เพราะพวกเค้าไม่เหมือนกับผู้ชายทั่วไปคนไหนๆ แม้บิกแบงจะร้องเพลงที่มีเนื้อเพลงเล่าถึงผู้หญิงที่มาเจอ badboyและต้องเสียใจ ทั้งๆที่พวกเค้ามีความแตกต่างจากวงไอดอลอื่นๆทั่วไปและได้ชื่อว่าเป็นวงที่ดี ไม่ใช่ badboy ซะหน่อย วงนี้แร๊พเปอร์ไม่ได้เต้นเก่งและทั้งวงไม่ได้เต้นเคลื่อนไหวพร้อมกันอย่างสมบูรณ์แบบประหนึ่งแถวทหารแต่ผู้คนก็จดจำเพลงของพวกเค้าได้และรอคอยชมการแสดงบนเวทีครั้งต่อไปของพวกเค้า
สิ่งที่สำคัญต่อบิกแบงมากกว่าการเอาชนะคนอื่นๆคือการที่ได้ทำในสิ่งที่พวกเค้าัรัก ซึ่งสิ่งนี้อาจจะเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเค้าถึงสามารถตระหนักได้ถึงโลกที่พวกเค้ากำลังใฝ่ฝันได้ และเหตุผลนี้ไม่ได้นำมาใช้แค่ในเรื่องของดนตรีเท่านั้น ระหว่างการให้สัมภาษณ์ หนุ่มๆไม่ได้ปรับแต่งคำพูดของพวกเค้าให้เกินจริงในการตอบคำถามหรือพยายามที่จะหาว่าการตอบแบบไหนจะช่วยทำให้พวกเค้าได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น พวกเค้ามั่นคงเปิดเผยในการเล่าเรื่องที่พวกเค้าอยากจะบอกเราและเรื่องที่พวกเค้าจำเป็นต้องบอกมากกว่าที่จะพูดถึงในสิ่งที่จะเพิ่มความโด่งดัง การที่ซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองในการให้สัมภาษณ์ บิกแบงดูเป็นผู้ใหญ่ในขณะเดียวกันก็ยังไร้เดียงสา เช่นเดียวกับท็อป เค้าซื่อสัตย์และบอกเล่าความรู้สึกที่แท้จริงของเค้าในช่วงที่ต้องผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก ซึ่งไม่เหมือนกับผู้ชายทั่วไปคนไหน การที่ต้องยอมแพ้ให้กับทัศนคติดีๆของตัวเค้าเอง มันก็ยังไม่ง่ายนักสำหรับ แบดบอยที่จะยอมรับว่า เค้ารับมือกับมันได้ แต่ท็อปเล่าให้เราฟังว่า เค้ามีสิ่งที่เค้ายึดถือและมีศรัทธาในสิ่งนั้น และนี่แหละที่ทำให้คำพูดของเค้าน่าเชื่อถือ
“ผมต้องการที่จะทำให้ผู้คนคิดว่า "นี่มันบ้าชะมัด แต่ก็เจ๋งจริงๆ"
T.O.P: ตลอดการออกอัลบั้มทั้งหมดในช่วง 7 ปีที่ผ่านมานี้ อัลบั้ม ALIVE เป็นหนึ่งในอัลบั้มที่เราใส่ใจกับมันมากที่สุดครับ เราให้ความสนใจกันเป็นพิเศษเพื่อให้แน่ใจว่าในทุกๆรายละเอียดนั้นใกล้เคียงกับความสมบูรณ์แบบที่สุด ดังนั้นนี่น่าจะเป็นช่วงที่สาหัสที่สุดช่วงหนึ่งในการเตรียมงานตั้งแต่เราเดบิวกันมา เรามีปัญหาทั้งในด้านร่างกายและจิตใจ ในขั้นตอนกระบวนการต่างๆ ครับ
เป็นคำตอบที่ผมไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลยนะครับเพราะสมาชิกคนอื่นๆบอกกับผมว่าพวกเค้ามีความสุขสนุกสนานกัน
