วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

YG on Healing Camp [21 May 2012]

ท่านยางไปออกรายการทีวีทางช่อง SBS รายการ healing camp เมื่อคืนค่ะ เป็นเทปตอนที่ 2 แล้วหลังจากที่อาทิตย์ที่แล้วเทปแรกออกอากาศไป มิวเองยังไม่ได้ดูรายการเต็มๆเลยละค่ะ ไม่รู้มีซับออกรึยัง แต่เมื่อคืนมีประเด็นเรื่องบริษัท เรื่องบิกแบงเยอะทีเดียว เท่าที่เป็นข่าวมาให้อ่านก็น่ารักๆดีนะค่ะ เรื่องท่านยางอินเลิฟ 5555+ ส่วนเรื่องบิกแบงก็หนีไม่พ้นเรื่องเหตุการณ์ของน้องแดและน้องจีเมื่อปีแล้ว สร้างผลกระทบให้กับคนรอบข้างหนักทีเดียว 

เหตุการณ์ของน้องแดเป็นเหตุสุดวิสัยเกินความควบคุมแต่เรื่องของน้องจีมองยังไงๆก็ไม่เข้าข้างนะคะ ถึงตอนนี้ย้อนไปคิดก็คิดว่าดีแล้วที่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจะได้หัดดูแลตัวเองและคิดแบบผู้ใหญ่ได้แล้ว เอาเป็นว่ามิวเห็นด้วยกับการกระทำของท่านยางนะค่ะ จะไปหา CEO แบบนี้ที่ไหนได้อีก
---------------------------------------------------------------





































ท่าน Yang Hyun Suk ไขข้อข้องใจเรื่อง กรณีการเสพกัญชาของจีดราก้อน เมื่อปีที่แล้วผ่าน รายการ Healing Camp เมื่อพิธีกรคุณ  Kim Jaedong ได้ถามเรื่องนี้ขึ้นมาในรายการว่ามีข่าวลือ ลือกันว่า การที่ข่าวออกมาช้ากว่าที่ควรจะเป็นเป็นเพราะ ทางบริษัท YGE ได้พยายามปกปิดเรื่องเอาไว้และผลักเรื่องออกไปก่อน

ท่านยางกล่าวว่า "ผมคิดว่าทุกคนกำลังประเมินตัวผมสูงไปนะครับผมก็เป็นผู้ชายคนนึงที่ชื่อ  Yang Hyun Sukเท่านั้นเอง เรื่องนี้มันอยู่เหนือความสามารถของผมที่จะจัดการหรือแม้แต่จะลองทำนะครับ ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมมีประสบการณ์มาก่อนผมอาจจะพยายามปกปิดมันเอาไว้ได้ แต่ด้วยความสามารถที่มี ผมจะปิดเรื่องใหญ่ที่สื่อและสาธารณชนอยากจะรู้กันมากขนาดนี้ได้ยังไงละครับ?? ถ้าผมพยายามที่จะปกปิดเรื่องนี้ คงมีแต่จะเสียหายหนักกว่าเดิมแน่ คุณไม่สามารถเอามือของคุณไปปิดท้องฟ้าทั้งผืนได้หรอกครับ "

"ผมคิดว่าผลที่เราได้รับกลับมาก็เป็นเรืื่องที่สมเหตุสมผลแ้ล้ว และยังไงก็ดี การคัมแบคของพวกเค้าเป็นกลยุทธิ์ที่เหมาะสมที่จะทำในสถานการณ์แบบนั้น ผมเลือกที่จะให้พวกเค้าคัมแบคทั้งๆที่ จีดราก้อนและแดซองยังไม่พร้อมครับ ผมไม่อยากให้คนเข้าใจผิดกันในเรื่องนี้" 

นอกจากนี้ท่านยางยังได้พูดถึงว่า หลังจากที่เกิดเหตุการณ์กับ แดซองและจีดราก้อน เมื่อปีที่แล้ว คนเดียวที่ถูกต่อว่าอย่างหนักมีเพียงจีดราก้อนเท่านั้น โดนกล่าวว่า " ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่อยู่ในฐานะที่จะไปว่าแดซองได้กับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ผมต่อว่าจีดราก้อนอย่างหนัก ผมบอกกับเค้าว่า " ลองนึกถึงคนที่ต้องผิดหวัง เสียใจ โกรธเคือง และต้องเจ็บปวดกับการกระทำที่ตัวเองได้ทำลงไปบ้างสิ " และต่อว่าเค้าอย่างแรงเลยครับ "

