การระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ที่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งจักรวาลอันไพศาล การระเบิดในครั้งนั้นเรารู้จักกันในนาม BigBang
ก้าวเข้าสู่ปีที่ 7 แห่งการเดบิว ในตอนนี้บิกแบงได้สร้างอาณาเขตแบ่งชัดเจนให้กับวงการ KPOP เพลงของบิกแบงเป็นเพลงที่มีความแตกต่างไปจากเพลงของวงนักร้อง Kpop หรือวงไอดอลวงอื่นๆ พวกเค้าได้เข้าไปมีส่วนสร้างแนวทางในวงการเพลงระดับโลกได้อย่างรวดเร็วโดยที่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้สูญเสียความเป็นตัวตนของตัวเองไปเลย ในการที่จะนำเอาเพลงซึ่งเบ่งบานท่ามกลางความลำบากที่พวกเค้าต้องเผชิญออกสู่สายตาชาวโลก หนุ่มๆได้ทำการแสดงถึงสามเพลงในหนึ่งรายการเพลง การแสดงในแต่ละเพลงก็มีคอนเซ็ปที่แตกต่างกันอีกด้วย นอกจากนี้พวกเค้ายังได้ทำรายการโชว์ที่สามารถดูออนไลน์ได้ด้วยความคมชัดสูงสุดขึ้นมาอีก
ก้าวย่างที่พยายามหลีกเลี่ยงการทำตามธรรมเนียมที่เป็นกฏข้อปฎิบัติมาโดยตลอดของพวกเค้าได้สร้างความประหลาดใจได้เป็นระยะๆ แต่ความประหลาดใจที่เกิดขึ้นนั้นก็มักจะทิ้งอะไรใหม่ๆเอาไว้เสมอหลังจากเกิดการระเบิดครั้งใหญ่ การที่ 10 asiaได้มาสัมภาษณ์หัวหน้าวงอย่าง จีดราก้อนในครั้งนี้ ได้เปิดโอกาสให้ทางเราได้ค้นพบว่าอะไรที่เป็นตัวนำให้ทีมนี้สร้างสรรค์ความน่าประหลาดใจและความตื่นเต้นมาสู่วงการดนตรีในระดับโลกได้
"'ALIVE เปิดโอกาสให้พวกเราได้มีความสุขไปกับ ยุคทอง ของบิกแบง"
ในฐานะที่เป็นหัวหน้าวงและโปรดิวเซอร์ของบิกแบง คุณคงต้องมีสิ่งพิเศษที่ยึดติดอยู่ในใจเป็นแน่ในการออกอัลบั้มในครั้งนี้ คุณรู้สึกยังไงบ้างครับที่ระยะเวลาการโปรโมทในประเทศนั้นได้จบลงไปแล้ว ??
G-Dragon: มันเป็นช่วงเวลาที่สั้นๆแต่ลึกซึ้งมากครับ ก่อนที่จะไปคิดถึงว่าคนอื่นๆจะพูดเกี่ยวกับอัลบั้มนี้ว่ายังไงกันบ้าง ผมอยากจะเรียกช่วงนี้ว่าเป็น ยุคทองของบิกแบง จริงๆครับ
ในช่วงที่คุณทำงานในยูนิตพิเศษ GDTOP คุณพูดในการให้สัมภาษณ์ว่ายังมีอีกสิ่งนึงที่จะทำให้ทุกคนตกตะลึงคอยอยู่ ผมรู้สึกว่า อัลบั้ม "ALIVE" นี้คือสิ่งที่คุณพูดถึง มันสามารถสร้างความตกตะลึงได้แบบม้วนเดียวจบทีเดียว (หัวเราะ)
G-Dragon: ผมมีความพอใจอย่างมากในอัลบั้มชุดนี้ครับ ถึงแม้ว่าช่วงเวลาที่เราใช้ในการโปรโมทจะค่อนข้างสั้น ผมคิดว่าเราได้แสดงออกไปเพียงพอแล้วและไม่มีอะไรที่จะต้องเสียใจ เพราะว่าในปีนี้เรายังจะมีอัลบั้มเดี่ยวของสมาชิกในวงออกมาอีก ผมคิดว่าเราควรจะเก็บเอาความรู้สึกในตอนนี้เอาไว้ครับ