T.O.P: ในขณะที่พยายามที่จะใส่ทุกอย่างที่ผมสามารถจะทำได้ลงไปในอัลบั้ม ผมหมดแรงที่จะรู้สึกสนุกไปกับกระบวนการต่างๆครับ ผมคงไม่สามารถที่จะทำกิจกรรมต่างๆต่อไปได้อีกแล้วหากระยะเวลาแห่งการโปรโมทจะขยายยาวนานออกไปมากกว่านี้ เพราะภาพลักษณ์บนเวทีกับตัวจริงของผมนั้นมีช่องว่างแห่งความแตกต่างกันอย่างมาก ผมมีเรื่องที่ต้องคำนึงถึงมากมายครับ
นั้นอาจจะเหตุผลที่ว่าทำไมการแสดงถึงทิ้งความประทับใจเอาไว้ให้กับแฟนๆถึงสิ่งที่คุณกำลังพยายามที่จะถ่ายทอดผ่านการแสดงและการกำกับเวทีที่ใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบมากที่สุด
T.O.P: ผมคิดว่าผมรู้สึกถึงความรับผิดชอบที่มากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปครับ บางทีผมอาจจะกำลังพยายามที่จะไม่แสดงออกถึงความอ่อนแอของผมออกมาให้เห็น และยิ่งพยายามมากขึ้นมากเท่าไหร่ ความปรารถนาที่จะมอบการแสดงที่สมบูรณ์แบบที่สุดให้กับแฟนๆนั้นย่อมมากขึ้นแน่นอน ดังนั้นผมจึงวางแผนในรายละเอียดอย่างพิถีพิถันว่าผมจะแสดงออกในแบบไหนออกมา หรือผมควรจะแสดงออกอารมณ์ผ่านทางสายตาให้มากขึ้นอีกหรือเปล่าในการแสดงบนเวที
ในตอนที่คุณทำงานในนามของยูนิตพิเศษ GD&T.O.P ดูเหมือนคุณจะเต็มไปด้วยความมั่นใจอย่างท่วมท้นทีเดียว มุมมองของคุณเปลี่ยนไปไม๊ครับเมื่อมาทำงานในนามของบิกแบง??
T.O.P: ผมคิดว่าผมได้ก้าวย้อนไปคิดก่อนทุกครั้งที่จะทำการตัดสินใจและจะมองตัวเองและมองบิกแบงในแบบที่เป็นเหตุเป็นผลและมองในแง่ที่เป็นคนภายนอกมองเข้ามา หนึ่งในงานของเราคือการจัดระเบียบและควบคุมตัวเองให้ได้ หากเราต้องการที่จะได้รับผลตอบรับดีๆคืนกลับมาหรือได้รับคำชมว่าเพลงของบิกแบงนั้นเติบโตขึ้น ผมคิดว่าเราควรที่จะมีความฉลาดมากขึ้นและทำตัวให้หลักแหลมปราดเปรื่อง มันจะเป็นสัญญาณที่ไม่ดีแน่หากสิ่งที่เราคิดว่าทันสมัยก้าวหน้ากลับกลายเป็นเรื่องที่ "มากเกินไป"ในสายตาของมหาชน
มันน่าจะเป็นเรื่องยากนะครับที่จะต้องคอยคงสภาพทุกอย่างให้ยืดติดกับความเป็นจริงและทำการตัดสินใจอย่างเป็นเหตุเป็นผล ในขณะเดียวกันก็ต้องร้องแร๊พไปด้วยอีก มีเคล็ดลับอะไรครับเนี้ย??
T.O.P: คือ.......เป็นความลับครับ มันเป็นเคล็ดลับที่มีแต่ผมที่รู้ว่าทำยังไงครับ (หัวเราะ)
งั้นในตอนที่คุณกำลังคิดในแบบที่"เป็นเหตุเป็นผล"อยู่นั้น (หัวเราะ) คุณคิดว่าบทบาทของคุณในบิกแบงคืออะไรครับ??
