วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2560

สัมภาษณ์ กงยู จากนิตยสาร Star 1 ฉบับ กรกฏาคม 2016


คงเลี่ยงที่จะไม่พูดถึงเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานซ์ไม่ได้นะคะ คุณได้พักบ้างรึเปล่าคะ?
ระยะเวลางานสั้นมากครับและตารางงานก็ค่อนข้างยุ่งเลยทีเดียว แต่ผมก็รู้สึกมีความสุขจริงๆครับ ตอนนี้ผมกลับมาอยู่ที่เกาหลีแล้วผมคิดว่าผมอยากจะกลับไปนะครับ มันให้ความรู้สึกเหมือนผมได้อยู่ในความฝันอันสวยงามในช่วงเวลาสั้นๆครับ (หัวเราะ)

คุณไม่ได้ตั้งใจจะไปเพื่อพิชิตชัยชนะใดๆแต่รอยยิ้มกว้างที่จริงใจของคุณกลับเป็นสิ่งที่ดึงความสนใจมากนะคะ
(หัวเราะ) คุณจะหมายความว่ารอยยิ้มของผมก่อนหน้านี้ดูหลอกๆเหรอครับ? (หัวเราะ) พูดตรงๆนะครับ  “Train To Busan” ไม่ได้มีเพื่อไปแข่งขันครับ ครั้งแรกที่ผมได้ยินว่าเราจะไปเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานซ์กัน ปฏิกริยาแรกของผมคือ " เค้าว่าเราได้ไปคานซ์เหรอ จริงเหรอเนี่ย??" ดังนั้นผมเลยตั้งใจเอาไว้ว่าจะแค่ไปเพื่อสนุกกับการเที่ยวงานเทศกาลก็แล้วกัน แต่พอไปถึงมันกลับตรงกันข้ามกับที่ผมคิดเอาไว้ครับ สื่อต่างประเทศที่นั่นต่างก็ต้อนรับเราอย่างดีและเราก็ต้องเดินทางไปในสถานที่ที่มีคนเยอะมากซึ่งทำเอาจู่ๆผมก็เกิดเครียดขึ้นมา แน่นอนว่ามันเป็นงานอย่างเป็นทางการครับดังนั้นผมก็ทำในสิ่งที่ผมถูกบอกกล่าวมาให้ทำแต่ความจริงที่ว่าผมยิ้มเยอะมากๆเป็นเพราะผมรู้สึกมีความสุขมากๆครับ เป็นครั้งแรกของผมที่ได้มาประสบกับเหตุการณ์อะไรแบบนี้ตั้งแต่ผมเดบิวต์มาครับ 

พิจารณาจากตอนที่คุณไปอยู่ที่ต่างประเทศ คุณรู้สึกว่าบรรยากาศแตกต่างไปจากตอนที่คุณอยู่ในประเทศเกาหลีบ้างไม๊คะ ?
คุณพูดถูกครับ ผมไม่ใช่นักแสดงที่เดินพรมแดงมาแล้วมากมายขนาดที่เกาหลีก็ไม่ค่อยได้ไปเดินครับ ส่วนตัวแล้วงานประกาศรางวัลทำให้ผมรู้สึกไม่สบายใจครับและถึงกับทำให้ผมรู้สึกคลื่นไส้เลยทีเดียว เมื่อเวลาผ่านไปสถานที่ที่ว่านี้ก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกอึดอัดมากขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ยังไงก็ตามผมรู้สึกว่าครั้งนี้ทำให้ผมรู้สึกต่างไปครับ

คุณ Jeon Do Yeon ที่ถูกเรียกว่าเป็น" ราชินีแห่งเมืองคานซ์" เป็นนักแสดงที่อยู่เอเจนซี่เดียวกับคุณ เธอให้คำแนะนำอะไรบ้างไม๊คะ?
ตอนนี้เธอกำลังยุ่งกับการถ่ายทำละครครับดังนั้นเธอจึงยุ่งมากๆและเราไม่สามารถติดต่อกันได้มากเท่าในตอนที่เราถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “A Man and a Woman” ด้วยกัน ดังนั้นนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าเธอไม่ได้บอกอะไรเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานซ์กับผมเลยละครับ เมื่อไม่นานมานี้จู่ๆผมก็ส่งข้อความไปหาเธอแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า " ตอนนี้คุณคงลำบากสินะครับเพราะจำเป็นต้องถ่ายทำในอากาศที่ร้อนระอุแบบนี้" ซึ่งข้อความนี้เป็นข้อความเดียวที่เราติดต่อหากันในช่วงนี้ครับ


