วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2556

TOP "Running on empty" จากนิตยสาร W / 11-2013 (part 2 )


ฉันคิดว่านักร้องทุกคนที่ขึ้นแสดงต่างก็มีด้านนั้นนะคะที่ว่าเหนื่อยแต่ก็มีความสุขที่ได้ทำ แต่ดูเหมือนคุณกำลังสวมบทบาทตัวละครที่ชื่อ TOP ออกมาเวลาแสดงบนเวทีใช่ไม๊คะ? มันไม่ยากหรอกเหรอคะที่จะแสดงเป็นท็อปแทนที่จะแสดงออกตัวตนของคุณในแบบตามธรมชาติออกมา?? 
TOP:ผมพยายามที่จะทำแบบนั้นเองแหละครับ ผมคิดว่าเราควรจะทำแบบนั้น ผมคิดว่าผู้คนจะเกิดอาการเบื่อหน่ายผมเอาง่ายๆหากผมแสดงออกตัวตนที่แท้จริงของตัวเองออกไปมากจนเกินไป ดงนั้นผมมักจะคิดถึงการเปลี่ยนแปลงและผมก็จะพยายามที่จะแสดงออกถึงท็อปที่ดีขึ้นเสมอๆ ออกมา ทำแบบนี้มันเหมือนกับเป็นกลเม็ดเคล็ดลับนะครับ


ในตอนที่ดารานักแสดงยากที่จะเข้าถึงผู้คนผ่านทางสื่อต่างๆ ผู้คนก็ชื่นชอบดาราในแบบคลาสลิกที่เป็นแบบนั้นคือยากต่อการเข้าถึง แต่ตอนนี้คุณไม่คิดเหรอคะว่าผู้คนน่าจะชอบดาราที่ดูเป็นมิตรมากขึ้น??
TOP:ผมคิดในทางตรงกันข้ามนะครับ ผมคิดว่าความชื่นชอบในแบบสมัยก่อนกำลังจะกลับมาฮิตใหม่ โดยเฉพาะเนื่องจากประเทศเราเป็นประเทศเล็กๆ ผู้คนจะเริ่มเบื่อดาราหรือคนดังที่เปิดเผยตัวตนออกมามากจนเกินไป การที่เป็นคนดังก็เหมือนกับการมีแฟนแหละครับ คุณจะไม่เบื่อหรอกเหรอฮะถ้าจะต้องเจอใครคนนึงบ่อยๆหรือยาวนานเกินไป?? ดังนั้นผมจึงพยายามที่จะแอบซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้และแสดงมันออกมาในตอนที่ผมจะต้องแสดงออก แทนที่จะแสดงออกถึงอะไรบางอย่างที่ดูไม่สมบูรณ์และน่ากระอักกระอ่วนใจ ผมพยายามที่จะแสดงออกถึงสิ่งที่แปลกใหม่และสมบูรณ์แบบ มากกว่า 

คุณต้องเข้มงวดกับตัวเองมากเลยนะคะ?
TOP:ผมคิดว่าวิธีที่คนดังเราทำงานก็เหมือนกับวิธีการที่พวกเราใช้กับความรักแหละครับ แม้ในตอนที่ผมออกเดทผมก็มักจะรักษาระยะห่างเอาไว้ในจุดนึงเสมอ ผมจะพูดจาสุภาพเรียบร้อยตลอดเวลาและผมจะไม่นัดเจอกันบ่อยๆ

ผู้ชายแบบนี้นี่มักจะทำให้ผู้หญิงเจ็บปวดนะคะ 
TOP:ผมก็เป็นเรื่องยากสำหรับทางผมเหมือนกันนะครับ (หัวเราะ) ผมก็จะคิดถึงเธอด้วยเหมือนกัน

แต่คุณก็ยังคิดว่ามันน่าดีกับสัมพันธภาพที่มี ที่จะห่างๆกันเอาไว้ ??
TOP:ผมกลัวว่าคนรักจะเบื่อผมครับ

