วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2560

สัมภาษณ์ กงยู จากนิตยสาร Marie Claire กรกฏาคม 2016


วันนึงกลางฤดูร้อน วันที่เราพบกันนั้นดูอบอุ่นกว่าเมื่อวันก่อนซะอีก เป็นเพราะตอนนี้เป็นฤดูร้อนฉันเลยต้องการต้นไม้ให้มาอยู่เป็นแบล็คกราวในการถ่ายทำ ยิ่งในช่วงบ่ายอากาศยิ่งร้อนระอุ กงยูร่วมมาถ่ายแบบในวันนี้เพื่อแบ่งปันภาพในแบบสวนหลังบ้านกับเรา

เค้าพูดคุยอย่างเป็นกันเองกับช่างภาพที่รู้จักกันมานานและเค้าก็พร้อมสำหรับการถ่ายแบบครั้งนี้มาก ธีมคือพี่ชายข้างบ้านที่ไม่ต้องห่วงเรื่องการทำงาน ฉันเลยเพิ่มชอตที่จะต้องสูบบุหรี่เข้ามา เค้ายิ้มและถ่ายทำอย่างสบายอกสบายใจ เมื่อถ่ายชอตนึงจบลงและมีการพัก ฉันพูดคุยเล่นมุขกับเค้าอย่างเป็นกันเอง อาจจะเป็นเพราะเค้าทำงานอยู่ในวงการแสดงมากว่า 15 ปีทำให้เราคุ้นเคยกันยิ่งกว่าคุ้นซะอีก และเหล่าทีมงานต่างก็คุ้นเคยและรู้นิสัยใจคอสิ่งที่เค้าชอบไม่ชอบเป็นอย่างดี 

แต่เมื่อพูดถึงเรื่องงานงานที่หลากหลายของเค้าทำให้เราไม่อาจจะเรียกว่าคุ้นเคยได้เลย จากพระเอกละครรักโรแมนติกเลิฟคอมเมดี้ มาถึงบทบาทที่จะต้องต่อสู้โชว์ความแข็งแกร่งของร่างกาย มาถึงพระเอกที่แฝงความเศร้าของหัวใจไว้ในดวงตา และฤดูร้อนนี้เค้ากลายมาเป็นคุณพ่อที่ต้องต่อสู้ปกป้องลูกสาว ใน Train to Busan และยังรับบทเป็นทหารรับจ้างในยุคที่เกาหลีเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น และอีกไม่นานเค้าจะกลายเป็นก็อบลิน รายชื่อผลงานที่ผ่านมาล้วนแล้วแต่น่าอิจฉา แต่เค้ากลับมีจุดที่ละอายใจและความผิดหวังพูดออกมาอยู่ตลอดที่ให้สัมภาษณ์แทนที่จะพอใจในความสำเร็จที่ได้รับ 

เป็นเพราะตัวเค้ายังคงคิดคำนวณและพยายามทบทวนตัวเองอยู่เสมอเพื่อจะได้ภาพนักแสดงที่สมบูรณ์แบบในแบบที่เค้าตั้งเป้าหมายเอาไว้


“Busan Train” เป็นหนังซอมบี้ ที่มีเนื้อเรื่องแตกต่างไปจากภาพยนตร์ทั่วๆไปของเกาหลีนะคะ

ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มีการสร้างภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เกี่ยวกับซอมบี้ขึ้นมาหลังจากที่มีหนังสั้นเกี่ยวกับซอมบี้พวกนี้ออกมาก่อนหน้านี้ครับ ดังนั้น ผมเลยคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ควรค่าต่อความท้าทายดี ผมเชื่อมั่นในความมั่นใจในตัวเองมากๆของผู้กำกับ Yeon Sang Ho ครับ เวลาที่คุณได้พบคนที่มีความมั่นใจในตัวเองขนาดนั้น มันอาจจะทำให้คุณรู้สึกอึดอัดได้แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถทำให้คุณรู้สึกดีได้ด้วยเช่นกัน ในกรณีของผู้กำกับ  Yeon Sang Ho คืออย่างหลังครับ ผลงานก่อนหน้านี้ของเค้าเป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นที่มีเนื้อหาต่อต้านสังคมอย่างรุนแรง ดังนั้นถึงแม้ว่าภาพยนตร์เรื่อง“Busan Train”จะถูกสร้างออกมาเป็นภาพยนตร์ที่มีคนเป็นผู้แสดง แต่ผมคิดว่ามันจะต้องเต็มไปด้วยความหมายที่ต่างออกไปแน่ครับ 