T.O.P: ผมสรุปเอาเองว่าสิ่งที่ผู้คนต้องการจากผมคือ ความประทับใจและบุคคลิกในแบบที่มีแต่ TOP เท่านั้นที่ทำได้ครับ ดังนั้นสิ่งที่ผมสนใจมากที่สุดคือ การแสดงออก ลักษณะท่าทาง และ อารมณ์ผ่านทางสายตา ความไหลลื่นสอดคล้องในการแร๊พและเนื้อเพลง ในขณะที่คนอื่นแสดงออกท่าทางต่างๆผมจะพยายามที่จะควบคุมตัวเองมากขึ้นซึ่งในทางกลับกันยิ่งควบคุมตัวเองมากขึ้นก็จะยิ่งทำให้คนเกิดความสงสัยอยากจะรู้ในลักษณะท่าทางของผมมากขึ้้นอีก ผมรู้ว่ามันอาจจะเป็นการแสดงออกในทางที่ไม่ค่อยจะพอเหมาะพอดีแต่เมื่อผู้คนกำลังมองมาที่ผม ผมต้องการให้พวกเค้าคิดว่า "นี่มันบ้าชะมัดแต่ก็เจ๋งจริงๆ"
อ่า ใช่เลยนะครับ คงหาคำอธิบายที่ตรงกว่านี้ไม่ได้แล้ว แล้วคุณบอกกับตัวเองว่ายังไงครับในตอนที่จะต้องสร้างบรรยากาศบนเวทีให้ออกมาเป็นแบบนั้น ??
T.O.P: ผมแค่ปล่อยตัวตนของตัวเองออกมาครับ ในตอนนี้ผมรู้วิธีที่จะปล่อยตัวและเป็นอิสระบนเวทีได้แล้วโดยที่ไม่ต้องคำนึงถึงคนอื่นๆ สิ่งที่ผมอยากจะส่งมอบไปบนเวทีในแต่ละครั้งนั้นขึ้นอยู่กับอารมณ์ของผมในวันนั้นๆ และนี่คือทั้งหมดที่ผมคิดก่อนที่จะขึ้นทำการแสดงในแต่ละครั้ง ในช่วงนี้ผมพยายามวาดภาพตัวเองให้เป็นอิสระและบ้าบิ่นมากขึ้นอีก และสิ่งเหล่านี้ที่ผมตั้งใจและพยายามกับมันก็เพื่อที่จะทำให้คนดูสนุกสนานมากขึ้นและให้ความสนใจเรามากขึ้นครับ
สิ่งที่เกิดขึ้นบนเวทีนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้นะครับ มันจะเป็นไปได้เหรอครับที่คุณจะสามารถมองตัวเองในฐานะที่เป็นบุคคลที่สามในตอนที่คุณทำการแสดงอยู่ได้??
T.O.P: ผมคิดว่าผมสามารถที่จะมองตัวเองในมุมมองของคนที่มองมาได้มากขึ้นหากผมมีความมั่นใจอย่างแรงกล้าในเรื่องของการแสดงบนเวที เสียงเพลงและสัญชาตญาณของตัวเองนะครับ และผมก็สามารถที่จะมองดูตัวเองได้อย่างเป็นเหตุเป็นผลได้ด้วยเช่นกัน ผมเคยที่จะรู้สึกกลัวว่าคนอื่นๆจะมองบิกแบงยังไงและมีความกังวลที่ไม่ได้มีความจำเป็นเลยในตัวเองด้วย แต่เมื่อผมหยุดที่จะโลภมากในสิ่งต่างๆผมก็มีความมั่นใจมากขึ้น ได้เวลาสำหรับผมแล้วละครับที่จะเริ่มรู้สึกสนุกมีความสุขในการทำงานของตัวเองอย่างแท้จริงซะที
"ผมกลายเป็นคนที่ไม่ค่อยซับซ้อนแล้วครับ."
