วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

สัมภาษณ์ แดซองจาก Champyungan

สัมภาษณ์ แดซอง จาก Champyunpan กับเรื่องราวหลังเกิดอุบัติเหตุ

พวกเราได้จัดการสัมภาษณ์กับแดซองครั้งนี้ขึ้นด้วยความระมัดระวัง หลังจากที่ได้เกิดอุบัติเหตุที่ชวนให้ตกใจเมื่อ 4 เดือนก่อน ไม่เพียงแต่เค้าได้หยุดกิจกรรมในวงการทุกอย่างอย่างกะทันหันเท่านั้นแต่เค้ายังไม่ต้องการให้สัมภาษณ์ใดๆกับสื่อด้วยเช่นกัน ภายใต้สถานการณ์แบบนั้น แดซองบอกกับเราว่า " ผมเชื่อว่าการที่ผมให้สัมภาษณ์กับทาง Champyungan ครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากการตัดสินใจของคนธรรมดาอย่างเราๆ แต่หากเมื่อพระเจ้าทรงเห็นชอบด้วยแล้วสิ่งที่จะต้องเกิดมันก็จะต้องเกิด หากเมื่อมันยังไม่ถึงเวลาที่ควรมันคงไม่เกิดขึ้นเช่นกัน เราไม่จำเป็นที่จะต้องยืนหยัดพยายามทำอะไรมากไปหรอกครับ "

และไม่กี่วันต่อมา เราก็ได้รับคำตอบตกลงว่าคำขอสัมภาษณ์ที่เราเสนอไปนั้นสำเร็จผล
ในวันที่ 2 ตุลาคม 2011 หลังจากที่เสร็จสิ้นการสวดภาวนา 2 ครั้ง เราก็พบ คัง แด ซอง

1) เราได้เคยสัมภาษณ์คุณมาก่อนเมื่อปีที่แล้ว แต่หลังจากนั้นมีเรื่องมากมายเกิดขึ้น ในตอนนี้คุณเป็นยังไงบ้างครับ??
Dae: โดยปกติแล้วผมใช้เวลาของผมอยู่ที่โบสถ์ครับ ทั่วไปแล้วผมก็อยู่ช่วยงานที่โบสถ์ไม่ก็ที่กลุ่มเยาวชน Hepzibah จากนั้นผมก็จะไปที่กลุ่ม Commission ต่อ

2) คุณได้ทำงานช่วยเหลือมากมายและเป็นเพราะทุ่มเทเวลาและความพยายามมากมายที่โบสถ์ มันทำให้คุณรู้สึกยังไงบ้างครับ ??
Dae: หลังจากที่เกิดอุบัติเหตุมีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นและมันก็น่าเหนื่อยล้าอย่างมากถึงขนาดที่ผมมีความคิดที่ว่า " หากผู้คนไม่เชื่อใจในตัวผม ผมก็ไม่รู้จริงๆว่าผมอาจจะตัดสินใจทำเรื่องโง่ๆอะไรลงไปก็ได้" หลังจากที่ผ่านวันอันแสนจะเหนื่อยล้าไปได้ 3-4 วันผมก็ต้องการที่จะพบกับเออเดอร์ผู้ที่เป็นคนคอยสอนศาสนาที่โบสถ์ของผม ผมได้ถามคุณพ่อบาทหลวงว่าจะเป็นไปได้ไม๊ที่ผมจะเข้าพบเออเดอร์ซึ่งผมก็ได้รับคำตอบในแง่บวกกลับมา หลังจากที่ได้พบกับเออเดอร์แล้วผมรู้สึกสงบลงและเค้าก็ให้คำพูดที่ช่วยปลอบใจผมได้อย่างมาก คำพูดของเค้าทำให้ใจของผมสงบและตั้งแต่นั้นมาโบสถ์ก็เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของผมครับ มันเป็นสถานที่เดียวที่ผมจะสามารถหาความสงบสุขมาสู่จิตใจของผมได้

3. "หากผมไม่ได้รับความไว้ใจจากคนอื่น ผมอาจจะทำเรื่องโง่ๆลงไปก็ได้" หมายความว่ายังไงครับ??
Dae: มีศิลปินมากมายที่ตัดสินใจฆ่าตัวตายใช่ไม๊ครับ?? ผมเข้าใจความรู้สึกของพวกเค้านะครับเพราะมันย่อมต้องมีเหตุผลในการที่พวกศิลปินเหล่านั้นตัดสินใจฆ่าตัวตาย ถึงแม้ว่าผมจะไม่มีความคิดที่จะฆ่าตัวตายแต่ผมคิดว่าหากผมไม่ได้รับความเชื่อใจจากผู้คนผมอาจจะหักเหเดินไปใช้เส้นทางสู่การฆ่าตัวตายได้ ดังนั้นผมคงต้องขอบคุณพลังในการอธิษฐานผมต้องขอขอบคุณที่เชื่อใจในตัวผม คอมเม้นซ์เหล่านั้นมันทำร้ายจิตใจผมมากๆ ถ้อยคำเหล่านั้นมันทำให้ผมรู้สึกอ่อนล้า มีครั้งนึงมีคนแปลกหน้านำป้ายที่มีคำว่า "ฆาตกร" มายืนชูอยู่หน้าโบสถ์ สิ่งที่ผมคิดคือ ผู้คนใช้คำว่า "ฆาตกร" มาตีตราผม



4. ตราบใดที่คุณอยู่ในโบสถ์ทุกอย่างจะไม่เป็นไร นี่คือสิ่งที่คุณคิดใช่ไม๊ครับ?
Dae: แน่นอนครับ เพราะมีกลุ่มคนที่เห็นเหตุการณ์และเป็นพยานในเหตุการณ์อุบัติเหตุครั้งนั้น ผมไม่สามารถที่จะอยู่อย่างสงบได้ แต่ผมได้รับความสุขสงบในใจกลับมาเมื่อผมอยู่ที่โบสถ์ ในทางตรงกันข้ามผมรู้สึกกระวนกระวายมากเมื่ออยู่ที่หอพัก ในตอนนั้นผมไม่สามารถที่จะทานอะไรได้เลยแต่เมื่ออยู่ที่โบสถ์ผมทำได้ เพราะที่โบสถ์นั้นมีการงานที่จะต้องทำให้เสร็จ ดังนั้นในขณะที่ผมทำงานผมก็ไม่ได้คิดอะไรในแง่ลบ

5. สำหรับคนที่ไม่เชื่อกับคำพูดที่ว่า " การได้ไปโบสถ์จะทำให้จิตใจของคุณสงบลง" คงพูดว่ามันจะได้ผลจริงเหรอ??ทำไมการไปโบสถ์จะทำให้ใจสงบลงได้ละ??
Dae: พวกเราต่างก็เป็นศรัทธาที่โบสถ์ดังนั้นเราจะสามารถเข้าใจความหมายของมันได้ครับ สำหรับผมถ้าเทียบกับที่บ้าน การมาอยู่ที่โบสถ์ทำให้ใจของผมสงบมากกว่า ผมได้อ่านบทความที่ว่าผมได้รับความสงบในใจได้ที่โบสถ์ ผู้คนต่างก็คิดแง่บวกเกี่ยวกับเรื่องนี้และให้คอมเม้นซ์ดีๆในเรื่องนี้มามากเช่นกันครับ

6. คุณใช้เวลาในช่วง 3-4 วันหลังจากที่เกิดอุบัติเหตุยังไงครับ??
Dae: มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยสำหรับผมที่จะก้าวเท้าออกจากห้องครับ ผมรู้สึกผิดมากๆๆ เหตุการณ์ตอนที่เกิดอุบัติเหตุนั้นมันปรากฏอยู่เสมอในใจของผม เวลาที่ผมอยู่ที่หอพักคนเดียวผมมักจะคิดถึงแต่เรื่องแย่ๆ และผมก็เอาแต่คิดแบบนั้นทั้งวันทั้งคืนครับ

7. อะไรอีกครับที่คุณคิดในช่วงเวลานั้น??
Dae: ม่ว่ามันจะเป็นยังไง ผมคิดว่ามันเป็นความผิดของผมครับดังนั้นผมจึงรู้สึกเสียใจมากๆต่อเค้า (ผู้เสียชีวิต) และผมก็อธิษฐานเยอะมาก แต่เมื่อผมอธิษฐานผมก็จะย้อนกลับไปนึกถึงช่วงเวลาที่เกิดขึ้นในอุบัติเหตุอีกทำใ้ห้ไม่สามารถที่จะอธิษฐานต่อไปได้ ทำได้แค่ในช่วงเริ่มเท่านั้น หลังจากที่ผมเริ่มภาวนา ผมจะพูด "ขอโทษนะครับ" จากนั้นก็ไม่สามารถที่จะภาวนาต่อพระเจ้าต่อไปได้ ในเวลา 20 นาทีผมเอาแต่พูดคำว่า ผมเสียใจ ผมขอโทษ และเริ่มที่จะร้องไห้

8.ทำไมคุณถึงรู้สึกเสียใจละครับ?
Dae: อย่างแรกเลยผมรู้สึกเสียใจกับผู้เสียชีวิต บริษัทของผมและสมาชิกในวงครับ นอกจากนี้พอผมมาคิดแล้วผมรู้สึกว่าโบสถ์ของเราก็อาจจะโดนกระทบด้วยเช่นกันผมไม่เพียงแต่ทำให้โบสถ์ต้องมาเจออิทธิพลที่แย่ๆแต่ทางโบสถ์ก็ยังต้องทนรับกับคำวิจารณ์แย่ๆอีกด้วย ผมรู้สึกเสียใจมากๆ ผมรู้สึกเสียใจต่อพ่อแม่ของผมและต่อพ่อแม่ของผู้เสียชีวิตด้วยครับ

9. หลังจากเหตุการณ์อุบัติเหตุิคุณได้ไปร่วมงานศพของเค้าด้วย ผมคิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยใช่ไม๊ครับ?
Dae: แม้ว่ามันจะลำบากมากแต่ผมคิดว่าผมจำเป็นที่จะต้องไปครับ ไม่ว่ายังไงก็ตามแต่ผมก็มีส่วนในเรื่องนี้ด้วย ผมรู้สึกเบื่อกับความเศร้าใจอย่างมากที่มันฝังอยู่ในใจดังนั้นผมคิดว่าผมจำเป็นที่จะต้องไปร่วมงานให้ได้ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นเรื่องที่ยากมากที่จะก้าวเท้าเข้าไปในงานศพของเค้าครับและผมต้องพบกับสมาชิกในครอบครัวของเค้าแบบเผชิญหน้ากันตรงๆอีกด้วย แต่เหนือความคาดหมาย สมาชิกในครอบครัวของเค้าต่างก็ปลอบโยนผม

10. พวกเค้าพูดอะไรบ้างครับ?
Dae: พวกเค้าคงรู้สึกโกรธผมมากในตอนนั้นแต่หลังจากที่ได้คุยกันแล้ว พวกเค้าพูดว่า " เรื่องมันก็เกิดขึ้นมาจนเป็นแบบนี้แล้ว ในอนาคตเราควรที่จะเฝ้าถนอมและใช้ชีวิตของเราให้จริงจังมากขึ้น ฉันหวังว่าถ้าเราต้องมาพบกันอีกครั้ง ขอให้มาเจอกันเพราะเรื่องดีๆแสนวิเศษก็แล้ว กันนะ"คุณป้าของเค้าบอกกับผมว่าคุณพ่อคุณแม่ของผู้ตายก็ป่วยมากๆในตอนนั้น คุณป้าของเค้านับถือศาสนาคริสต์และได้เข้ามาพูดคุยกับผมครับและเพราะเธอเป็นชาวคริสต์ หลังจากที่ได้อธิษฐานกับพระเจ้า เธอคิดว่าเธอควรจะให้อภัยผม

11.เวลาที่คนเราเจอเหตุการณ์แบบนี้มักจะตัดพ้อว่า ทำไมเหตุการณ์แบบนี้ต้องมาเจอกับเราด้วย "ทำไมต้องเป็นเรา" คุณคิดว่ายังไงครับ??
Dae: ในเวลานั้นผมไม่ได้ใส่ใจอะไรมากครับและไม่สามารถที่จะมานั่งคิดว่าทำไมเรื่องแบบนี้ถึงมาเกิดขึ้นกับผมจนกระทั่งตอนนี้ เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อเหตุการณ์มันเข้าใกล้ตอนจบเข้าทุกทีๆในเวลาที่ผมพักผ่อนผมจะฉวยโอกาสนั้นอ่านไบเบิลสองสามบทและใช้เวลาทบทวนหลักความเชื่อในใจของตัวเอง ผมคิดว่าเป็นเพราะพระเจ้าต้องการที่จะประทานเวลามาให้ผมได้ทำเรื่องแบบนั้น ดังนั้นท่านจึงจัดแจงให้เหตุการณ์แบบนี้มาเกิดขึ้นกับผมครับ

12. คุณเคยทำงานเป็นคนดังมาเป็นเวลายาวนาน ในตอนนี้ต้องหยุดชะงักงานทุกอย่างไว้หลายเดือนทีเดียว คุณรู้สึกเบื่อบ้างรึเปล่า??

Dae: ผมอยากที่จะร้องเพลงครับแต่ผมไม่มีความมั่นใจที่จะทำงานด้วยรอยยิ้มที่มีความสุขได้ในตอนนี้ผมไม่เบื่อที่จะเปิดเผยให้คุณรู้ว่าจริงๆแล้วผมรู้สึกยังไงในตอนนี้ จนถึงตอนนี้ผมยังคงคิดว่าเวลาที่ผมได้ใช้ไปที่โบสถ์เป็นเวลาที่ดีที่สุด จากบ้านไปโบสถ์ จากโบสถ์กลับบ้าน ผมคิดว่าวงจรนี้เป็นทางที่ดีที่สุดสำหรับผม

13. แล้วตอนนี้คุณรู้สึกยังไงครับ??
Dae: พอเวลาผ่านไปผมไม่รู้สึกกระวนกระวายอีกต่อไปแล้วเพระผมรู้ว่าผมมีพรสวรรค์และมีภารกิจที่จะต้องทำให้ลุล่วงไป ในตอนนี้ผมกำลังทำตัวเองให้พร้อมที่จะเริ่มก้าวเดินต่อเนื่องในการเดินทางของผมอีกครั้งครับ

14. เกี่ยวกับ "ภารกิจที่จะต้องทำให้ลุล่วง" คุณยังคงยึดถือความเชื่อเดิมที่คุณมีก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุรึเปล่าครับ??
Dae:อุบัติเหตุครั้งนี้ได้หยิบยื่นเวลามาให้ผมได้คิดสะท้อนทบทวนหลักความเชื่อในใจของผมและในตอนนี้ผมยิ่งมั่นใจมากขึ้นไปอีกในสิ่งที่ผมเชื่อ ผมได้รับคำชื่นชมก็เพราะเสียงของผมและผมได้รับพรสวรรค์มาในเรื่องนี้ มันเป็นความปิติยินดีมากที่ผมได้รับพรสวรรค์นี้มา นอกจากนี้อาชีพของผมยังทำให้ผมสามารถเผยแพร่ความเชื่อนี้ออกไปได้ในทุกๆที่ ผมต้องการจะใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ให้มากที่สุดครับ

15. หลังจากที่เกิดอุบัติเหตุ เออเดอร์สอนศาสนาที่โบสถ์ได้ช่วยเหลือคุณ ตอนนี้ยังคงได้พบกันอีกไม๊ครับ??
Dae: ครับ เราเจอกันบ่อยเลยละครับช่วงนี้ ผมจะปรึกษาเรื่องต่างๆกับเค้าไม่ว่าจะเป็นเรื่องเ็ล็กหรือเรื่องใหญ่ หลังจากเกิดอุบัติเหตุ ผมจะอธิษฐานก่อนที่จะกำหนดลมหายใจและทำงานตามตารางงาน จริงๆแล้วสมาชิกในวงบิกแบงกำลังที่จะเดินทางไปเที่ยวกันในวันถัดจากที่เกิดอุบัติเหตุขึ้น และมันก็เป็นทริปที่เราจะไปเที่ยวกัเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เราคัมแบคมาครับ หลังจากที่เกิดเหตุการณ์นั้นผมมาพบว่าตัวเองไม่ได้สวดภาวนาต่อพระเจ้าก่อนที่จะตัดสินใจไปเที่ยวกัน ไม่เพียงแต่เรื่องทริปนี้เท่านั้นแต่เรื่องหลักๆที่ใช้ในสถานการณ์ทั้งหมดด้วย มันจึงทำให้ผมคิดว่าเรื่องมันเกิดขึ้นจากความผิดของผม

16. มันเป็นเรื่องดีจริงๆนะครับที่คุณมีความเชื่อและตั้งใจแบบนั้น คุณขอบคุณพระเจ้า้ด้วยไม๊ครับที่ทำให้คุณตั้งใจแบบนี้ได้??
Dae: ผมขอบคุณพระเจ้ามากๆครับ ถ้าไม่มีอุบัติเหตุครั้งนี้ผมคงเอาแต่ก้าวไปข้างหน้าในทางโลก แต่ไม่มีโอกาสที่จะเข้าใจและได้เริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างหมดจดแบบนี้ ผมได้รับโอกาสที่จะมานั่งคิดสะท้อนในสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวผมเองในช่วงที่เกิดเหตุการณ์นั้น หลังจากที่คิดไตร่ตรองสะท้อนดูแล้ว ผมเข้าใจว่าทำไมผมถึงต้องมามีประสบการณ์แบบนี้ในตอนนี้ ผมขอบคุณพระเจ้าที่ประทานโอกาสนี้มาให้ผม ในขณะเดียวกัน ผมก็จะคอยเตือนตัวเองว่าผมควรจะต้องมีสติกับทุกสิ่งทุกอย่าง

17. เวลาที่คุณรู้สึกเหนื่อย คุณพ่อคุณแม่ของคุณได้พูดอะไรกับคุณครับ??
Dae: พวกเค้าจะบอกว่า " ไม่ต้องห่วงนะ" ตอนที่ผมอยู่ที่หอพักคนเดียวในช่วง 3-4 วันแรกคุณแม่ได้มาเยี่ยมผมครับ แต่ตอนนั้นผมไม่ต้องการที่จะเจอใครเลยจริงๆดังนั้นคุณแม่จึงโมโหผมมาก พวกเค้าต่างยอมรับผมในทุกๆอย่างและสนับสนุนผมมาโดยตลอดจนถึงตอนนี้ ผมรู้สึกว่าผมเป็นหนี้พวกเค้ามากมายและรู้สึกขอบคุณมากๆที่มีพวกเค้าอยู่ข้างๆผม พวกเค้าจะโมโหผมถ้าผมทำตัวไม่มีเหตุผลครับ

18. ผมได้ยินมาว่าคุณชวนจีดราก้อนให้มาโบสถ์กับคุณเหรอครับ??
Dae: ผมคิดว่าเป็นเพราะผมนะครับเค้าถึงไปโบสถ์ พี่จียงได้บอกกับพี่ผู้จัดการว่าอยากจะมาที่โบสถ์ครับ ตามปกติแล้วพี่เค้าจะไปอีกโบสถ์นึงครับและก็นานมากแล้วที่พี่เค้าไม่ได้เข้าโบสถ์ แต่ว่า ผมเองแหละฮะที่ชวนพี่เค้าให้กลับเข้าโบสถ์อีกครั้งแต่พี่เค้าบอกว่า มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเหนื่อยในการที่จะต้องไปโบสถ์หลังจากที่ทำงานตามตารางงานเหนื่อยมา ดังนั้นผมเลยคิดหาวิธีว่าจะทำยังไงให้พี่เค้าผ่อนคลายและกลับมาเข้าโบสถ์อีกครั้ง จากนั้นผมก็เริ่มชวนเค้าครับ จริงๆมันเป็นเวลาที่เราไม่ได้รับอนุญาติให้เข้าไปอธิษฐานในเวลานั้นครับแต่ทางโบสถ์ก็อนุญาติให้เราเข้าไป

19. งั้นคุณก็สนิทกันแล้วสิครับ??
Dae: พวกเราทั้ง 5 คนต่างก็สนิทกันมากครับ แต่เป็นเพราะพี่จียงเป็นหัวหน้าวง เค้าสามารถที่จะเข้าใจสถานการณ์ของผมได้ง่ายกว่าเท่านั้นเองครับ

20. แล้วทำไมเค้าถึงไปที่โบสถ์ของคุณละครับ??
Dae: ครับ ผมมักจะไปโบสถ์คนเดียว ถ้าไม่อยู่ที่หอพักผมก็จะไปโบสถ์ บางทีพี่เค้าอาจจะสงสัยอยากรู้ว่าโบสถ์แบบไหนกันนะที่ผมไป นักแต่งเพลงที่บริษัทผมก็ไปโบสถ์เดียวกับผมนะครับบางทีพี่เค้าอาจจะได้รับอิทธิพลมาจากพวกนักแต่งเพลงด้วยก็ได้ครับตอนที่พี่จียงมาที่โบสถ์ผมกำลังอ่านไบเบิลและโบสถ์ก็กำลังซ่อมปรับปรุงอยู่ พี่เค้าบอกว่าไม่เป็นไร จากนั้นเราก็หัวเราะกันใหญ่

ผมไม่เคยคิดว่าพี่เค้าจะมาและสิ่งที่เราจะต้องร้องในตอนนั้นคือ เพลง ‘I love Jesus’.ในตอนที่ผู้สอนศาสนากำลังเทศน์สอนผมเอาแต่จดโน้ตย่อๆอย่างเอาเป็นเอาตาย พี่จียงที่นั่งข้างๆผมกระซิบว่า " ฉันได้ยินไม่ค่อยชัดเลยในสิ่งที่เค้าพูด" ดังนั้นผมจึงได้อธิบายเรื่องราวบางตอนให้พี่เค้าฟัง หลังจากได้ฟังเทศน์ พี่เค้ารู้สึกว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ดี ทำให้พี่เค้ากลับมาที่โบสถ์ในครั้งต่อไปและได้พูดคุยกับผู้สอนศาสนาด้วย ในระหว่างทางกลับบ้าน ผมถามพี่เค้าว่าเค้ารู้สึกยังไงบ้าง พี่เค้าบอกว่า เวลาที่ได้มองลึกลงไปในตาของผู้สอนศาสนา มันเหมือนกับว่ากำลังมองรุ่นพี่ที่เค้ารู้ว่าเรารู้สึกยังไง ซึ่งมันให้ความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมมาก

Korean source: Champyungan
Chinese translation: 咚咚噗 @BBCN via Baidu
English translation: rnosel@twitter and Rice @bigbangupdates
Thai Translation by mew in mew mini museum


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น