คำชื่นชมที่ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมเท่าที่เคยมีมา ถูกกระจายออกมาอย่างรวดเร็วทันทีที่การฉายภาพยนตร์นี้รอบเที่ยงคืนจบลงซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาเกือบตีสองแล้ว ซึ่งคำชื่นชมเหล่านั้นก็ถูกส่งมาถึงที่เกาหลีในช่วงเวลานั้นทันทีเลยด้วย
ทีมงานคงกลัวว่าพวกเราจะรู้สึกผิดหวัง ขนาดว่าภาพยนตร์ยังไม่ได้เริ่มฉาย พวกเค้าก็เอาแต่บอกกับพวกเราว่า " มีนักข่าวที่เข้ามาชมภาพยนตร์ที่ฉายรอบเที่ยงคืนไม่มากหรอกและปฏิกริยาของพวกเค้าก็อาจจะไม่ต้อนรับขับสู้เท่าไหร่นักหรอก"  ดังนั้นผมจึงรู้สึกสงบและบอกกับตัวเองว่า "ไม่ได้จะมาชิงรางวัลอะไรซักหน่อยนี่นา" ซึ่งตอนนั้นเป็นครั้งแรกของผมด้วยที่จะได้ดูภาพยนตร์ในแบบตัดต่อเสร็จเรียบร้อยเป็นผลงานที่สมบูรณ์ ดังนั้นผมจึงรู้สึกอยากรู้ว่าผลงานชิ้นนี้จะออกมาเป็นยังไง

มันเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ที่เราได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นถึงขนาดนี้ซึ่งผมไม่เคยจินตนาการเอาไว้มาก่อนครับ และกับความจริงที่ว่ามีคนบอกว่า"นี่เป็นภาพยนตร์ที่ได้รับปฏิกริยาตอบรับที่ยอดเยี่ยมที่สุด"อีกผมคิดว่าที่พวกเค้าบอกเราแบบนั้นก็เพื่อจะแสดงไมตรีจิตที่ดีเท่านั้นแต่เป็นเพราะผู้คนที่มาชมและผู้สื่อข่าวมากมายต่างก็พูดแบบนี้ซ้ำๆ ผมเลยสรุปเอาเองว่าพวกเค้าหมายความแบบนั้นจริงๆว่าพวกเค้าชอบมันจริงๆ ครับ

แล้วตัวคุณละคะคิดยังไงกับภาพยนตร์เรื่องนี้ที่กำลังจะเข้าฉายในช่วงฤดูร้อนนี้แล้ว ช่วยกล่าวอ้างสรรพคุณซักหน่อยสิคะ
คอมพิวเตอร์กราฟฟิกเป็นสิ่งที่ผมกังวลมากที่สุดเลยครับ ตั้งแต่ที่ได้รับบทมาจนไปถึงท่ามกลางเวลาที่จะต้องถ่ายทำ CG จะเป็นส่วนที่คุณไม่สามารถที่จะมองเห็นได้ก่อน ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าผมกลัวมากๆว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นนะถ้า CG เกิดทำออกมาได้ไม่ดีและผู้คนก็เสียสมาธิกับภาพยนตร์ไปเพราะมัน แม้ว่าเวอร์ชั่นที่เราเอาไปฉายที่เมืองคานซ์จะยังไม่สมบูรณ์แบบที่สุด แต่ผมก็คิดกับตัวเองว่า "ขอบคุณพระเจ้า มันไม่ได้แย่เลย" ซึ่งความกังวลนี้ก็ได้รับการแก้ไขในเนื้อหาบางจุดไปแล้วครับ ในมุมมองของผู้คนมันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ผู้ชมทุกคนมองว่า " มันไม่เห็นมีอะไรที่ดูขาดๆเกินๆเลยนี่" แต่ว่าเรื่องเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ดูจะไม่ได้ส่งผลใหญ่โตใดๆหากผู้คนอินไปกับภาพยนตร์ หากตัวภาพยนตร์ดูไม่ดีจริงๆข้อบกพร่องทั้งหลังจะฟ้องเด่นออกมาก่อนเลยครับ ซึ่งในเรื่องนี้ผมต้องขอบคุณผู้กำกับครับที่สไตล์การกำกับของเค้าคือการปิดจุดบกพร่องเหล่านั้นให้ได้ครับ

