วันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2560

สัมภาษณ์ กงยู และ จอนโดยอน จากนิตยสาร W เดือนพฤศจิกายน 2015

                                                            

                                                                 กงยู

ฉันได้ยินมาว่า ภาพยนตร์เรื่อง  “A Man and A Woman” ได้เจอผู้ที่จะมารับหน้าที่แสดงเป็นตัวเอกของเรื่องทางฝ่ายหญิงก่อน
ผมรู้เรื่องภาพยนตร์เรื่องนี้เพราะทางผมกับคุณจอนโดยอนอยู่บริษัทเดียวกันครับ ผมรู้สึกดีใจที่ได้รับการเสนอบทมาให้ ผมอยากจะแสดงในภาพยนตร์ในแนวเมโล ผมอยากจะแสดงภาพยนตร์ร่วมกับจอนโดยอนนูน่า ผมไม่ต้องใช้เวลานานในการตัดสินใจเลยครับ

มันไม่ได้เป็นสถานการณ์ที่น่าเครียดเหรอคะในการที่ได้ทำงานร่วมกับ คุณJeon Do Yeon?
เธอสร้างชื่อเสียงเอาไว้ในวงการจริงๆครับ แต่ผมคงจะไม่ทำแน่หากรู้สึกว่ามันเป็นภาระ มันก็ยังเฉยๆนะครับจนผมตัดสินใจรับแสดงก็เฉยๆ แต่จริงๆผมมาเริ่มรู้สึกกลัวเมื่อเริ่มลงมือทำครับ ในขั้นตอนที่กระบวนการเตรียมการต่างๆเริ่ม เพราะผมต้องทำให้ออกมาดีครับ

รู้สึกเหมือนนานมากๆเลยนะคะ ตั้งแต่คุณแสดงในภาพยนตร์เรื่อง  “The Suspect”.
ผมมาอยู่ตรงที่ผมอยู่ได้ในตอนนี้โดยใช้เวลาของผมครับ แต่ผมมักจะมีความคิดอยู่ในใจเสมอว่าควรจะค่อยเป็นค่อยไปเพราะมีอะไรมากกว่าความหนุ่มสาวที่มันไม่สามารถคงอยู่ได้ตลอดไป การที่ได้ทำงานในหลายๆโปรเจคเพราะผู้คนอยากจะมองเห็นผมดูผม นั่นเป็นโชคที่ผมได้รับครับ ผมอาจจะเหลือพลังน้อยมากแต่เมื่อแต่ละโปรเจคเสร็จสิ้นจบลง ผมจะเก็บทุกอย่างทิ้งไปแล้วเริ่มทำงานในโปรเจคต่อไป ยังไงก็ดีผมได้ทำต่างไปจากหลักการที่ตัวเองวางไว้ในปีนี้ครับ เพราะผมอยู่ในกองถ่ายตลอดเวลาในปีนี้ เป็นครั้งแรกตั้งแต่ทำอาชีพนี้มาที่ผมถ่ายทำภาพยนตร์สองเรื่องในเวลาเดียวกันและถ่ายทำเสร็จไปแล้วทั้งสองเรื่องในเวลาเดียวกันรอเพียงแค่การเปิดตัวออกฉายเท่านั้น ผมเสร็จสิ้นการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “A Mand and A Woman” และเว้นห่างไม่ถึงเดือนผมก็เริ่มก็ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “Busan Bound”. เริ่มจากช่วงกลางเดือนตุลาคม ผมก็อยู่ในกองถ่ายภาพยนตร์เรื่อง  “Miljung” ( The age of shadows) ที่ประเทศจีน

ผมเกิดปีแกะครับ ( คนทางประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลีจะเรียกปีแพะ ว่าปีแกะค่ะ) แล้วก็แปลกที่ปีนี้ก็เป็นปีแกะด้วยซึ่งทั้งดวงชะตาและเวลานั้นดูจะลงตัวได้เป็นอย่างดี แต่ถึงกระนั้น การที่ต้องถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องต่อเรื่องต่อๆกันไป โดยที่ไม่ได้รับฟีคแบคผลต้อนรับใดๆเลยมันน่าเบื่อมากครับ ตอนนี้ผมอยากจะเห็นปฏิกริยาตอบรับจากผู้คนแล้วละครับ

