วันพุธที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

สัมภาษณ์ Taeyang แห่งวง BIGBANG จาก 10ASIA


"อีก 2 ปีเจอกันนะฮะ " แทยังพูดเมื่อครั้งที่เค้าเสร็จสิ้นการสัมภาษณ์กับทาง 10 asia เมื่อครั้งก่อน ทางเราได้สัมภาษณ์ศิลปินคนนี้ ในปี 2006, 2008, 2010 และ 2012 เป็นการพบกันแบบนี้โดยบังเอิญ สิ่งที่แทยังทิ้งไว้ในการสัมภาษณ์แต่ละครั้งเป็นเหมือนสิ่งที่บันทึกว่าเค้าได้เติบโตขึ้นและมีเรื่องราวใดบ้างที่เปลี่ยนแปลงไปในชีวิตเค้า

ไอดอลผู้ซึ่งเปิดตัวต่อหน้าสาธารณชนเป็นครั้งแรกผ่านรายการ realityในปี 2006 รายการที่เปิดเผยเรื่องราวทุกขั้นตอนในการเดบิวสู่สายตาผู้ชม จนกลายมาเป็น ดาวรุ่ง ในวงการเพลงแนวชาวแอฟริกันอเมริกันประจำประเทศของเราในปี 2008 ในปี 2010 เค้าได้เปิดเผยอวดโฉมพรสวรรค์ในตัวของเค้าออกมาจนเป็นที่มาของคำนำหน้าที่ว่า โปรดิวเซอร์ นักแต่งเพลง และนักแสดง ในอัลบั้มเดี่ยวอัลบั้มเต็มอัลบั้มแรกของเค้า อัลบั้ม Solar ท้ายที่สุดในปี 2012 นี้ บิกแบงได้กวาดตำแหน่งในชาร์ตเพลงทั้งในประเทศและในระดับนาๆชาติ ด้วยอัลบั้ม Alive ถึงกับไปคว้ารางวัล 'Worldwide act' จากงาน MTV Europe Music Awards มาได้ด้วย

ในตอนนี้พวกเค้ากำลังรอคอยที่จะ เริ่มการทัวร์คอนเสริต์รอบโลกกันอยู่ ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา เด็กชายอายุ 18 ได้กลายมาเป็นชายหนุ่มเต็มตัวอายุ 24 และ ด้วยวงของเค้า บิกแบง ก็เหลืออีกไม่กี่ก้าวก็จะไปพบกับโลกใบใหม่ การที่ได้ประสบการณ์ทั้งในยามประสบความสำเร็จและเจอกับเรื่องเลวร้ายที่สุดในฐานะศิลปินในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แทยังในตอนนี้กำลังยืนอยู่ในจุดกึ่งกลางในช่วงอายุ 20 ปีของเค้า

ความโด่งดังของกลุ่มของเค้าได้มาถึงจุดสูงสุดของมันแล้วและพวกเค้าก็พร้อมที่จะเริ่มต้นก้าวใหม่ ซึ่งเป็นไปได้ว่าบิกแบงจะกลายเป็นศิลปินที่ยิ่งทวีความโด่งดังมากกว่าที่พวกเค้าเป็นอยู่ในตอนนี้ซะอีก แต่การที่จะเราจะย้อนกลับมาซ้ำรอยสัมผัสความสั่นสะเทือนและความสวยงามของชีวิตที่พวกเค้ากำลังเป็น ณ ขณะนี้อีกครั้งนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไม่ได้อีกแล้ว  ทาง 10 asia กำลังจะร่วมบันทึกช่วงเวลานี้ไปพร้อมๆกับสมาชิกในวงแต่ละคนตลอด 5 วันจากนี้ไป

คนแรกที่จะมาร่วมบันทึกเหตุการณ์กับเราครั้งนี้ แน่นอนว่าจะต้องเป็น แทยังของเรา เราหวังว่าจะได้พบกับเค้าในอีก 2 ปีข้างหน้าเช่นกัน


"ผมตระหนักแล้วว่าผมเพียงแค่ต้องการที่จะเป็นอิสระ"