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นสร้างผลกระทบให้กับท่านยางมากทีเดียว " แม้ว่าผมจะไม่เคยพูดเรื่องนี้ออกมาเลย แต่ความเจ็บปวดและทุกข์ทรมาณที่ผมต้องเผชิญในช่วงที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นกับบิกแบงนั้นมันรุนแรงมากครับ ในชีวิตของผมเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยากลำบากมากที่สุดที่ผมต้องรับมือกับมัน ในตอนนั้นผมมีอาการช็อครวมถึงมีอาการชักเพราะเรื่องกระทบกับจิตใจอย่างมาก นอกจากนี้ยังต้องรับมือกับฝันร้ายและอาการกลัวความตายที่เกิดขึ้นด้วย ในตอนนี้ผมก็ยังต้องทานยาเป็นประจำ เช้าเย็น เพื่อควบคุมอาการเหล่านั้นอยู่นะครับ " 

---------------------------------------------------------------------

 

ท่านยางได้เปิดเผยว่า ตึกบริษัทวายจีนั้นไม่ได้เป็นทรัพย์สินของบริษัท แต่เป็นตึกของท่านยางเอง  โดยเปิดเผยว่า

" ตึกบริษัทวายจีผมไม่ได้ใช้เงินของบริษัทซื้อมานะครับ ผมสร้างมันมาจากเงินเก็บของตัวเอง มันเป็นเรื่องยากนะครับที่จะใช้เงินของบริษัทสร้างตึกขึ้นมาในเมื่อมีสิ่งสำคัญอีกๆหลายอย่างที่ต้องใช้จ่าย "

"วันนึง โดยที่ไม่ได้คิดอะไรมาก่อนเลย ผมเดินเข้าไปในสำนักงานจัดหาอสังหาริมทรัพย์ที่ผมเล็งเอาไว้ที่  Hongdae ผมถามเค้าว่าจะมีวิธีไหนบ้างที่ผมจะสามารถซื้อที่ดินและตึกโดยที่มีเงินอยู่ไม่มากได้บ้าง และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาติดต่อกันเป็นเวลา 8 ปีไม่มีวันไหนเลยยกเว้นวันอาทิตย์ที่ผมจะไม่ไปที่สำนักงานจัดหาอสังหาริมทรัพย์นั้น ผมไปที่นั่นทุกๆวันเพื่อเรียนรู้หาข้อมูลที่จะซื้อตึกใหม่ และ ทานแต่ซุปกิมจิที่ราคาประมาณ 3500 วอนทุกวันเป็นเวลา 6 ปีรวด "

"เจ้าหน้าที่ชายที่สำนักงานอสังหาริมทรัพย์นั้นช่วยเหลือเป็นอย่างดี และ เค้าเป็นคนช่วยให้ผมได้เข้าร่วมการประมูลที่ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ผมได้ซื้อที่ที่ตึกวายจีตั้งอยู่ในขณะนี้ครับ" 

-----------------------------------------------------------------------

นอกจากเรื่องของบิกแบงแล้ว ในรายการท่านยางยังได้เปิดเผยเรื่องราวส่วนตัว เกี่ยวกับภรรยาและครอบครัว ให้ฟังกันในรายการอีกด้วย

"ภรรยาของผม Lee eun joo เป็นน้องสาวของ lee jae jin อดีตสมาชิกวง Sechs Kies ครับผมเห็นเธอใน TV ตั้งแต่เธออยู่ชั้นมัธยมและผมก็ชอบเธอจากนั้นเมื่อเวลาผ่านไปได้ 2-3 ปีผมก็มีโอกาสได้เจอเธออีกครั้งเมื่อเธอถูกคัดเลือกให้เข้ามาเป็น เด็กฝึกที่บริษัท และเธอก็ได้เดบิวในวงที่มีชื่อว่า Swi.T ซึ่งวงนี้เรียกได้ว่าเป็นวงเดียวใน YG ที่ไม่ประสบความสำเร็จ พวกเค้าน่าจะทำได้ดีกว่านี้ถ้าผมลงทุนมากกว่านี้หน่อย แต่ผมกลัวว่าเธอจะเป็นที่สนใจจากคนอื่นๆ ดังนั้นผมจึงตั้งใจไม่สนใจใจวงนี้มากเท่าไหร่นัก"ท่านยางยอมรับว่าเค้าแอบหลงรักภรรยาข้างเดียวมากว่า 3 ปี