แล้วความสัมพันธ์จะคงอยู่ยืดยาวกว่าหากคุณรักษาระยะห่างเอาไว้หนะเหรอคะ? 
TOP:ผมก็ไม่ได้มีประสบการณ์มากขนาดนั้น ดังนั้นผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่การรักษาระยะห่างนี้มันจะช่วยกันคุณจากการทะเลาะกัน หากคุณใกล้ชิดกันมากเกินไป คุณจะทะเลาะกันมากขึ้น มันเหมือนกับว่าคุณอาจจะพูดสิ่งที่คุณไม่ได้ตั้งใจจะพูดออกไปก็ได้เวลาที่คุณพูดมากเกินไป

คุณมีเสียงที่เป็นเอกลักษณ์นะคะไม่ว่าเวลาที่แสดงหนังหรือเวลาที่แร๊พ ฉันคิดว่าโทนเสียงของคุณเหมาะกับการแสดงนะ
TOP: ผมได้ยินคนมากมายพูดแบบนั้นเหมือนกันครับ แต่ผมไม่เคยคิดจริงๆว่ามันจะเป็นข้อได้เปรียบ จริงๆแล้วโทนเสียงแบบนี้มันไม่ได้ช่วยอะไรเลยในการแสดง มันมีความเป็นเบสมากเกินไปและเสียงที่ออกมาก็จะเป็นโทนต่ำเสมอดังนั้นการออกเสียงออกมามันจะไม่ชัดเจนเท่ากับโทนเสียงแบบคนทั่วๆไป 

ผู้คนมักจะบอกผมว่าผมมีโทนเสียงที่ดีต่อการเป็นแร๊พเปอร์แต่จริงๆแล้วมันยากมากเลยในการที่จะส่งผ่านเนื้อเพลงออกมาได้ แต่สิ่งที่จะทำให้โทนเสียงแบบนี้ฟังแล้วเพราะก็คือ "ทักษะ"  

มันทั้งมีข้อดีและเป็นการเสี่ยงอยู่แต่การที่ผมจะใช้เสียงแบบนี้ออกมายังไงนั้นเป็นสิ่งที่ผมต้องคิดหาทางครับ หากผมแสดงในหนังแบบการ์ตูนและพูดบทแปลกๆออกมา มันก็จะฟังดูตลก  หากผมแสดงในหนังซีเรียสและทำเสียงซีเรียสมันก็จะออกมาจริงจังมากไปได้เหมือนกัน ซึ่งเหนือสิ่งอื่นใดเลยมันขึ้นอยู่กับผมที่จะตัดสินใจใช้พรสวรรค์ที่ได้มานี่อย่างไร มันอาจจะเสี่ยงแต่ผมก็จะพยายามอย่างหนักหาดูว่าจะใช้มันยังไงดี 

งั้นฉันเดาเอาว่าในตอนนี้คุณอยู่ในระหว่างการเรียนรู้ว่าจะใช้เสียงคุณยังไงในการแสดงใช่ไม๊คะ? 
TOP:ผมกำลังพยายามอยู่ครับ เพราะผมเป็นนักดนตรี หูของผมจึงจะอ่อนไหวและตรวจจับทุกสิ่งที่ผมพูดออกมา

อะไรคือสิ่งที่ยากที่สุดในการทำภาพยนตร์เรื่องนี้คะ?? 
TOP:สิ่งที่ยากที่สุดคือการทำฉากแอคชั่นครับ ร่างกายของผมไม่ได้พริ้วขนาดนั้นและเพราะเวลาที่ผมเต้นบนเวที ผมจะขยับตัวไปกับจังหวะไปกับทำนองเพลง ดังนั้นมันจึงยากที่จะโยนเอาความเคยชินนั้นทิ้งไป แต่ผมก็พยายามอย่างหนักที่จะทำออกมาให้ดีที่สุดในหนังแอดชั่นของผมเรื่องนี้ครับ 

