วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

สัมภาษณ์ Seungri แห่งวง BIGBANG จาก 10ASIA


ลมมักพัดแรงที่สุด ณ จุดสูงสุดบนยอดเขา  เพราะความโด่งดังและชื่อเสียงในช่วงปีที่ผ่านมานั้นเป็นช่วงที่อยู่บนจุดสูงสุด เหตุการณ์ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ที่บิกแบงต้องเผชิญผ่านในช่วงนั้นเป็นช่วงที่ยิ่งสร้างความยากลำบากให้กับสมาชิกในวงอย่างมาก หลังจากที่ต้องหยุดชะงักและใช้เวลาในการมองสะท้อนตัวตนของตัวเองอย่างยาวนาน ในตอนนี้บิกแบงไ้ด้ลุกขึ้นยืนอีกครั้งยืดเส้นยืดสายและดันอัลบั้มใหม่ที่มีชื่อว่า ALIVE ออกมา  อัลบั้มนี้ได้รับการต้อนรับอย่างมากจากแฟนๆของพวกเค้าซึ่งเป็นผลของความสำเร็จที่อัลบั้มนี้ได้รับ ไม่ว่าจะเป็นสถิติใหม่ที่สร้างความฮือฮาให้กับชาร์ตเพลงต่างๆ การได้รับรางวัลในเวทีระดับนานาชาติ และ ข่าวมากมายเกี่ยวกับกิจกรรมในการโปรโมทครั้งนี้ เหล่านี้ล้วนยิ่งตอกย้ำความจริงที่ว่า บิกแบงได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งจริงๆ

ถึงแม้ว่าพวกเค้ากำลังจะยืนอยู่ในสถานการณ์ปัญหาขั้นวิกฤต   พวกเค้าก็ยังไม่ยอมแพ้ แทนที่จะบรรยายทุกอย่างออกมาผ่านเนื้อเพลงว่าพวกเค้าต้องเจออะไรมากบ้าง พวกเค้ากลับบอกใบ้ว่าในตอนนี้พวกเค้าอยู่ในช่วงเริ่มต้นใหม่ โดยกล่าวว่า " ฤดูหนาวกำลังจะผ่านพ้นไปแล้วฤดูใบไม้ผลิกำลังจะเข้ามา" ผ่านเพลง BLUE เพลงเพลงนี้เป็นเพลงที่ฟังสบายๆแต่กลับส่งเสียงดังที่สุดในการกลับมาครั้งนี้มากกว่าเพลงไหนๆในอัลบั้ม

ทาง 10asia ได้สัมภาษณ์ซึงรี ผู้ซึ่งเป็นคนนำเอาฤดูใบไม้ผลิมาสู่ชีวิตบิกแบง กลยุทธิ์ในการเอาตัวรอดของเค้าตลอด 7 ปีที่ผ่านมาในฐานะคนดัง ทำให้เค้ายังคงมีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้และยังคงพัฒนาก้าหน้าไปได้ภายใต้สถานการณ์ที่กดดันเหมือนกับน้ำที่กลายเป็นน้ำแข็งในช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมา เรื่องราวของเค้าซื่อสัตย์ มั่งคง เปิดเผย แต่ก็สร้างความประหลาดใจให้เราด้วยไปพร้อมๆกัน



"พูดตามตรงนะครับ ผมคิดว่า บิกแบงคงไม่สามารถที่จะกลับเข้ามาในวงการเพลงได้อีกแล้วละครับ "


พวกคุณเสร็จการโปรโมทที่เกาหลีแล้วนี่ครับ แต่คุณก็ยังดูยุ่งๆอยู่กับกิจกรรมในต่างประเทศและงานในฐานะพรีเซ็นเตอร์ในโฆษณาต่างๆอยู่นะครับ
 Seungri: มันไม่ได้ยุ่งมากอย่างที่คุณคิดหรอกครับ มันเหมือนกับเป็นคอนเซ็ปซ์ของเราอะนะครับที่ต้องทำตัวให้ยุ่งเข้าไว้ (หัวเราะ) จริงๆแล้วเรามีความกดดันมากมายกับทุกอย่างที่เราต้องเผชิญในช่วงที่ผ่านมาครับ รายการทีวีที่เราสามารถไปเข้าร่วมได้ก็มีจำกัดและเราก็ต้องแบกรับน้ำหนักทั้งหมดของความคาดหวังที่แฟนๆมีต่อเราเอาไว้ที่ตัวเองอีก ดังนั้นเราจึงมุ่งความตั้งใจที่จะแสดงออกมาให้เห็นว่าเรายังคงมีชีวิตอยู่และสบายดี ผมพยายามที่จะแสดงออกด้านที่จริงจังมากขึ้นของตัวเองออกมามากกว่าภาพลักษณ์แบบคล่องแคล่วว่องไวเหมือนแต่ก่อน ส่วนนึงก็เป็นเพราะผมอยากจะเป็นที่จดจำและได้รับความดีความชอบจากสมาชิกในวงด้วยครับ

ในตอนที่ เพลง BLUE ถูกปล่อยออกมา พวกคุณได้รับคำชมมากมายจากนักวิจารณ์สายงานเพลงในเรื่องของเสียงที่นิ่งเรียบไม่มีที่ติอย่างน่าประหลาดใจในท่อน intro นะครับ
Seungri:
มันเป็นลูกเล่นในขณะที่ทำการบันทึกเสียงเพลงนี้ครับ มีเพลงของบิกแบงไม่กี่เพลงที่ผมจะร้องในท่อนคอรัส ผมมีความกดดันมากๆที่เป็นคนที่จะต้องร้องในท่อน intro แต่จีดราก้อนก็มาให้กำลังใจโดยการพูดกับผมว่า " มีแต่เสียงนายเท่านั้นนะที่จะทำให้เพลงเพลงนี้สมบูรณ์แบบ ฉันเขียนเพลงนี้ออกมาโดยนึกถึงเสียงของนายไปด้วยในใจนะ " ผมจำได้ว่าเราปรับแต่งในบางช่วงของเพลงนี้ระหว่างที่ทำการบันทึกเสียงซ้ำแล้วซ้ำอีกครับ

เพลงที่ใช้ในการโปรโมทที่ผ่านมามักจะเป็นเพลงที่มีจังหวะเร็วและน่าตื่นเต้น ในขณะที่ เพลง BLUE นั้นให้ความรู้สึกสงบและติดหู ซึ่งนับว่าแตกต่างไปนะครับ
Seungri:
ไม่ว่าคุณจะฟังเพลงผ่านลำโพงหรือผ่านทางหูฟัง คุณจะเริ่มรู้สึกเบื่อเพราะดนตรีที่มันมากไปในบางที เราต่างมีความเห็นตรงกันที่ว่าอยากจะทำเพลงที่ผู้คนจะไม่รู้สึกเบื่อเวลาฟังมัน ดังนั้นทั้งอัลบั้มนี้จะมีอารมณ์ที่อ่อนไหวกว่าอัลบั้มชุดที่ผ่านๆมาครับ

การที่จะต้องร้องเพลงนี้ให้ออกมาเป็นแบบที่ได้ฟังกันแบบนี้ เป็นยังไงบ้างครับ??คุณไม่เพียงแต่ต้องสนใจในเรื่องของทำนองเพลงเท่านั้นแต่ในเรื่องของเนื้อเพลงก็มีความสำคัญด้วยเช่นกันใช่ไม๊ครับ??
Seungri:
มีคนได้ให้คำแนะนำผมว่าให้ใส่ใจเป็นพิเศษในเนื้อเพลง แต่ประโยคที่ว่า " ฤดูหนาวได้ผ่านพ้นไปแล้วฤดูใบไม้ผลิกำลังจะเข้ามา " ด้วยตัวของประโยคเองก็มีความหมายซ่อนอยู่มากมายแล้วนะครับ พูดตามตรงนะครับ ผมไม่คิดว่าบิกแบงจะสามารถกลับเข้ามาในวงการเพลงได้อีก ผมยังเด็กเกินไปและหวาดกลัวที่จะเอาชนะความผิดหวังของผู้คนที่มีต่อเรา เมื่อตอนที่เรากลับมารวมตัวกันอีกครั้งหลังจากที่ห่างกันไปนานเพื่อที่จะเดินทางไปร่วมงาน MTV Europe Music Awards ผมมองเห็นแสงสว่างและคิดว่าเราสามารถทำมันได้จริงๆ การเดินทางใช้เวลาบนเครื่องบิน 14 ชั่วโมงและขับรถต่ออีก 6 ชั่วโมงเพื่อไปในเมืองที่จัดงาน เราไม่มีความรู้สึกเสียใจเลยที่เราทั้ง 5 มารวมตัวกันเป็นทีมนี้ขึ้นมาครับ

แหล่งพลังงานเหล่านั้นมันมาจากไหนครับ??
Seungri: ผมคิดว่า มันมาจากความจริงที่ว่าเราทั้ง 5 คนต่างก็มีเป้าหมายเดียวกันครับ เราต่างก็รักในเสียงเพลง พวกเราแต่ละคนก็เหมือนกับเสาที่คอยค้ำจุนกันและกันเป็นทีมเวิคส์ ซึ่งถ้าหากใครคนใดคนนึงต้องล้มลง เราทุกคนก็อาจจะต้องล้มลงเช่นกัน การที่มีเป้าหมายร่วมกันนั้นมันสนุกเวลาที่เราติดต่อสื่อสารกันนะครับเราต่างก็มีพื้นฐานคล้ายๆกันดังนั้นมันจึงสร้างแรงเสริมซึ่งกันและกันเวลาที่เรามาอยู่รวมกันเป็นทีมเดียวกันครับ

"ตอนนี้ ผมชอบที่จะช่วยเหลือคนอื่นให้มีความโดดเด่นมากขึ้นครับ"



เป็นเพราะพวกคุณผ่านอะไรมามากในช่วงนี้นะครับ แต่คุณมีการเตรียมการในเรื่องของการแสดงบนเวทียังไงครับเพราะดูว่าการแสดงในตอนนี้มีความแตกต่างออกไปเมื่อเทียบกับแต่ก่อน พูดได้ไม๊ครับว่า อาจจะเป็นเพราะตอนนี้คุณรู้แล้วว่าจะสร้างความประทับใจให้กับคนดูได้ยังไงในตอนที่ต้องร้องเพลงร่วมกับคนในทีม??
Seungri:
ผมไม่สามารถที่จะพูดได้ว่าผมเป็นคนรับผิดชอบหลายๆอย่างในการที่ต้องขึ้นแสดงเป็นทีมหรอกครับ แต่ผมมักจะรู้สึกประหม่าเสมอเพราะมันเป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้เลยว่ากล้องจะหันมาจับคุณเมื่อไหร่ ถึงแม้ว่าผมจะเป็นแค่ส่วนประกอบเล็กๆในภาพใหญ่ภาพนี้ แต่ผมก็รู้สึกถึงความรับผิดชอบที่จะต้องทำในส่วนของผมให้เต็มที่ ผมต้องทำทุกอย่างที่ผมจะทำได้ให้กับทีมครับ

การแสดงออกทางสีหน้าของคุณดูน่าประทับใจไม่น้อยนะครับ ตอนนี้คุณกลายเป็นชายหนุ่มเต็มตัวแล้ว
Seungri:
ผมมีประสบการณ์ในการแสดงผ่านละครทีวีเรื่องนึงเป็นช่วงสั้นๆครับ และเป็นเรื่องจริงครับที่ศิลปินจำเป็นจะต้องแสดงไปด้วยเวลาที่ร้องเพลง เมื่อดนตรีเริ่มบรรเลงคุณจะต้องร้องเพลงในขณะที่คิดถึงเรื่องราวประนึงภาพยนตร์ที่กำลังฉายบนจอไปด้วย คุณ  Lee Byung-hun นักแสดงเคยให้สัมภาษณ์ว่า เค้ารู้ตัวเสมอว่ากล้องกำลังจับเค้าอยู่ถึงแม้ว่าเค้าจะหลับตาอยู่ก็ตาม ผมคิดว่านี่แหละที่คุณจะบอกได้ว่า เป็นมืออาชีพอย่างแท้จริง นักร้องก็จำเป็นจะต้องมั่นใจว่าตำแหน่งกล้องอยู่ตรงไหนและจินตนาการถึงว่า ตากล้องจะถ่ายภาพออกมายังไง เช่นเดียวกันครับ

งั้นผมเดาว่าคุณหมายถึงในตอนนี้คุณสามารถที่จะมองสิ่งต่างๆในมุมมองที่กว้างกว่าเก่า ลักษณะเช่นนี้ปรากฏออกมาเมื่อคุณไปร่วมรายการวาไรตี้โชว์ด้วยไม๊ครับ?? ในรายการtalk show คุณกระตือรือร้นมากขึ้นในการที่จะช่วยสมาชิกวงคนอื่นๆพูดในส่วนของเค้าออกมามากกว่าที่จะมุ่งไปที่การพูดแต่เรื่องของคุณเอง นะครับ
Seungri:
ยกตัวอย่างในรายการ "Strong Heart" ทางช่อง SBS นะครับ ผมจะรู้สึกกระตือรือร้นในการที่จะบอกเล่าเรื่องในส่วนของผมในรายการถึงกับขนาดที่ต้องยกมือขอให้ตัวเองได้พูดเลยทีเดียว แต่ในตอนนี้ผมไม่มีความกระตือรือร้นที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวเองอีกต่อไปแล้วละฮะ แทนที่จะทำทุกอย่างคนเดียว ผมจะลดตัวเองลงมาและพยายามที่จะช่วยให้คนอื่นได้โดดเด่นมากขึ้น เมื่อผมคิดย้อนกลับในมุมมองของผู้ชม มันดูไม่ดีเท่าไหร่เลยที่ได้เห็นตัวเองพยายามที่จะพูดมากๆและทำตัวโดดเด่น ดังนั้นในตอนนี้ผมจะส่งเรื่องไปที่สมาชิกคนอื่นอย่างแนบเนียนโดยการจะถามไป เช่น " แล้วของแดซองละครับเป็นยังไงบ้าง??" แบบนั้นครับ

มันน่าจะเป็นความยากไม่น้อยนะครับสำหรับคนดังที่จะพยายามไปเข้าใจและคิดแทนคนอื่นแบบนั้น เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนที่มีชื่อเสียงไปแล้วนะครับที่จะต้องพยายามทำตัวให้โดดเด่นและให้คนสังเกตเห็น
Seungri:
แต่ถ้าหากไม่มีการปรับปรุงพัฒนาตัวเองหรือแก้ไขในข้อบกพร่อง คุณก็ไม่สามารถที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้นะครับ หลังจากที่ได้พบปะผู้คนที่มีพื้นฐานที่มาแตกต่างกัน หลังจากที่ได้เดินทางไปต่างประเทศผ่านการทำงานของวงและได้เรียนรู้วัฒนธรรมที่หลากหลาย ผมคิดว่าผมเติบโตขึ้นทีละเล็กทีละน้อย คุณจะได้เรียนรู้อะไรมากมายผ่านประสบการณ์ที่ได้รับครับ

นอกจากเรื่องที่ได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว คุณหาเจอรึยังครับว่าคุณรับบทบาทใดในวงบิกแบงนี้??
Seungri:
ผมอยากที่จะรับหน้าที่เป็นคนคอยตรวจดูความเรียบร้อยเป็นคนสุดท้ายในวงครับ คือ ในขณะที่สมาชิกในวงคนอื่นๆกำลังรับบทนำและกำลังนำภาพรวมทั้งหมดกันอยู่ ผมก็จะเป็นคนทำให้ทุกอย่างดูมีสีสันขึ้น ไม่ว่าจะเป็น บนเวที ในรายการtalkshow หรือในรายการวาไรตี้โชว์ งานของผมคือการคอยเต็มเติมส่วนที่สมาชิกในวงคนอื่นทำไม่ได้ครับ

สิ่งที่คุณยึดถือเอาไว้ในใจในตอนที่ทำงานเดี่ยวของคุณแน่นอนว่าจะต้องมีความแตกต่างไปจากเวลาที่ทำงานในนามบิกแบงใช่ไม๊ครับ?? ผมรู้สึกว่าคุณดูจะสนุกกับตัวเองในฐานะเป็นศิลปินเดี่ยวทั้งบนเวทีและในรายการทีวีด้วย
Seungri:
มันไม่เหมือนกับที่คุณคิดหรอกครับ ในการทำงานเดี่ยวนั้นมีน้ำหนักความรับผิดชอบหนักมากเพิ่มเข้ามาและมันทำให้เกิดความเครียดมากจริงๆ ในการที่ไม่มีเวลาเลยและถูกเร่งแบบนั้นเป็นตัวปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์และทำให้มีทางเลือกไม่มากนักที่จะนำมาใช้ในการตัดสินใจ ผมต้องการที่จะเป็นคนตัดสินใจในขั้นตอนสุดท้ายในทุกๆเรื่องดังนั้นในตอนที่ทำงานเป็นกลุ่มผมจะไม่ค่อยสนใจในเรื่องนี้เท่ากับในตอนที่ทำงานเดี่ยวครับ เพราะในตอนที่ทำงานเป็นกลุ่ม เรามีหัวหน้าวงและสมาชิกอีก 5 คนร่วมแสดงความคิดเห็นออกมาและช่วยกันตัดสินใจได้ ซึ่งมันเป็นผลต่อการกำกับเวทีและการที่เราแต่ละคนก็มุ่งทำส่วนของตัวเองให้ดีที่สุดไปครับ

แต่มันก็ดูสมกับความเหนื่อยนะครับ เมื่อคุณเป็นผู้รับผิดชอบในทุกสิ่ง ด้วยตัวของคุณเอง
Seungri:
อัลบั้มเดี่ยวของผม VVIP เป็นอัลบั้มที่ออกมาแบบไม่ได้วางแผนมาก่อนครับ แต่พูดตามตรงนะครับว่า ผมมั่นใจมากๆว่าผลจะต้องออกมาดีมากแน่นอน แต่หลังจากที่เวลาผ่านมากว่า 2 ปีนี้ทำให้ผมตระหนักว่าตัวเองค่อนข้างโง่นะครับที่มั่นใจแบบนั้นที่คิดว่าจะสามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเองแบบนั้น ผมเหมือนกับเป็นผู้เล่นกองกลางแต่ดันจะไปบุกยิงประตูด้วยตัวเอง ความคิดนี้โผล่เข้ามาในใจผมในตอนที่ผมดูฟุตบอลนัดของ Manchester United ครับ มันเหมือนกับคงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีแน่ถ้าจะจับเอาคุณ Park Ji-sung ลุยบุกเดี่ยวแบบที่ Rooney ทำ ความหลงใหลของผมมันมีมากเกินกว่าความสามารถของผมครับ ผมเซ่อซ่าจริงๆในตอนนั้น

หมายความว่า คุณที่เติบโตขึ้นคนนี้จะตัดสินในแบบที่ต่างไปเหรอครับ ถ้าได้มีโอกาสได้ทำงานเดี่ยวของตัวเอง??
Seungri:
มีคนถามผมเยอะมากเลยครับว่าเมื่อไหร่จะออกอัลบั้มเดี่ยวอีก แต่ผมไม่มีความสนใจที่จะทำแบบนั้นเลยแม้แต่นิดเดียวในช่วงนี้ครับ ทุกอย่างมีช่วงเวลาของมันและนี่ไม่ใช่เวลาของผมในการทำงานเดี่ยว ในปี 2012 นี้สมาชิกในวงคนอื่นวางแผนที่จะออกอัลบั้มเดี่ยวและพี่ท็อปก็กำลังเตรียมตัวสำหรับโครงการในงานด้านการแสดงโครงการใหม่ ผมคิดว่าเวลาของผมน่าจะเป็น 2-3 ปีต่อจากนี้ครับ (หัวเราะ)

คุณเริ่มจะอ่านสถานการณ์จากมุมมองของโปรดิวเซอร์แล้วนะครับเนี้ย (หัวเราะ)
Seungri:
เป็นเพราะนี่เป็นปีที่ 7 ของผมแล้วนะครับตั้งแต่เดบิวมาผมสังเกตว่าทุกอย่างมีจังหวะของมัน เป็นเพราะว่าอัลบั้มเดี่ยวของผมนั้นในเชิงธุรกิจถือว่ายอดขายไม่ได้ประสบความสำเร็จ มันคงต้องอาศัยเวลาในการที่จะทำอัลบั้มต่อไปให้สมบูรณ์แบบ ผมต้องได้รับความความจดจำจากคนให้มากขึ้นกว่านี้ก่อนและต้องมีทักษะและเทคนิคให้มากขึ้นกว่านี้ก่อน จากการที่มีสมาชิกในวงคอยช่วยเหลือ ผมเดาว่าตัวเองน่าจะสร้างพื้นฐานที่มั่งคงให้กับการเป็นศิลปินเดี่ยวต่อไปในภายภาคหน้าครับได้ครับ

"ผมไม่เคยชอบความพ่ายแพ้เลย"




มันต้องใช้เวลานานทีเดียวที่เด้กชายคนนึงที่เปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจที่อยากจะเป็นศิลปินและตกลงใจเข้าร่วมการออดิชั่นคนนี้ เติบโตเป็นมืออาชีพที่มีแบบแผนอย่างชัดเจนในชีวิตแบบนี้ คุณรู้สึกยังไงกับความเปลี่ยนแปลงไปนี้ของตัวเองครับ??
Seungri:
ผมเกลียดความพ่ายแพ้มาโดยตลอดครับ และความคิดนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย ในตอนที่ต้องเข้าร่วมการออดิชั่นเพื่อที่จะได้มาเป็นสมาชิกในวงบิกแบง มันเป็นเรื่องน่าอายมากที่จะคิดถึงตัวเองที่ต้องกลับบ้านหลังจากที่สอบตกในการแข่งขัน ผมถึงกับขนาดจินตนาการนึกภาพผู้คนชี้นิ้วใส่หน้าผม กระซิบกันลับหลังผมและภาพคุณครูต้องห้ามคนเหล่านั้นให้หยุดล้อผมซักที มันเป็นเรื่องที่โหดร้ายมากๆที่จะนึกภาพเหล่านั้นในหัวของผม หากผมทำอะไรผิดและโดนสังคมวิภาควิจารณ์ผมมักจะคิดว่าตัวเองเป็นผู้แพ้แล้วละครับ

มันเหมือนกับการต่อสู้กับตัวเองรึเปล่าครับ?? 
 Seungri: มันเป็นการที่ยืนหยัดในการทำอะไรบางอย่างโดยการที่ผลักดันตัวเองให้เต็มความสามารถครับ ผมไม่ได้เหนือกว่าคนอื่นตรงไหนหรอกครับแต่ผมพยายามที่จะไม่แพ้ เมื่อ 3 ปีก่อนผมบอกกับท่านประธานบริษัท วายจี เอนเตอรืเทนเม้นซ์คุณ Yang Hyun-suk ว่า "ผมจะทำงานอย่างหนักครับ" แต่เค้ากลับทำให้เป็นตกใจมากโดยให้คำตอบกลับมาว่า " เรานายจะทำอะไรได้อีกละถ้าไม่พยายามอย่างหนัก??" ผมคิดว่ามันเป็นคำพูดที่ทำให้ผมช็อคมากที่สุดที่ผมได้ยินนับตั้งแต่ได้เดบิวในนามของบิกแบงเลยละครับ แต่เค้าพูดถูกนะครับ ผม"ต้อง"ทำงานอย่างหนักไม่ใช่เพื่อบริษัท ไม่ใช่เพื่อคนอื่นแต่เพื่อตัวเอง ดังนั้นในทางเทคนิคแล้วมันดูไม่เข้าท่าเลยที่ผมจะไปบอกกับคนอื่นว่าผมจะทำงานอย่างหนักซึ่งสมาชิกทุกคนในวงต่างก็เป็นเหมือนกัน ท่านยางอาจจะดูเป็นครูฝึกที่เหี้ยมนะครับแต่สิ่งที่เค้าพูดกับผมในวันนั้นได้เป็นการเพิ่มเชื้อเพลิงให้กับไฟในใจของผมครับ

นอกเหนือจากสิ่งที่คุณต้องการประสบความสำเร็จแล้ว บิกแบงมีความหมายยังไงกับคุณครับ?
Seungri:
บิกแบงเป็นกลุ่มที่ผมอยากจะอยู่ด้วยจนวันตายครับ สมาชิกในวงทุกคนมีอายุมากกว่าผมทุกคนแต่บางครั้งผมรู้สึกว่าพวกเค้าเหมือนเป็นเพื่อนสนิทของผม เป็นเพราะผมอุทิศชีวิตของผมในการทำงานในสาขานี้โดยที่ไม่มีความทรงจำพิเศษในเรื่องของโรงเรียนมัธยมใดๆเลย ดังนั้นสมาชิกวงบิกแบงจึงมีความหมายมากสำหรับผมครับ เราไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดแต่ผมสามารถพูดได้ว่าผมอยากที่จะเป็นพี่น้องกับพวกเค้าจริงๆ ตอนนี้ไม่มีอะไรจะมาแยกเราได้ หลังจากที่ผ่านทั้งเรื่องดีและร้ายร่วมกันมา ผมคิดว่าจะต้องมีอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งที่เรามีถึงจะสามารถทำให้เราแยกจากกันได้ครับ

Source 10asia.co.kr Thai translation by mew mini museum 
※ Any copying, republication or redistribution of 10Asia's content is expressly prohibited without prior consent of 10Asia. Copyright infringement is subject to criminal and civil penalties.

===============

สามารถอ่านตอนต่างๆที่ออกมาก่อนได้ตามนี้ค่ะ 
สัมภาษณ์ Taeyang จาก 10asia 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น