ตัวละครSukWooเป็นอย่างไงบ้างคะ?ดูเหมือนว่าตัวละครตัวนี้จะต้องผ่านความเปลี่ยนแปลงอย่างมากเลยหลังจากเกิดเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ในภาพยนตร์

ตอนแรกที่ผมอ่านบท Suk Wooเป็นตัวละครที่ซ้ำซากจำเจตัวนึงครับ คุณพ่อที่จะต้องปกป้องลูกสาวจากซอมบี้ พูดตามตรงนะครับตอนที่ผมเลือกที่จะรับแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมถูกดึงดูดจากโปรเจคภาพยนตร์เรื่องนี้มากกว่าจะถูกใจในบทของ Suk Woo ครับ ผมอยากจะใส่อะไรบางอย่างลงไปในบทของ Suk Woo อะไรที่มันจะทำให้ตัวละครนี้ก้าวข้ามความซ้ำซากไป เป็นเพราะมันไม่ได้ปรากฏอยู่ในฉากมันจึงเป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องใส่มันลงไปให้เข้ากับตัวละครที่ผมไม่เคยเป็นมาก่อนในภาพยนตร์แบบนี้ ซึ่งผมคิดว่าตัวเองไม่ได้ทำมันออกมาครับ ในฐานะนักแสดง ไม่มีทางเลยที่ผมจะพอใจเต็มที่กับโปรเจคนี้ได้ ดังนั้นในแง่มุมนี้ของภาพยนตร์เรื่อง Busan Train มันเป็นอะไรที่ผมรู้สึกเสียใจและละอายใจครับ ผมข้องใจว่ามันจะไม่ดีกว่านี้เหรอถ้าผมจะลองสวมบทบาทตัวละครนี้ด้วยสไตล์ที่ต่างไปอีกนิด แค่นิดเดียวก็ยังดี

คุณมีคำตัดสินในเรื่องการแสดงของตัวเองทันทีเลยนะคะเป็นเพราะคุณเป็นนักแสดงมาแล้ว 15 ปีมันเลยทำให้คุณมีจิตวิญญาณที่อิสระที่จะคิดแบบนั้นรึเปล่าคะ?

ไม่นะครับ ผมไม่สามารถจะมีจิตวิญญาณที่อิสระและคิดเสรีแบบนั้นได้ ผมคิดว่าผมห่างจากจุดนั้นมามากกว่าที่ผมจะจินตนาการได้ซะอีกเมื่อผมอายุมากขึ้น ในตอนที่ผมเริ่มแสดง ผมห่วงว่าผู้คนจะตัดสินการแสดงของผมออกมายังไงซึ่งมันทำร้ายผมมาก ยังไงก็ตามเมื่อเวลาผ่านไป ความคิดของผู้คนเหล่านั้นก็สงบลงผมคิดแค่ว่าผมไม่ควรจะไปใส่ใจอะไรแบบนั้นขอแค่เดินตามทางของตัวเองก็พอ ผมคิดว่าความคิดแบบนี้ในตัวเองจะยิ่งมั่นคงขึ้นเรื่อยๆเมื่อผมอายุมากขึ้นแต่มันกลับไม่เป็นแบบนั้นครับ ผมถูกเหวี่ยงให้ห่างจากความคิดนั้นไปไกลกว่าที่ตัวผมเองจะจินตนาการได้และถูกเหวี่ยงอีกรอบถ้าไปคิดถึงมันอีก ผมรู้สึกว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้ ไปๆมาๆตลอดกาลครับ  

เป็นเพราะคุณเคยประสบกับช่วงที่ตกต่ำรึเปล่าคะ?