การที่สงสัยอยากจะรู้ถึงปฏิกริยาตอบกลับ แสดงว่าคุณมีความมั่นใจในผลลัพท์ที่จะออกมามาก
ผมคิดไปถึงบางอย่างที่ต่างออกไปจากแนวคิดนี้นะครับ คนแต่ละคนต่างก็มีมุมมองที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นก็มักจะมีคนที่ชอบการแสดงของผมและคนที่ไม่ชอบการแสดงของผมอยู่เสมอ ผู้คนเหล่านั้นมักจะรู้สึกอะไรเกี่ยวกับผมอยู่เสมอในฐานะที่ผมเป็นนักแสดง มันมีบางแง่มุมเกี่ยวกับภาพยนตร์ที่สำเร็จออกมาแล้วที่ผมไม่สามารถควบคุมมันได้ สิ่งที่ผมคิดคือผมจำเป็นต้องมีการสื่อสารกับคนอื่นๆครับ

ตั้งแต่ผมถ่ายทำภาพยนตร์ติดต่อกัน 3 เรื่องในคราวเดียว ผมมีความรู้สึกว่าผมต้องการอยากจะพักผ่อนทั้งทางกายและจิตใจของผมจริงๆ คือผมไม่ใช่คนประเภทที่จะทำงานเป็นมดงานขยัน แบบนั้นครับ

ตรงข้ามกับคุณJeon Do Yeon นะคะเธอบอกว่ามันเหนื่อยล้ามากที่จะกลับไปใช้ชีวิตประจำวันตามปกติหลังจากการถ่ายทำสิ้นสุดลง
นักแสดงบางคนได้รับพลังงานจากความตื่นเต้นและความเครียดเฉพาะตัวที่จะมาจากความจริงที่ว่าสิ่งแวดล้อมรอบตัวพวกเค้าและทีมงานจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดในตอนที่พวกเค้าเริ่มถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องใหม่ แต่สำหรับผมแล้วไม่ใช่แบบนั้นครับ ของผมชีวิตปกติธรรมดาที่เกิดขึ้นประจำวันนั้นมันเป็นเหมือนสิ่งที่มาชดเชยเป็นอะไรที่ผมอยากจะกลับไปหาอยู่เสมอ เวลาที่ผมทำงานหนักๆแล้วทำงานเพียงอย่างเดียวมันทำให้ผมรู้สึกว่างเปล่าครับ

Jeon Do Yeon บอกว่าเธอต้องพึ่งพาคุณอย่างมากเลยในตอนที่ ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง“A Man and A Woman” แล้วทางคุณละคะเป็นยังไงบ้าง?
ผมได้รู้จักเธอในฐานะรุ่นพี่ที่ยอดเยี่ยม ในฐานะนักแสดงหญิงชั้นนำของประเทศเกาหลี แต่ผมคิดว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เข้าใจเธอในฐานะที่เธอเป็นคนคนนึงอย่างที่เธอเป็นครับ แน่นอนว่าผมไม่อาจจะพูดได้ว่าผมรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเธอ แต่แม้ว่าจะรู้แค่นิดเดียวมันก็เป็นช่วงเวลาที่มีความหมายที่ผมได้เข้าใจอย่างใกล้ชิดถึงคนคนนึงที่แตกต่างจากผมอย่างมาก ผมอยู่ภายใต้ความกดดันเพราะผมพยายามที่จะคิดว่ามันจะเป็นยังไงนะถ้าผมจะสามารถมีใจให้กับนักแสดงหญิงหรือรุ่นพี่ที่เหมือนกับเธอคนนี้เป็นเวลา3 เดือน ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์เมโลที่เต็มไปด้วยอารมณ์ที่ลึกซึ้ง ผมไม่อยากจะกลายเป็นคนอื่นไปเลยเพื่ออยู่ในผลงานของเธอครั้งนี้หรือเพื่อทำให้การถ่ายทำแค่เสร็จสิ้นไป มันเป็นความกดดันทางอารมณ์ความรู้สึก แต่ครั้งนี้เป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดที่ผมได้รับจากการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ครับ