|
T.O.P: ทุกอย่างทำออกมาจากสัญชาตญาณล้วนๆครับ ผมได้ทดลองทำจังหวะขึ้นไปถึง 18 ชั้นและปรับแต่งจังหวะและความสอดคล้องในแบบที่ตามปกติผมไม่ค่อยได้ทำออกมาเท่าไหร่ด้วย โดยเฉพาะในเพลง "FANTASTIC BABY," ผมทำมันออกมาโดยที่นึกภาพของ Mick Jagger แห่งวง Rolling Stones เอาไว้ในหัวด้วยขณะที่ทำเพลงนี้ เพื่อที่จะได้แสดงออกถึงความเป็นเอกลักษณ์ออกมา เช่น ความรู้สึกที่คุณจะได้จากการเต้นในแบบแปลกๆ มีแร๊พเปอร์ที่มีท่าทางเท่ๆอยู่มากมายครับซึ่งผมไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่โบราณหรอกนะฮะที่จะลองทำตัวให้ดูเท่ดูแมนบนเวที การที่ทำให้การแร๊พออกมาดูเรียบง่ายแต่มีเอกลักษณ์ถือว่าเป็นเป้าหมายของผมครับ
มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจทีเดียวนะครับที่เห็นคุณ กำลังยิ้มในช่วงเริ่มต้นในการแสดงเพลง "BAD BOY" บนเวที "Inkigayo." ทางช่อง SBS ผมเดาเอาว่านี่ก็เป็นความพยายามอย่างนึงของคุณที่จะแสดงออกถึงความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองออกมาใช่ไม๊ครับ??
T.O.P: คนที่เป็นแบดบอดจริงๆมักจะยิ้มอยู่ตลอดเวลานะครับ เพราะจำเป็นต้องปกปิดความรู้สึกเอาไว้ (หัวเราะ)
คุณกังวลในเรื่องของความเป็นเอกลักษณ์ ในการเขียนเนื้อเพลงด้วยเหมือนกันรึเปล่าครับ??
T.O.P: จริงๆ ผมเขียนเนื้อเพลงออกมาโดยที่ไม่ได้คิดอะไรมากครับ ในอัลบั้มนี้ผมเขียนท่อนแร๊พเกือบจะทั้งหมดในวันที่มีการบันทึกเสียงครับ เพราะทั้งหมดมันมาจากประสบการณ์จริงของผมอยู่แล้ว ความรู้สึกที่จะได้ในแต่ละเพลงก็ค่อนข้างที่จะคล้ายๆกัน
คุณคงยุ่งๆในช่วงการเตรียมการเพื่ออัลบั้มนี้สินะครับ อะไรที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับคุณครับ??
T.O.P: ผมจะมองหุ่นการ์ตูนแอคชั่นไม่ก็เฟอร์นิเจอร์ที่มีการดีไซน์เท่ๆครับ มันช่วยปลอบใจผมได้มากเมื่อได้เห็นงานฝีมือที่คนบางคนได้สร้างออกมาอย่างดีและนั่นเป็นแรงบันดาลใจให้ผมอยากที่จะบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองผ่านเสียงเพลงบ้าง ในช่วงนี้ผมกลายเป็นคนที่ไม่ค่อยซับซ้อนและไม่ค่อยคิดอะไรมากจนเกินไปนัก ซึ่งมันก็มีข้อดีนะครับ เหมือนอย่างบุคคลิกของผมเปลี่ยนมาเป็นคนที่สงบจากที่เคยรั้นและเป็นปริปักษ์ และเมื่อบุคคลิกของผมอ่อนโยนมากขึ้นกว่าแต่ก่อนผมก็เริ่มที่จะมองสิ่งต่างๆและมองผู้คนในมุมมองที่กว้างขึ้นครับ
ความเปลี่ยนแปลงแบบนี้ได้สร้างผลกระทบกับชีวิตในส่วนอื่นๆของคุณด้วยรึเปล่าครับ?? ผมได้ยินมาจากแฟนๆว่าคุณกระตือรือร้นมากขึ้นในรายการวาไรตี้ คุณดูเหมือนเด็กที่ชอบแกล้งเล่นสนุกเหมือนครั้งที่เดบิวใหม่ๆ เลยนะครับ