ผมมักจะทำงานหนึ่งต่อจากอีกงานหนึ่งต่อเนื่องไปเสมอครับ ดังนั้นผมจะไม่เรียกว่ามีช่วงที่ตกต่ำแต่ผมคิดว่าผมกำลังเจอช่วงที่ลำบากมากกว่า พูดตามตรงนะครับ ผมแสดงต่อเนื่องไปเรื่อยๆโดยที่ไม่ได้หยุดพักเลย ถ้าคุณลองดูความเร็วที่แต่ละโปรเจคของผมออกสู่สายตาสาธารณชน คุณจะเห็นว่ามันเร็วมากจริงๆนะครับ ผมไม่อยากจะชะลอเวลาแล้วใช้เวลาของผมไปกับการย้อนดูโปรเจคที่ผ่านมา แต่ตอนนี้ผมรู้สึกเป็นครั้งแรกว่ามันชักจะมากเกินกว่าที่ตัวผมจะรับไหวแล้วละครับ 

ผมคิดว่าเป็นเพราะตัวผมเองมักจะรู้สึกว่าตัวเองขาดพลังและไม่มีความมั่นใจในตัวเอง แทนที่จะตื่นเต้นและกระตือรือร้น ผมกลับระมัดระวังและไม่สามารถที่จะดูภาพยนตร์ที่ตัวเองแสดงได้อย่างมั่นใจเลย ในตอนที่ภาพยนตร์ฉายรอบปฐมทัศน์ที่ Cannes ผมไม่เคยบรรยายความรู้สึกของตัวเองออกมาแต่ในตอนนั้นหัวใจของผมเต้นแรงอย่างบ้าคลั่งผมกลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับฉากที่ผมไม่สามารถที่จะแสดงออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ความรู้สึกของผมไปถึงจุดนั้นดังนั้นมันทำให้ผมรู้สึกละอายใจเล็กน้อยกับมันครับ ผมไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากผมไม่ได้เปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองออกมาแบบนี้ แต่มันก็เป็นความจริงครับ 

คุณตั้งเป้าหมายเกี่ยวกับตัวเองไปจนถึงจุดนั้นเลยมันดูยิ่งโหดร้ายนะคะ?

ผมพยายามที่จะเป็นคนแบบนี้ครับ ผมไม่ใช่คนประเภทที่จะตามใจตัวเอง เมื่อผมอายุมากขึ้นผมถึงรู้สึกว่าตัวเองเริ่มที่จะหลงใหลจมดิ่งไปกับงานของตัวเองได้ ผมเกลียดที่จะมานั่งวิจารณ์ตัดสินการแสดงของตัวเอง มันทรมานครับ แต่ผมคิดว่ามันเป็นความทรมานที่คุณจะต้องใช้ชีวิตอยู่กับมันในเมื่อคุณเป็นนักแสดง การแสดงมันยากลำบากขึ้นเมื่อคุณอายุมากขึ้นครับ

ชีวิตนักแสดงเป็นยังไงบ้างคะ? มันมีความแตกต่างออกไปไม๊คะในตอนนี้ที่คุณอยู่ในช่วงอายุ 30 มันมีอะไรต่างจากช่วงที่อายุอยู่ในช่วง 20 บ้างไม๊?

ตอนที่ผมอายุอยู่ในช่วง 20 ผมอยากจะอายุ 30 เร็วๆครับ คือ แต่ว่าการที่คุณเติบโตขึ้นอายุมากขึ้นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะคิดอะไรออกได้ทุกอย่าง ผมเคยคาดหวังเอาไว้คร่าวๆว่าการที่ผมอายุมากขึ้นจะทำให้ผมสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ผมต้องเผชิญอยู่ได้ดีกว่าที่ผมกำลังรับมืออยู่ในตอนนี้ ผมคิดว่าการที่อายุมากขึ้นหมายความว่าผมจะสามารถยืนอยู่ต่อหน้ากล้องและรู้สึกถึงความรู้สึกต่างๆที่ผมไม่อาจจะบรรยายได้ ผมนี่มีความคิดในเชิงบวกมากเลยเนอะครับ(หัวเราะ) ผมคิดนะครับ การแสดงเป็นการต่อสู้ที่ไร้จุดจบ 

น่าประหลาดใจนะคะ ฉันรู้สึกว่าผลงานของคุณมันกว้างขึ้นลึกซึ้งขึ้นนะคะ หมายถึงคุณสวมบทบาทเป็นตัวละครที่เติบโตขึ้น กว้างขึ้น แตกสาขาไปในแนวที่แตกต่างมากขึ้น มันไม่ใช่สิ่งที่น่าพอใจหรือรู้สึกภูมิใจกับมันหรอกเหรอคะ?

