วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2556

TOP "Running on empty" จากนิตยสาร W / 11-2013 (part 1 )


ได้ยินมาว่าคุณพึ่งกลับมาจากงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติปูซานเมื่อวานนี้ใช่ไม๊คะมีประสบการณ์ไหนที่สร้างความประทับใจให้กับคุณบ้าง? 
TOP: เป็นครั้งที่2 ครับที่ผมได้ไปร่วมงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติที่ปูซานหลังจากที่เคยไปร่วมงานเพื่อภาพยนตร์เรื่อง 71:Into the Fire มาแล้ว ผมเป็นคนขี้อายครับดังนั้นผมไม่ได้ไปเข้าสังคมสังสรรค์ในที่ที่มีคนมากๆ แทนที่จะทำยังงั้น ผมดื่มไวน์ที่โรงแรมและไปที่ร้านเหล้ารถเข็น ที่นั่นผมพบกับเพื่อนสนิทของผม ลีฮยอกซู ครับ

ผมชอบปูซานเพราะมันมีชายหาดที่นั่น ผมเดาเอาว่าเพราะบรรยากาศที่สถานที่ปล่อยออกมา ผมคิดว่าพลังงานนั้นได้ส่งผ่านมาถึงผมด้วยเหมือนกัน มันมีผลกระทบต่อผมมากจริงๆและผมพึ่งเริ่มที่จะโปรโมทภาพยนตร์ของผม Alumni ด้วยนอกจากนี้ยังจะได้เห็นปฎิกริยาของผู้คนอีกดังนั้นผมจึงรู้สึกดีมากครับ

มันใช้เวลาหลายเดือนอยู่นะคะกว่าหนังจะถูกปล่อยออกมาหลังจากที่ถ่ายทำเสร็จสิ้นกันไป ดังนั้นนักแสดงบางคนเคยพูดเอาไว้ว่ามันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าพวกเค้าได้กลับมาพบกับภาพยนตร์ที่เค้าทำอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้เจอมานาน
TOP:เป็นช่วงสิ้นเดือนมกราคมครับตอนที่การถ่ายทำจบลง มันก็นานพอสมควรตั้งแต่การถ่ายทำเสร็จสิ้นแต่เรื่องราวในภาพยนตร์ทั้งเรื่องยังคงอยู่ในหัวของผม ผมไม่ได้รู้สึกเหมือนกับว่าผมกลับมาพบมันอีกครั้งหลังจากที่ลืมไปแล้วหรอกครับ จริงๆมันใช้เวลาระยะหนึ่งเลยสำหรับผมในการที่จะออกจากบทบาทที่ได้รับ และผลระยะยาวมันอยู่ในตัวผมเป็นเวลายาวนานเหมือนกับแผลในใจ มันเป็นบทบาทที่ผมต้องสวมบทบาทมาเกือบจะหนึ่งปีเต็มๆ ดังนั้นผมจะรู้สึกว่าผมได้กลับมาตรวจสอบเช็คดูมากกว่าว่ามีอะไรตรงไหนที่ผมพลาดไปรึเปล่าในตอนที่ผมได้ดูภาพยนตร์ 

แล้วเป็นยังไงบ้างคะหลังจากที่ได้ดูภาพยนตร์ที่ผ่านการตัดต่อแก้ไขมาแล้วบนจอภาพ?
มันเคร่งเครียดและควบคุมอารมณ์มาก มันไม่ใช่หนังที่ดูเล่นๆเลย ดังนั้นผมชอบมันครับ

ฉันได้ดูตัวอย่างหนังแล้วและในนั้นไม่มีฉากไหนเลยที่คุณจะสามารถผ่อนคลายและหัวเราะได้ 
TOP:คุณจะได้เห็นในตอนทีุ่คุณดูภาพยนตร์ครับแต่มันไม่ใช่ตลกในสถานการณ์ที่ปกตินะครับแต่มันจะมีฉากให้ตลกกันในที่ที่ไม่คาดคิดมาก่อนและมันจะทำให้คุณหัวเราะ
  