T.O.P: ถ้าผมดูเป็นคนที่ซีเรียสมากขึ้นในช่วงหลังๆนี้เป็นเพราะ ละคร และ ภาพยนตร์ที่ผมมีโอกาสได้ไปแสดงในช่วงปีให้หลังนี้แหละครับ ผมต้องเผชิญกับการคงอยู่ของบาดแผลในใจเป็นระยะเวลายาวนานหลังจากการถ่ายทำภาพยนตร์เกี่ยวกับสงครามและการรับบทเป็นนักฆ่าในละคร ทั้งนี้เป็นเพราะ ผมมีปัญหากับการที่จะแยกชีวิตจริงของผมออกจากบทบาทที่ตัวเองได้รับแม้ว่างานนั้นจะจบลงไปแล้ว ผมจะมีใบหน้าที่หมองคล้ำและอยากที่จะหลบไปที่ไหนซักแห่ง ผมค่อนข้างมั่นใจว่าบุคคลิกของผมจะเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้งตามบทบาทที่ผมจะได้รับในอนาคต ซึ่งการแสดงออกบนเวทีก็เช่นเดียวกันครับ
คือถ้าคุณมีเรื่องราวในใจเยอะมันจะช่วยให้คุณขยายขอบเขตความสามารถและทักษะในการแสดงบนเวทีของคุณออกไปได้กว้างขึ้นใช่ไม๊ครับ ในตอนนี้คุณก็มีแฟนๆที่ต่างประเทศไม่น้อยเลยเหมือนกันนะครับ
T.O.P: ผมพยายามอย่างมากที่จะคำนึงในเรื่องทั้งหมดนั้นตลอดเวลาเลยครับเพราะผมมีแนวโน้มว่าจะขี้เกียจจึงต้องเตือนตัวเองเสมอในทุกๆเรื่อง แล้วนอกจากนี้นะครับ ผมพยายามที่จะแสดงออกมาให้ดีที่สุดและสมบูรณ์แบบที่สุดโดยการมุ่งความตั้งใจไปยังรายละเีอียดต่างๆ แฟนๆทุกคนต่างก็มีรสนิยมที่แตกต่างกันไปในเรื่องของเสียงเพลง ดังนั้นในการที่จะทำให้พวกเค้าทุกคนพึงพอใจได้ ผมต้องมีภาพลักษณ์ที่ดูดีก่อน และ จึงทำดีตามมา ผมรู้สึกเหนื่อยบ้างในเรื่องของกระบวนการต่างๆในบางครั้ง แต่เพราะผมรู้สึกว่ามันเป็นความรับผิดชอบของผม ผมรู้ว่าผมจะต้้องไม่ล้มเลิกอย่างเด็ดขาด
ความรับผิดชอบที่คุณพูดถึงนั้น คุณหมายถึงความรับผิดชอบที่คุณมีในฐานะที่เป็นสมาชิกวงบิกแบง มากกว่าความรู้สึกรับผิดชอบในฐานะชเว ซึง ฮยอน ไม๊ครับ??
T.O.P: พูดตามตรงนะครับ ผมไม่ได้เริ่มลงมือทำงานเดี่ยวในฐานะ ชเวซึงฮยอน ก็เพราะความรับผิดชอบที่ผมรู้สึกนี่แหละครับ ในใจผมจะท่วมท้นไปด้วยความหลงใหลและในบางครั้งผมถึงกับควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่พอไม่ได้อยู่กับทีม ผมคิดว่าผมสามารถปล่อยวางทุกอย่างไปได้เมื่อไหร่ก็ได้หากเวลานั้นจะมาถึงก็เท่านั้น อีกอย่างนะครับ ผมไม่มีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่ต้องการจะประสบความสำเร็จคนเดียวเลยครับ
ถ้าพูดแบบเสียดสี ดูเหมือนว่าคุณจะไม่ได้สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในโลกนี้ เพราะคุณอยู่ท่ามกลางความรักและความสนใจจากผู้คน แบบนั้นไม๊ครับ??