ตั้งแต่ ภาพยนตร์เรื่อง “Train To Busan” ถูกเชิญให้เข้าฉายที่งานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานซ์ คุณก็กล่าวว่าคุณได้เห็นด้านใหม่ๆของผู้กำกับด้วย
สไตล์ของผู้กำกับ Yeon Sang Ho คือเค้ามักจะทำตัวพังๆให้คนอื่นหัวเราะครับ แม้แต่อยู่ต่อหน้านักแสดงก็ไม่เว้นครับ เค้าจะเล่นตลกไปทั่วและเป็นเหมือนคนสร้างบรรยากาศดีๆในกองครับ เค้าเป็นผู้กำกับก็จริงแต่เค้าให้ความรู้สึกเหมือนเพื่อนซะมากกว่าซึ่งบางครั้งผมก็เผลอพูดแบบไม่เป็นทางการไปครับ
แล้วก็คุณ Ma dong seok ที่ไม่สามารถที่จะเดินทางไปที่คานซ์กับพวกเราได้ เค้าเป็นคนที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรขึ้นเวลาอยู่ในกองถ่าย พวกเราต่างก็เสียใจเพราะบทของเค้าก็ได้รับปฏิกริยาตอบรับอย่างดีเยี่ยมที่คานซ์ด้วยครับ จนถึงวินาทีที่เราจะต้องออกจากเกาหลีไปผมเอาแต่ส่งข้อความหาเค้า " ฮยองครับ มาไม่ได้เหรอครับ?? ละครไม่สำคัญเท่าไหร่หรอกนะครับ นี่มันเป็นโอกาสครั้งนึงในชีวิตนะครับ" แต่สุดท้ายเค้าก็ไม่สามารถที่จะมาได้ ดังนั้นผมกับคุณ Yumi เลยรับหน้าที่ที่จะสร้างบรรยากาศดีๆแทน ดังนั้นผมจึงรู้สึกมีความสุขมากครับ จริงๆเค้าเป็นตัวนำโชคจริงๆของ “Train To Busan” ก็ว่าได้


เราเห็นคุณเดินเล่นอย่างสบายใจที่ชายหาด ณ เมืองคานซ์กับทีมของภาพยนตร์   “Train To Busan” และทีมงานจากเอเจนซี่ของคุณ ดูคุณสบายใจไร้กังวลและดูกระตือรือร้นมาก
ทันทีที่งานอีเว้นซ์ที่จัดขึ้นอย่างเป็นทางการสิ้นสุด ความเครียดต่างๆก็สลายไปทันทีครับ เรารู้สึกเศร้าที่จะต้องเดินทางกลับเกาหลี ดังนั้นทีมงานทั้งหมดจึงร่วมรับประทานอาหารเย็นด้วยกันและออกไปเดินเล่นตรงทางเดินเลียบชายฝั่ง ผมคิดว่าเราเดินไปจนถึงสถานที่จัดงาน “Korean movie night” จริงๆผมกับคุณ Yumi ไม่ควรจะต้องไปงานนั้นครับแต่หลังจากที่เราทานอาหารค่ำกับผู้กำกับ Yeon Sang Ho เค้าเล่าว่านักแสดงทั้งหมดจากเรื่อง “The Handmaidden” จะมาที่งาน และมันคงจะเหงามากแน่ถ้าเค้าจะไปร่วมงานคนเดียว ดังนั้นผมจึงได้คุยเรื่องนี้กับคุณ yumi และตัดสินใจว่าจะไปที่งานเพื่อเติมพลังให้กับผู้กำกับซักหน่อย ผมคิดว่าสิ่งที่ผมกังวลในตอนนั้นคือผมสงสัยว่างานจัดในแบบเป็นทางการรึเปล่า ผมจะต้องสวมสูทรึเปล่า แต่พวกเค้าบอกว่างานจัดแบบสบายๆเป็นกันเอง ที่แย่ไปกว่านั้นคุณ Yumi ออกมาทั้งๆที่สวมรองเท้าแตะด้วยครับดังนั้นเลยต้องไปเปลี่ยนรองเท้าเพื่อจะไปร่วมงาน ผู้กำกับดีใจมากๆเลย พวกเราเลยคิดว่าเราทำถูกต้องแล้วละครับ