คุณคงจะพิจารณาไตร่ตรองอย่างมากเลยในการที่จะเลือกบทภาพยนตร์เรื่องที่2ที่คุณจะแสดง มีเหตุผลอะไรที่คุณเลือกภาพยนตร์เรื่อง Alumni นี้คะ ??
TOP:ผมเป็นนักดนตรีครับและผมไม่ได้ตั้งใจจะเบนเข็มไปเป็นนักแสดงดังนั้นมันไม่ใช่จุดมุ่งหมายที่ผมตั้งเอาไว้ในการที่จะแสดงภาพยนตร์หลายๆเรื่อง ดังนั้นผมได้รอคอยภาพยนตร์ที่จะทำให้ผมสามารถอุทิศความอ่อนเยาว์ของผมในวัย 27 และอารมณ์ความรู้สึกของผมในการที่จะสามารถบรรยายเล่าเรื่องราวที่จริงจังออกมาได้ และผมยังสามารถที่จะสื่อความคิดเห็นของตัวเองสื่อลงไปได้อีกด้วย ดังนั้นนี่แหละเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงรอถึง 3 ปีกว่าที่จะลงมือแสดงในภาพยนตร์เรื่องที่ 2 หลังจากที่ได้อ่านบทAlumni แล้ว ผมรู้สึกมั่นใจว่าผมจะสามารถที่จะทำมันออกมาได้ดีแน่ๆ ดังนั้นผมจึงเลือกเรื่องนี้ครับ

อะไรที่ทำให้คุณรู้สึกมั่นใจว่าตัวเองจะทำออกมาได้ดีคะ??
TOP:เพราะลักษณะจำเพาะที่มีของบท และลักษณะจำเพาะของตัวภาพยนตร์ครับ มันน่าสนใจเพราะมันไม่ใช่บทบาทที่ดูเป็นบทละครจนเห็นได้ชัดจนเกินไป ครั้งแรกที่ผมได้รับบทมา แทนที่จะมีแนวทางกำกับอย่างระเอียดมันมีเพียงแนวทางคร่าวๆเท่านั้น หากว่าผมต้องแสดงไปตามสิ่งที่ได้วางแผนเอาไว้แล้วในบทละก็ ผมคิดว่าผมก็คงจะไม่สนใจมันขนาดนี้

แนวทางการกำกับของผู้กำกับ Park Heung Soo ก็เป็นไปในแนวทางนั้นไม๊คะ??
TOP:เค้าเป็นประเภทที่ปล่อยให้ผมตัดสินใจในหลายๆเรื่องครับ บางครั้งผมจะถามเค้าว่าสิ่งที่ผมกำลังโฟกัสอยู่นี้มันดูน่าเบื่อจนเห็นได้ชัดเกินไปรึเปล่า?? ผมพยายามที่จะทำให้ในทุกๆฉากนั้นมีความเฉียบคมและผมต้องการที่จะแสดงออกแม้กระทั่งในสิ่งที่เป็นเรื่องธรรมดาให้ออกมามีอารมณ์ที่แตกต่าง

ทำแบบนั้นมันจะไม่ประสาทเสียเหรอคะเพราะคุณเป็นนักแสดงหน้าใหม่ที่ไม่ได้มีประสบการณ์ด้านการแสดงมามาก มันน่าจะง่ายต่อคุณมากกว่านะคะที่จะทำตามแนวทางที่คุณได้รับหรือทำงานตามสิ่งที่ผู้กำกับแนะนำแนวทางมาให้อย่างเคร่งครัด?? 
TOP:ผมไม่ใช่คนที่ชอบเดินทางตามแนวทางที่ถูกวาดเอาไว้แล้วนะครับ แม้แต่ในเรื่องของการทำเพลง ผมคิดว่ามันจะออกมาเป็นธรรมชาติมากกว่าถ้าผมจะทำไปตามสิ่งที่ร่างกายผมอยากจะให้เป็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแสดงหรืองานเพลง ผมไม่คิดว่าการที่จะมองหาคำตอบเฉพาะตายตัวเหมือนกับเปิดหาในหนังสือเรียนนั้นจะเป็นเรื่องน่าสนุก


ฉันคิดว่ามีความเหมือนกันอยู่นะคะในบทบาทเรื่อง 71: Into the Fire และเรื่อง Alumni นี้ พวกเค้าต่างก็เป็นเด็กผู้ชายและพวกเค้าต่างก็เสียสละตัวเองเพื่อประเทศและเพื่อครอบครัว 
TOP:ข้อเหมือนข้อเดียวคือพวกเค้าต่างเป็นเด็กผู้ชายอยู่เลย และนั่นเป็นเพราะผมรู้สึกหลงใหลในบทของคนหนุ่มครับ (หัวเราะ)