"หัวใจของผมและความคิดของผมต่อสู้กันเองครับ ผมไ่ม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดีในฐานะที่เป็นท่านประธานของบริษัทด้วย และในฐานะที่เป็นแค่ผู้ชายคนนึง  ผมเป็นคนไม่ค่อยรู้สึกประหม่านะครับ แต่มันเป็นเรื่องยากมากสำหรับผมที่จะขอให้เธอคบกับผม ผมกลัวว่าเธอจะไม่ได้มองผมว่าเป็นแค่ผู้ชายคนนึงเท่านั้น ผมถึงกับต้องรวบรวมความกล้าที่จะโทรไปบอกเธอว่าผมชอบเธอ ซึ่งเธอก็ช็อคมากแล้วตอบมาว่า " ว่าไงนะค่ะ?? " ซึ่งเรายังคุยกันเรื่องนี้อยู่เลยเธอบอกว่าในตอนนั้นคิดว่าผมล้อเล่น ผมต้องโน้มน้าวกับเธอนานกว่า 2 ชั่วโมงว่าที่พูดนั้นเป็นเรื่องจริง

"หลังจากนั้นเราก็เริ่มออกเดทกันครับ ไม่มีใครรู้เลยว่าเราคบกัน ตลอดเวลา 9 ปีที่ผ่านมาผมไม่เคยพาเธอไปร้านกาแฟหรือไปดูหนังเลย ผมรู้สึกแย่มากในเรื่องนี้ ดังนั้นผมพยายามที่จะทำดีกับเธอให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในตอนนี้ครับ"

 "ผมพยายามทำตัวให้ดีที่สุดในตอนที่อยู่ที่บ้าน ผมทำทุกอย่างในบ้านเท่าที่ผู้ชายจะสามารถทำได้ครับ พอผมตื่นมาตอนเช้าก็จะเอาน้ำไปใส่ในเครื่องพ่นไอน้ำ คุณอาจจะไม่เชื่อผมนะครับแต่ผมเป็นคนทำกับข้าวและล้างจานเองทุกมื้อ มันไม่ใช่เรื่องน่าอายใดๆเลยที่จะทำงานบ้านเพื่อช่วยเหลือให้ภรรยาเบาแรงนะครับ " 

 "ก่อนหน้านี้ผมเลือกงานของผมมากกว่าเธอครับ แต่พอเธอตั้งครรภ์ผมเลือกเธอ ที่ผมไม่จัดงานแต่งงานเป็นเพราะผมไม่อยากจะยืนต่อหน้าคนอื่นๆ ผมกับSeo Taiji ได้สัญญากันไว้ว่าจะไม่จัดงานแต่งงาน แค่คิดว่าจะต้องใส่ tuxedo และยืนต่อหน้าทุกคนแล้วพูดคำปฏิญาณแค่นี้ก็อายแล้วนะครับ

 "แต่ผมก็รู้สึกเสียใจแทนภรรยาของผมนะครับ เธอไม่ยินดีนักในเรื่องนี้แต่ก็เข้าใจว่าผมเป็นคนแบบนี้ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้จัดงานแต่งงานแต่เราก็มีรูปถ่ายในชุดแต่งงานนะครับเพราะถ้าเราไม่ได้ถ่ายรูปกันอีก ผมว่าผมคงเป็นสามีที่แย่ที่สุดเลยละครับ "

"ผมอยากจะทำอะไรพิเศษให้กับภรรยาของผม ผมเลยไปสักชื่อเธอเอาไว้ที่แขนครับ ดังนั้นที่แขนขวาจะมีชื่อเธอกับลูกสาวคนแรกของผม เราวางแผนว่าจะมีลูกกันอีก 2 คน ผมจะสักชื่อพวกเค้าเอาไว้ที่แขนข้างซ้ายครับ ผมเห็นผู้คนคบกันแล้วก็เลิกกันหลังจากที่ได้สักชื่อเอาไว้แล้วด้วย ดังนั้นสักหลังแต่งงานจะดีกว่านะครับ

 "ผมเป็นคนไม่ชอบเด็กเลยละครับ แต่ผมมีความคิดเปลี่ยนไปเมื่อมีลูก มันเป็นเหมือนโลกใหม่สำหรับผมเลยทีเดีนส ผมรักพวกเค้ามากเพราะพวกเค้าจะเปลี่ยนไปเสมอในทุกๆวัน "