รูปที่คุณถ่ายกับทีมภาพยนตร์  “Handmaidden” ที่งานนี้กลายเป็นประเด็นร้อนเลยนะคะ
ผมไม่คิดว่ารูปนั้นจะโดนอัพโหลดออนไลน์ครับ ผมดื่มไปแก้วนึง และอารมณ์ดี จากนั้นผมก็ถ่ายรูปไปโดยที่ไม่ได้หวนคิดอีกรอบนึง มารู้อีกทีก็ตอนที่โดนอัพโหลดไปแล้วละครับ รูปนี้คุณ Kim Tae ri เป็นคนถ่ายระหว่างที่เราอยู่ในงาน  “Korean movie night” ส่วนอีกรูปนึงคือถ่ายตอนที่เราออกไปต่ออีกที่นึงแล้ว เราได้ทักทายกันเล็กน้อยในงาน  “Korean movie night” ได้พูดคุยกันนิดหน่อยและจากนั้นผมเป็นคนเสนอเองแหละครับให้ไปดื่มต่อที่อื่นดีกว่า เป็นครั้งแรกที่ผมได้พูดคุยเป็นการส่วนตัวกับรุ่นพี่ Jo Jin Woong ซึ่งเค้าเป็นนักแสดงที่ผมชื่นชอบมาโดยตลอด ดังนั้นถ้าไม่ใช่โอกาสครั้งนี้แล้ว มันคงเป็นการยากมากๆที่ผมจะชวนเค้าไปดื่มต่อที่อื่นถ้าบังเอิญไปเจอกันในบาร์ที่เกาหลีจริงไม๊ครับ? และเป็นเวลานานมากแล้วที่ผมไม่ได้เจอ Jung Woo ฮยองเลย (Ha Jung Woo) ดังนั้นผมจึงรู้สึกเศร้าครับที่ต้องบอกลาเค้าเร็วเกินไป เพราะคืนนั้นเป็นคืนสุดท้ายที่ผมจะอยู่ที่เมืองคานซ์แล้ว เมื่อมาคิดตอนนี้ ผมสงสัยว่าพวกเค้าอาจจะเหนื่อยมากๆในคืนนั้นแต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธที่จะไปดื่มต่อเพราะผมเป็นคนชวนรึเปล่าน้า? แต่ก็ไม่เป็นไรครับ เพราะผมรู้สึกมีความสุขมากๆ 


“Train To Busan” เป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ประจำฤดูร้อนนี้ที่ได้กำหนดวันฉายไปเรียบร้อยแล้ว ฉันคิดว่าคุณน่าจะอยากรู้ว่าผู้ชมชาวเกาหลีจะมีปฏิกริยาอย่างไรและระดับการทำเงินจะไปได้สวยแค่ไหนไม๊คะ?
ความจริงที่ว่าภาพยนตร์ออกฉายในช่วงฤดูร้อนไม่ได้ทำให้ผมกังวลมากครับเพราะผมรู้ตั้งแต่ทีแรกแล้วว่ามันจะต้องออกฉายในช่วงฤดูร้อนซึ่งเนื้อเรื่องก็เข้ากันได้เป็นอย่างดีกับบรรยากาศของฤดูร้อน แต่ เราก็ยังลุ้นกันอยู่นะครับว่าเราต้องแข่งกับหนังภาคต่ออย่าง Bourne ได้ไม๊? ไปออกฉายถัดไปอีกอาทิตย์นึงจะดีกว่ารึเปล่า? Matt Damon จะมาโปรโมทหนังที่เกาหลีไม๊?? ผมสงสัยว่าผมควรจะไปต่างประเทศแล้วเจาะจงกลับมาประเทศเกาหลีในขณะที่ Matt Damon มาพอดีและเดินรั้งท้ายอยู่ด้านหลังเค้าผมจะได้โดนถ่ายรูปไปด้วยจะดีไม๊น้า?? (หัวเราะ) อ่าาา ผมล้อเล่นครับ คือผมรู้สึกกังวลและกดดันมากกว่าจะกระตือรือร้นอยากรู้อะไรเหล่านั้นนะครับ

กังวลและกดดันเรื่องอะไรคะ?
คือ รอบฉายปฐมทัศน์ของเราจัดขึ้นที่คานซ์ ซึ่งนี่ทำให้ภาพยนตร์ “Train To Busan” เป็นที่รู้จักและช่วยในด้านการตลาดอย่างมาก แต่การฉายรอบแรกอย่างเป็นทางการให้กับผู้ชมนั้นกว่าจะเกิดขึ้นก็ห่างจากช่วงนั้นไปพักใหญ่แล้วซึ่งดูเหมือนว่าพอถึงตอนที่จะต้องฉายแล้ว ความจริงที่ว่าเราไปเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานซ์มาก็ถูกลืมไปจนหมดสิ้นครับ ทุกวันนี้ ผลจากการทำการตลาดนั้นหายไปอย่างรวดเร็วดังนั้นผมเลยกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ
และผมไม่คิดว่าปฏิกริยาในประเทศเกาหลีจะเป็นไปในแนวทางที่ดีเพียงเพราะว่าภาพยนตร์ของเราได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นที่คานซ์ ในทางตรงกันข้าม ผมสงสัยว่าความคาดหวังรอคอยในตอนนี้คงจะมีไม่มากเท่าไหร่แล้วรึเปล่า? ผมเห็นมานักต่อนักแล้วละครับ ความกระตือรือร้นที่โหมขึ้นมาในโปรเจคแบบนี้มันกลายเป็นสิ่งที่ส่งผลเสียไป ดังนั้นเมื่อมีคำกล่าวต่อท้ายมาว่า "โปรเจคทุ่มทุน10ล้าน" คำกล่าวอะไรแบบนี้ออกมาทีไรผมจะกลัวทุกที เพราะหากมีความคาดหวังสูง ความผิดหวังก็สูงมากมาตามกัน มันเหมือนกับว่าคุณจะต้องลองไปเปิดกล่องดูเอาเองว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น

งั้นฉันอาจจะเพิ่มความกดดันให้คุณอีกนะคะ เพราะที่ฉันจะพูดถึงไม่ใช่แค่ภาพยนตร์เรื่อง “Train To Busan” แต่ยังจะมีภาพยนตร์เรื่อง  “The Age of Shadows” ที่คุณได้ร่วมงานกับผู้กำกับ Kim Ji Woon และคุณ Song Kang Ho ไหนจะละครเรื่อง “Goblin” ซึ่งเป็นผลงานเขียนของคุณ  Kim Eun Sook ซึ่งมีการคาดการณ์เอาไว้ว่าปีนี้จะเป็นปีของคุณเลยทีเดียว
เป็นความกดดันมหาศาลครับด้วยความสัตย์จริง เวลาผู้คนพูดแบบนี้ออกมาแล้วผลที่ออกมามันไม่ใช่ในแบบที่พวกเค้าคาดหวังเอาไว้ ในฐานะที่ผมเป็นนักแสดงผมไม่มีอะไรจะพูดครับแต่มันทำให้ผมรู้สึกละอายใจ นอกจากนี้ตัวผมไม่เคยที่จะคิดถึงสถานการณ์เอาไว้ล่วงหน้าว่ามันจะเป็นไปแบบนั้นเลยเพราะผลสุดท้ายที่ออกมาไม่มีใครสามารถที่จะมองเห็นได้ก่อน ดังนั้นผมจึงพยายามที่จะมองเป็นกลางไว้ก่อนเสมอ ผมเลือกทำงานในโปรเจคนั้นๆเพราะผมชอบมัน แต่บางครั้งก็มีเหมือนกันที่ผมต้องเจ็บปวดเพราะผลลัพท์ที่ออกมามันไม่ได้เป็นไปแบบที่ผมตั้งใจวางแผนเอาไว้ และแน่นอนว่ายังมีบางครั้งที่ในภาพรวมแล้วมันมีส่วนบกพร่องซึ่งตัวผมก็เป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ในโปรเจคนั้น

ดังนั้นสำหรับ "Train To Busan” แล้วผมพอใจในสิ่งที่ผมได้จินตนาการเอาไว้และฝันเอาไว้ดังนั้นผมคิดว่ามันจะกลายมาเป็นโปรเจคที่ผมพอใจกับมันนะครับโดยที่ไม่ต้องไปคำนึงถึงเรื่องการทำรายได้ยอดผู้เข้าชมแต่อย่างใด


พูดตามตรงนะคะ ฉันรู้สึกอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่อง  “The Age of Shadows”มากกว่า “Train To Busan” อีกค่ะ
ผมรู้สึกตกตะลึงมากครับเมื่อบทภาพยนตร์มาถึง คือ จู่ๆก็โผล่มาครับ ยังไงก็ตามตัวผมเองไม่เคยแสดงในภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาตร์และผมก็มีความเพ้อฝันของผมเกี่ยวกับภาพยนตร์ในยุคนี้มากกว่าภาพยนตร์โบราณที่ย้อนยุคไปเลย เครื่องแต่งกายก็มีระดับและคลาสลิก ดังนั้นผมรู้สึกกระตือรือร้นมากที่จะได้เห็นว่ามันจะออกมาเป็นยังไงกับภาพลักษณ์ทั้งหมดนี้ แน่นอนว่าบทภาพยนตร์ก็ยอดเยี่ยมครับ ส่วนที่สำคัญก็คือความจริงที่ว่าผมได้เผชิญหน้ากับรุ่นพี่ Song Kang Ho

อย่างที่ผมได้กล่าวไปในการให้สัมภาษณ์2-3ครั้งในอดีตว่า รุ่นพี่  Song Kang Ho เป็นรุ่นพี่ที่ผมจะต้องร่วมงานให้ได้แน่นอนเมื่อโอกาสมาถึง ผมเคยตั้งความคาดหวังเอาไว้ว่าอยากจะมีโอกาสร่วมงานกับ รุ่นพี่  Jeon Do Yeon และเราก็ได้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง“A Man and a Woman” ร่วมกัน ผมสงสัยว่าจะเป็นยังไงถ้าได้ร่วมงานกับรุ่นพี่ Song Kang Ho นะ?

ความจริงที่ว่าผมสามารถมีโอกาสได้ร่วมงานกับนักแสดงชั้นยอดซึ่งผมชื่นชอบมากๆทั้งสองคนและความจริงที่ว่าสามารถทำได้ในระยะเวลาอันสั้นก็ยิ่งทำให้ผมคิดว่าปีนี้ผมค่อนข้างโชคดีจริงๆครับ

ฉันคิดว่ากระบวนการในการทำงานกับผู้กำกับที่แสนมหัศจรรย์และนักแสดงที่มหัศจรรย์ จะต้องพิเศษมากแน่ๆ เว้นแต่ว่ามันจะเกิดขึ้นในช่วงที่คุณยังเป็นนักแสดงหน้าใหม่อยู่ คุณมองหาโปรเจคต่างๆในการทำงานโดยมุ่งไปว่าจะต้องเป็นนักแสดงนำที่สมบูรณ์แบบซักวันนึงในอนาคตไม๊คะ?
ในส่วนของผู้กำกับ นักแสดง หรือบรรยากาศในกอง มันไม่มีอะไรแตกต่างนะครับ ถ้าเทียบกับภาพยนตร์เรื่อง  “Train To Busan” มันจริงครับที่ว่ามีความกดดันมากกว่าในกองถ่ายของภาพยนตร์เรื่อง “The Age of Shadows” ผมต้องร่วมแบ่งปันแกนหลักของเนื้อเรื่องร่วมกับผู้คนที่ยอดเยี่ยมและผมไม่อยากจะทำให้โปรเจคนี้ต้องเสี่ยงว่าจะเกิดสิ่งที่ไม่ดีขึ้นเพราะผม ผมไม่อยากจะให้ผู้กำกับจะต้องรู้สึกเสียใจที่คัดเลือกผมมา สิ่งนี้มันใกล้เคียงกับความเครียดทางด้านอารมณ์มากครับ 

ในช่วงแรกของการถ่ายทำ ผมเหมือนกับเด็กๆที่ต้องการจะแสดงออกให้รุ่นพี่  Song Kang Ho และผู้กำกับเห็นว่าผมเก่งนะ ผมอยากให้พวกเค้ารับรู้ว่ามีผมอยู่ ผมอยากให้พวกเค้าสนใจผม ผมอยากให้พวกเค้ารักผม ความรู้สึกแบบนี้มันกดดันมากๆจนเหมือนกับผมเหนื่อยจนแทบจะหมดแรงเพราะพวกเค้า แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมรู้สึกเหมือนตัวเองพบกับความมั่นคงทีละเล็กทีละน้อยและผู้กำกับก็ฝึกฝนผมผ่านกระบวนการเหล่านี้ เวลาที่ผมอยู่ในกอง ทุกอย่างดูจะโกลาหลมากเกินกว่าที่ผมจะคิดอะไรออก ดังนั้นผมเดาว่าที่ผมสามารถจะแสดงความรู้สึกและความคิดออกมาได้เป็นเพราะทุกๆอย่างถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบเอาไว้ในใจของผมแล้วครับ


คุณได้ผ่านช่วงที่ยากและลำบากมาจริงๆนะคะ แต่ฉันกลับคิดว่า กระบวนการแบบนั้นมันเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับคุณไม๊นะที่จะต้องผ่านมันให้ได้ก่อนที่จะสายเกินไป
ผมรู้สึกเหมือนว่าตัวเองได้รับการฝึกฝนในแบบชั้นสูงและยอดเยี่ยมมานะครับ สิ่งเดียวที่อยู่ในใจของผมตอนนั้นคือ "ถ้าไม่สามารถทำออกมาให้สำเร็จได้ ก็จะไม่มีทางรอดไปได้เลยนะ" ผมสู้จนสุดใจในทุกๆช่วงเวลาในการทำงานที่ผมได้รับมอบหมายมาและใช้ชีวิตมาในทุกๆวันแบบนี้ ผู้กำกับเป็นคนคนนึงที่จะสร้างความรู้สึกให้กับภาพแคบๆในใจเกี่ยวกับอะไรบางอย่างที่ผมไม่สามารถจะรู้สึกได้เองขึ้นมาให้ สิ่งที่ผมเคยมีมุมมองลบกับมันก็เริ่มจะกลับมาเป็นบวก ผมต้องขอบคุณเค้ามากๆด้วยใจทั้งหมดของผมครับ

คุณได้พูดคุยเกี่ยวกับความกังวลนี้ของคุณให้คุณ Song Kang Hoฟังบ้างไม๊คะ? เค้าเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงที่เป็นคนสนุกสนานมากเวลาไปดื่มในผับใช่ไม๊คะ? 
พูดตามตรงนะครับ ผมไม่ได้ออกไปข้างนอกมากนักระหว่างที่มีการถ่ายทำครับ ผู้กำกับ Kim Ji Woon จะใช้เทคนิคเกี่ยวกับแสงและการจัดไฟเพื่อภาพที่สวยงามครับ ดังนั้นจะมีมุมเฉพาะบนใบหน้าและเส้นโค้งเว้าต่างๆที่เค้าอยากจะเห็น ดังนั้นผมต้องรักษามุมมองและเส้นโค้งเว้าเหล่านั้นเอาไว้และผมไม่ควรที่จะมีน้ำหนักเพิ่มแม้แต่นิดเดียวครับ ดังนั้นผมจึงขอความกรุณาจากรุ่นพี่เอาไว้ ครับ 

ในตอนที่เราถ่ายทำกันที่ประเทศจีน เค้ารู้ว่าผมต้องขี่จักรยานทุกวันและผมต้องลำบากอย่างมากที่จะทำให้หุ่นคงที่ ดังนั้นในทางตรงกันข้าม เค้าไม่เคยที่จะชวนผมออกไปข้างนอกหรือไปดื่มเลยแม้แต่ครั้งเดียว จริงๆแล้วเค้ากล่าวชมผมด้วยว่า" นายเจ๋งมากๆเลย ฉันชื่นชมนายจริงๆนะ" เวลาที่คุณถ่ายทำภาพยนตร์ การที่ออกไปดื่มมันสามารถเป็นการสร้างกำลังใจและสร้างผลกระทบที่ดีให้กับการทำงานเป็นทีมได้  แต่ยังไงก็ดีผมไม่อาจจะมีส่วนร่วมในการทำแบบนั้นได้ ในตอนที่เรามีการถ่ายภาพเพื่อโปสเตอร์หนังเมื่อเร็วๆนี้ ผมได้กล่าวขอบคุณเค้าอีกครั้งนึง เค้าคอยปลอบผมและพูดย้ำว่ามันไม่มีอะไรเลย ซึ่งผมรู้สึกขอบคุณมากๆที่เค้ารับรู้ถึงการมีอยู่ของตัวผมด้วยครับ