ทำไมคะ?
TOP:ผมต้องการที่จะรับบทเป็นเด็กวัยรุ่นไปจนกว่าผมจะทำไม่ได้ และในตอนที่ผมอายุ 30 ผมก็จะรับบทเป็นเด็กในช่วงอายุ 20 แทน (หัวเราะ) 

นั่นไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่นักแสดงแสดงออกมาเหรอคะ?? คุณ Han Yeri ที่ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องเดียวกับคุณ ตอนนี้อายุ 30 แล้วเธอก็ยังสามารถรับบทเป็นเด็กมัธยมออกมาได้ยอดเยี่ยมเช่นกันนะ
TOP: Yeri นูน่านั้นมีใบหน้าที่อ่อนเยาว์เหมือนเด็กครับ ผมคิดว่าผมยังคงมีหัวใจแบบ PeterPan อยู่ ผมคิดว่าผมชอบภาพยนตร์ที่แสดงออกถึงด้านที่บริสุทธิ์ของวัยรุ่นแทนที่จะรับบทผู้ใหญ่  หากจะให้เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างบทสองบท ในภาพยนตร์เรื่อง 71: Into the Fire ผมเป็นคนที่หนักแน่นผู้ที่เชื่อมั่นศรัทธาในความหวัง แต่ในเรื่อง Alumni Lee Myunghoon กำลังใช้ชีวิตในแบบที่แตกต่างกันสองด้าน ในตอนเช้าเค้าปลอมตัวเป็นเด็กนักเรียน แต่ในตอนกลางคืนเค้ากลับเป็นนักฆ่าผู้เลือดเย็น 

โชคชะตาที่มีสองด้านของตัวละครนี้สร้างความสนใจให้กับผม หากผมแสดงออกมามากจนไป ภาพยนตร์เรื่องนี้จะออกมาดูเป็นนิยายจนเกินไป ดังนั้นผมพยายามที่จะแสดงออกบรรยายอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครออกมาในแบบที่เรียบง่ายแต่มีความหมายลึกซึ้ง การแสดงแบบนี้มันยากครับแต่มันก็สนุกด้วย

ฉันลองมองดูเค้าโครงร่างแล้ว มันทำให้ฉันนึกถึงบทบาทในหนังบางเรื่องขึ้นมาอย่าง บทของ  Won Bin ในเรื่อง The Man from Nowhereและบทของ Kang Dongwon ในเรื่อง Secret Reunionนะคะ
TOP:บทบาทเหล่านั้นแตกต่างไปจากบทของผมอย่างสิ้นเชิงนะครับ แต่หัวเรื่องและประเภทของภาพยนตร์นั้นอาจจะมีความเหมือนกันอยู่บ้าง หากพูดถึงเรื่องของชายหนุ่มที่ถูกส่งมาจากเกาหลีเหนือมันก็จะไปเหมือนเรื่อง Secret Reunion หากมองในเรื่องของความพยายามที่จะช่วยเหลือเด็กผู้หญิงคนนึง มันก็จะไปเหมือนเรื่อง The man from nowhere แต่หากถ้าคุณมองมันในลักษณะนี้ คุณก็จะหาสิ่งที่มันเชื่อมถึงกันได้ไม่รู้จบหรอกครับ ถึงขนาดที่ว่าคุณสามารถจะพูดได้ด้วยว่ามันไปเหมือนกับภาพยนตร์เรื่อง Taken ด้วยอีก 

ในเรื่องของความเหมือน ไม่ว่าจะเป็นการจัดฉากหรือประเภทของหนัง มันขึ้นอยู่กับว่าผู้ชมจะประเมินตีค่าความเปลี่ยนแปลงของบทที่มันเปลี่ยนไปยังไงและวิธีการที่ผู้กำกับสร้างเรื่องราวขึ้นมามากกว่า ผมพยายามที่จะเปลี่ยนลักษณะจำเพาะของบทบาทที่ได้รับมานิดหน่อยและผมต้องการที่จะแสดงออกบทบาทนี้ในแบบที่ไม่เป็นเกาหลีใต้มากจนเกินไป ผมเลือกเสื้อผ้าและให้ความสำคัญแม้กระทั่งในรายละเอียดที่เล็กที่สุดครับ 