คุณพูดว่าคุณจะรับบทเป็นเด็กวัยรุ่นไปตลอดเท่าที่จะทำได้ นี่เป็นเพราะคุณไม่ได้ใช้เวลาในโรงเรียนแบบเด็กปกติรึเปล่าคะ??เพราะในตอนที่คุณเป็นวัยรุ่นคุณก็มาเป็นศิลปินฝึกหัดแล้ว??
TOP:ไม่ใช่หรอกครับ พูดตรงๆผมมาเป็นศิลปินฝึกหัดแค่ 1 ปีเท่านั้น ผมมาอยู่ที่ YG เพียงปีเดียวก่อนที่บิกแบงจะมีการเดบิวและผมก็เป็นแร๊พเปอร์ใต้ดินมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ผมเหมือนกับพี่ชายที่จียงและแทยังจะมาคุยเรื่องดนตรีด้วย ผมไม่ได้หลงใหลกับบทเด็กวัยรุ่นเพราะตัวเองไม่ได้ใช้เวลาสนุกในโรงเรียนแบบวัยรุ่นทั่วไป

แร๊พเปอร์มักจะใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งอยู่คนเดียว คิดและเขียนเนื้อเพลงแร๊พ จากนั้นเป็นต้นมาผมมักจะมีความรู้สึกไม่มั่นคงปลอดภัยและอ่อนไหว อีโก้ในตัวของผมนั้นมันมีมากและมันยากที่ผมจะรับมือกับมันด้วยตัวเอง และแบบนี้แหละครับที่ผมมักจะถูกดึงดูดด้วยบทบาทของเด็กชายที่มักจะมีความไม่มั่นคงปลอดภัยในอารมณ์แบบนั้นเหมือนกัน เวลาที่มีคนที่รู้จักพลังของอารมณ์ที่ไม่มั่นคงนั้นเข้าใจในความรู้สึกนั้นได้มารับบทบาทแบบนี้ มันจะสามารถที่จะส่งผ่านความตึงเครียดไปสู่คนดูได้มีประสิทธิภาพมากกว่านะครับ   

คุณพูดว่าอยากจะรับบทเด็กในวัย 20 ในตอนที่คุณอยู่ในวัย 30 ใช่ไม๊คะ?? 
TOP:จริงๆนั่นเป็นมุกตลกนะครับ (หัวเราะ) ตอนนี้ผมอยากจะถูกจับแต่งตัวและแสดงเป็นคุณปู่นะครับถ้าผมสามารถจะทำได้ แต่ทำไม่ได้ผมเลยไม่ได้ทำนะครับ 

มันจะสำคัญกว่าไม๊คะที่จะมองไปถึงบทบาทที่ได้รับว่ามีอะไรที่เหมือนกับเราไม๊?? มากกว่าที่จะมองที่อายุ??
TOP:ผมคิดว่ามันสำคัญมากที่คุณจะต้องรู้ว่าตัวคุณจะเป็นผู้นำเนื้อเรื่องไปยังไง ซึ่งถ้าคุณถามว่า ผมจะนำเนื้อเรื่องไปยังไง ผมขอตอบว่าผมจะไปในทางที่อารมณ์ของผมพาไป



ฉันดูออกว่าคุณฟังเพลงมาตั้งแต่ยังเด็กมาก แล้วภาพยนตร์ละคะ?? คุณมีนักแสดงคนโปรดบ้างรึเปล่า??
TOP:ผมรู้สึกเขินเวลาที่จะต้องพูดถึงนักแสดงนะครับ ผมชอบหนังดังของดาราคนดัง อย่างการแสดงของ Robert De niro โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องTaxi Driver ทุกครั้งที่ผมดูหนังของเค้าในแต่ละทีผมจะสามารถตีความอะไรออกมาแตกต่างกันไปเสมอ ในตอนที่ผมยังเป็นเด็กกว่านี้ผมชอบการแสดงของ Al Pacino แต่ยิ่งผมดูมากเท่าไหร่ผมก็ยิ่งชอบรายละเอียดเล็กๆน้อยๆในการแสดงของเดอนีโรครับ ผมรักที่การแสดงของเค้ามีเอกลักษณ์และเร้าอารมณ์ แม้กระทั่งการที่เค้าโบกมือแทนที่จะแสดงออกอารมณ์บรรยายออกมาตรงๆ 