ดูเหมือนว่านี่เป็นครั้งแรกที่คุณจะต้องสวมบทบาทในการจำลองภาพความรักในแบบผู้ใหญ่ มีความกดดันรึเปล่าคะเกี่ยวกับระดับของการแสดงออกว่าควรจะมากน้อยแค่ไหน?
ฉากบนเตียงมีความยากมากกว่าฉากแอคชั่นครับ มันยากมากเพราะมันกินพลังงานมากและเราต้องดูเป็นธรรมชาติในการที่จะเข้ากันได้เป็นอย่างดีทั้งบทพูดและด้วยเทคนิคต่างๆซึ่งก็เหมือนฉากแอคชั่นที่เราจะต้องมีการซ้อมก่อนครับ โดยอนนูน่าเป็นผู้จะต้องเข้าฉากกับผมเธอจะเป็นคู่หูของผมและเพราะผมสามารถรู้สึกถึงความไว้ใจที่เธอมีต่อผมผมต้องทำให้การถ่ายทำออกมาอย่างถูกต้อง ผมว่ามันเป็นความตึงเครียดที่ดีร่วมกันที่เราต่างก็ได้รับและต่างก็มอบให้กันและกัน การแสดงไม่ใช่อะไรที่คุณจะสามารถทำได้ด้วยตัวของคุณเองทั้งหมด ดังนั้นผมจึงเชื่อในความงดงามที่มันมาด้วยความบังเอิญ เมื่อนักแสดงมีวิธีมีทางของตัวเองที่จะดึงเอาพลังงานดีๆจากกันและกันออกมาได้ มันจะกลายเป็นความสวยงามยิ่งขึ้นไปอีก และนี่คือสิ่งที่ผมคิดครับนี่เป็นมุมมองกว้างๆของภาพยนตร์ที่ผมได้ดู ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงโดยผมเอง

ฉันรู้มาว่าคุณเป็นแฟนกีฬาเบสบอล ถ้าหากสมมุติคุณได้เป็นนักกีฬาเบสบอล ชีวิตของนักกีฬาเบสบอลคนไหนที่คุณอยากจะใช้ชีวิตเป็นเค้าคะ?
นี่เป็นคำถามที่ยากที่สุดที่ผมได้ยินมาในวันนี้เลยนะครับ (ยิ้ม) คุณพ่อผมเป็นนักกีฬาเบสบอลครับตอนนี้เป็นโค้ชแล้ว ในตอนที่ผมอยู่ชั้นประถม มักจะมีญาติของคุณพ่อมาที่บ้านเราแล้วมักจะคว้าข้อมือของผมไม่ก็จับไหล่ของผมและจะพูดว่า "เธอเป็นตัวขว้าง เป็นตัวขว้าง (พิชเชอร์)" พูดตามตรงนะครับ พิชเชอร์นั้นมีความคล้ายกับนักแสดงมาก เค้าจะเป็นคนได้รับความเด่นในสนาม เค้าใช้เวลาอย่างมากในการโอดครวญต่อสู้ในการต่อสู้ที่โดดเดี่ยว ดังนั้นนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้พิชเชอร์เป็นตำแหน่งที่ยอดเยี่ยมและทุกคนต่างก็ส่งกำลังใจให้เค้าไม่ให้เค้าล้มพับไป เมื่อช่วงทำแต้ม(อินนิ่ง)จบลงและเค้ากลับเข้ามาทุกคนจะให้กำลังใจเค้าโดยการตบไหล่เค้าเสมอ ยังไงก็ตาม ผมเป็นนักแสดงมา 15 ปีแล้วและผมคิดว่ามันคงจะดีที่จะได้ไปอยู่ในสนามและช่วยสนับสนุนให้กำลังใจพิชเชอร์ครับ ในฐานะนักแสดงผมได้รับความช่วยเหลือจากทีมงานรอบตัวผมเสมอ เอาละครับผมต้องการที่จะช่วยพวกเค้าจากตำแหน่งที่ต่างไปบ้าง ด้วยใจที่เต็มไปด้วยความหวังว่าจะสามารถหายเป็นปกติได้อย่างรวดเร็วเพราะตอนนี้เค้ากำลังบาดเจ็บอยู่ครับ ผมเลือกที่จะใช้ชีวิตของคุณ Kang Hung Ho จากทีม  Pittsburgh Pirates ครับ