ในตอนที่ฉันดูตัวอย่างภาพยนตร์ คุณดูเหมือนดาราหนังฮ่องกงเลย ดูเป็นคนหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาแต่ดูอ่อนไหวไม่มั่นคงและดูเศร้า 
TOP:ผมชอบโศกนาฎกรรมและความรู้สึกอ่อนไหวไม่มั่นคงปลอดภัยแบบนี้แหละครับ ยุวชนทหารในเรื่อง 71: Into the fire ก็เป็นแบบนั้นด้วยเหมือนกัน และบทบาทในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ดึงดูดใจผมเพราะความรู้สึกนี้เหมือนกัน บางครั้งผมรู้สึกสนุกมีความสุขไปกับความอ่อนไหวไม่มั่นคงนี้และผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ทรงพลังที่คุณสามารถทำให้คนที่ดูคุณอยู่นั้นรู้สึกเหมือนกับคุณได้ และผมคิดว่าผมมีอารมณ์ที่หลากหลายแบบนั้นในตัวผม

ความรู้สึกไม่มั่นคงปลอดภัยนั้น สามารถมองเห็นได้จากตาของคุณ
TOP:ตั้งแต่เริ่มแรกในภาพยนตร์ ผมพยายามที่จะเริ่มต้นจากการแสดงออกอารมณ์ความรู้สึกผ่านทางสายตาของเด็กผู้ชายที่อยู่ในห้วงของความสิ้นหวัง ดังนั้นในด้านจิตใจแล้วมันยากและสร้างความเจ็บปวดให้กับผมในการแสดงแบบนี้

คุณพูดว่ามันยากที่จะดึงตัวเองออกจากเรื่องราวในภาพยนตร์และมีนักแสดงหลายคนพูดว่ามันยากที่จะเอาตัวออกจากบทบาทที่สวมอยู่หลังจากที่ต้องแสดงในฉากที่เร้าอารมณ์และฉากที่เคร่งเครียด 
TOP:จู่ๆผมก็กลายเป็นเหนื่อยหน่ายเฉื่อยชาไปเลยหลังจากที่การถ่ายทำภาพยนตร์เสร็จสิ้นลง จากเดือนมกราคมจนถึงเดือนพฤษาคม ผมไม่ได้ทำอะไรเลยและผมก็นอนอยู่บนเตียงตลอดทั้งวัน ในระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์ ผมยังมีworldทัวร์คอนเสริต์กับบิกแบงด้วย ตารางงานในตอนนั้นทำเอาผมเกือบตาย ผมถ่ายทำภาพยนตร์ในวันจันทร์จนถึงวันพฤหัสโดยที่ทำงานตลอดคืนจนเช้า จากนั้นในวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ผมต้องเดินทางไปต่างประเทศและแสดงคอนเสริต์ ผมนอนหลับบนเครื่องบิน และกลับเข้าสู่การทำงานในตารางงานแบบนี้อีกครั้ง 

ผมคิดว่าผมเกิดอาการสับสนทางสภาพจิตใจและอัตลักษณ์ตัวตนของผมนั้นถูกสลับไปมาในตอนนั้น ในตอนเช้าผมต้องเข้าฉากที่เห็นเลือดและมีการฆ่าคน จากนั้นในช่วงสุดสัปดาห์ผมต้องแสดงออกบนเวทีต่อหน้าคนนับพันด้วยการแสดงบนเวทีอันทรงพลัง เวทีที่ตระการตาและสถานการณ์ที่ต้องจมลงจนถึงขีดสุดในภาพยนตร์มันซ้อนทับกันไปมาและมันสร้างความหดหู่ให้กับผมและผมก็เริ่มที่จะอ่อนไหวอย่างมาก 

และในตอนที่ทัวร์คอนเสริต์จบลง และการถ่ายทำภาพยนตร์จบลงด้วย หลังจากนั้นผมไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลย ผมแค่หยุด และ นั่งลงพักชั่วขณะนึง

เวลาได้ช่วยให้คุณกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมไม๊คะ??
TOP:ผมนอนบนเตียงเป็นเวลา 4-5 เดือนเลยทีเดียวและผมรู้สึกว่าชีวิตของผมต้องพังพินาศแน่ๆถ้าขืนยังอยู่แบบนี้ต่อไป ในตอนนั้นเป็นช่วงที่ผมควรจะเตรียมงานเดี่ยวของตัวเองแต่ผมไม่สามารถที่จะคิดหรือทำอะไรได้ ผมไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลยในตอนนั้น ผมค่อยๆบังคับตัวเองให้ออกมาข้างนอกและทานอาหารร่วมกับคนอื่นในช่วงสุดสัปดาห์และนั่นเป็นช่วงที่ผมรู้สึกว่าตัวเองได้ตื่นขึ้นมาจริงๆ ในตอนนั้น ผมรู้สึกได้เลยว่าตัวเองกำลังจะกลายเป็นคนที่ไม่ชอบสังคมไปแล้ว 



เวลาผู้คนได้ยินว่านักร้องแสดงหนังไปด้วย ร้องเพลงไปด้วย พวกเค้าคงไม่ได้คิดถึงความยากลำบากเหล่านี้เลยนะคะ
TOP:เหตุผลเดียวที่ผมไม่สามารถไปปรากฏตัวในรายการทีวีบ่อยๆหรือผมไม่สามารถที่จะออกเพลงหลายๆเพลงออกมาทีเดียวได้ เพราะผมเป็นคนที่จะตั้งใจตั้งเป้าหมายและทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างที่มีลงไปในสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ เวลาที่ผมลงมือทำอะไรแล้ว ผมจะทำงานอย่างหนักมากและอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมดลงไปในงานนั้น ดังนั้นหลังจากที่ทุ่มเทลงไปแบบนั้นแล้ว ผมก็เหมือนกับหมดแรงไปเลย เมื่อคนเราหมดแรงหมดพลังไปอย่างสิ้นเชิงแบบนั้นแล้ว ผมไม่คิดว่างานของพวกเค้าไม่ว่าจะเป็นงานแสดงหรืองานเพลงจะมีพลังใดๆออกมาได้ ดังนั้นมันไม่มีประโยชน์เลยที่จะฝืนทำงาน ผมคิดว่าคุณควรจะหยุดพักจนถึงเวลาเช่นนี้แหละ และนี่เป็นสิ่งที่ผมใช้ในการประเมินตัวเองอย่างเคร่งครัดครับ 

เพราะว่างานเหล่านั้นเป็นงานที่คุณต้องแสดงออกถึงตัวตนของคุณออกมานะึคะ แต่ว่าคุณไม่สามารถที่จะเอาแต่นอนบนเตียง 4-5 เดือนไปในทุกๆครั้งที่คุณรับแสดงภาพยนตร์เรื่องใหม่ได้นะคะ (หัวเราะ) คุณคงจะต้องเปลี่ยนวิธีการแล้วนะถ้าคุณยังจะทำงานต่อไปในด้านการแสดงพร้อมๆกับเป็นนักร้องไปด้วย อย่างน้อยก็ควรจะต้องทำงการจัดการงานในตารางให้ดีๆ
TOP:ถึงแม้ว่าบิกแบงจะอยู่ในช่วงพักและผมมีเวลาที่จะไปถ่ายหนัง ผมก็ทำแบบนั้นไม่ได้ จนกว่าผมจะมีหนังที่ผมชอบที่ผมอยากจะแสดง ดังนั้นผมจึงเหมือนกับว่าทิ้งให้โชคชะตาเป็นผู้กำหนดและรอคอยเท่านั้น พูดตรงๆคือผมเป้นคนประเภทที่อันตรายนะครับ เวลาที่ผมตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง ผมจะทำไปตามสันชาตญาณของตัวเอง " เลือกทางนี้เถอะเพราะมันเป็นสิ่งที่ผมต้องการในตอนนี้ " ผมจะไม่คิดวิเคราะห์ใดๆเลย แบบนั้น

แทนที่จะใช้หัวสมองคิดเหตุผล คุณเลือกที่จะทำตามสิ่งที่หัวใจคุณรู้สึก?
TOP:ผมเลือกที่จะทำตามความรู้สึกและสันชาตญาณของผม

ฉันคิดว่า GD น่าจะเป็นประเภทที่ใช้หัวสมองมากกว่า
TOP:จียงแค่ทำหลายสิ่งหลายอย่างสเปะสปะไปหมดก็เท่านั้นเองฮะ (หัวเราะ)