ผมไม่อาจจะพูดได้ว่าผมตัดความโลภที่จะมีรายชื่อผลงานของตัวเองดีๆออกไปได้เวลาที่ผมเลือกภาพยนตร์ที่จะแสดง แต่รายชื่อผลงานนั้นก็ไม่ใช่ทุกอย่าง ผู้คนอาจจะคิดว่าผมกำลังสร้างรายชื่อผลงานที่สมบูรณ์แบบอยู่คือรับแต่ภาพยนตร์ที่โปรไฟล์ดีๆ แต่เอาจริงๆแล้วผมไม่เห็นว่ารายชื่อพวกนั้นจะนำมาซึ่งความสมบูรณ์แบบนะครับ สิ่งที่ผมคิดและวิธีที่ผมจะจัดการกับความคิดเห็นของผู้คนเป็นคำถามที่ตามมา ผมไม่คิดว่าความตั้งใจของผมในขณะที่จะเลือกชิ้นงานนั้นจะเปลี่ยนไปตามคำตัดสินดีๆของผู้คนที่ผมจะได้รับ ผลตอบรับจากชิ้นงานที่สมบูรณ์แล้วไม่ได้เปลี่ยนความพอใจของผม

มันมีอะไรหลายอย่างที่ผมไม่พอใจกับมัน ความโศกเศร้าที่ผมต้องเอาชนะ การที่ผมไม่สามารถที่จะไปให้ถึงจุดมาตรฐานที่ผมตั้งเอาไว้ได้ แม้ว่าภาพยนตร์จะกลายเป็นหนังฟอร์มยักษ์ที่ประสบความสำเร็จทำรายได้งดงาม ก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดว่า " นี่ไม่ใช่บทที่คนอย่างเราจะทำไม่ได้นี่นา" ในส่วนตัวผมเอง ผมคิดว่าผมจะจดจำภาพยนตร์เรื่อง “Busan Train” และ “The Age of Shadows” ว่าเป็นงานที่ทำให้ผมมีความกังวลดังที่กล่าวมาครับ 



สำหรับนักแสดงแล้วคงไม่มีงานไหนที่จะไร้ความหมายนะคะ ภาพยนตร์เรื่อง “Busan Train” มันเปี่ยมไปด้วยความหมายยังไงสำหรับคุณคะ?

ผมอยากที่จะแสดงในเรื่องนี้เพราะมันมีธีมที่เกี่ยวกับซอมบี้ครับ ผมอยากจะปกป้องตัวเอง อยากจะต่อสู้ ผมไม่คิดว่าตัวเองจะมีความโลภหรือคาดหวังอะไรที่เจาะจงจากภาพยนตร์เรื่องนี้นะครับเพราะถ้าผมมีมันคงจะเดินไปตามทางที่คนอื่นลังเลที่จะรับ ผมก็เหมือนกัน หากภาพยนตร์ฉายรอบปฐมทัศน์แล้วผลตอบรับออกมาดี คำวิจารณ์ดีๆก็จะตามมาใช่ไม๊ครับ?? มันเป็นความท้าทายดีนะครับเป็นความท้าทายที่กล้าหาญ คำพูดอะไรแบบนั้น ผมคิดว่าผมจะมองว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นความท้าทายที่มีความความหมายสำหรับผมเมื่อผมย้อนกลับมาทบทวนความคิดของตัวเองในอนาต 

ในภาพยนตร์คุณต่อสู้เพื่อปกป้องลูกสาวของคุณ คุณเคยต้องต่อสู้อย่างหนักเพื่อปกป้องใครหรืออะไรบ้างไม๊คะในชีวิตจนกระทั่งตอนนี้?  