                                                          จอนโดยอน

พวกคุณพูดเกี่ยวกับการถ่ายแบบในวันนี้ว่า "ฉันหวังว่าเราจะไม่ดูเหมือนคู่รักจนเกินไปนะคะ" ฉันสงสัยว่าเราจะจำลองภาพความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงที่สบายๆเท่ๆออกมายังไงดีนะ ฉันคิดว่ามันคงดีกว่าที่จะทำให้ดูเหมือนเพื่อนมากกว่าคู่รักที่ชอบทำตัวติดกันแบบแยกไม่ออก

ยังไงก็ตามแต่ เรารู้มาว่าคุณกับกงยู แสดงเป็นคู่รักที่ทำตัวติดกันในภาพยนตร์เรื่อง  “A Man and A Woman”นะคะ
ค่ะ ภาพยนตร์จะมีการเปิดตัวในช่วงต้นปีหน้า แต่โปรเจคนี้เป็นโปรเจคที่มีการเขียนบทเอาไว้นานมาแล้วค่ะ ฉันได้รับบทนี้ตั้งแต่ในตอนที่ฉันถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “The Housemaid” (2010) ฉันชอบมันและตอบกลับไปว่าฉันต้องการจะทำนะคะ แต่ก็ต้องปฏิเสธไปเพราะตารางการงานของฉันกับตารางการถ่ายทำไม่ลงตัวและมีอะไรหลายอย่างที่จะต้องทำ แต่ทาง CEO ของบริษัท Spring Productions คุณ Oh Jung Wan ได้พูดว่า "ภาพยนตร์เรื่องนี้จะไม่มีการถ่ายทำถ้าไม่มีคุณครับ" ดังนั้นเลยจบลงที่ว่าฉันจำเป็นจะต้องรับแสดงอย่างไม่มีทางเลือก ฉันรู้สึกว่าฉันจะต้องทำงานนี้ค่ะ ฉันเคยทำงานกับทางผู้กำกับ Lee Yoon Ki ในเรื่อง “My Dear Enemy” ผู้กำกับคนนี้เป็นคนที่"นิ่ง"แต่เค้ารู้ว่าจะจัดการกับความรู้สึกยังไง ดังนั้นฉันเกิดอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาว่า "ความนิ่ง"ของเค้าจะสร้างอิทธิพลยังไงให้กับภาพยนตร์เรื่อง “A Man and A Woman”.

คุณไม่ใช่คนนิ่งๆเลยนะคะ
เป็นเพราะฉันไม่ใช่คนนิ่งเลย ดังนั้นแง่มุมความนิ่งของบุคคลิกของผู้กำกับจึงมีอิทธิพลต่อฉันค่ะ เมื่อผู้กำกับได้เจอกับนักแสดงที่มีความสดใสต่างจากความนิ่งขรึมของเค้า มันจะมีส่วนประกอบเสริมที่สร้างผลกระทบต่อการกำกับของเค้า ทั้งนักแสดงและผู้กำกับต่างก็มีอิทธิพลซึ่งกันและกัน เมื่อพูดถึงการสวมบทบาทเราจะต้องเปลี่ยนเป็นตัวละครนั้น เรื่องของมุมมองว่าอยากให้ออกมาเป็นแนวไหนเป็นเรื่องปกติที่จะต้องคิดแต่ในเรื่องนี้ก็เหมือนกับต้องไว้ใจในตัวฉันด้วย ว่าฉันสามารถมองเห็นอะไรในตัวละครในมุมมองที่แตกต่างไปไม๊และฉันสามารถบรรยายเรื่องราวนั้นออกมาในแบบใหม่ๆได้ไม๊ ซึ่ง นี่คือการสวมบทบาทและเปลี่ยนเป็นตัวละครนั้นๆค่ะ 