พวกคุณจบการโปรโมทในประเทศเกาหลีกันไปแล้วสินะครับ ดูเหมือนว่าทุกอย่างที่เตรียมการและทำกันมาเป็นปีๆได้นำมาโชว์จนหมดในช่วง 3 เดือนนี้ รู้สึกยังไบ้างครับ?
Taeyang:
มันยุ่งมากครับ แต่ส่วนตัวแล้วมันให้ความรู้สึกที่ดีที่จะคิดว่ามันเป็นการเริ่มต้นใหม่ครับ เมื่อก่อนถ้าหากเราทำการโปรโมทเพลงแบบนี้ตั้งแต่เริ่มต้น ผมว่ามันคงจะลำบากอยู่ แต่ในครั้งนี้ผลที่ได้ค่อนข้างที่จะประสบความสำเร็จ และ การที่เราออกอัลบั้มในช่วงที่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในช่วงที่สาหัสมากๆช่วงหนึ่งของพวกเรากลับช่วยเราได้มากทีเดียว และเราก็ค่อนข้างมั่นใจกับการออกอัลบั้มครั้งล่าสุดนี้ครับ

เรียกได้ว่ามันเหมือนกับเป็นการเริ่มต้นใหม่สำหรับบิกแบงเลยนะครับ พวกคุณไม่เพียงแต่ได้รับผลตอบรับดีๆจากในเอเซียเท่านั้นแต่ยังลามไปถึง อเมริกาและในยุโรปอีกด้วย พวกคุณถึงกับได้รับรางวัลจากงาน MTV EMA และพาเพลงไปขึ้นชาร์ต Billboard อีกโดยที่ไม่ได้มีการโปรโมทในเรื่องนี้เป็นพิเศษอีกด้วย
Taeyang:
ผมรู้สึกดีใจอย่างมากสำหรับความรักที่เราได้รับจากอัลบั้ม Alive ครับ แต่ก็รู้สึกว่ากำลังได้รับสิ่งที่ตอบแทนคืนมาและรู้สึกเป็นธรรมชาติในขณะเดียวกันด้วย ผมฝันถึงวันแบบนี้มาก่อนนะครับ

คุณเคยจินตนาการว่าจะมีวันเวลาแบบนี้เกิดขึ้นเหรอครับ??
Taeyang:
ไม่ได้หมายความว่าผมนั่งคิดว่าตัวเองจะได้รับความสำเร็จมากแค่ไหนยังไงแบบนั้นนะครับ ผมพูดถึงในเรื่องของทัศนคติของตัวเองครับ ในขณะที่เราต้องฝ่าฟันและผ่านอะไรมามากมายในช่วงที่เตรียมการสำหรับอัลบั้มนี้ ผมมีความรู้สึกมากมายหลายอย่างครับ ผมเริ่มที่จะรู้สึกสนุกมีความสุขกับสมาชิกในวงมากขึ้นและคิดว่าเราสามารถทำทุกอย่างได้ด้วยความมั่นใจแบบนี้และด้วยทัศนคติแบบนี้ ในช่วงเวลาการโปรโมทของบิกแบงผมมักจะวาดสิ่งที่เราจะได้รับเอาไว้ในใจครับ

แล้วการที่ได้พบกับศิลปินระดับโลกและได้มีโอกาสร่วมงานกับพวกเค้าด้วยเป็นหนึ่งในภาพที่คุณวาดไว้ในใจรึเปล่าครับ?? ตอนนี้บิกแบงสามารถทำงานร่วมกับศิลปินระดับนานาชาติ อย่าง  Under Dogs และ Diplo แล้วด้วย
Taeyang:
ผมรู้สึกดีใจมากๆเลยครับที่ตอนนี้เรากำลังได้ทำงานร่วมกับศิลปินที่เรานับถือมาโดยตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ และนี่เป็นสิ่งที่เราตั้งเอาไว้ในใจมาโดยตลอดครับ เราต้องการอยากจะให้สิ่งนี้เกิดขึ้นจริงๆและคิดๆเอาไว้ว่ามันจะต้องมีทางเกิดขึ้นแน่ ขึ้นอยู่กับเวลาจะช้าหรือเร็วเท่านั้น และการได้พบกับ Brian May มือกีตาร์แห่งวง Queen นั้นเป็นแรงบันดาลใจอย่างแท้จริง ผมไม่ได้เป็นแฟนเพลงของ Queen แบบเข้าขั้นหลงใหล แต่หลังจากที่ได้พบเค้าในวันนั้นผมเริ่มที่จะฟังเพลงของวง Queen และตอนนี้ผมได้รับอิทธิพลอย่างมากจาก  Freddy Mercury แห่งวง Queen ด้วยครับ ผมกับเค้าล้วนก็ดูดีทั้งคู่ใช่ไม๊ละฮะ?? (หัวเราะ)