จากบทสัมภาษณ์ที่ผ่านมา คุณกล่าวว่าคุณไม่ชอบภาพลักษณ์ในแบบ "น้องชายแห่งชาติ" ใช่ไม๊คะ?? 
TOP:ไม่สามารถที่จะเรียกผมในแบบนั้นได้ด้วยซ้ำครับ แต่ผมก็ยังกล้าที่จะพูดมันออกมานะ (หัวเราะ) ผมคิดว่าบทบาทในเรื่องนี้นั้นมันมีความเฉพาะตัวมาก ผู้ชมจะรู้สึกประหม่าอึดอัดเวลาที่ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ คุณจะรู้สึกลุ้นว่าตัวละครตัวนี้จะตัดสินใจถูกไม๊ แทนที่จะตกหลุมรักในตัวละครนี้ 

เพราะบทบาทที่ผมได้รับเป็นคนที่มีปัญหาวิกฤตในเรื่องของความมีตัวตนของตัวเอง (เพราะเป็นสายลับต้องปลอมตัว) มันเลยทำให้ผมกลายเป็นคนที่อ่อนไหวไปด้วย หลังจากถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้เสร็จ มีครั้งนึงที่บิกแบงไปทานอาหารค่ำร่วมกันทั้ง 5 คน สุดท้ายสมาชิกในวงก็มาบอกผมจนได้ว่า ผมอ่อนไหวมากๆในช่วงทัวร์จนพวกเค้าไม่มีใครกล้าที่จะเข้ามาพูดกับผมเลย 

คุณเคยพูดแบบนี้เหมือนกันนะคะในตอนที่สัมภาษณ์หลังจากถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง 71
TOP:Ah เหรอครับ?? ผมคิดว่าผมกลายเป็นคนอ่อนไหวเพราะว่าต้องเห็นใครบางคนตายอยู่ตลอดเวลา เพราะ......จริงๆแล้วผมเป็นคนที่บอบบางนะครับ (หัวเราะ) 

ฉันเดานะคะว่ามันไม่มีหรอกที่จะถ่ายทำภาพยนตร์ที่มีเนื้อเรื่องซีเรียสได้อย่างผ่อนคลายสบายใจ ปราศจากความตึงเครียดในด้านของอารมณ์
TOP:มันคงจะง่ายกว่านี้มาก ถ้าผมแค่คิดว่านี่มันเป็นไม่ใช่เรื่องจริง หรือ มันเป็นเหมือนกับเกมส์เกมส์นึงเท่านั้น แต่ในเวลานั้นผมไม่สามารถที่จะคิดแบบนั้นได้จริงๆ ผมคิดว่าผมอินไปในเนื้อเรื่องจริงๆ เพราะผมเอาแต่คิดว่าตัวเองจะต้องจมดิ่งลงไปให้ลึกลงไปอีกในบทบาทที่ได้รับ 

แต่คุณก็ยังคงเอาแต่เลือกรับงานภาพยนตร์ประเภทที่ยากลำบากแบบนี้ต่อไปเองนี่คะ?
TOP:คนที่มีความสุขในความเจ็บปวดแบบนี้ก็จะยังคงทำแบบนี้ต่อไปแหละครับ ก็เหมือนกับงานเพลง ถ้าผมแสดงออกสิ่งที่ดุเดือดลงไปบนเวที เวลาที่ลงจากเวทีผมก็จะรู้สึกเหนื่อยมากๆ มันเหมือนกับคุณเทพลังงานทั้งหมดที่คุณมีลงไปต่อหน้าผู้ชม แต่นั่นก็เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ผู้คนสามารถรู้สึกได้ถึงเสน่ห์และพลังงานจากคุณ หลังจากที่ผมเหนื่อยจนหมดแรงแบบนั้นแต่ผมก็มีความสุขมากบนเวที ดังนั้นผมก็จะทำมันต่อไปครับ 

ทำไมคุณต้องหาเรื่องลำบากมาใส่ในชีวิตมากมายขนาดนี้น้า?
TOP:ก็เพื่อเมื่อผมแก่ตัวลงผมจะพบความสบายและพบนิพพานในภายภาคหน้าไงครับ (หัวเราะ)

====================

Englisn Translation by BIGBANGISVIP
Thai Translation by miss mew 
magazine scan by ShrimpLYJ


สามารถตามอ่าน ตอนอื่นๆ ได้ตามนี้ค่ะ 
top-running-on-empty-w-11-2013-part-1.html 
top-running-on-empty-w-11-2013-part-2.html 
top-running-on-empty-w-11-2013-end.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น