คุณพูดถึงภาพยนตร์เรื่อง  “Secret Sunshine” และ “Happy End” ว่าเป็นภาพยนตร์ที่ทำให้ความเป็นนักแสดงของคุณก้าวกระโดดไปอีกขั้น แล้วภาพยนตร์เรื่อง A Man and A woman นี้คืออะไรสำหรับคุณคะ?
“A Man and A Woman” เป็นความท้าทายสำหรับฉันค่ะ เป็นความท้าทายที่ควรลองสำหรับฉันในวัยนี้? (ยิ้ม) พูดตามตรงนะคะ ฉันรู้สึกว่ายังมีเรื่องราวส่วนขยายมากกว่านี้ที่ฉันอยากจะเล่าออกไป เรื่องราวที่เกี่ยวกับความรู้สึกอยากจะรักและอยากถูกรัก มันย่อมมีช่วงเวลาที่คุณอยากจะรักและช่วงเวลาที่คุณอยากจะเป็นผู้ถูกรักไม่ใช่เหรอคะ? ฉันคิดว่านี่เป็นมุมมองที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของฉันในฐานะนักแสดงด้วยนะคะ ฉันก็อาจจะมีความใฝ่ฝันจินตนาการของตัวเองเหมือนกันต่อสถานการณ์ที่ฉันไม่เคยจะประสบมาก่อนในชีวิตจริงหรือฉันก็อาจจะมีความใฝ่ฝันในบทบาทที่ฉันยังไม่เคยแสดงมาก่อน เมื่อมีการถ่ายทำภาพยนตร์เกิดขึ้น ความใฝ่ฝันจินตนาการเหล่านั้นมันก็ใกล้เคียงกับความเป็นจริงขึ้นมา อย่างในตอนที่ฉันอ่านบทภาพยนตร์เรื่องนี้ฉันมีความตื่นเต้นและมีความรู้สึก"หัวใจเต้น"จริงๆ

มีนักแสดงหญิงในวงการฮอลลีวู้ดบางคน บ่นมาว่าในช่วงระยะหลังนี้บทบาทของนักแสดงหญิงนั้นลดลงไปมาก รู้สึกว่าความคับข้องใจในเรื่องนี้ในวงการบันเทิงประเทศเกาหลีก็เป็นปัญหาที่ไม่เล็กเหมือนกันนะคะ
สถานการณ์แบบนี้มันดำเนินมาได้พักใหญ่แล้วนะคะ ในตอนที่ฉันได้ยินว่าในวงการฮอลลีวู้ดมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ฉันคิดว่า "ปัญหานี้ไม่ได้มีแค่เฉพาะในวงการอุตสาหกรรมภาพยนตร์เกาหลีเท่านั้นสินะ" แต่ก็อีกแหละค่ะในใจฉันก็คิดอิจฉาพวกเค้าอยู่นะว่า"แต่ถึงยังไง"พวกเค้าก็มีโอกาสมีตัวเลือกที่กว้างกว่าทางเราอยู่ไม่ใช่เหรอ??  อย่างในเร็วๆนี้ ฉันอิจฉา Charlize Theron มากเลยในขณะที่ฉันดูภาพยนตร์เรื่อง  “Mad Max: Road of Fury” พวกเค้าไม่ทำภาพยนตร์แบบนี้ในเกาหลีหรอกนะคะ จำนวนเรื่องราวที่นักแสดงหญิงจะสามารถบอกเล่าได้ จำนวนภาพยนตร์ที่เป็นแบบนั้นมันน้อยมากๆ แต่ฉันก็คิดนะคะว่ายังมีบทบาทที่จะสามารถเป็นบทบาทในยุคเจริญรุ่งเรืองได้อยู่ ถึงแม้ว่ามันจะสามารถส่องแสงประกายแค่ในกลุ่มเล็กๆก็ตาม