การแสดงเอาเวลาส่วนใหญ่ในชีวิตของผมไปหมดเลยละครับ ดังนั้นผมไม่เคยหยุดที่จะพยายามรักษาคุณค่าและความเชื่อมั่นของผมในการแสดงเอาไว้ การที่มีชีวิตอยู่ในฐานะนักแสดง ในฐานะคนสร้างสรรค์ความบันเทิงทำให้ผมกังวลว่าผมจะเข้าใกล้กับภาพที่ตัวเองจะต้องแสดงออกมาได้ยังไงเมื่ออายุมากขึ้น มันมีภาพที่สาธารณชนต้องการที่จะเห็นและมีภาพที่ตัวผมเองอยากจะเห็น ผมคิดว่าผมมักจะใส่ใจในการหาความสมดุลระหว่างสองจุดนี้เสมอ อืมม คำว่า "ลงตัว" น่าจะสร้างความเข้าใจผิดอยู่นะครับ คือผมหมายถึงว่า ผมพยายามที่จะไปให้ถึงภาพที่ผู้คนคาดหวังไว้ในขณะเดียวกันก็ยังคงสามารถเลือกในสิ่งที่ตัวเองต้องการจะทำด้วยได้ ณจุดนึง ในอนาคต เวลาที่ผู้คนจดจำผม ผมหวังว่าพวกเค้าจะมองไปที่ภาพรวมที่ตัวผมได้สร้างขึ้นมาจนเสร็จสิ้นสมบูรณ์ครับ 

อยากจะรู้จริงๆนะคะว่าภาพแบบไหนที่คุณกำลังสร้างอยู่ในใจคุณตอนนี้?

บางครั้งผมจะอ่านบทสัมภาษณ์เก่าๆของตัวเองและคิดว่าผมอวดดีมากเกินไปในวิธีที่ผมพูดในตอนที่ผมยังเป็นเด็ก เวลาที่ผมอ่านบทสัมภาษณ์เก่าๆเหล่านั้นผมจะคิดกับตัวเองว่าตอนนั้นเด็กจริงๆ บางครั้งผมพบว่าตัวเองน่ารัก บางครั้งบางคำถามก็ทำให้ผมประทับใจจริงๆ วิธีที่ผมจะบรรยายตัวเองนั้นเปลี่ยนไปนิดนึงครับ แต่ความคิดที่ผมมีต่อเรื่องการแสดงและทำไมผมถึงมีความสุขที่ได้ทำมันยังไม่เปลี่ยนแปลงครับ ผมไม่อยากที่จะรีบก้าวไปข้างหน้าเพียงเพื่อการแสดง แน่นอนว่าการแสดงทำให้ผมมีเงินเยอะ และ ทำให้ผมมีชื่อเสียงซึ่งมันสิ่งที่ผมรู้สึกขอบคุณนะครับ แต่ยังไงก็ตามผมอยากจะเติมเต็มชีวิตการแสดงของผมด้วยความสัตย์จริงมากกว่าความสำเร็จที่เกิดจากการค้าและโฆษณา

นี่คือเหตุผลสินะคะ นอกจากในภาพยนตร์หรือละครแล้วที่เราไม่ได้เห็นคุณบ่อยๆก็เพราะแบบนี้ ฉันหมายถึงว่า ระยะหลังนี้เราไม่เห็นคุณตามรายการวาไรตี้หรืออีเว้นซ์ใดๆเลย 