ปีนี้เหมือนเป็นปีหัวเลี้ยวหัวต่อของบิกแบงที่จะก้าวจากภาพลักษณ์ของพวกคุณจากครั้งที่รุ่งเรืองในยุคของเพลง Lie ไป และยังเป็นช่วงที่มีความหมายถึงการที่พวกคุณได้ก้าวข้ามการผจญภัยไปได้อีกขั้นนึงแล้วและกำลังสร้างสรรค์สิ่งใหม่ นะครับ
G-Dragon: ผมเริ่มที่จะพูดคุยเรื่องนี้กับพี่เท็ดดี้และทีมงานในบริษัทถึงเรื่องนี้ในช่วงที่ผมออกอัลบั้มในนาม GDTOP ครับ แทนที่จะไปเกาะอยู่กับกระแสหลักเราต่างก็มีความเห็นที่ตรงกันว่าเราควรก้าวนำหน้าคนอื่นนิดๆอยู่เสมอ นอกจากนี้เราก็มั่นใจในทุกสิ่งที่เราทำลงไปว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว นอกจากการได้รับความสำเร็จในด้านเสียงเพลงและแฟชั่น สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเราคือการที่ได้แสดงออกถึงสิ่งที่เรารักออกมา ถ้าเรามีความมั่นใจและความมั่นคงในสิ่งที่เีราทำ เรารู้ว่าคนอื่นๆก็จะตามมาในแนวทางที่เราสร้างเมื่อถึงจุดจุดนึง ซึ่งท้ายที่สุดแล้วมันจะเป็นทางที่ได้ผล ผมเรียกมันว่า การผจญภัยที่ประสบความสำเร็จ ครับ
เพลงอย่างเพลง "BAD BOY" และ "BLUE" เป็นเพลงที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงจากเพลงจากวงไอดอลในวงการ KPOP นะครับ เพลงนี้ไม่ีมีท่อนคอรัสที่ร้องพร้อมๆกัน และไม่มีการแบ่งท่อนร้องที่ชัดเจนให้กับสมาชิกแต่ละคนด้วย
G-Dragon: ท่านประธานบริษัทของเราไม่สามารถที่จะเลือกว่าจะเรียกเพลงไหนในสองเพลงนี้ว่าเป็นเพลงโปรโมทหลักในอัลบั้มได้แม้ในวินาทีสุดท้ายก็ตามครับ เพลงแร๊พที่มีจังหวะช้าๆอย่างเพลง "BAD BOY" จะไม่โด่งดังในหมู่คนส่วนใหญ่ และเพลง "BLUE" ก็เหมือนกับเพลงที่เป็นภาคต่อของเพลง "Love Song" ที่ออกมาในอัลบั้มพิเศษเมื่อปีที่แล้วอีก. แต่พวกเราได้ทำให้เพลงทั้ง 2 เพลงนี้ออกมาเป็นเพลงที่ยอดเยี่ยมได้เป็นเพราะเราคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะแสดงออกถึงเพลงในแบบที่เป็นแบบบิกแบงจริงๆออกมา และด้วยเหตุผลบางอย่าง เพลงนี้ก็เข้ากับสถานการณ์ที่พวกเรากำลังเผชิญอยู่ด้วย ผมคิดว่าถ้าเราออกอัลบั้มนี้มาก่อนที่เราจะต้องเผชิญหน้ากับปัญหามากมายเมื่อปีที่แล้วหรือออกอัลบั้มเว้นจากช่วงที่เราต้องพบปัญหานานจนเกินไป ผมไม่คิดว่าเราจะสามารถใส่ตัวตนของเราลงไปในเพลงได้ขนาดนี้ครับ
ผมเดาเอานะครับว่า ทางค่ายคงชอบเพลง "FANTASTIC BABY."มากที่สุดใช่ไม๊ครับ??