ความสำเร็จและความรุ่งเรืองของคุณนั้นถูกจารึกเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วนี่คะอะไรที่คอยมอบพลังให้กับคุณในการที่จะคอยกระตุ้นตัวเองให้อยู่ตรงนั้นอยู่เสมอคะ?                                   
ฉันคิดว่า แรงจูงใจฉันอย่างแรกเลยคือความรักและหลงใหลในงานนี้ค่ะ มันเป็นความรักที่ไม่มีวันหมด มันไม่ใช่การเติมเต็มในสิ่งที่ฉันขาดไปหรอกเหรอ?? มันไม่ใช่สิ่งที่ฉันลงมือทำเพื่อให้ตัวเองมีอะไรทำหรอกเหรอ??

ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหน ชื่อเล่น "ราชินีแห่งเมืองคานซ์" ก็ติดอยู่กับชื่อของคุณเสมอ มันทำให้รู้สึกยังไงคะ?
ฉันชินกับมันแล้วละค่ะตอนนี้แต่เคยรู้สึกอึดอัดกับมันอยู่ค่ะ เหมือนกับฉันได้ก้าวพ้นอะไรบางอย่างมาได้แล้ว ฉันคิดว่าฉันสร้างความสบายใจอยู่กับมันได้แล้วและฉันก็มองไปข้างหน้าเพื่อสิ่งที่ฉันอยากจะทำต่อไปค่ะ เมื่อเช้าระหว่างทางมาที่นี่ ฉันคุยโทรศัพท์กับคุณ Yoon Yeo Jung ที่ฉันไม่ได้เจอมานาน เธอบอกกับฉันว่า "ใช่เลยนั่นเป็นเหตุผลที่เธอต้องจัดการกำจัดคำว่า"ราชินีเมืองคานซ์"ออกไปให้เร็วที่สุด ฉันบอกกับเธอว่า"ฉันอยากจะกำจัดมันออกไปนะ งั้นคงต้องได้รับรางวัลออสการ์แทนงั้นเหรอ??" และเธอก็ตอบมาว่า "ก็นะ เธอพูดภาษาอังกฤษได้นี่นา ฉันหวังว่าเธอจะได้ทำงานที่ไหนซักแห่งอย่างฮ่องกงแล้วได้รับ ชื่อเล่นว่า "ราชินีแห่งเอเซีย" มาแทนจะดีกว่า แล้วนี่ก็ทำให้ฉันหัวเราะและยิ้มได้มาตั้งแต่เช้าละค่ะ ยังไงก็ตามรางวัลของฉันก็ถูกลืมไปแล้ว แต่เรื่องราวทั้งหมดที่ว่า ฉันเป็น"ผู้หญิงที่คานซ์รัก" กลายเป็นเรื่องพูดคุยไปทั้งเมืองอีกแล้วเพราะฉันถูกเชิญให้ไปเป็นส่วนหนึ่งของผู้ตัดสินใจในครั้งนี้ (ยิ้ม)

ก็เพราะมันเป็นเรื่องจริงนะคะที่ว่าคุณได้รับความรักจากคานซ์มากจริงๆ
ฉันว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยบกับได้รับความนับถือมากกว่าค่ะ เวลาที่ฉันเดินทางไปเมืองคานซ์ ฉันจะมีความคิดว่า "ฉันถูกนับถือในฐานะที่เป็นนักแสดง" ซึ่งฉันรู้สึกขอบคุณมากจริงๆค่ะ

ถ้าให้สรุปเป็นคำพูดของคุณเอง ภาพยนตร์เรื่อง “A Mand and A Woman” เรื่องราวความรักในแบบไหนคะ?
มันเป็นเรื่องราวที่เหมือนกับเรื่องในจินตนาการเป็นจริงขึ้นมา แต่มันเป็นเรื่องรักในชีวิตจริงที่มีรสชาติขม ดูเหมือนว่าตอนจบที่สมหวังนั้นไม่มีอยู่จริงเลยเมื่อพูดถึงเรื่องความรัก


source: W Korea
English Translation: thesunnytown – thesunnytown.wordpress.com
Thai translation : miss mew

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น