ตอบตามตรงนะครับ ไม่ครับ (หัวเราะ)
Taeyang:
ผมไม่ได้พูดถึงเรื่องเทคนิคการร้องเพลงหรืออะไรแบบนั้นครับผมพูดถึง การเป็นอิสระ ,เมื่อก่อน ผมมีเรื่องมากมายในใจที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องเสียงเพลง ผมยังมีเรื่องในชีวิตของผมที่ผมไม่ได้รู้สึกภูมิใจกับมัน แต่ผมคิดว่าผมได้เปลี่ยนแปลงไปมากทีเดียว

ผมคิดว่าแฟนๆและคนอื่นๆก็มองเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ว่าเหมือนกันนะครับ การที่จู่ๆก็เต้นสนุกในรายการวาไรตี้ การที่ไปโอบ IU ดูไม่เหมือนตัวคุณเลยจริงๆ
Taeyang:
ผู้คนอาจจะรู้สึกไม่คุ้นเคยกับผมคนใหม่นี้นะครับ แต่นี่คือผมที่เป็นตัวผมจริงๆ ถ้าผมมีความคิดในใจว่าคนที่เป็นคนดังจะต้องสมบูรณ์แบบผมคงไม่แสดงออกแบบนี้ ผมตระหนักแล้วว่าผมเพียงแค่ต้องการที่จะเป็นอิสระเท่านั้นเองครับ

อ่า นี่เป็นคำอธิบายว่าทำไมคุณถึงเคลื่อนไหวเยอะขึ้นบนเวทีในช่วงหลังนี้ เมื่อก่อนคุณมักจะเคลื่อนไหวแบบจำกัดแต่ตอนนี้ เมื่อคุณขึ้นแสดงเพลง FANTASTIC BABY คุณดูมีความสุขและสนุกกับตัวเองจริงๆนะครับ
Taeyang:
ก่อนหน้านี้ ผมจะคำนวณท่าทางการเคลื่อนไหวของตัวเองไม่ให้ไปกระทบกับการหายใจเพื่อจะได้ร้องเพลงให้ดีขึ้น ผมจำเป็นต้องทำแบบนั้นเพื่อให้ตัวเองพอใจครับ แต่สิ่งที่ผมคิดในตอนนี้คือการทุ่มเทพลังแสดงออกถึงพลังดีๆไปบนเวทีออกไปเท่านั้น ผมเคยต้องทำสมาธิ 10 นาทีในห้องพักเพื่อจัดระเบียบความคิดก่อนขึ้นเวที แต่ในตอนนี้ผมจะหิ้วลำโพงติดไปกับตัวทุกที่และฟังเพลงที่ผมชอบ มันช่วยทำให้เรายึดติดกับอะไรที่เป็นจริงและช่วยขจัดความคิดเรื่องอื่นๆออกไปจากใจครับ


"ในท้ายที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเพลงแนวไหนก็ตาม สิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับเพลงของผม มีเพียงแค่ พลังงานดีๆเท่านั้น "