G-Drago: สิ่งที่ท่านประธานต้องการมากที่สุดจากพวกเราเหนือสิ่งอื่นใดเลยก็คือ เพลงที่มีจังหวะเร็วครับ เพราะเราไม่มีเพลงเต้นเลยตั้งแต่เราทำเพลง "Last Farewell" ที่อยู่ในมินิอัลบั้มที่สองของเราออกมา ในตอนที่เราทำงานกับพี่เท็ดดี้เพื่อที่จะทำเพลงจังหวะเร็วๆออกมา เราตัดสินใจว่าเราจะทำเพลงในจังหวะที่คนทั่วๆไปไม่ค่อยคุ้นเคยกับมันเท่าไหร่ เราสร้างจุดหักมุมเล็กน้อยๆให้กับเพลงนี้โดยการเร่งจังหวะขึ้นเรื่อยๆแบบไม่ได้ตั้งใจ ในขณะที่ศิลปิน KPOPคนอื่น มักจะทำเพลงในแบบอิเลคโทรนิคกันเยอะมากในช่วงนี้ ผมทำเพลงนี้โดยเริ่มต้นเพลงด้วยเสียงร้องของผมเดี่ยวๆเพื่อสร้างความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดจากเพลงอิเลคทริคอื่นๆที่ออกมาในประเทศของเราตอนนี้ เราจำเป็นต้องแสดงให้เห็นว่าของจริงมันเป็นยังไง มันต้องเป็นเพลงที่มีการเรียบเรียงที่เป็นเอกลักษณ์และเป็นที่น่าจดจำสำหรับทุกคนที่ได้ฟัง เราได้นำเอาพรสวรรค์ของเราออกมาผสมผสานกันครับ
ภาพรวมของอัลบั้มนี้เป็นการผสมผสานพรสวรรค์ของสมาชิกในวงแต่ละคนออกมาได้อย่างสมบูรณ์นะครับ
G-Dragon:ก่อนที่จะออกอัลบั้ม Alive ออกมา ท่านประธานได้ถามคำถามที่พูดทีเล่นทีจริงกับพวกเราว่า "บิกแบงเป็นชื่อที่มีค่ามากมายมหาศาลนะ แต่รู้ไม๊ว่าคุณภาพที่อยู่ภายในชื่อนี้จะมีดีเท่าภาพลักษณ์ที่วงมีรึเปล่าก็ไม่รู้?? "ผมรู้สึกกดดันอย่างมากที่ได้รับคำถามแบบนั้นและส่วนนึงในใจผมก็เห็นด้วยกับคำพูดนั้นด้วยเหมือนกัน ผมคิดว่าเราจำเป็นจะต้องพยายามให้มากขึ้นอีก เราทันสมัยเรามีพรสวรรค์ในเรื่องดนตรี แต่บางอย่างมักจะขาดหายไปเสมอ สิ่งนั้นที่เป็นภาพลักษณ์ของบิกแบงและตัวตนของเรา ในตอนที่อัลบั้มนี้ออกมา ผมต้องการที่จะสามารถชักจูงอารมณ์ของผู้คนได้มากกว่าที่จะได้รับคำวิจารณ์ดีๆจากนักวิจารณ์ เราอยากได้เครื่องหมายตกใจจากผู้คนมากกว่าได้รับเครื่องหมายคำถามเวลาที่พวกเค้าฟังเพลงของเราครับ
"ผมอยากให้บิกแบง ได้รับความเชื่อถือ ในกลุ่มศิลปินรุ่นเก่าในวงการ KPOPครับ"
|
งั้นปฏิกริยาที่ได้รับจากเพลง BLUE คงจะเป็นกำลังใจให้คุณมากขึ้นสินะครับ จังหวะของเพลงที่เร็วขึ้นในช่วงท้ายของเพลง มันยิ่งทำให้เพลงนี้ติดตรึงใจคนฟังนะครับ
G-Dragon: ผมคิดว่าความเจ็บปวดของผมถูกบรรยายออกมาเป็นอย่างดีผ่านเพลงนี้ครับ ผมรู้สึกเศร้าจริงๆเหมือนกับชื่อเพลงในตอนที่ทำเพลง"BLUE" ดังนั้นผมจึงกังวลมากเป็นพิเศษในเรื่องการแต่งเนื้อเพลง พอเวลาผ่านไปในช่วงระยะเวลาหนึ่งพวกเราก็เริ่มที่จะเหนื่อยหน่ายในการที่จะไล่ตามวงต่างๆที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วในตอนนี้ ดังนั้นเราจึงมักจะต้องคำนึงถึงสไตล์เพลงในแบบที่คนส่วนใหญ่นิยมมาเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาเสมอในการทำอัลบั้ม ในอัลบั้มนี้ ถึงแม้ว่าเราจะไม่มีเป้าหมายใดๆที่เฉพาะเจาะจงและเราก็เอาแต่เล่าเรื่องราวของเราเองลงไปในอัลบั้ม แต่เรื่องราวเหล่านี้แหละที่สามารถได้รับความเห็นใจจากผู้คนได้ง่ายที่สุด วิธีเดียวที่เราจะสามารถบอกเล่าถึงสถานการณ์ของพวกเราได้คือการเล่าผ่านเสียงเพลงของพวกเรา และ เราก็เขียนเนื้อเพลงประหนึ่งว่าเรากำลังเขียนไดอารี่ของตัวเองเลยทีเดียวครับ
สิ่งที่คุณพึ่งพูดถึงนั้นได้แสดงออกมาผ่านเพลงในอัลบั้มนี้จริงๆครับ ในขณะที่เมื่อก่อนคุณวางแผนทุกอย่างอย่างระมัดระวังทั้งในเรื่องของการแสดงบนเวทีและการทำอัลบั้ม ตอนนี้ได้เปลี่ยนเป็นแนวอิสระฟรีสไตล์นะครับ
G-Dragon: ผมคิดว่าจะเรียกมันว่า พัฒนาการนะครับ การที่จะคำนวณในทุกๆรายละเอียดในขั้นตอนการทำเพลงและการร้องเพลงนั้นดูจะใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้วครับ เมื่อก่อนผมเคยชอบเพลงที่หนักและทุ้มๆ แต่ตอนนี้ผมชอบเพลงที่สงบสบายๆมากกว่าและก็ไม่ลืมมันไปง่ายๆด้วยครับ
เพลงในจังหวะช้าและในจังหวะกลางมักจะเป็นเพลงที่คนฟังฟังแล้วรู้สึกเบื่อได้ง่าย แต่พวกคุณกลับไม่มีปัญหานั้นเพราะมีน้ำเสียงที่แตกต่างหลากหลายกันอยู่ในเพลงนะครับ
G-Dragon: ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้ตั้งเป้าหมายในการฝึกการร้องให้ออกมาเป็นแบบนั้น เฉพาะแค่เสียงของสมาชิกในวงแต่ละคนก็มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดแล้วละครับ นอกจากนี้ ทุกคนต่างก็ตีความหมายเพลงออกมาอย่างหลากหลาย ดังนั้นมันจึงสร้างบรรยากาศที่แตกต่างออกไปขึ้นมาครับ
ครั้งนึงคุณเคยเปรียบสมาชิกแต่ละคนในวงบิกแบงว่าเป็นเหมือน อาวุธ อยากจะถามว่าท่านปรมาจารย์ได้เคยใช้อาวุธเหล่านั้นไปแล้วบ้างรึยังครับ?? (หัวเราะ)
G-Dragon: ผมใช้เวลาในทุกๆวันอยู่กับพวกเค้านะครับ ผมคงจะต้องโง่มากๆเลยถ้าไม่รู้วิธีที่จะควบคุมพวกเค้า (หัวเราะ) สมาชิกทุกคนต่างก็เป็นผู้ใหญ่กันโดยที่เราก็ไม่รู้ตัวในการทำงานในอัลบั้มนี้และมันก็แสดงออกให้เห็นในเพลงด้วยครับ ในการเตรียมงานอัลบั้มต่างๆก่อนหน้านี้เราจะประชุมกันเป็นบางครั้งบางคราวในขณะที่ก็จะทำงานหรือวางแผนงานเดี่ยวของตัวเองไปด้วยซ้อนทับกันไปแบบนั้น แต่ครั้งนี้ เราหยุดงานทุกอย่างทั้งหมดไว้และมาทำงานร่วมกัน พลังของสมาชิกทั้ง5คนสะท้อนออกมาให้เห็นได้เป็นอย่างดีผ่านอัลบั้มในครั้งนี้ สำหรับตัวผมมันทำให้ผมย้อนกลับไปนึกถึงตอนที่พวกเราเริ่มเดบิว ผมกำกับเสียงของสมาชิกในวงไปทีละคนๆ ยกตัวอย่างเช่น ซึงรี จะใช้เสียงขึ้นจมูกและหายใจลงไปในการร้องเพลง"FANTASTIC BABY" ซึ่งก่อนหน้านี้เค้าจะไม่ทำแบบนี้นะครับ ส่วนตัวแล้วผมชอบท่อนนี้ของเพลงมากๆเลย
มันมีช่วงที่ทำให้ผมรู้สึกว่าสมาชิกแต่ละคนได้ค้นพบวิธีใหม่ๆในการใช้เสียงในการร้องเพลงนะครับ
G-Dragon: สมาชิกทุกคนต่างก็ต้องการการกำกับเสียงอย่างละเอียดในการบันทึกเสียงครับ บางครั้งผมถึงกับต้องเขียนโน้ตแยกออกมาและขอให้พวกเค้าเปล่งเสียงเฉพาะคำคำนั้นในแบบที่ตั้งใจเอาไว้ออกมา ในเรื่องของรายละเอียดที่ต้องมีการกำกับอย่างละเอียดแบบนั้นเป็นเพราะ คนเราแต่ละคนนั้นมีการตีความเพลงแตกต่างกันไป การตีความของแต่ละคนนั้นย่อมสร้างโทนเสียงและสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ขึ้นมาด้วย ผมไม่ได้พยายามที่จะเข้าไปก้าวก่ายใครหรอกนะครับ แต่ผู้คนทั่วไปเริ่มที่จะเบื่อสไตล์เพลงในแบบไอดอลกันแล้วเพราะศิลปินส่วนใหญ่มัำกจะทำเพลงออกมาเป็นแพทเทินเดียวกันเสมอเลยครับ
ดังนั้นคุณจึงตัดสินใจที่จะทำอะไรที่แตกต่าง ใช่ไม๊ครับ??
