วันพุธที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2556

TOP “Let’s talk at home (IN MY ROOM) L’OFFICIEL /11-2013 part 1


ก่อนทำการสัมภาษณ์ มันทำให้ฉันเกิดความลังเลอยู่ว่าจะเรียกเค้าว่า ท็อป จากวงบิกแบงหรือเรียก ชเวซึงฮยอนดี แต่เมื่อเค้าเดินเข้ามาในกองถ่าย สุดท้ายฉันก็นึกคำตอบออก เค้าคือ ชเวซึงฮยอนแน่ๆในวันนี้ เค้าผอมและดูเฉียบคมเอามากๆ

ภาพยนตร์เรื่อง Alumni (The Commitment) ที่จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ในเดือนพฤศจิกายนนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กชายจากเกาหลีเหนือ  Lee Myung Hoon ที่ต้องมีชีวิตอยู่ด้วยการปลอมตัวเป็น  Kang Dae ho เพื่อช่วยชีวิตน้องสาวคนเดียวของเค้า  Hye in (รับบทโดย Kim Yoo Jeong) พร้อมทั้งเจออุปสรรคมากมายที่เค้าต้องอดทนฟันฝ่า ในฐานะที่เป็นคนที่ถูกตามล่า เค้าไม่ได้รับอนุญาติให้สร้างมิตรภาพหรือมีความรู้สึกเหมือนกับเด็กทั่วไป และสิ่งเหล่านั้นกลายเป็นรอยแผลเป็นติดตัวเค้าอยู่

คนที่จะต้องพูดคุยเรื่องราวที่สลับซับซ้อนนี้ให้เราฟังในวันนี้ก็คือ ชเวซึงฮยอน พระเอกของเราในวันนี้ค่ะ

L’officiel Hommes : วันนี้เราสัมภาษณ์คุณในฐานะนักแสดงไม่ใช่นักร้องนะคะ ฉันได้ยินมาว่าทางบริษัทภาพยนตร์ได้เตรียมภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยในใจพวกเค้ามีคุณรับบทแสดงนำตั้งแต่แรกเลยทีเดียว
Choi Seung Hyun: ครับ ต้องขอขอบคุณมากเลยครับ จริงๆมันเป็นเรื่องที่น่าตลกนะครับ ผมไม่เคยได้อ่านบทหรืออะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลังจากที่พี่ผู้จัดการเอามันมาวางไว้ในห้องผม ผมมักจะมองมันจากที่ไกลๆและเดินผ่านตลอดไม่เคยจะหยิบมามองเลยครับ หน้าปกของบทภาพยนตร์เขียนเอาไว้ว่า ‘Alumni’ และผมก็คิดว่า "นี่เป็นหนังรังเอาใจเด็กหนุ่มสาวหรือเปล่า? หรือว่าเป็นหนังรักเหนือจริงเมโลดราม่าของเด็กมักธยมรึเปล่า?? " แล้วก็ปล่อยให้บทมันอยู่ตรงนั้น แต่หลังจากนั้นประมาณ 1 เดือน มีบางคนโทรหาผมครับ เค้าถามว่าผมได้อ่านบทรึยัง?? และนั่นทำให้ท้ายที่สุดแล้วผมจึงเริ่มหยิบบทเปิดหน้าแรกออกอ่าน

LH: คุณไม่ชอบรับบทบาทที่เหมือนเป็นตัวแทน ดาราไอดอลแบบนั้นเหรอคะ??
Choi Seung Hyun: ไม่ใช่ว่าผมเกลียดมันหรืออะไรนะครับ แต่ผมต้องการจะทำอะไรที่มันจริงจังมากกว่าบางทีนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงไม่ได้รับแสดงภาพยนตร์หลายๆเรื่อง มันเป็นความดีใจแต่ในขณะเดียวกันมันก็ถือว่าเป็นภาระเหมือนกัน เมื่อ3ปีก่อน ในตอนที่ผมถ่ายทำละครเรื่อง IRIS มันไม่ใช่เรื่องปกตินะครับที่ไอดอลจะได้มาร่วมทำงานในละครที่มีโปรดักชั่นยิ่งใหญ่แบบนั้น หลังจากที่ผมเล่นละครเรื่อง I am Samในปี 2007 ผมตระหนักว่ามันผ่านมากว่า 6 ปีแล้วนะ ผมตัดสินใจว่าผมควรจะเริ่มแสดงออกถึงด้านที่แตกต่างในตัวเองออกมาได้แล้วโดยการรับแสดงในภาพยนตร์ที่มีความแตกต่างหรือละคร ทีละเรื่องทีละเรื่องไปครับ

LH: ถ้าฉันมองจากงานที่ผ่านมาๆของคุณ คุณมักจะรับบทที่ไม่ค่อยมีบทพูดมากเท่าไหร่นัก คุณอาจจะชอบบทเหล่านี้เพราะคุณไม่จำเป็นต้องจำบทมากรึเปล่าคะ?? คุณเป็นคนที่จำบทเก่งรึเปล่า??
Choi Seung Hyun: โชคดีที่ผมค่อนข้างเก่งเรื่องการจำบทครับ ถ้าหากว่าผมไม่เข้าใจบทของภาพยนตร์ทั้งหมดอย่างถ่องแท้ ผมก็จะไม่สามารถที่จะแสดงบทบาทของตัวละครนั้นออกมาได้อย่างสมบูรณ์ จริงๆผมคิดว่านี่เป็นเรื่องปกตินะครับ แต่พอผมเริ่มทำ ผมจะคิดด้วยตัวเองเยอะมากและผมก็จะเอาแต่จัดระเบียบความคิดของตัวเองอย่างต่อเนื่อง เวลาที่ผมได้อะไรมาใหม่ผมจะอยู่ในภาวะที่เครียด ดังนั้นผมพยายามที่จะควบคุมจิตใจตัวเองให้ได้มากขึ้นอีกนิดครับ

LH: พูดแล้วทำให้ฉันนึกถึงภาพยนตร์เรื่อง 71: Into the Fireนะคะ พูดตามตรงว่าฉันไม่ได้คาดหวังอะไรมากจากภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่คุณกลับไม่ได้โดนรัศมีจากดาราใหญ่คนอื่นๆในเรื่องบดบังเลย ซึ่งถ้ามองอีกแง่นึง การที่คุณไม่โดนดาราคนอื่นเบียดบังเป็นเพราะว่านี่เป็นภาพลักษณ์ที่ขยายส่วนออกมาจาก ท็อปวงบิกแบงรึเปล่าคะ
Choi Seung Hyun: (พยักหน้า) แต่ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้แตกต่างไปนะครับ ในตอนที่ผมอ่านบท สิ่งแรกที่เข้ามาในใจผมคือ " ว้าวว นี่มันยากนะ" แต่ผมก็เกิดความคิดขึ้นมาอีกว่า " แต่ถ้าเราทำได้ดี มันจะกลายเป็นดีมากๆเลยนะ กลายเป็นภาพยนตร์ที่ดูลึกซึ้งเลยทีเดียว"

ความจริงที่ว่า การที่ผมเป็นคนที่มาจากเกาหลีเหนือและใช้ชีวิตเป็นนักเรียนในเกาหลีใต้นั้นมันก็เป็นนิยายมากเกินพอแล้ว และผมคิดว่าถ้าการถ่ายทอดอารมณ์ของผมมันออกมามากเกินไปมันก็จะดูไม่สมจริงดังนั้นผมควรที่จะควบคุมมัน  ผมมักจะุถามตัวเองแบบไม่จบไม่สิ้นว่า " ทำไมเราต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วย?? อะไรคือสิ่งที่เราจะต้องเข้าใจจากเหตุการณ์นี้ ??" 

LH: มีใครเป็นพิเศษที่คอยช่วยคุณในตอนที่คุณเตรียมตัวสำหรับแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ไม๊คะ??
Choi Seung Hyun: มีหลายคนมากจนผมไม่สามารถเลือกใครออกมาได้เลยครับ ขอบคุณผู้กำกับและนักแสดงรุ่นพี่ทั้งหมดที่คอยตอบคำถามทั้งหมดของผม แต่ยังไงก็ตามแต่นี่ก็เป็นงานของผม ผมก็ยังคงต้องมีความรับผิดชอบมากอยู่  ภาพยนตร์นั้นจะต้องสามารถทำให้คนดูรู้สึกคล้อยตามได้ซึ่งผลสุดท้ายหนังจะออกมาเป็นยังไงก็อยู่ที่ตรงนี้แหละครับ จะได้คำชื่นชมหรือจะเหมือนโดนผู้ชมตบหน้าก็ตรงนี้

LH: คิดไปคิดมานี่เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของคุณในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเลยนะคะ
Choi Seung Hyun: ใช่ครับ ทุกครั้งที่ผมถ่ายทำภาพยนตร์ ผมก็มักจะทำงานในอัลบั้มไปด้วย จริงๆยังไม่ได้มีการตัดสินใจใดๆแต่ตอนนี้อย่างน้อยผมก็พยายามที่จะทำอะไรออกมาบ้าง ผมรู้สึกถึงความรับผิดชอบที่ผมมีต่อแฟนๆของผมเพราะผมไม่ค่อยจะมีการทำงานโปรโมทในงานเดี่ยวเลย ผมคิดเรื่องนี้เยอะมากในการใช้ชีวิตประจำและในช่วงเวลาที่ตรวจสอบตัวเอง มันเหมือนเป็นเวลาที่ผมจะถามคำถามกับตัวเองและหาคำตอบนั้นด้วยตัวเองครับ

LH: ช่วงเวลาตรวจสอบตัวเองเหรอคะ?? โอ้ ฉันไม่ได้ยินคำคำนี้มานานมากแล้วนะเนี้ย?
Choi Seung Hyun: (ทำหน้าจริงจัง) ผมไม่ได้ล้อเล่นนะครับ ผมจะจริงจังมากในการคิดถึงตัวเองและสิ่งที่ทำไปในแต่ละวัน ซึ่งอย่างน้อยๆผมจะถามตัวเองอยู่ตลอดทุกวันว่า " ตอนนี้ผมเดินมาในทางที่ถูกแล้วใช่ไม๊??" ผมจะถามตัวเองครับ ผมอาจจะมีภาพลักษณ์ดื้อๆ กบฏๆเป็นแร๊พเปอร์ที่มีความทนงตัว แต่จริงๆแล้วในตัวผมมีด้านมืดอยู่ด้วย และ มยองฮุนในภาพยนตร์ก็มีด้านมืดและมีบุคคลิกที่ซับซ้อน ตัวละครนี้เค้าเหมือนกับพบภัยอันตรายที่ไม่คาดคิดมาก่อนและจมดิ่งลงไปจุดที่ต่ำสุด บทนี้จำเป็นต้องอาศัยอารมณ์ที่กดดันลึกๆมากมาย เค้าอาจจะดูเหมือนกับนักฆ่าในเรื่อง IRIS นะครับแต่บทนี้แตกต่างไปครับ มันไม่ใช่ภาพลักษณ์ของ ท็อปวงบิกแบงเลยแม้แต่น้อย

LH: คุณคงต้องพยายามอย่างมากเลยนะคะ ในการรับบทเป็น มยองฮุนในครั้งนี้
Choi Seung Hyun: ผมอยากให้ด้านมืดที่ผมไม่เคยแสดงออกมาเลยบนเวทีออกมาปรากฏให้ได้เห็นบนจอภาพยนตร์ ผมอยากจะให้ตัวเองดูโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงามากที่สุดเพียงแค่ยืนเฉยๆเท่านั้น วิธีที่ดีที่สุดที่จะเรียนรู้ให้สามารถแสดงออกมาแบบนั้นได้คือผมต้องอยู่ตัวคนเดียว ผมไม่ได้พบใครเลยเป็นเวลาเกือบ 1 ปี ผมใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับตัวเอง ผมถึงขนาดบอกกับทางบริษัท YG ว่า ผมไม่อยากทำงานโปรโมทอะไรใดๆทั้งสิ้น ดังนั้นอย่าวางแผนงานใดๆลงไปในตารางงานของผม ทำแบบนี้มันต้องสร้างความลำบากให้กับพี่ผู้จัดการแน่ๆ เพราะเค้าต้องยกเลิกคำเชิญที่จะให้ผมไปปรากฏตัวตามรายการ TV และงานอื่นๆอีกทุกๆงานที่เข้ามา

LH: ฉันเดาเอาว่าสำหรับพี่ผู้จัดการแล้วคุณคงเป็นนักแสดงที่จู้จี้น่าดู 
Choi Seung Hyun: อาจจะนะครับ ผมจะทำทุกอย่างที่ผมอยากจะทำ และจะทำแต่สิ่งที่ต้องการจะทำเท่านั้น ไม่ใช่แค่เรื่องภาพยนตร์เท่านั้นแต่ในวง บิกแบงก็ด้วย หลังจากที่การถ่ายทำจบลงและในที่สุดก็มีการประกาศวันออกฉาย   น้องๆสมาชิกในวงมาบอกกับผมว่า " ฮยองฮะ เราจะไปดูหนังกันนะฮะจะได้ไปดูว่าหนังนั้นยอดเยี่ยมแค่ไหน" ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะฮะแต่จะเห็นได้ชัดเลยว่าในช่วงที่ทำทัวร์สมาชิกในวงพยายามที่อยู่ห่างๆผมเอาไว้เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะมีเรื่องขัดแย้งกับผม พวกเค้าพูดว่าพวกเค้าไม่กล้าที่จะคุยกับผมด้วยซ้ำ เพราะ ผมดูอ่อนไหวและดุดันมากในตอนนั้น 


มันไม่ได้ใช้เวลานานเลยในการที่ท็อปจะกลายเป็น ชเวซึงฮยอนและไม่นานเลยที่ชเวซึงฮยอนจะกลายมาเป็นมยองฮุน ภาพยนตร์เริ่มถ่ายทำในช่วงเดือนมกราคมที่หนาวเหน็บและจบลงในช่วงกลางฤดูร้อนชเวซึงฮยอนสารภาพว่าเค้าใช้เวลายาวนานเกินไปในการหลบซ่อน  ในตอนแรกเค้าวางแผนว่าจะตั้งใจมากขึ้นในภาพยนตร์เรื่องนี้เพราะต้องการให้ผู้ชมนั้นได้เห็นเค้าในด้านที่แตกต่างออกไปจากที่เคยเห็นในฐานะบิกแบง  แต่แม้กระทั่งการถ่ายทำภาพยนตร์จบสิ้นลงไปแล้ว มยองฮุนกลับยังอยู่ในตัวเค้า

หลายเดือนก่อนที่หนังจะประกาศวันออกฉาย ชเวซึงฮยอนไม่สามารถทำงานโปรโมทใดๆได้เลย เค้าเอาแต่นอนบนเตียงและดื่มจนเมาที่บ้านเป็นเวลากว่า 5 เดือน เค้ากล่าวว่าเค้ารู้สึกขอบคุณบริษัทต้นสังกัดมากที่เข้าใจในสถานการณ์ที่เค้ากำลังเผชิญอยู่ เค้ากลัวว่าเค้าอาจจะยิ่งจมดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆในสภาวะที่หดหู่แบบนี้ เค้าจึงพยายามดึงตัวเองออกจากบ้านไปพบปะผู้คนบ้าง และนั่นเป็นจุดที่เค้าเริ่มที่จะรวบรวมตัวตนของตัวเองให้กลับมาเข้าที่เข้าทางอีกครั้ง และ สุดท้าย ในตอนนี้เค้ากลับมายืนใต้แสงสปอต์ไลท์ได้อีกครั้ง 

LH: คนที่มีความลึกซึ้งนี่เค้าจะเต้นทันทีที่เข้ามาถึงในสตูดิโอกันแบบนี้เลยเหรอคะ คุณเต้นไปตั้งสองครั้งหนะนะ?? 
Choi Seung Hyun: จริงๆแล้วผมเป็นคนที่บอบบางมากนะครับ (หัวเราะ) จริงๆแล้วผมเป็นคนที่อ่อนไหวเซนซิทีฟครับ แม้แต่ในตอนที่ยังไม่ได้เป็นคนดัง ตั้งแต่เด็กมาแล้ว ผมยังเป็นเหมือนเดิม เวลานอนผมยังสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกหลายๆครั้ง แต่ผมก็เป็นคนที่ไม่ได้นอนหลับเพลินเหมือนกัน  แม้ว่าวันที่ไม่มีงานในตารางผมก็ยังคงจะตื่น 10 โมงเช้าตลอดครับ 

LH: ฉันมองออกว่าคุณเป็นคนที่ขี้อายจริงๆ
Choi Seung Hyun: ไม่ว่าจะเป็นใน TV หรือในภาพยนตร์ จะมีคนมากมายที่มีออร่าเปล่งประกายออกมามากเลยครับ เราเรียกอารมณ์แบบนี้ว่า สงครามจิตวิทยา และผมไม่ชอบที่จะอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นเลย ผมพยายามที่จะหลีกเลี่ยงมัน พูดตรงๆคือผมไม่อยากจะเอาพลังงานของผมไปเสียเปล่ากับอะไรแบบนั้น ผมจึงพยายามเทพลังงานออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ลงไปต่อหน้ากล้องหรือบนเวที ดังนั้นการถ่ายภาพและการสัมภาษณ์แบบนี้จะทำให้ผมรู้สึกเขินครับ และนั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงเริ่มเต้นทันทีที่ผมมาถึงสตูดิโอ (หัวเราะ)

LH: ในปีนี้คุณจะมีอายุ 27 ปีแล้ว ขนาดผู้ชายธรรมดาในช่วงอายุนี้ เค้าคงต้องเริ่มคิดอะไรที่จริงจังๆในความเป็นจริงแล้วไม๊คะ?? 
Choi Seung Hyun: อืมมม หากเทียบกับก่อนหน้านี้ ผมพยายามที่จะมีความสุขในงานอดิเรกของผมให้มากขึ้นครับ เช่น ผมมีความสุขที่จะได้ไป แกลลอรี่และร้านเฟอร์นิเจอร์ มันช่วยให้ผมตั้งจุดหมายในสิ่งใหม่ๆได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น ผมคิดว่าผมสามารถพูดได้เลยนะว่ามันสร้างแรงบันดาลใจให้กับผม

LH: พวกคุณไม่ได้สนใจไปที่รองเท้าและเสื้อผ้ามากกว่าเหรอคะ?? ฉันจำได้ว่าคุณเคยพูดในการให้สัมภาษณ์ที่ผ่านมาด้วยเหมือนกัน ตอนนี้คุณสนใจพวกเฟอร์นิเจอร์แล้ว เหมือนกับว่าคุณมองมันโดยรวมๆทั้งบ้านเลยรึเปล่า?? ถ้าแบบนั้นคุณมีมุมมองที่กว้างขึ้นในระดับโลกเลยไม๊?? 
Choi Seung Hyun: คือ งี้ครับ งานของผมก็เหมือนกับตัวตลก การเป็นนักร้องหรือนักแสดงนั้นเป็นงานที่คุณต้องโฆษณาตัวเองเอาตัวเองออกขาย มันไม่ได้มีแค่ผมที่ทำแบบนี้คนเดียว และ ผมก็ต้องทำตัวให้กลายเป็นคนอีกคนนึงอยู่เสมอ เมื่อผมนึกถึงโต๊ะหรือเก้าอี้ที่อยู่ในร้าน ชิ้นงานศิลปะเหล่านั้นมันดูแตกต่างไปและมันทำให้ผมเริ่มรู้สึกว่าผมแตกต่างไปด้วย เพราะผมสามารถเห็นว่าดีไซเนอร์ได้เทใจในการดีไซน์ลงไปในชิ้นงานเพื่อที่จะพยายามทำให้ผู้คนต้องการมันและทำให้มันเป็นที่สะดุดตา ผมก็สามารถเป็นสินค้าที่ถูกสร้างออกมาอย่างดีแบบนั้นได้เหมือนกัน 

เวลาที่ผมมีเวลาว่างผมชอบที่จะไปแกลลอรี่หรือดูนิทรรศการด้วยตัวของผมเอง ผมได้เจอผู้คนที่มีความสนใจอย่างมากในเรื่องของการตบแต่งภายในและเฟอร์นิเจอร์บ่อยๆที่นั่น  พวกเค้าต่างก็มีอายุมากกว่าผมมากแต่ผมไม่รู้สึกว่ามีช่องว่างระหว่างวัยใดๆเลยเวลาที่เราพูดคุยกันเรื่องต่างๆ จริงๆแล้วมันสนุกมากทีเดียวครับ 

Englisn Translation by BIGBANGISVIP 
Thai Translation by miss mew 
magazine  by L'official Homme 

=============

ตามอ่าน L'official ตอนอื่นๆได้ตามนี้ 
top-lets-talk-at-home-in-my-room part1.html
top-lets-talk-at-home-in-my-room End.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น