เมื่อครั้งที่คุณโปรโมทตัวเองในฐานะศิลปินเดี่ยวเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา คุณตั้งใจใส่ใจในทุกๆรายละเอียดในการบันทึกเสียง เช่นเดียวกับการแสดงออกบนเวทีด้วยเช่นกัน แต่ครั้งนี้ทุกๆอย่างดูเหมือนจะมีแรงกระตุ้นมากกว่าเดิมอีกนะครับ
Taeyang:
จริงๆแล้วนั่นเป็นพรสวรรค์ที่ผมมีครับ ณ จุดจุดนึงผมจะจัดการให้ตัวเองลงไปอยู่ในกรอบที่ผมคิดว่ามันควรจะต้องเป็น ได้อย่างพอดี ผมจะควบคุมตัวเองและกลายเป็นคนที่ยอมรับได้แต่ความสมบูรณ์แบบเท่านั้นในการทำการแสดงบนเวทีของตัวเอง  แต่พอมาคิดว่า เสียงเพลงนั้นมีหลากหลายมากมายมาก ผมก็ยังโง่พอที่จะไปค้นหาคำตอบกับมันอีก ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมยังเด็กเกินไปที่จะ หาคำตอบเหล่านั้นเจอ แต่แน่นอนครับ การกระทำเหล่านั้นมันก็เปิดโอกาสให้ผมได้รู้เรื่องเสียงเพลงมากขึ้นอีก ผมคิดว่าผมคงจะเจอคำตอบได้เองเมื่อเวลาผ่านไปครับ

มีเหตุการณ์อะไรเป็นพิเศษที่ทำให้คุณมีความคิดแบบนี้ไม๊ครับ??
Taeyang:
อืม ไม่มีเหตุการณ์อะไรพิเศษเกิดขึ้นครับแต่การเดินทางเมื่อปีที่แล้วสร้างอิทธิพลดีๆให้กับผมจริงๆ เมื่อปีที่แล้วผมได้เดินทางไปที่ LA โดยที่ไม่ได้วางแผนอะไรล่วงหน้าเลย และได้ไปที่สตูดิโอของ Chris Brown กับพี่เท็ดดี้ครับ การที่ได้เห็นว่าเค้าทำเพลงยังไงนั้นเป็นแรงบันดาลใจให้กับผมมากๆ  ผมหมายถึงว่า ศิลปินชาวเกาหลีเรานั้นก็สร้างสรรค์ผลงานเพลงที่แสนวิเศษออกมาเหมือนกันแต่พวกเราจำเป็นต้องคิดในเรื่องของความโด่งดังของเพลงนั้นๆอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ผมรู้สึกว่า คริส บราวน์เค้าไม่ได้สนใจในเรื่องอะไรแบบนี้เลย เค้าแค่ทำเพลงที่เค้าชอบ ผมค้นพบว่าเค้าบันทึกเพลงกันเป็นร้อยๆเพลงทีเดียวเพื่อที่จะทำอัลบั้มออกมาทีนึง  ที่นี่ เราจะไม่เริ่มอะไรทั้งนั้นหากเราเกิดไม่ชอบเพลงที่เราได้ยิน แต่ทางเค้าจะทดลองทุกสิ่งทุกอย่างก่อนไม่ว่าคุณจะชอบมันหรือไม่ก็ตาม ขอแค่ทำการบันทึกเสียงกันก่อน ผมได้เรียนรู้หนทางที่จะเข้าถึงดนตรีในรูปแบบใหม่ ผมชอบในเรื่องของเสียงเพลงมาโดยตลอดแต่ตอนนี้ผมตระหนักว่าผมมีความกังวลกับมันมากกว่าที่จะมีความสุขสนุกในการสร้างสรรค์เพลงออกมา

แนวคิดนี้สามารถเห็นได้ในอัลบั้มโซโล่ครั้งที่แล้วของคุณด้วยไม๊ครับ?? ผมได้ยินมาว่าคุณเริ่มทำเพลงหลังจากที่ได้เห็นหิมะตกผ่านทางหน้าต่าง เมื่อได้ฟังเพลงในอัลบั้มแล้ว ผมรู้สึกได้ว่าคุณมีอะไรในใจมากมายในขณะที่ทำเพลงเหล่านี้ออกมา
Taeyang:
ผมก็ไม่รู้ว่าเหตุผลจริงๆที่ทำให้มันออกมาเป็นแบบนั้นมันคืออะไรครับ เหมือนมีบางอย่างกำลังบังตาผมอยู่ คือ ผมมีสิ่งที่ตัวเองต้องการจะทำให้สำเร็จมากมายหลายอย่างแต่ผมกลับไม่มีพลังที่จะทำมันออกมาให้จนได้ มีคนกล่าวไว้ว่ามันกลายเป็นธรรมเนียมไปแล้วว่าวงนักร้องไอดอลจะต้องเผชิญกับการไม่ลงรอยกันเองภายในวงครั้งใหญ่หลังจากที่เดบิวครบ 5 ปี ซึ่งวงของเราก็มีปัญหาในเรื่องอื่นๆและอุบัติเหตุแทน ซึ่งเรื่องเหล่านี้มันทำให้ผมเหนื่อยล้าบ้างในระหว่างกระบวนการต่างๆ 