G-Dragon: ผมต้องปรับเปลื่ยนและทำให้เพลงมันแตกต่างออกไปเพื่อที่ว่าจะได้มีความเป็นเอกลักษณ์ขึ้นครับ ผมต้องการให้บิกแบงได้รับความน่าเชื่อถือไว้วางใจในกลุ่มศิลปินรุ่นเก่าในวงการ KPOPครับ
"ชีวิตของผมถูกแวดล้อมไปด้วยคำว่า "แก๊งค์ผู้มีอิทธิพล"
คุณทำงานด้วยความคิดที่หลากหลายผสมผสานกันในใจของคุณก็จริงแต่ผมเดาว่าที่สุดแล้วคุณก็เชื่อในสัณชาตญาณของตัวเองเป็นใหญ่อยู่ดีไม๊ครับ??
G-Dragon: หลังจากที่ผมทำงานมามากมายหลายอัลบั้ม ผมตระหนักได้ว่าความพยายามที่คุณทุ่มลงไปในการทำงานนั้นไม่ได้เป็นตัวการันตีว่าผลที่ออกมานั้นจะดีเสมอไปครับ ในอัลบั้ม "Heartbreaker," ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับเสียงของผมและเทคนิคในการร้องเพลงนั้นถูกวางแผนเอาไว้ทั้งหมดและเมื่อผมไปร้องเพลงนี้ที่คาราโอเกะผมไ่ม่สามารถที่จะร้องออกมาแบบเดิมได้อีกเลย หลังจากอัลบั้มนั้นแล้วผมเริ่มที่จะเดินตามทางในแบบที่เป็นธรรมชาติมากขึ้นและมันทำให้ผมสามารถที่จะใส่งานที่เป็นตัวงานแรกที่เราลงมือทำผ่านไปสู่ผลงานในขั้นสุดท้ายได้ สมาชิกทุกคนต่างก็เชื่อใจให้ผมทำการตัดสินใจแบบนั้นและต่างก็ฝึกซ้อมกันอย่างมากเพื่อที่จะได้แสดงออกถึงความรู้สึกที่แท้จริงของพวกเค้าออกมาได้ครับ
แล้วพวกไอเดียที่เต็มไปด้วยความสร้างสรรค์ที่ใช้ในมิวสิควีดีโอละครับเป็นสิ่งที่วางแผนมาก่อนแล้วหรือว่าเป็นการทำตามสัญชาตญาณในตอนนั้นเลย?? ผมไม่คาดคิดมาก่อนว่าคุณจะนำสิงโตเชิดของประเทศจีนมาใช้ในมิวสิควีดีโอนะครับ (หัวเราะ)
G-Dragon: เราจะวาดภาพรวมของมิวสิควีดีโอในตอนที่เราทำเพลงครับ ยกตัวอย่าง เช่น ท่อนแรกของเพลง "FANTASTIC BABY" ทำให้ผมนึกถึงเสียงกระแสไฟฟ้ารบกวน ผมเขียนเนื้อเพลงที่เหลือด้วยความรู้สึกแบบนั้น พร้อมทั้งจินตนาการถึงคอนเซ็บของมิวสิควีดีโอ และเครื่องแต่งกายที่เราจะใช้ใส่ในการแสดงบนเวทีด้วย ผมยังคิดต่อไปถึง การจัดวางเสียงของสมาชิกในวงว่าจะให้ใครร้องในท่อนไหนด้วยนะครับ ดังนั้น โดยทั่วๆไปแล้ว งานที่สำคัญที่สุดสำหรับผมหลังจากที่ได้ทำงานในส่วนที่เกี่ยวกับพี่เท็ดดี้ไปบ้างแล้วนั่นคือการจัดระเบียบความคิดในหัวของตัวเองครับ ผมมักจะได้รับเพลงมาก่อนและเขียนเนื้อเพลงออกมาตามมาด้วยการทำทำนองแต่ผมตัดสินใจที่จะไม่ทำแบบนั้นอีกต่อไปแล้วครับ ทั้ง2ส่วนนี้เป็นส่วนที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัวกว่าเมื่อผมทำเนื้อร้องควบคู่ไปกับทำนองไปพร้อมๆกันครับ
ถ้าคุณใช้แรงบันดาลใจทั้งหมดลงไปกับการทำงานในทีเดียวแบบนั้น คุณจะทำยังไงในการที่จะเติมเต็มพลังงานและแรงบันดาลใจขึ้นมาใหม่ครับ??