พูดตามตรงนะครับ ผมระมัดระวังคำพูดของผมมากครับ ในตอนที่ยังเป็นเด็ก ผมเปิดเผยรสนิยมและความคิดของตัวเองออกมาอย่างตรงๆเพราะในตอนนั้นผมเต็มไปด้วยหลงใหล ยังไงก็ตามแต่ คำพูดก็สามารถที่จะถูกแปลความหมายผิดๆไปได้อย่างง่ายๆและสร้างความเข้าใจผิดขึ้นมาได้ สิ่งที่ผมจำเป็นต้องทำเพื่ออะไรบางอย่างทั้งๆที่ผมยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับมันมากพอมันไม่สนุกเลยครับและผมไม่อยากจะทำด้วย แต่ยังไงก็ตามผมไม่อาจจะพูดเผื่อไปถึงในอนาคตนะครับ เอาเป็นว่าแค่ในตอนนี้ก็แล้วกัน ผมอาจจะจบลงที่การทำรายการวาไรตี้หลังจากที่ตัวเองบอกว่าไม่ชอบก็เป็นได้ งานของผมไม่ใช่อะไรที่ผมจะสามารถทำทั้งหมดด้วยตัวของผมเองได้ ผมต้องมีความประนีประนอมเพราะมันเป็นงานที่เกี่ยวกับการทำงานร่วมกับคนอื่น ผมจะมาหัวดื้ออยู่ไม่ได้ มันไม่ใช่การขีดเส้นระหว่างอะไรที่ดีหรืออะไรที่แย่ แต่ผมอยากจะเดินไปบนทางที่ผมชอบและเข้ากับผม แต่ระหว่างทางเดินนั้นก็ย่อมต้องมีการประนีประนอมเกิดขึ้น ดังนั้นผมคิดว่าผมต้องเดินต่อไปข้างหน้าในขณะที่จูงใจตัวเองให้ลงมือทำไปด้วย ตอนนี้ผมพยายามที่จะเปิดรับการเปลี่ยนแปลงแม้ว่ามันจะไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากจะก้าวไปหาก็ตาม ครับ 


คุณจะเริ่มถ่ายทำละคร เรื่อง “Goblin” เร็วๆนี้แล้ว ว่าแต่เรื่องราวของก็อบลินในปี 2016 เหรอคะ?? 
ครับ ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันครับ (หัวเราะ) บทยังไม่ออกมาครับ ดังนั้นผมเลยจินตนาการไม่ออกว่ามันจะเป็นยังไง  ผมไม่รู้ว่าอะไรที่ผู้เขียนกำลังจะสร้างออกมาผมคิดเรื่องนี้เยอะมากจนตอนนี้มันเริ่มส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของผมแล้วละครับ การต้องทำการตัดสินใจมันเหนื่อยมาก พูดตามตรงคือ ผมชอบเนื้อเรื่องที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงมากกว่าที่จะอยู่ในจินตนาการนะครับ บทบาทของผมในเรื่อง “A Mand and a Woman”, “Busan Train” และ “The Age of Shadows” ทำเอาผมจะเสียสติครับ และเหมือนกับผมกำลังโดนทรมานอยู่เลย รู้สึกเหมือนกับว่าวิ่งไปชนกำแพงยังไงยังงั้น แต่โดยที่ไม่รู้ตัวผมกลับรู้สึกมีความอิ่มเอมขึ้นในใจนะครับซึ่งผมจะใช้ชีวิตด้วยความรุนแรงแบบนั้นไม่ได้ 

ผมใช้เวลาในการทำสมาธิ ผมคิดว่าผมควรเคร่งครัดกับตัวเองอีกนิดและพยายามไม่กังวลว่าจะต้องละอายใจทีหลังมากขึ้น ผมต้องการโอกาสที่จะรู้สึกอิสระอย่างแท้จริงและหึกเหิมอย่างที่ไม่ต้องกลัวจะละอายใจทีหลัง หากเทียบกับภาพยนตร์แล้วละครจะมีตารางงานที่แน่นและต้องใช้เวลาในการถ่ายทำมากกว่าต้องลงเวลาให้กับมันเยอะ ผมคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ผมต้องการในขณะนี้  ละครในแนวแฟนตาซีแบบนี้เป็นอะไรที่ผมกลัวมาตลอด แต่ผมตัดสินใจที่จะเชื่อผู้เขียนครับ ผมสงสัยว่าถ้าไม่มีสถานการณ์ใดๆมาทำให้ผมรู้สึกสนุกสนานได้ มันก็เหมือนกับผมไม่ได้รับอนุญาติให้ทลายกำแพงในตัวเองลงได้ 

การทำงานแสดงเป็นการเพิ่มความเจ็บปวดหรือเพิ่มช่วงเวลาที่มีความสุขให้คุณคะ?
ดูเหมือนจะเพิ่มความเจ็บปวดนะครับ 

