. And I have paraphrased and summarized so it might contain errors. I am just sharing to spread the love, not hate. If you don’t feel comfortable reading it, please ignore me.And my works has nothing related to any profit making purpose. You are not allowed to reproduce it in any material forms for such a purpose. Thanks for your understanding.]

Source: Shout To The World (Chinese Version)

Eng Translated by: godlovesrice@tumblr.com/rice@bbu
Thai Translation mew mini museum