G-Dragon: ผมแค่มองความเป็นไปที่เกิดขึ้นบนโลก จากการดูรายการวาไรตี้โชว์ต่างๆไปจนถึงการดูละครจากต่างประเทศ และก็ดูข่าวด้วยครับ ผมได้รับแรงบันดาลใจมาจากสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคม รวมไปถึงสิ่งที่พวกเค้าสวมใส่และวิธีการใช้ชีวิตของคนทุกวันนี้ครับ ทางค่ายก็มอบแรงสนับสนุนให้กับเราในการที่จะขยายมุมมองของเราให้กว้างขึ้นด้วยเช่นกันครับและเราก็มีโอกาสได้พบกับศิลปินชื่อดังมากมายในช่วงหลังนี้ การที่ได้เจอและพูดคุยกับศิลปินคนโปรดของพวกเราอย่าง Quincy Jones, Diplo, Boysnoize, Under Dogs และ William ทำให้ผมคิดอยากจะประสบความสำเร็จแบบพวกเค้าบ้าง สิ่งเหล่านี้ชักนำให้ผมอยากที่จะดีขึ้นกว่านี้ ครับ
ถ้าลองมองดูในอีกแง่นึง นี่หมายความว่าคุณเริ่มที่จะทำงานเพลงโดยมุ่งไปที่การเอาใจแฟนๆในระดับโลกแล้วรึเปล่าครับ??
G-Dragon: อาจจะฟังดูตลกนะครับแต่ปฏิกริยาที่เราได้รับจากแฟนๆในต่างประเทศในช่วงหลังนี้เป็นสิ่งที่คาดคิดเอาไว้ก่อนแล้วละครับ จากการศึกษาเพลงป็อปที่ผมกับพี่เท็ดดี้ต่างก็เติบโตมากับเพลงประเภทนี้นั้นทำให้เราเปรียบเทียบเพลงของเรากับเพลงป็อปอื่นๆมาโดยตลอด และสิ่งที่เราเป็นทุกวันนี้ก็เป็นผลลัพท์ของทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้วางแผนมาหมดแล้ว เรามั่นใจในเพลงของ YG มากเพราะนี่เป็นสิ่งที่เราวางแผนกันมาอย่างละเอียดแล้ว เราได้วางแผนเพื่อให้เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นมานานมากดังนั้นผมไม่ได้ถึงกับประหลาดใจมากมายกับเรื่องนี้เท่าไหร่ครับ
งั้นทิศทางในอนาคตของดนตรีในแบบคุณและเป้าหมายในอนาคตของคุณคงจะเปลี่ยนไปพอสมควรนะครับ แผนการในฐานะที่เป็นนักดนตรีของคุณคืออะไรครับ??
G-Dragon: ผู้คนอาจจะบอกว่าผมหยิ่งและทะนงตัวนะครับ แต่ว่าการขนานนามให้ผมว่าเป็น นักแต่งเพลงมือเอก ไม่ได้มีความหมายใดๆสำหรับผมเลยครับ สิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ในขณะนี้ก็คือการฝึกซ้อมเตรียมการเพื่ออัลบั้มต่อๆไปข้างหน้า สิ่งที่โหดร้ายมากกว่าการจัดอันดับเพลงและความโด่งดังคือการทำเพลงที่สามารถได้รับความรักจากทุกคนแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานเป็นสิบๆปีแล้วก็ตาม ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเพลงของพวกเราจะสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปินที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์คนอื่นๆและสามารถมีส่วนช่วยทำให้วงการเพลง KPOP ได้มีการพัฒนาขึ้นอีก นี่เป็นทัศนวิสัยและจุดเป้าหมายของผมครับ
ในตอนนี้คุณหวังที่จะได้เห็นยุคใหม่แห่งวงการดนตรีของเกาหลีไม่ก็ยุคใหม่แห่งวงการดนตรีโลกมากกว่าที่จะประสบความสำเร็จในเป้าหมายส่วนตัวของตัวเองแล้วสิครับ??