คุณเคยรู้สึกเสียใจไม๊คะที่เลือกมาเป็นนักแสดง?
มีช่วงเวลาที่ผมรู้สึกเสียใจครับ แต่ตอนนี้ผมไม่มีอะไรต้องเสียใจแล้วครับ การมีชีวิตอยู่ในฐานะนักแสดงได้มอบอะไรหลายๆอย่างให้กับผม ซึ่งผมไม่ตระหนักเห็นมันในตอนที่ผมยังเด็ก ผมคิดว่าผมควรจะใชัชีวิตอยู่ตามคุณค่าในตัวเองและจุดมุ่งหมายของตัวเอง มันไม่จำเป็นเลยที่จะใช้ชีวิตอยู่และเปรียบเทียบชีวิตตัวเองกับคนอื่น สิ่งที่ชัดเจนเลยคือ งานการแสดงเป็นอาชีพที่โดดเดี่ยว ความเหงานี้ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นและผมก็เรียนรู้ที่จะเอาชนะก้าวผ่านมันไปได้ ผมแข็งแกร่งขึ้น ซึ่งผมไม่ได้คิดถึงความเหงานี้ในแง่ที่มันเป็นสิ่งเลวร้าย อย่างเดียวหรอกครับ

คุณรับงานแสดงต่อเนื่องจากโปรเจคหนึ่งไปอีกโปรเจคหนึ่งโดยไม่ได้พักเลย คุณคงเหนื่อยมากนะคะ
ผมไม่ชอบคำพูดที่ว่า "ต้องตีเหล็กในขณะที่กำลังร้อน" คือจนถึงตอนนี้ผมก็ยังคงหาทางที่จะพักผ่อนในจุดจุดนึงระหว่างรับงานไป2-3โปรเจคนะครับ เมื่อผู้คนพูดถึงนักแสดงที่ทำงานแบบไม่หยุดเลย ผมก็ยังคงแบ่งรับแบ่งสู้นะครับเพราะผมยังคงจัดการทำงานในแบบปานกลางและพักเล็กน้อยในช่วงต่อโปรเจค แต่หากพูดถึงในช่วงนี้คือผมอยากที่จะทำงานเหล่านี้จริงๆเพราะมันเป็นงานที่เสนอมาให้กับผมและผมไม่อยากจะให้โอกาสมันหลุดลอยไปครับ ถึงแม้ว่ามันจะสร้างความยากลำบากให้กับร่างกายแน่ๆก็ตาม

ผมเคยชินที่จะให้เวลาที่จะเป็น"ผม"อยู่เสมอเพื่อชาร์ตพลังของผมให้กลับมา ซึ่งตัวผมไม่ต้องการที่จะทำอะไรเป็นพิเศษเพื่อจะเรียกพลังกลับมาเลยละครับแค่เวลาที่เป็นตัวเองก็พอ

เหมือนกับ "การทิ้งระยะห่าง" ที่เราได้คุยกันไปคร่าวๆในตอนที่ถ่ายภาพรึเปล่าคะ?
โลกนี้เป็นโลกที่ยุ่งเหยิงนะครับ พวกเราก็ควรที่จะจำเป็นต้องมีบางเวลาที่ไม่ต้องคิดอะไรเลยบ้างรึเปล่าครับ?ยังไงก็ตาม ผมต้องระวังในการที่จะพูดแบบนี้นะครับเนี่ย เพราะว่าอาจจะถูกมองว่าหยิ่งก็ได้

คุณนี่ระมัดระวังในสิ่งต่างๆเยอะมากจริงๆ (หัวเราะ)
เมื่อผมอายุมากขึ้น ผมกลายเป็นระมัดระวังในทุกๆอย่างครับ ความคิดเห็นของผู้คนนั้นกลายเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากหลายสิ่งหลายอย่างถูกบิดเบือนไปในช่วงเวลาอันสั้น มันเป็นโลกที่ไม่ง่ายเลยที่จะยอมรับสิ่งต่างๆในแบบที่มันควรจะเป็น ผมกลายเป็นคนที่พูดน้อยลง ผมไม่ใช้สื่อ SNS มันน่าอายนะครับที่จะอัพโหลดรูปและขอให้ผู้คนเข้าไปดูมัน และผมคิดว่าผมคงจะต้องเป็นคนที่มานั่งกังวลเรื่องตัวเลขของคนฟอลโล่วแน่ๆถ้าหากว่าผมเริ่มที่จะใช้SNS การที่ใช้โซเชี่ยลมีเดียเพื่อแบ่งปันความคิดของผมและจากนั้นคำพูดของผมก็ถูกนำไปบิดเบือนจากผู้คนนับไม่ถ้วนที่ผมไม่รู้จักด้วยซ้ำ ความจริงที่ว่าคนแต่ละคนต่างก็มีการตีความกับสิ่งที่เห็นต่างกันไปมันคือสิ่งที่ทำให้ผมกลัว