แล้วภาพยนตร์เรื่องโปรดละคะ??
TOP:ผมไม่ได้สนใจเกี่ยวกับประเภทของหนังเลยครับ แต่ผมชอบหนังที่เกี่ยวกับ อัตลักษณ์ อย่างเรื่อง Gattaca และ A.I. ในตอนที่ผมเห็นบทภาพยนตร์เรื่อง Alumni เป็นครั้งแรก ผมคิดว่ามันมีความเหมือนกับเรื่อง A.I. ดังนั้นผมจึงอยากที่จะทำงานในภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมยังจำสายตาเยือกเย็นของหุ่นยนต์ตัวหลักในเรื่องได้ แบบนั้นแหละครับ ผมชอบสไตล์การแสดงที่ดูเหมือนไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆออกมาเลยแต่จริงๆแล้วมันเต็มไปด้วยอารมณ์  ผมคิดว่าผมอาจจะสามารถสร้างความประทับใจให้กับตัวละครในเรื่องAlumniนี้ได้หากผมพยายามที่จะดึงรายละเอียดในตรงนี้ออกมา มันเป็นบทบาทที่ยากเพราะถ้าผมแสดงออกมามากจนเกินไป มันก็จะกลายเป็นมากเกินไปครับ 

การที่ฉันได้ยินคุณพูดมา คุณไม่ชอบอะไรที่เห็นชัดเจน มากจนเกินไป และดูเยอะใช่ไม๊คะ? 
TOP:นั่นเป็นเพราะผมคนเก่าเป็นแบบนั้นครับ เหมือนกับตัวผมบนเวทีในช่วงแรกๆของบิกแบงหลายๆงาน ในตอนนี้พอผมมองย้อนไป ผมเห็นนักร้องที่ยังไม่ผ่านการขัดเกลาชื่อท็อป ผมสามารถเห็นตัวเองที่พยายามอย่างหนักที่จะดูเท่ ผมไม่รู้ว่าคนอื่นจะสามารถมองเห็นอะไรแบบนี้รึเปล่า?? แต่ผมพยายามอย่างหนักมากเกินไปจริงๆในตอนนั้น

คุณมีทัศนคติที่แตกต่างออกไปบ้างไม๊คะในตอนนี้??
TOP:ผมพยายามที่จะค่อยๆควบคุมสิ่งต่างๆค่อยๆขัดเกลามันไปทีละน้อย ผมคิดว่าการกระทำแบบนี้เรียกว่า "ทักษะ" นะครับ แทนที่จะแสดงออกถึงความสามารถที่คุณมีออกมาทีเดียวเลย การค่อยๆตัดมันและแสดงพวกมันออกมาให้ดีเยี่ยมแบบนั้นแหละที่ เราเรียกว่าทักษะ ทุกคนสามารถที่จะทำอะไรได้สารพัดสิ่งแต่เมื่อคุณเริ่มที่จะทำอะไรจนมากเกินไป มันก็จะไม่มีจุดจบ ผมได้เรียนรู้และพยายามอย่างมากที่จะไม่เป็นแบบนั้นครับ 

นี่เป็นบางอย่างที่คุณได้เรียนรู้หลังจากที่มีประสบการณ์ในการลองผิดลองถูกมาแล้วมากมาย คุณคิดไม๊คะว่าสามารถที่จะเอาแนวคิดแบบนี้มาใช้ในการแสดงด้วยเหมือนกัน?? 
TOP:บางครั้งในภาพยนตร์คุณจะสามารถเห็นทักษะที่นักแสดงชั้นยอดเลือกใช้ในการแสดงได้นะครับ ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด บางทีใบหน้าของพวกเค้าจะไม่แสดงความรู้สึกใดๆออกมาเลย แต่พวกเค้าสามารถที่จะทำให้คนดูรู้สึกได้ถึงความตึงเครียดที่เกิดขึ้น แบบนั้นแหละครับ ผมอยากจะเป็นคนที่สามารถควบคุมและเล่นกับสถานการณ์แบบนั้นได้ 

ผมไม่ต้องการให้ตัวเองต้องออกจากจอไปอยู่ต่อหน้าผู้ชม แต่ผมต้องการจะดึงผู้ชมเข้ามาในจอ เพราะพวกเค้าเกิดความอยากรู้อยากเห็นว่า ผมคิดอะไรอยู่?? ผมอยากจะทำให้คนดูอินไปด้วยแม้กระทั่งกับการกระทำธรรมดาๆสามัญ ในแง่มุมนั้น มันเหมือนกับว่าผมจะร้องไห้จะกรีดร้องออกมาอยู่แล้วแต่ผมไม่ได้ทำ ผมพยายามควบคุมมันไว้ แบบนั้นแหละครับ 

ดังนั้นในตอนนี้นักแสดงคนโปรดของผมคือ  Ryan Goslingเค้าไม่ได้มีบทพูดมากมายเลยในภาพยนตร์เรื่อง  Drive แต่การแสดงที่เต็มไปด้วยการควบคุมของเค้านั้น ทรงพลังมาก 

คุณได้ดูภาพยนตร์เรื่องใหม่ของRyan Gosling เรื่อง Place beyond the pinesรึยังคะ?
TOP:ผมจะเก็บมันไว้ดูหลังจากนี้ครับ ผมอยากจะดูเรื่อง Only God Forgives ก่อนเพราะว่าเป็นงานของผู้กำกับคนเดียวกันกับเรื่อง Drive แต่บท Lee Myunghoon ในเรื่อง Alumni นั้นมีความคล้ายคลึงกับบทนำในเรื่อง  Drive เหมือนกันนะครับ เพราะตัวนำในภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องนั้นไม่ได้พูดอะไรมากนักแต่ทั้งคู่ต่างก็แสดงออกถึงการควบคุมอารมณ์เอาไว้เป็นอย่างดี 

หลังจากถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้จบลง ผมตัดสินใจว่าผมจะไม่แสดงภาพยนตร์ที่ต้องการการควบคุมอารมณ์แบบนี้อีกแล้ว ผมพบว่ามันยากที่จะแสดงอะไรแบบนั้นออกมา ในตอนที่ดูเหมือนว่าบทละครตัวนี้ควรจะพูดออกมาเค้ากลับปิดปากเงียบ และเวลาที่ดูเหมือนว่าเค้าไม่ควรจะพูด เค้ากลับพูดออกมา 

อ้าว คุณพึ่งพูดว่าคุณเลือกภาพยนตร์เรื่องนี้เพราะเหตุผลนี้ไม่ใช่เหรอคะ? 
TOP:ฮะ เพราะผมมีรสนิยมที่แปลกประหลาด (หัวเราะ)

คุณไม่คิดเหรอคะว่าุคุณก็จะยังรับแสดงในภาพยนตร์ที่่คล้ายๆกันอีกแบบนี้ จากนี้ไป?? 
TOP:ไม่ครับ ผมคิดว่าคงจะทำอะไรบางอย่างที่น่าสนใจกว่านี้สำหรับผม แม้ว่ามันจะยากขึ้นก็ตาม

ดูเหมือนว่าคุณจะเป็นพวกไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองสบายเลยนะคะ?
TOP:สบายๆผ่อนคลายมันไม่ใช่เรื่องสนุกสำหรับผมครับ ผมชอบอะไรที่ยากและเจ็บปวด

ฟังดูโรคจิตนะคะเนี่ย ฉันล้อเล่นนะ
TOP:ผมเดาว่าผมน่าจะมีส่วนที่บิดเบี้ยวในตัวนะครับ เพราะไม่งั้นทำไมผมถึงได้ทำงานอะไรแบบนั้นออกมาได้ละจริงไม๊ฮะ?? แต่ความชอบทางเพศของผมไม่ได้เป็นแบบนั้นเลยนะครับ (หัวเราะ)

===================

Englisn Translation by BIGBANGISVIP
Thai Translation by miss mew 
magazine scan by ShrimpLYJ

สามารถตามอ่าน ตอนอื่นๆได้ตามนี้ค่ะ 
top-running-on-empty-w-11-2013-part-1.html 
top-running-on-empty-w-11-2013-part-2.html 
top-running-on-empty-w-11-2013-end.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น