T.O.P: ผมเคยคิดภาพว่าผมต้องการที่จะเป็นคนยังไง ผมต้องการให้คนอื่นมองผมยังไงเวลาที่เราอยู่บนเวที แทนที่ผมจะเอาตัวเองเข้าไปใกล้ชิดกับคนดู ผมต้องการที่จะให้พวกเค้าเข้าหาผมและเอาความสนใจทั้งหมดของพวกเค้ามาไว้ที่ผม
ผมมองเห็นว่าในตอนที่คุณทำการแสดงบนเวที เมื่อก่อน คุณจะดึงดูดความสนใจจากผู้คนด้วยการส่งสายตาจ้องไปที่พวกเค้า แต่ในตอนนี้ดูเหมือนว่าคุณจะมองไปที่อื่นแทนและมันก็ยิ่งทำให้ผู้คนสนอกสนใจคุณมากขึ้นไปอีก
T.O.P: ก็ จริงๆมันเป็นไปตามธรรมชาติเมื่อผมเปลี่ยนมุมมองของตัวเองไปนะครับ สิ่งที่สำคัญสำหรับผมคือ ผมจำเป็นจะต้องปรับเปลี่ยนตัวเองไปตลอดเวลา การที่มองจ้องไปที่กล้องตลอดเวลานั้นดูจะไม่ค่อยเข้าท่า ผมก็ต้องคอยศึกษาว่าจะเปลี่ยนภาพรวมของตัวเองไปในทางไหนดีในขณะที่การเปลี่ยนแปลงนี้ก็ต้องไม่เกินเลยไปจากขอบเขตที่ตัวผมได้ตั้งไว้ด้วย
"ในช่วงนี้จิตใจของผมยังไม่ค่อยสมดุล แต่ผมก็มีความเป็นผู้ใหญ่พอที่จะหาทางเยียวยามันและยอมรับมันได้ครับ"
เป็นเพราะงานการแสดงที่เปิดโอกาสให้คุณได้เริ่มชีวิตใหม่เป็นคนใหม่ตามบทบาทที่ได้รับมา คุณคงต้องมีความรู้สึกยึดติดทางอารมณ์อย่างมากในอาชีพนักแสดงนี้แน่นอนใช่ไม๊ครับ คุณมีบทบาทใดเป็นพิเศษที่คุณอยากจะแสดงในอนาคตไม๊ครับ??
T.O.P: ผมไม่มีบทบาทใดที่อยากจะแสดงเป็นพิเศษในใจเลยครับ สิ่งที่สำคัญคือขอแค่ได้เป็นส่วนหนึ่งในโปรเจคดีๆก็เท่านั้นครับ
ขอบเขตของคำว่า "โปรเจคที่ดี" ของแต่ละคนก็แตกต่างกันไปนะครับ ของคุณโปรเจคที่ดี ที่ว่ามันต้องมีลักษณะยังไงครับ??
T.O.P: จะต้องเป็นโปรเจคที่คุ้มค่าที่ผมจะอุทิศเวลาและพลังงานทั้งหมดของผมลงไปกับมันครับ ถ้าหากว่าผมมีอาชีพหลักเป็นนักแสดงการที่ไ้ด้ผ่านการทดสอบและพบข้อผิดพลาดต่างๆมากๆน่าจะเป็นผลดีให้กับผมที่จะกลายเป็นนักแสดงที่มีประสบการณ์มากเจนงานในภายภาคหน้า แต่เพราะงานแรกของผมไม่ใช่นักแสดง ผมไม่สามารถที่จะเอาตัวไปมีส่วนร่วมในงานหลายๆแบบได้ นอกจากนี้ในการจะรับแสดงในโครงการไหนผมจะต้องมองในแง่มุมของคนดูอีกด้วยว่าจะดียังไง ดังนั้นผมจะเลือกบทที่มันดูแล้วเหมาะสมกับผมจริงๆมากกว่าที่จะเลือกบทที่ต้องอาศัยเทคนิคในด้านการแสดงมากๆ นอกจากนี้นะครับ ผมยังต้องคำนึงด้วยว่าในฐานะที่ผมเป็นไอดอลผมมีแฟนๆที่เป็นเยาวชนอยู่มาก ดังนั้นผมจึงหลีกเลี่ยงที่จะรับแสดงภาพยนตร์ที่มีเรท R หรือในหนังอาร์ตครับ (หัวเราะ)
ทั้งการแสดงบนเวทีจนมาถึงการแสดงภาพยนตร์ คุณใช้พลังงานเกือบทั้งหมดของคุณไปกับการทำงาน นี่เป็นสัญญาณบอกให้รู้รึเปล่าครับว่าคุณกำลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว??