G-Dragon: ผมไม่มีทักษะในเรื่องของการลงทุนทำธุรกิจใดๆเลยครับไม่เหมือนกับที่ท่านประธานของเราคุณ Yang Hyun-suk มีทักษะตรงนั้น ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ความคิดที่ดีแน่ๆสำหรับผมที่จะกระโดดออกจากวงการบันเทิงไปเป็นผู้ลงทุนประกอบการเอง สิ่งที่ผมพูดคุยถกเถียงกับ CL แห่งวง 2ne1 เยอะมากๆในช่วงนี้คือ เรื่องของวัฒนธรรมและพื้นที่ ผมหวังว่าเราจะมีพื้นที่ให้กับคนที่มีพรสวรรค์มารวมตัวกันเยอะๆและมาร่วมเป็นแรงผลักดันซึ่งกันและกัน แม้ว่าพวกเค้าจะไม่ได้เป็นคนดังอะไรก็ตาม ผมโชคดีที่มีโอกาสเติบโตมาพร้อมๆกับการได้พูดคุยแลกเปลี่่ยนความคิดกับศิลปินที่ตัวเองชื่นชอบมาตั้งแต่ยังเด็กๆ ผมอยากจะเปิดโอกาสตรงนี้ให้กับคนเหล่านั้นด้วยครับ ดังนั้นตอนนี้ผมกำลังหาทางที่จะทำให้ไอเดียนี้เป็นจริงขึ้นมาอยู่ครับ
ในการที่จะตามไล่ความฝันนั้นของคุณให้เป็นจริงพร้อมกับการทำงานในนามบิกแบงและเตรียมการในเรื่องของอัลบั้มเดี่ยวไปพร้อมๆกันแบบนี้ ฟังดูลำบากไม่น้อยนะครับ
G-Dragon: แน่นอนครับ ผมมักจะไม่มีเวลาเลยแต่ผมจะพยายามทำเท่าที่ผมจะสามารถทำได้ครับ
ผมไม่แน่ใจว่าจะยังมีความสามารถในการแต่งเพลงที่มีความสำคัญ,เพลงที่เป็นผู้นำในวงการได้ต่อไปรึเปล่าถ้าผมแก่ตัวลง ดังนั้นคติประจำใจของผมคือ การเก็บรักษาความเยาว์วัยที่ผมมีอยู่ในตอนนี้ให้คงอยู่ตลอดไปแม้ว่าผมจะอายุมากก็ตาม ผมจำเป็นต้องเก็บรักษาบุคคลิกภาพของตัวเองแบบนี้เอาไว้
นอกจากงานในนามของบิกแบงแล้ว ชีวิตของผมถูกร่ายล้อมไปด้วยกลุ่มผู้มีอิทธิพล ถ้าปราศจากสิ่งนี้ไปชีวิตของผมก็ดูจะไม่สมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของแฟชั่น เนื้อเพลง หรือ สไตล์การร้องเพลง ผมจำเป็นต้องมีความรู้สึกในแบบแก๊งค์อิทธิพลออกมาด้วยมันถึงจะแสดงออกถึงตัวตนที่แท้จริงของผมออกมาได้ เหมือนกับทัศนคติแบบที่นักร้องร็อคชื่อดังมีกันนั่นแหละครับ ผมวางภาพรวมอัลบั้มเดี่ยวของตัวเองในครั้งหน้าเอาไว้ให้ออกมาในแนว "ความสลดหดหู่เสียใจ" แต่ผมคิดว่ายังไงๆก็จะต้องมีความเป็นแก๊งค์อิทธิพลอยู่ในอัลบั้มด้วยเหมือนกับที่ผมทำก่อนหน้านี้ครับเมื่อคุณคิดย้อนไปถึงเวลาในช่วงก่อนๆของบิกแบงแล้วคุณมีความรู้สึกยังไงกับตัวเองครับ?? ถ้าหากคุณเป็นเจ้าของพื้นที่ที่ให้คนมีพรสวรรค์มารวมตัวกันอย่างที่คุณกล่าวถึงเมื่อกี้ คุณจะรับเด็กชายจีดราก้อนมาและสนับสนุนเค้ารึเปล่า?? (หัวเราะ)
G-Dragon: ถ้าผมมีความลึกซึ้งผมต้องรับครับ แต่ก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ ผมยังเป็นคนเดิมคนนั้นในสมัยก่อนนะครับแต่ผมอยู่ในสถานการณ์ที่แตกต่างไปก็เท่านั้นเอง ในตอนนี้ผมรู้เรื่องความเป็นไปมากมายเกี่ยวกับวงการเพลงนี้และผมก็คิดคำนวณสถานการณ์ต่างๆว่าควรจะแสดงอารมณ์ความรู้สึกออกมาแบบไหนให้อยู่ในจุดที่ตั้งใจเอาไว้ บางครั้งมันก็เป็นไปเกินความคาดหมายเหมือนกันและทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ชำนาญการในเรื่องนี้ไปซะแล้ว (หัวเราะ)
เหมือนกับในเนื้อเพลงของคุณที่ว่า คุณมาแบบเหนือเมฆ ใช่ไม๊ครับ??