แทนที่จะใช้ SNS ผมชอบที่จะดื่มและพูดคุยกับคนที่รู้จักผม คนที่เชื่อในผม คนที่ไม่แปลสิ่งที่ผมพูดออกไปไปในทางที่ผิดๆ คนที่รับฟังเรื่องราวในแบบที่พวกเค้าได้ยิน 


อยากรู้จริงๆนะคะว่าภาพที่สมบูรณ์ของคุณจะดูเป็นยังไงและในชีวิตประจำวันธรรมดาคุณจะเป็นยังไง?
ผมดูหนังอยู่ที่บ้าน เลี้ยงแมว เวลาทั้งหมดของผมถูกใช้ไปแบบนี้ครับ แม้ว่ามันจะดูน่าเบื่อและไม่ตื่นเต้นแต่ผมคิดว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ผมต้องการมากที่สุดครับ เมื่อคุณทำอะไรบางอย่างซ้ำแล้วซ้ำอีก มันจะทำให้คุณผ่อนคลายจากความเครียดแต่สำหรับผมมันไม่ใช่ครับ ผมชอบที่จะออกกำลังด้วย การออกกำลังและทำให้เหงื่อออกเป็นชีวิตประจำวันของผม ผมชอบการออกกำลังกายมาเสมอและมันคือหนทางที่จะจัดการกับตัวเองอย่างเคร่งครัด ผมคิดว่าการออกกำลังกายมันคือความสำเร็จในการได้มาในสิ่งที่คุณต้องการโดยอาศัยน้ำพักน้ำแรงที่คุณลงไปล้วนๆแบบไม่มีเรื่องของโชคชะตามาเกี่ยวข้อง ผมไม่ชอบใช้ลูกเล่นใดๆทั้งนั้น ผมชอบการเข้าหาแบบตรงไปตรงมามากกว่า ผมคิดว่าการออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ยากจะสำเร็จได้หากปราศจากความพยายาม เร็วนี้ๆผมเริ่มที่จะเล่นบาสเกตบอล1ครั้งต่ออาทิตย์กับคนจากเอเจนซี่เดียวกัน จนถึงจุดหนึ่งผมรู้สึกสนุกกับการเล่นบาสแบบนี้มากกว่าไปดื่ม ในตอนเช้าผมตื่นแต่เช้าเหมือนคุณลุงที่อยู่ในวัยเดียวกับผมและดูmajor leagues ที่มีผู้เล่นชาวเกาหลีชั้นยอด และช่วงนี้จะชอบดู NBA เป็นพิเศษครับ (หัวเราะ)  

ปีนี้คงเป็นปีที่หนักหนาสำหรับคุณนะคะเนี่ย 
ผมคิดว่าการทำงานเป็นทั้งหมดที่ผมทำทั้งในปีที่แล้วและในปีนี้ครับ หากผลักความคิดเรื่องที่ผมยังมีความผิดหวังอยู่บ้างในการแสดงของตัวเองออกไป จริงๆแล้วผมก็อยากจะปรบมือให้กับตัวเองดังๆสำหรับงานหนักที่ผ่านมา ผมประสบความสำเร็จในสิ่งที่ผมกระตือรือร้นอยากจะทำ โชคเข้าข้างผมมากๆที่ผมสามารถที่จะทำโปรเจคที่ยิ่งใหญ่ออกมาได้อย่างดี ผมคิดว่าปีนี้คงเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขในชีวิตของผมเพียงเพราะว่าผมยังคงได้ทำงานอย่างต่อเนื่องในโปรเจคที่ผมอยากจะทำครับ

English Translation by @thesunnytown – thesunnytown.wordpress.com
Thai Translation by miss mew
Source:www.marieclairekorea.com


1 ความคิดเห็น: