วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สัมภาษณ์ท็อปจาก 10 asia.co.kr (end)


Q.เรามาพูดถึงหนังเรื่อง  ‘Commitment’ กันดีกว่า มันแตกต่างกันไม๊ครับกับตอนที่ยืนอยู่บนเวทีเปิดตัวหนังเรื่องใหม่กับการยืนอยู่บนเวทีเพื่อการเปิดตัวอัลบั้มใหม่??
CSH:อย่างแรกเลยเวลาที่ผมยืนอยู่บนเวทีร้องเพลง ผมจะไม่ค่อยเหนื่อยนะครับ เพราะผมสามารถที่จะหายใจไปกับผู้ฟังและได้รับผลตอบรับจากพวกเค้าเลย ถ้าผู้ฟังไม่ได้แสดงออกปฏิกริยาใดๆมาเลย ผมจะคิดว่า " หื้อ?? พวกเค้าไม่มีการตอบรับเลยนี่?? เราควรเปลี่ยนมาทำแบบนี้ดีไม๊?? " หรือว่า " ว้าวว พวกเค้าตอบรับอย่างดีเลยงั้นเราทำแบบนี้ต่อไปแหละ" การที่ได้ปลดปล่อยอารมณ์ที่รุนแรงแบบนั้นที่ผมเคยประสบมามันเป็นประสบการณ์ที่วิเศษที่สุดครับ ไม่ได้จะหมายความไปในทางไม่ดีนะครับแต่ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นครูฝึกม้าที่ได้คุมบังเหียนเอาไว้

สำหรับงานภาพยนตร์นั้น จะตรงกันข้ามกัน ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังเข้าสู่การฝึกจิตเลยทีเดียว เพราะมันไม่มีปฏิกริยาตอบรับกลับมาทันทีจากผู้ชม ผมจำเป็นต้องหาวิธีมาปลอบใจตัวเองเพื่อป้องกันตัวเองไม่ให้หมดแรงไปซะก่อน  เวลาที่คุณเอางานที่คุณลงแรงทำมาเป็นเดือนๆออกมาโชว์ คุณอาจจะถูกประณามจากสาธารณชนหรือได้รับเสียงปรบมือในคราวนี้คราวเดียวนี่แหละ วิธีที่ผมจะรู้สึกได้ถึงความสำเร็จในงานทั้งสองอย่างนี้ต่างกันมากๆเลยละครับ

Q. ถ้างั้น คุณคงรู้สึกว่างานภาพยนตร์เป็นงานที่เสียเปล่าจริงๆ ไม๊ครับ??
CSH: จริงๆผมรู้สึกโมโหนิดๆนะครับตอนนี้ ผมรู้สึกแบบนี้ตั้งแต่มีการพรีวิวหนังโดยสื่อไปเมื่อเช้า ยิ่งเวลาผ่านไปผมก็ยิ่งโมโหมากขึ้นอีก ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมตัวเองถึงโมโห นี่เป็นเพราะผมได้ผ่านความลำบากมามากมายในขั้นตอนการถ่ายทำภาพยนตร์มาเป็นปีๆงั้นเหรอ??ผมถึงได้อ่อนไหวและฉุนเฉียวง่ายแบบนี้ (Q. ก่อนที่จะได้ชมภาพยนตร์ก็รู้สึกแบบนี้ไม๊ครับ?) ครับ แม้กระทั่งก่อนที่จะดูหนังผมก็รู้สึกแบบนี้ และก็โมโหมากขึ้นๆเรื่อยๆในตอนที่เริ่มดู

Q. อะไรที่ทำให้คุณโกรธในตอนที่คุณดูหนังอยู่เหรอครับ??
CSH: ผมรู้สึกโมโหตัวเองที่เอาแต่มองหาว่าทำไมมีคนเล่นโทรศัพท์เวลาที่ดูหนัง หรือในตอนที่คนกำลังทานป็อปคอน ผมไม่ได้รู้สึกโมโหคนคนนั้นหรอกนะครับ แต่โมโหตัวเองที่ไปใส่ใจกับอะไรแบบนั้น ทุกอย่างล้วนทำให้ผมโมโหหงุดหงิด

Q. ในตอนที่่มาดูเรื่อง ’71 Into the Fire’มันเป็นยังไงบ้างครับ??
CSH: ย้อนกลับไป ผมคิดว่ามันดูสบายกว่านี้นะครับ ผมแค่รู้สึกตื่นเต้นกับการได้เห็นตัวเองบนจอใหญ่ๆ มันเป็นเรื่องน่าอายด้วยเช่นกัน แต่หลังจากที่ได้รับรางวัลมาหลายรางวัลจากภาพยนตร์เรื่อง 71 Into Fire ผมก็รู้สึกว่าต้องมีความรับผิดชอบ ผมรู้สึกว่าผมจำเป็นที่จะต้องทำงานให้จริงจังมากขึ้น ผมคิดว่างานภาพยนตร์ก็เป็นแบบนี้แหละครับ กระบวนการที่จะเข้าถึงตัวละครและสร้างตัวละครผ่านความคิดมากมายนั้นมันยิ่งใหญ่มาก แต่เมื่อคุณทำมันไปแล้ว คุณก็จะกลายเป็นคนที่อ่อนไหวมาก

Q. บางครั้งคุณได้ย้อนคิดไม๊ครับว่า " อาชีพนี้ทำให้เรามีความสุขไม๊น้า??" คุณคงต้องตั้งคำถามให้กับตัวเองเหมือนกันว่า" ทำไมฉันจะต้องมาทำให้ตัวเองกลายเป็นคนอ่อนไหวมากขนาดนี้ด้วย??" ??
CSH: มันเยี่ยมมากเลยครับที่คุณถามคำถามนี้ขึ้นมา สองสามวันให้หลังมานี้ผมก็คิดถึงเรื่องนี้อยู่ครับ ในท้ายที่สุด ผมไม่มีความสุขครับ ผมคิดว่าไม่เพียงแต่เพราะผมต้องอยู่ภายใต้แรงกดดันมากเท่านั้น แต่เพราะความรักที่ผมมีให้งานนี้มันมากเกินไป ผมรู้สึกผูกติดอย่างมากกับบทของมยองฮุนเพราะผมได้ลงทุนสร้างบุคคลิกและตัวละครนี้ขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อยในตัวเองมาเป็นเวลานานมาก มันให้ความรู้สึกเหมือนกับผมกำลังขว้างทิ้งตัวละครที่เปรียบได้กับลูกชายของผมเองทิ้งออกไปบนถนน เปลือยกาย ผมมีความรู้สึกมากมายปะปนกันไปหมดครับ 

Q.คุณได้อ่านพรีวิวคำวิจารณ์ที่มีต่อภาพยนตร์รึยังครับ?? 
CSH: ครับ ได้อ่านแล้ว ผมก็ยิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก ผมไม่ได้โกรธที่มีคนมาพูดถึงคุณภาพของภาพยนตร์นะครับ แต่ความรู้สึกที่โดนประเมินค่าในคราวเดียวเลยกับงานบางอย่างที่ผมทำมันมาเป็นเวลานานด้วยความหลงใหลและด้วยจิตวิญญาณนั้นมันรู้สึกแปลกๆ 

พูดตามตรงนะครับ ผมไม่ชอบรายการออดิชั่นอย่างรายการ ‘K-Pop Star.’ เลย ผมระมัดระวังในการที่จะพูดเรื่องนี้ออกมานะครับเพราะรายการนี้มีรุ่นพี่ของผมมากมายปรากฏตัวอยู่ในรายการ แต่ความรู้สึกที่แท้จริงของผมคือ ผมไม่ชอบมันเลยครับ

การที่จะมาประเมินค่าของคนที่เตรียมตัวมาเป็นเวลานานเพื่อที่จะเป็นนักร้อง เพื่อความสนุกของรายการ และแน่นอนเป็นเพราะโปรดิวเซอร์ทำให้คนต้องมาทำอะไรแบบนั้น แต่ความคิดในการที่จะประเมินพวกเค้าแบบนี้มันก็เสี่ยงตั้งแต่เริ่มแล้ว การให้คำแนะนำนั้นเป็นเรื่องที่ดีครับ แต่ การประณามดุด่าเป็นเรื่องที่อันตรายมากๆ ไม่มีใครรู้หรอกว่าผู้เข้าแข่งขันทั้งหลายจะกลายเป็นยังไง สำหรับผมแล้ว ผมไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่า พรสวรรค์ของคนคนนึงจะถูกประเมินค่าได้ด้วยความคิดเห็นส่วนตัวของใครคนใดคนนึงได้ยังไงกัน

Q. คุณคงรู้สึกแบบนั้นเพราะคุณก็ผ่านกระบวนการแบบนั้นมาก่อนในการที่จะเข้ามาเป็นสมาชิกวงบิกแบงนะครับ
CSH: คุณพูดถูกครับ เพราะผมเข้าใจความทุกข์ทรมานและความเจ็บปวดนั้นเป็นอย่างดี กับอะไรแบบนั้น 



Q. ผมคิดว่า" ชเวซึงฮยอนนี่เข้าถึงบทบาทจริงๆนะเนี้ย" ในตอนที่ผมดูหนัง ผมยังคิดไปอีกว่า "พวกนักแสดงนี่มีความปรารถนาที่แรงกล้าขนาดนี้เลยเหรอ??" คุณเป็นคนที่มักจะทุ่มทุกอย่างสุดตัวแบบนี้เสมอในทุกๆอย่างที่คุณแบบนี้เหรอครับ?? หรือมันมีอะไรเป็นพิเศษกับเรื่อง  ‘Commitment’ไม๊??
CSH:ผมรู้สึกว่าผมคงไม่สามารถแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมาได้ถ้าไม่ทุ่มสุดตัวแบบนั้น ครั้งแรกที่ผมเจอกับมยองฮุนผ่านบท ผมคิดว่าผมสามารถเข้าใจเค้าผิดได้ง่ายๆและบรรยายเค้าออกมาง่ายๆว่าเป็นเด็กผู้ชายที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เค้าไม่ค่อยมีบทให้พูดมากนักด้วย ดังนั้นผมจึงพยายามที่จะบรรยายสิ่งต่างๆผ่านทางสายตาของผม และผมก็กลายเป็นคนที่อ่อนไหวมากในการทำแบบนั้น 

บางครั้ง มันให้ความรู้สึกเหมือนกับการที่ผมไปออกคอนเสริต์เป็นตัวประกอบเท่านั้น ไม่มีเนื้อเพลงให้ร้อง ก็เหมือนกับมยองฮุนการกระทำของเค้าสำคัญมากๆเพราะไม่มีบทให้เค้าพูด และผมต้องหาสมดุลให้กับการกระทำความรู้สึกและคำพูดของตัวละครตัวนี้ มันต้องไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป ซึ่งมันยากมากๆ

Q. คุณอยู่ในเกือบทุกฉากในหนังเลยนะครับ ดังนั้นมันคงจะเป็นอะไรที่ยากมากขึ้นไปอีก
CSH: พูดตามตรงนะครับ ผมไม่คิดว่าจะมีฉากของผมเยอะมากขนาดนี้ ตามบทแล้วจะมีฉากของคุณ Lee Myung Hoon ประมาณ 60-70% ผมยังรู้สึกประหลาดใจเหมือนกันในตอนที่ได้ดูหนัง

Q.ผมคิดว่าผู้กำกับคงรัก ชเวซึงฮยอนนะครับ เพราะแทนที่จะใส่ฉากแอคชั่นเท่ๆลงไปในภาพยนตร์เท่านั้น ผมยังเห็นว่าเค้าพยายามที่จะใส่ฉากที่เต็มไปด้วยอารมณ์ของมยองฮุนลงไปด้วยอีก
CSH: ภาพยนตร์เรื่อง ‘Commitment’ นี้เป็นภาพยนตร์เปิดตัวของผู้กำกับ  Park Hong Soo ครับ มันเป็นภาพยนตร์เรื่องแรก เป็นนักแสดงคนแรก และเป็นตัวละครตัวแรกของเค้าดังนั้นเค้าจึงมีความผูกพันธ์กับตัวละครตัวนี้มาก ในฐานะที่เป็นนักแสดงผมรู้สึกขอบคุณนะครับ แต่ยังไงก็ดี ความที่เค้าผูกพันธ์กับตัวละครตัวนี้มากมันก็เป็นความกดดันอย่างมากให้กับผม (หัวเราะ) อีมยองฮุน เป็นตัวละครที่มีความลับอยู่ เค้าดูเข้มแข็ง แต่กับคนดูแล้ว ผมอยากจะแสดงออกถึงด้านที่เป็นเด็กของเค้าออกมา เค้าพยายามที่จะดูแข็งแกร่ง แต่เค้ากลับมีแต่ความเศร้าในใจ ผมคิดว่านั่นเป็นเสน่ห์ของมยองฮุนนะครับ ดังนั้นผมจึงพยายามทำให้ดีที่สุดในการที่จะแสดงออกทางสีหน้าที่มีแต่ผู้ชมเท่านั้นที่จะอ่านสีหน้านั้นได้ 

Q. คุณPark Eun Kyung จาก The Lampบริษัทผู้สร้างภาพยนตร์เรื่อง  ‘Commitment’ นี้กล่าวไว้ว่า " เมื่อเทียบกับนักแสดงที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ชเวซึงฮยอนมีความสามารถที่โดดเด่นมากในเรื่องตีความบทละครออกมา" ในตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมเธอถึงพูดไว้แบบนั้น คุณไปเรียนการตีความบทละครมาจากไหนครับ??
CSH: คุณคงไม่สามารถเว้นความจริงที่ว่าผมเป็นนักดนตรีออกไปได้นะครับ ผมเป็นนักแสดงที่ใช้อารมณ์ขับเคลื่อนมากกว่าเทคนิคในการแสดง นอกจากนี้ผมชอบดูหนังมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ผมมักจะใช้ลักษณะท่าทางที่ได้ดูจากภาพยนตร์นำเอามาใช้บนเวที และเรียนรู้จากตัวละครชื่อดังต่างๆในหนังเพื่อนำเอามาใช้กับตัวเอง อะไรแบบนี้แหละครับที่จะช่วยให้ความสามารถในการวิเคราะห์ตีความบทของผมพัฒนาขึ้นมา

Q. สำหรับความประทับใจที่มีต่อการแสดงของคุณ ผมคิดว่า ดวงตาของคุณนั้นสำคัญมากๆ หลังจากที่มีการพรีวิวภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมา ส่วนใหญ่ผู้คนจะพูดถึงสายตาของชเวซึงฮยอนกันทั้งนั้น สำหรับนักแสดงแล้วจะมีอะไรที่จะสำคัญไปกว่าสายตาได้อีกละ?? ถ้าคุณเลือกได้ระหว่าง  ความสามารถด้านเสียงร้อง ความสามารถด้านความรู้สึก ความจริงใจ ความสามารถในการแสดง และความสามารถในการวิเคราะห์ คุณจะเลือกอะไรครับ??
CSH: จากทั้งหมดที่กล่าวมา ผมคงจะต้องเลือกความจริงใจครับ แม้ว่าความสามารถในการวิเคราะห์จะสำคัญมากเหมือนกันก็ตามแต่ความสามารถนั้นน่าจะเป็นสิ่งที่โปรดิวเซอร์ควรจะมี นักแสดงก็จำเป็นที่จะต้องมีความสามารถนั้นด้วยเหมือนกันแต่เป็นเพราะโปรดิวเซอร์ควรจะมีมากกว่าผมเลยไม่ได้เลือกอันนี้ 

เหตุผลที่ผู้ชมร้องไห้ออกมาเวลาที่พวกเค้าดูนักร้องร้องเพลงผ่านรายการ  ‘I Am a Singer’ นั่นก็เพราะความจริงใจที่พวกเค้าสัมผัสได้ เราไม่ร้องไห้เวลาที่เราดูรายการ SBS ‘Inkigayo’ หรือรายการ MBC ‘Show! Music Core’. มันแตกต่างกันครับ มันไม่เกี่ยวว่าคุณจะมีเทคนิคอะไร หากคุณจริงใจคุณก็จะสามารถสัมผัสใจของผู้ฟังได้ 

Q. คุณคิดว่าตัวเองแสดงออกถึงความจริงใจออกมามากแค่ไหนในภาพยนตร์เรื่อง Commitment’?ฃครับ?
CSH: ผมพยายามที่จะแสดงมันออกมา100%ของความสามารถของผมครับ


Q. อีมยองฮุนเป็นตัวละครที่ต้องการความควบคุมตัวเองมากกว่าที่จะแสดงออกอารมณ์ออกมาเยอะๆ แล้วตัวคุณละครับ คุณมักจะแสดงออกความรู้สึกตัวเองออกมารึเปล่า??
CSH:ผมเป็นคนที่ซื่อสัตย์ต่ออารมณ์ความรู้สึกของตัวเองมากครับ ความรู้สึกของผมจะปรากฏบนใบหน้าของผมเลย ผมไม่สามารถที่จะซ่อนความรู้สึกของตัวเองได้ ผมเป็นคนที่ไม่ได้เรื่องในการโกหกด้วยละครับ

Q. บางครั้งการเปิดเผยความรู้สึกของตัวเองออกมามากเกินไปก็อาจจะทำให้คนอื่นอึดอัดได้นะครับ??
CSH:ผมมักจะทำให้คนอื่นรู้สึกอึดอัดแหละครับ (หัวเราะ) ผมพยายามที่จะซ่อนความรู้สึกของตัวเองแล้วแต่ก็ไม่สามารถที่จะทำได้ ถ้าผมไปงานปาร์ตี้ที่ต้องดื่มกัน ผู้คนมักจะบอกว่า " ตามสบายนะทำตัวเหมือนอยู่บ้านได้เลย" ผมจะบอกว่า "ตอนนี้ผมผ่อนคลายสุดๆเลยครับ" เค้าก็จะพูดกลับมาว่า "แต่นายดูอึดอัดมากเลยนะ" (หัวเราะ)

Q. อะไรที่จะทำให้คุณรู้สึกอึดอัดครับ??
CSH: สถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคยครับ ผมจะอยู่ในสภาวะที่ตื่นตระหนกในสถานการณ์ที่ตัวเองไม่คุ้นเคย ถ้าเป็นสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคยในการทำงานก็ไม่เป็นไรเพราะผมก็แค่ทุ่มพลังของผมไปตั้งสมาธิในการทำงาน แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าถ้าผมต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่ตัวเองไม่คุ้นเคยในชีวิตประจำวันผมจะเอาแรงของผมไปป้องกันตัวเองไม่ให้รู้สึกจิตตกกับสถานการณ์นั้นๆ ซึ่งผมคิดว่ามันเสียพลังไปแบบเปล่าประโยชน์ครับ ผมอยากจะใช้พลังของผมให้มันเกิดประสิทธิภาพมากกว่านี้ และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมผมถึงชอบใช้เวลาอยู่คนเดียวครับ

Q.รายการ  ‘WHO IS NEXT:WIN’ ทำให้ผมนึกย้อนไปถึงบิกแบงในอดีตนะครับ มีอยู่หลายตอนเลยที่เด็กๆในรายการพูดว่า "จำไว้ว่าต้องอย่าลืมความตั้งใจแรกของเรานะ" แต่พูดตรงๆนะครับมันไม่ง่ายเลยที่จะทำแบบนั้นในงานสาขานี้ สำหรับคุณแล้วมันเป็นยังไงครับ?? คุณเปลี่ยนแปลงไปมากเลยไม๊จากตอนที่เริ่มเดบิว"
CSH: คุณเปลี่ยนแปลงไป ในเมื่อขอบเขตของคุณก็ขยายกว้างออก คุณก็เปลี่ยนไปครับ ก่อนอื่นเลยผู้ชายที่ชื่อชเวซึงฮยอนได้กลายเป็นเด็กเล็กๆ เพราะผมใช้ชีวิตอยู่ในนามของท็อปมากกว่า ชเวซึงฮยอนจึงเหมือนยังคงพักอยู่ตรงจุดเดิม และนั่นทำให้ผมมักจะบ่นเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์และอารมณ์แกว่งไปมาเสมอ  ในขณะเดียวกัน ขอบเขตของท็อปก็ขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆ หากคุณจะพูดให้ฟังดูดีแล้วละก็ ท็อปเค้าเป็นผู้ใหญ่ในเรื่องของดนตรี แต่ในท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่สำคัญอยู่ที่ว่าเราจะต้องจัดสรรปันส่วนระหว่างตัวเองในชีวิตประจำวันและตัวเองที่อยู่บนเวที ซึ่งการจัดสรรที่ว่านี้ก็คือ "ทักษะ" นั่นเอง คือการจัดระเบียบตัวเอง และนี่คือสิ่งที่เราทำครับ

Q. คุณอายุ 27 แล้ว คุณคิดยังไงกับการที่มีอายุ 27 บ้างครับ??
CSH: มันเป็นอายุที่ทำให้คุณกลายเป็นผู้กล้าครับ มีหลายคนพูดว่าคุณจะกล้าหาญมากที่สุดในช่วงอายุ 20-21 แต่ในตอนนั้นคุณแค่มีอารมณ์ที่รุนแรงและไฟแรงเท่านั้น ในตอนนี้ มันเป็นเรื่องของความกล้าหาญในการทำความเข้าใจเส้นทางที่คุณกำลังจะเดินไปมากกว่า ในเส้นทางนี้ ทุกอย่างตั้งแต่บิกแบงเดบิวเป็นเพียงแค่การอุ่นเครื่องเท่านั้น ผมคิดว่าในที่สุดผมก็ยอมเปิดตาของผมสู่สิ่งที่มีแต่ผมเท่านั้นที่ทำได้ นี่แหละครับ อายุ 27 สำหรับผม

Q. มีอายุไหนที่คุณตั้งหน้าตั้งตารอคอยไม๊ครับ??
CSH: อายุ 40 ครับ ในตอนที่ผมส่องกระจกในตอนนั้น ผมคงรู้ได้ทันทีเลยว่าผมใช้ชีวิตของผมมาแบบไหน ผมจะมองดูสภาพแวดล้อมของตัวเองและจะตัดสินใจว่าจะดำเนินอาชีพนี้ต่อไปไม๊?? 

Q. อะไรนะครับ?? นี่คุณกำลังพูดว่าคุณอาจจะคิดเรื่องที่จะเลิกอาชีพนี้ในวันใดวันนึงงั้นเหรอครับ??
CSH: ครับ ผมอยากจะมีอายุเพิ่มมากขึ้นด้วยคุณความดี ดังนั้นหากร่างกายและจิตวิญญาณของผมเหนื่อยล้าแล้ว ผมไม่คิดว่าผมจะยังคงปรากฏตัวต่อหน้าผู้ชมต่อไปนะครับ

Q. ถ้าคุณตัดสินใจที่จะเปลี่ยนอาชีพในตอนนั้น คุณจะทำอะไรครับ??
CSH: ผมอยากจะเรียนในสิ่งที่ผมชอบครับ อย่างเรื่องการออกแบบเฟอร์นิเจอร์หรือเรื่องสถาปัตยกรรม ( เค้าบอกว่าเค้าชอบสถาปนิกอย่างคุณ Jean Prouvé.)

Q. นั่นก็ดีนะครับ แต่ผมคงชอบที่จะเห็นท็อปมีความสุขในฐานะนักร้องและนักแสดงมากกว่าอยู่ดี แต่ขอบอกหน่อยนะ คุณไม่เก่งเอามากๆเลยนะเรื่องสบตาผมเนี้ย??
CSH: 555 ครับผมก็เป็นแบบนี้แหละครับ ผมไม่สามารถสบตากับคนที่ผมสนิทด้วยได้ด้วยซ้ำครับ ผมพยายามแล้วนะครับ แต่ก็ทำไม่ได้ รู้ไม๊ฮะ ความรู้สึกที่เหมือนกับสิ่งที่คุณคิดจะถูกเปิดเผยออกมาผ่านทางสายตาเวลาที่คุณมองลงไปในตาของคนอื่น อ่าาา ผมคิดมากไปเองครับ (หัวเราะ)

==============

credit:
Source: 10Asia http://tenasia.hankyung.com/archives/182035]
Eng Translation by @ IBEUNJN
Thai Translation by miss_mew 

===========

สัมภาษณ์ท็อปกับ 10asia.co.kr
10-asia-part-1.html
10-asia-korea-end.html 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น