T.O.P: ผมคิดว่าในทางจิตใจ ผมยังมีอายุเพียงแค่ 12 เท่านั้นเองครับ แต่ในทางการทำงานแล้ว ผมว่าตัวเองเติบโตขึ้นในทุกๆปี ผมเคยที่จะดูแต่ภาพยนตร์ขาว-ดำแต่เดี๋ยวนี้ผมชอบภาพยนตร์ที่มีสีมากกว่า ในช่วงนี้จิตใจของผมยังคงไม่ค่อยมีความสมดุลแต่ผมก็มีความเป็นผู้ใหญ่พอที่จะหาทางเยียวยามันและยอมรับมันได้ครับ"
สรุปแล้วคือโดยพื้นฐานใหญ่ๆคุณก็ยังเป็นคุณคนเก่า แต่ก็มีการพัฒนาหลักๆเกิดขึ้นกับคุณด้วยเช่นกัน เมื่อมองย้อนกลับไปแล้ว คุณเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหนตั้งแต่เดบิวมาครับ??
T.O.P: แนวทางการคิดของผมยังเหมือนเดิมนะครับแต่ในตอนนั้นผมมีแนวโน้มที่อยากจะซ่อนมันไว้มากกว่า ตอนนี้ผมเปิดเผยออกมาให้เห็น 2 ส่วนใน10ส่วนแล้วละครับ ผมคิดว่าจากนี้ต่อไปอีก 10 ปีผมก็คงจะเปิดเผยมากขึ้นอีก
ผมมีความรู้สึกว่าคุณจะต้องเปิดเผยตัวตนออกมามากขึ้นแน่ผ่านการแสดงบนเวทีของคุณนะครับ .
T.O.P: จริงๆแล้ว ผมไม่คิดว่าผมจะทำอาชีพนี้ในนามของบิกแบงต่อหากผู้คนไม่ต้องการเราอีกต่อไปแล้วต่อไปได้ครับ เมื่อเหตุการณ์นั้นมาถึง ผมไม่สนใจว่าจะไม่สามารถร้องเพลงและเต้นบนเวทีได้อีกต่อไป ผมคงจะใช้เวลามีความสุขในการทำในสิ่งที่ผมชอบซึ่งนั่นก็คือการทำเพลงต่อไป และเก็บเรื่องราวที่เราเคยเผชิญเอาไว้เบื้องหลัง นอกจากนี้แล้วผมไม่ต้องการให้ช่วงเวลาที่สวยงามแบบนี้ในชีวิตของผมต้องหมองลงไป ผมต้องการให้ความทรงจำในเรื่องของบิกแบงนั้นถูกเก็บรักษาไว้และหวังว่ามันจะดำรงอยู่ในใจของคนอื่นๆต่อไปด้วยครับ
ตัดเรื่องของความกังวลในอนาคตออกไปก่อนนะครับ สำหรับคุณแล้วคุณคิดว่าบิกแบงเป็นทีมประเภทไหนกันครับในตอนนี้ ??
T.O.P: เราเป็นทีมที่ได้รับความสนใจมากๆ ไม่เพียงแค่ในประเทศเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงในต่างประเทศอีกด้วย ผมไม่ได้จะโอ้อวดเพราะตัวเองก็เป็นหนึ่งในทีมนี้หรือเป็นเพราะผมเป็นคนที่หลงตัวเองหรอกนะครับ แต่ที่พูดแบบนี้เป็นเพราะผมมีความมั่นใจโดยปราศจากข้อสงสัยใดๆและผมก็มีความเชื่อมั่นมากว่าบิกแบงจะสามารถแสดงออกให้ทุกคนได้เห็นสิ่งใหม่ๆมากมายได้ในทุกๆอัลบั้ม ในขณะที่เราก็ร่วมสนุกไปกับทุกเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นด้วยครับ
source 10 asia.co.kr thai translation by mew mini museum
※ Any copying, republication or redistribution of 10Asia's content is expressly prohibited without prior consent of 10Asia. Copyright infringement is subject to criminal and civil penalties.
=================
สามารถอ่านตอนต่างๆที่ออกมาก่อนได้ตามนี้ค่ะ
สัมภาษณ์ Taeyang จาก 10asia
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น