Sorce: Nate + Billboard korea + ALLKPOP+Enewsworld+ygfamillytumblr
Eng translation by swaggalevel-1000.tumblr.com
Thai Translation by mew mini museum

 -------------------------------------------------------------------------------------------

"มีข่าวลือมาว่าที่วายจีไม่เน้นเรื่องรูปร่างหน้าตานะครับ แต่ผมสนใจในเรื่องภาพลักษณ์ ถ้าพวกเค้าไม่มีความเป็นเอกลักษณ์ ผมว่าก็ไม่มีทางจะเป็นดวงดาวที่เจิดจรัสได้ " 

"บิกแบงทั้ง 5 คนไม่เคยเข้าใกล้ผมเกิน 5 นาทีเลยครับ ผมไม่เคยสอนแทยังร้องเพลง เพราะเค้าร้องเก่งกว่าผมมากๆครับ" 

"แดซองและซึงรี ออกจากโรงเรียนและผ่านการสอบเทียบ ที่ผมอนุญาติให้ทำแบบนั้นเพราะผมมั่นใจว่าพวกเค้าจะต้องประสบความสำเร็จแน่นอน" 

"ผมเตือนซึงรีว่าห้ามดื่มและขับรถเด็ดขาด "

"ผมคิดว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับพวกเค้าหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ของแดซองและจีดราก้อน คือ ตัวผมเองครับเพราะผมตกอยู่ในภาวะจิตหดหู่ "

"ผมแค่อยากจะทำเพลงเท่านั้นเอง แต่ด้วยจำนวนศิลปินที่มากขึ้นในบริษัทบางทีมันก็มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ในตอนนั้นผมช็อคมากและคิดว่าทำไมในชีวิตจะต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้ด้วย มันเป็นเรื่องยากมาก " 

" มันเป็นความโชคร้ายที่แดซองต้องมาเจออะไรแบบนี้ผมไม่ลงโทษเค้า แต่กับจีดราก้อนผมต่อว่าเค้าอย่างรุนแรง"

"ผมคิดว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ฉลาดและสมเหตุสมผลที่จะเผชิญหน้ากับมัน ผมเลือกให้บิกแบงคัมแบคทั้งๆที่จีดราก้อนและแดซองก็ยังไม่พร้อมเท่าไหร่ผมไม่อยากให้คนเข้าใจผิดกันในเรื่องนี้ บทบาทของผมในฐานะที่เป็นผู้นำบริษัทนี้ ผมจะคอยปรบมือเชียร์อยู่ข้างหลังเมื่อทุกอย่างเป็นไปได้ดี และผมจะออกมารับหน้าเมื่อมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น "

"สัญญาของบิกแบงกับวายจีนั้นได้มีการต่อสัญญาก่อนเหตุการณ์ของแดซองและจีดราก้อนจะเกิดขึ้น
สัญญาที่วายจีกำลังจะทำกับบริษัทที่ดูแล world tour คือ live nation มีปัญหาตรงที่ว่าระยะเวลาที่เหลือในสัญญาน้อยเกินไป ดังนั้นผมจึงบอกกับบิกแบงว่า "ถ้าพวกนายไม่ได้มีแผนอะไรในใจ ฉันจะปรับเงื่อนไขในสัญญาให้ดีขึ้นอีก มาพยายามกับเราได้ไม๊??  หลังจากที่เซ็นต่อสัญญาไปเพียง 1 เดือนเรื่องก็เกิด" 

"ผมคิดว่ามันดีกว่าที่จะสนิทกับคนแค่คนสองคนมากกว่าสนิทกับคนเป็นสิบ เรื่องที่พูดกันเกี่ยวกับการที่ผมให้ศิลปินไปออกรายการเพลงประจำอาทิตย์แค่รายการเดียวเป็นข่าวลือทั้งหมด แม้ว่าจะทำแค่รายการเดียวแต่ทั้ง BB และ 2ne1 ก็ทุ่มเทอย่างมากและเป็นเรื่องยากที่จะทำเพลงเพลงนึงให้ออกมาดีที่สุด ดังนั้น คุณภาพย่อมสำคัญกว่าปริมาณ " 

"ผมไม่เคยไปทานข้าวกับคุณพ่อคุณแม่ของนักร้องในค่ายเพราะมันจะทำให้เกิดข่าวลือ"

from : Thai translation by mew mini museum 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น