ในขณะที่ทำงานกันไม่ได้หยุด ผมแค่หยุดมองสิ่งต่างๆหยุดเรียนรู้สิ่งต่างๆและขอแค่เป็นที่รักของแฟนๆต่อไปให้ได้เท่านั้นก็พอ ซึ่งปกติแล้วในการเริ่มต้นการโปรโมทอัลบั้มทุกๆอัลบั้ม ผมจะวาดภาพรวมกว้างๆเอาไว้ว่า ผมจะต้องทำอะไร อะไรที่ผมจะต้องทำให้สำเร็จ แต่สำหรับอัลบั้ม Alive นี้ผมไม่ได้วาดภาพใดๆอะไรเอาไว้เลยครับ

ฟังดูแล้วผมรู้สึกเหมือนกับว่า คนภายนอกกำลังสร้างแรงกดดันให้คุณมากขึ้น แบบนั้นใช่ไม๊ครับ
Taeyang:
ครับ ผมคิดว่ามันคงเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนะ คือมันอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ยากนะครับ แต่ท้ายที่สุดแล้วผมคิดว่าตัวผมเองนั่นแหละที่ทำตัวเองให้ออกมาเป็นแบบนั้น ตอนนี้ผมเป็นอิสระจากการที่จะต้องคอยรับรู้ว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับผม จริงๆแล้วผมก็กำลังจะออกอัลบั้มเดี่ยวอีกอัลบั้มนึงในช่วงปลายปีที่แล้วนะครับแต่ว่าก็ทำไม่ได้ มันรู้สึกไม่ดีที่จะทำงานโซโล่ในขณะที่สมาชิกคนอื่นในวงกำลังประสบกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก ดังนั้นผมก็เลยท่องเที่ยวแทนและได้รับแรงบันดาลใจมากด้วย ผมเริ่มที่จะซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองและเริ่มเต้นอย่างไม่มีเหตุผลในรายการวาไรตี้ (หัวเราะ) 

ในช่วงเริ่มต้นอาชีพนักร้องนี้ของคุณ คุณแสดงออกถึงการเคลื่อนไหวที่เป็นธรรมชาติในขณะที่เต้น คุณได้พลังแบบนั้นกลับมารึยังครับ??
Taeyang:
ครับ ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าการแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติและเป็นอิสระนั้นเป็นพรสวรรค์ของผม และในท้ายที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเพลงแนวไหนก็ตาม สิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับเพลงของผม มีเพียงแค่ พลังงานดีๆเท่านั้น พลังงานที่ผมมีในฐานะศิลปินดาวรุ่งสามารถรู้สึกได้ผ่านเสียงเพลงที่ผมทำออกมาในขณะนั้น ไม่ว่ามันจะเป็นเพลง R&B หรืออะไรก็ตาม พลังงานที่ศิลปินมีคือทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับเพลงที่พวกเค้าทำออกมา และสิ่งนี้อาจจะเป็นเหตุผลที่ช่วยอธิบายได้ว่าทำไมการบันทึกเสียงครั้งแรกจึงเป็นครั้งที่ดีที่สุดในการอัดเพลงแต่ละเพลง คุณอาจจะได้เวอร์ชั่นที่ดีกว่าในเรื่องเทคนิคการร้องในการบันทึกเสียงในครั้งต่อๆไป แต่พอมาถึงการตัดสินใจขั้นสุดท้ายแล้วเราก็มักจะเลือกเวอร์ชั่นแรกที่ลงมือบันทึกเสียงอยู่ดี เกือบทุกเพลงในอัลบั้ม Alive นี้ก็เป็นเวอร์ชั่นที่เราบันทึกเสียงรอบแรกในสตูดิโอทั้งนั้น ครับ