G-Dragon: ผมรู้เรื่องเยอะมาก และผมก็ระวังตัวว่าจะมีคนรู้ว่าผมรู้เรื่องเยอะไปด้วยครับ (หัวเราะ) ดังนั้นในขณะเดียวกันผมก็จะหลีกเลี่ยงไม่ทำตัวให้เป็นจุดสนใจหรือไม่ทำตัวให้คนมองออกคำนวณได้ง่าย แต่มันก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เหมือนกันที่ผมจะแสดงตัวตนที่แท้จริงของตัวเองออกมาครับ
งั้นคุณเป็นยังไงเมื่อ 6 ปีก่อนตอนที่คุณยังไม่รู้ในเรื่องที่คุณรู้มากมายแบบในตอนนี้ครับ?? G-Dragon: ผมไม่รู้อะไรเลยครับในตอนนั้น ไม่ว่าจะเป็นความโศกเศร้าหรือความดีใจใดๆที่ผมเห็น ผมยอมรับมันมาทั้งหมด ผมเคยเป็นคนที่ไม่ซับซ้อนและไร้เดียงสา แต่เป็นเพราะในตอนนี้ผมคิดมากเกินไปซะแล้ว ผมรู้วิธีที่จะสื่อสารกับผู้คนผ่านเสียงเพลง และนี่เป็นความแข็งแกร่งที่สุดที่ผมมีในอายุ 24 ตอนนี้ครับ .
จีดราก้อนในวัย 24 ปี มองว่าบิกแบงเป็นกลุ่มในแบบไหนครับ??
G-Dragon: เราจะไม่เปลี่ยนแปลงครับ อย่างที่ผมมักพูดเสมอๆ สมาชิกแต่ละคนเปรียบเป็นเหมือนอาวุธประจำกายของผม เป็นครอบครัว เป็นเกราะป้องกัน ผมเดาเอาว่าที่ผมเปรียบเทียบพวกเค้าเป็นทั้ง 3 อย่างนี้คงได้อิทธิพลมาจากภาพยนตร์เรื่อง "The Avengers."ที่ผมพึ่งได้ไปดูมานะครับ
source: 10 asia.co.kr Thai Translation by mew mini museum
※ Any copying, republication or redistribution of 10Asia's content is expressly prohibited without prior consent of 10Asia. Copyright infringement is subject to criminal and civil penalties.
=====================
เพิ่มเติมจาก comment ใน BBU จาก Whatasky นะค่ะ
บอกมาว่าเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษหล่นไป ตรงที่น้องจีบอกว่าอยากจะทำเพลงที่ได้รับความรักจากผู้คนแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานเป็นทศวรรษ ตรงนี้น้องจีบอกว่า อยากจะดำเนินรอยตามศิลปินวงร็อครุ่นพี่อย่างวง Sanulim ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 แล้วที่น้องจีพูดถึงวงนี้ น้องจีบอกว่าในตอนเป็นเด็กเคยเดินเล่นแถวบ้านและฟังเพลงของวงนี้ไปด้วย วงดนตรีวงนี้เป็นวงดนตรีตั้งแต่สมัย 30 ปีก่อนเพลงมีความเรียบง่ายแต่ลึกซึ้งกินใจ ค่ะ ตัวอย่างเพลงจากวงนี้ นะคะ
http://www.youtube.com/watch?v=0bG8lTKuRGU
http://www.youtube.com/watch?v=0bG8lTKuRGU
====================
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น