เสียงร้องของคุณในเพลง  "FANTASTIC BABY" ออกจะน่าประหลาดใจมากนะครับถ้าคิดถึงว่ามันเป็นเวอร์ชั่นแรกที่คุณเริ่มบันทึกเสียงกัน เพลงนี้โดยพื้นฐานของเพลงแล้วเป็นเสียง electronic เร็วๆ แต่เสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของคุณที่เรามักจะได้ยินในเพลงแอฟริกันอเมริกานั้นยังไม่ได้หายไปไหนเลย ซึ่งทุกอย่างมันกลับไปลงตัวกันได้อย่างกลมกลืนในเสียงขึ้นลงแบบนั้น
Taeyang: วิธีที่คุณใช้ในการร้องเพลงนึงๆนั้นไม่ได้สำคัญมากขนาดนั้นครับ ไม่ว่าจะเป็นเพลงในแบบแอฟริกันอเมริกันหรือเพลงในแนวที่แตกต่างไป ตอนนี้ผมมีพลังของตัวเองที่จะทำให้เพลงทุกๆเพลงออกมาในแบบของผมได้เองครับ

งั้นคุณคงต้องมีเพลงหลายๆสไตล์ในใจที่คุณอยากจะร้องในอนาคตแน่ๆเลยใช่ไม๊ครับ
Taeyang: ยกตัวอย่างนะครับ ตอนนี้ผมมีภาพของอัลบั้มเดี่ยวในอนาคตของผมที่กว้างมากขึ้น ผมมีความลุ่มหลงเป็นพิเศษที่จะผลักดันเพลงในแบบแอฟริกันอเมริกันมาใช้ในอัลบั้มเดี่ยวของผมเพราะผู้คนมักจะมีคติโอนเอียงในตัวผมเวลาที่ทำเพลงในแนวนี้ ผมไม่สามารถหาได้ว่าจริงๆแล้วผมอยากที่จะทำเพลงในแบบไหน มันอาจจะทำให้ผมหยุดที่จะซึมซับเรียนรู้เพลงในแนวต่างๆที่ผมสามารถที่จะเรียนรู้ได้ในอดีตที่ผ่านมา ผมเคยที่จะฟังแต่เพลงในแบบแอฟริกันอเมริกันตลอดในอดีต แต่ตอนนี้มันมีความแตกต่างหลากหลายมากขึ้นครับ


"ผมต้องการที่จะทำให้ทีมนี้เป็นทีมที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก"




งั้นในตอนนี้คุณไม่ได้มีช่องแห่งความแตกต่างในการเป็นแทยังในฐานะที่เป็นหนึ่งในสมาชิกวงบิกแบงกับแทยังในฐานะที่เป็นศิลปินเดี่ยวแล้วสิครับ??
Taeyang:
คุณเข้าใจถูกแล้วครับ เมื่อก่อนผมเคยที่จะปฏิเสธคำถามแบบนี้ผมเดาว่าในตอนนั้นตัวเองคงอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเลยไม่อยากตอบครับ คือ เคยมีช่วงเวลาที่ผมคิดว่างานที่ผมทำกับบิกแบงเป็นงานที่ผมต้องแบ่งกันทำกับเพื่อนๆในวงแต่ถ้าเป็นอัลบั้มของตัวเองผมจะใส่ความพยายามทั้งหมดลงไปเต็มร้อยเปอร์เซ้นต์ทีเดียว แต่สุดท้ายแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดมันอยู่ตรงที่ว่าไม่ว่าผมจะไปอยู่ตรงไหนของเพลง เพลงที่ผมได้ร้องมันต้องยอดเยี่ยมที่สุดในทุกๆที่ ซึ่งในระหว่างการทำงานในอัลบั้ม Alive นี้ ผมรู้สึกว่าผมต้องการที่จะทำให้ทีมนี้เป็นทีมที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก สภาวะที่เคยรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่เมือก่อนเคยรู้สึกนั้นในตอนนี้มันไม่มีความหมายใดๆเลยละครับ

ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกเหรอครับ?? ผมเดาว่าคงไม่ใช่อะไรที่เหมือนการได้ไปติดชาร์ต Billboard อะไรแบบนั้นนะครับ
Taeyang:
แน่นอนต้องไม่ใช่อยู่แล้วฮะ ที่พูดถึงยอดเยี่ยมที่สุด ผมหมายถึงการที่เรากลายเป็นคนที่มีอิสระมากกว่าคนอื่นทั้งหมดเวลาที่เราทำงานเพลงกันครับ

การทัวร์คอนเสริต์รอบโลกของคุณที่กำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้านี้แล้วมันจะสามารถเป็นโอกาสให้คุณได้ทำตามที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ แบบนั้นสิครับ
Taeyang:
ผมคาดหวังมากๆเลยครับ ผมสังเกตเห็นว่ามีสายตาคนมากมายเกินกว่าที่เราคาดหมายเอาไว้กำลังจับจ้องมาที่เรา ตามเทคนิคแล้ว ตอนนี้พวกเราอยู่ในจุดที่กำลังจะเริ่มต้นและเราก็มีอะไรมากมายที่เราต้องการอยากจะได้รับประสบการณ์ตรงนั้นๆดู เราต้องการอยากจะแสดงให้โลกเห็นครับว่า นักดนตรีชาวเกาหลีสามารถทำอะไรได้บ้าง

คุณคงต้องทุ่มเอาพลังงานทั้งหมดของตัวเองออกมาจริงๆนะครับเนี่ย (หัวเราะ)
Taeyang:
แผนในปีนี้ของผมคือ ห้ามหยุดพัก (หัวเราะ) ไม่ได้ล้อเล่นนะครับ ผมไม่เคยสนใจเลยว่าผมจะอายุเท่าไหร่แล้วจนมาถึงตอนนี้ แต่ดูเหมือนว่าเรืองของอายุกลายเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่คิดไม่กังวลไม่ได้ซะแล้วฮะ การที่กำลังจะมีอายุ 24 ปี นี่อาจจะเป็นปีที่ดีที่สุดของผมในเรื่องของความสำเร็จก็เป็นได้ ผมชอบที่จะออกไปเที่ยวเล่นแต่ตอนนี้ผมไม่ทำแบบนั้น พลังงานและพรสววรค์ในตัวของผมที่ผมไม่สามารถควบคุมมันได้ หากผมใช้มันหมดไปกับการเที่ยวเล่นข้างนอกและเล่นสนุกกับเพื่อนๆ ผมก็จะไม่เหลืออะไรมาแสดงบนเวที ดังนั้นผมจึงมักจะเก็บรักษาพลังงานเหล่านั้นไว้เสมอ และนี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ว่าทำไมช่วงเวลาที่เราหยุดชะงักกันไปเป็นช่วงที่ผมทนแทบจะไม่ได้เลย เป็นเพราะผมไม่มีอะไรจะทำนั่นเองครับ (หัวเราะ)

คุณดูตื่นเต้นจริงๆกับทุกอย่างที่คุณกำลังจะได้ลงมือทำในอนาคตนะครับ (หัวเราะ)
Taeyang:
ผมรักมันครับ การที่ได้ทำงานในอัลบั้มนี้เป็นช่วงที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของผมตั้งแต่เดบิวมาเลยละครับ ผมได้ทำในสิ่งที่ผมอยากจะทำและเราก็มุ่งหน้าไปสู่ทิศทางที่ถูกต้อง ยกตัวอย่างเช่นในเรื่องของวงดนตรีที่เล่นในคอนเสริต์นั้นก็สมบูรณ์แบบ นักดนตรีที่เล่นในวงซึ่งมาจากต่างประเทศได้ฝึกซ้อมเล่นเพลงของพวกเราล่วงหน้ามาก่อนแล้วและเล่นให้เราฟัง พวกเค้าได้ซ้อมเพลงทั้งหมดของเรามาอย่างสมบูรณ์แบบจริงๆ เหมือนกับว่าเราได้ก้าวไปสู่โลกใบใหม่ การเล่นดนตรีของพวกเค้าถึงกับทำให้ผมตกหลุมรักอีกครั้งกับเพลงที่ผมเริ่มเบื่อที่จะฟังมันไปแล้วเลยละครับ

งั้นมันจะมีความแตกต่างเกิดขึ้นกับเพลง  "Look Only at Me" เมื่อมันเล่นกับวงดนตรีสดไม๊ครับ??
Taeyang:
ก็เขินอยู่นะครับที่จะต้องพูดออกมา แต่เพลง  "Look Only at Me" เป็นเพลงที่วิเศษสุดจริงๆครับ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันเป็นเพลงของผม (หัวเราะ) ผมมีความรู้สึกว่าผมยังเด็กเกินไปในตอนที่ทำการบันทึกเสียงเพลงเพลงนี้เมื่อไม่กี่ปีก่อน ตัวเพลงมันค่อนข้างยากที่จะทำการตีความออกมาด้วยดังนั้นผมจึงไม่สามารถที่จะอินไปกับเพลงได้ในตอนที่ร้องเพลงนี้ ตอนนี้ผมคิดว่าผมสามารถทำให้มันดีขึ้นได้นะครับถ้ามีโอกาสได้ทำอีก

ตอนนี้เมื่อกลับไปมองตัวเองในช่วง 6 ปีที่ผ่านมารู้สึกยังไงกับมันบ้างครับ??
Taeyang:
เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมคิดถึงตัวเองในอดีต ผมจะคิดว่าตัวเองโง่จริงๆ (หัวเราะ) ผมไม่รู้ว่าควรจะพูดคำคำนี้กับตัวเองรึเปล่า (หัวเราะ) แต่ผมเป็นคนที่ไร้เดียงสาและ ซื่อมากเมื่อย้อนกลับไปครับ

คำถามสุดท้ายแล้ว บิกแบงมีความหมายยังไงต่อแทยังครับ??
Taeyang:
ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ผมได้รับคำถามที่เกี่ยวกับบิกแบงมา ผมจะตอบนักข่าวไปเสมอว่า " บิกแบงก็คือบิกแบง" ครับ  ผมคิดว่านี่เป็นวิธีที่ถูกต้องที่สุดแล้วในการตอบคำถามนี้ ไม่ว่าผมจะใช้อะไรมาเปรียบเปรยมันก็ไม่เหมาะที่จะเอามาแทนกลุ่มของเรา ไม่ว่าคนอื่นจะคิดว่าเราเป็นยังไงไม่ได้มีผลกระทบในตัวตนของพวกเราเลยครับ และมันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ที่เราจะหมดความโด่งดังไปในอนาคต แต่ผมไม่เคยกลัวเลยจริงๆ ไม่เป็นไรเลยหากเราจะต้องฝ่าฟันกับเหตุการณ์ต่างๆและไม่สามารถที่จะขึ้นแสดงบนเวทีได้อีก เหตุผลที่ว่าทำไมเราถึงสามารถทำงานเพลงของเราต่อไปได้นั้นเป็นเพราะเราทั้งห้าคนต่างมีความสุขที่ได้ใช้เวลาร่วมกันในฐานะทีมเดียวกัน เราทุกคนต่างก็รักในเสียงเพลงไม่ว่าเราจะไปที่ไหน ไม่ว่าเราจะทำอะไร ผมรู้สึกขอบคุณมากๆที่เรามีกันและกัน ผมไม่มีความกลัวใดๆและมันจะเป็นแบบนี้ต่อไปครับ

source: 10 asia thai translation by mew mini museum
※ Any copying, republication or redistribution of 10Asia's content is expressly prohibited without prior consent of 10Asia. Copyright infringement is subject to criminal and civil penalties.

========================

นานมากๆๆที่ไม่ได้แปลสัมภาษณ์ แนวบทความแบบนี้นะค่ะ ยาวมหากาพย์น่าดู ต่อจากยองเบยังมีของสมาชิกในวงคนอื่นๆรออยู่ด้วย วันที่นั่งแปลของยองเบนี้ ของเน่และทาบิก็ออกมาแล้ว ทยอยๆแปลแล้วกันนะค่ะ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น