แม้แต่ในช่วงเตรียมงาน ภาพยนตร์เรื่อง “The Age of Shadows” ก็เป็นที่โจษจันกันทั้งวงการภาพยนตร์ว่าเป็น "โปรเจค10ล้านวอน" นะคะ 
มันน่ากลัวที่ได้ยินแบบนั้นนะครับ มันน่ากลัวและทำให้ผมกลัวครับ ผมเดาว่าเป็นเพราะผมเป็นเพียงมนุษย์คนนึงซึ่งคงจะเป็นการโกหกที่จะกล่าวว่าไม่มีความคาดหวังใดๆเลย แต่ไม่ใช่การโกหกแน่ๆที่จะพูดว่าเป้าหมายของผมคือจะต้องไปให้ถึงจุดเสมอตัวให้ได้เสมอ ผมไม่ได้มีความฝันยิ่งใหญ่อะไร บางคนอาจจะพูดว่าผมกำลังแสร้งทำเป็นว่าไม่มีความทะเยอทะยานใดๆ แต่คุณพ่อคุณแม่ของผมมักจะกล่าวเอาไว้เสมอตั้งแต่ผมยังเด็กๆว่า "ลูกต้องเป็นคนที่มีความคิดที่ยิ่งใหญ่และมีแรงบันดาลใจที่ดี ดังนั้นจงสร้างฝันแต่พอเพียง " ผมรู้สึกได้ถึงความรับผิดชอบในฐานะนักแสดงนำในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์นะครับ แต่ความรู้สึกรับผิดชอบที่ผมเป็นนักแสดงโดยอาชีพนั้นยิ่งใหญ่กว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผมคือการพยายามที่จะโฟกัสไปที่การถ่ายทำให้มากที่สุดและลดทอนความสนใจในแง่มุมต่างๆให้น้อยลงมากที่สุด ผมพยายามที่จะไม่โดนภาพในขั้นตอนสุดท้ายครอบงำ มีภาพยนตร์มากมายที่ต้องตะเกียดตะกายที่จะขายตั๋วให้ได้มากกว่า 1 ล้านใบ ดังนั้นภาพยนตร์ที่เป็นโปรเจค 10 ล้านวอนจึงมีมากขึ้นมากมายกว่าในอดีตมาก ดังนั้นผมคิดว่าคำกล่าวอ้างที่ว่า เป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์10ล้านวอน มันเป็นคำที่เอามาพูดแบบอิสระจนมากเกินไป 

เมื่อเวลาผ่านไปภาพยนตร์ฟอร์มเล็กๆก็จะถูกผลักให้ตกขอบและหายไปและมันทำให้ผมเศร้าเพราะรู้สึกว่าความหลากหลายในวงการก็จะหายไปด้วย เวลาที่ผมวางแผนจะไปดูภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์ซักเรื่อง มันมีช่วงเวลาที่ผมรู้สึกว่าสถานการณ์นี้มันร้ายแรงนะผมสงสัยว่าผมจะต้องไปดูภาพยนตร์ที่คนส่วนใหญ่ไม่สนใจจะไปดูได้ที่ไหนกัน? ผลสุดท้าย ผมไม่มีเวลามากพอที่จะไปโรงภาพยนตร์นั้นๆ ดังนั้นเลยจบลงที่ผมดูภาพยนตร์เหล่านั้นผ่าน IPTV แทน (ระบบส่งสัญญาณโทรทัศน์ผ่านทางอินเตอร์เนต)


เริ่มจากกิจกรรมในการโปรโมทภาพยนตร์เรื่อง “Train To Busan” มาคุณคงทำงานอย่างต่อเนื่องโดยที่ไม่ได้พักเลยตลอดช่วงครึ่งปีให้หลังมานี้ คุณได้ตระเตรียมอะไรเป็นพิเศษเพื่อการนี้ไม๊คะ?
ผมเป็นคนขี้แงเลยละครับแล้วจะเอาแต่บ่นว่า " ผมจะทำยังไงดี ผมจะทำยังไงดี?" ก่อนที่จะลงมือทำจริงๆ ซึ่งผมมารู้ได้ทีหลังว่าจริงๆแล้วผมสามารถที่จะทำได้ทุกอย่างที่กล่าวมาเมื่อผมหุบปากแล้วทำครับ(หัวเราะ) สิ่งที่ผมกังวลมากที่สุดคือเวลาที่จะต้องถ่ายทำจะไปซ้อนทับกับเวลาที่จะต้องโปรโมท ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่ต้องการเจอมากที่สุด ซึ่งมันเคยเกิดขึ้นครั้งนึงครับ และมันเหน็ดเหนื่อยสาหัสมาก ผมหวังว่าผมจะสามารถทำงานได้และผลที่ออกมาดีนั้นจะทำให้ผมสามารถเพิกเฉยกับเรื่องที่ทำให้เหนื่อยจนหมดแรงไปได้

การรับแสดงละคร น่าจะเป็น1ในเหตุผลหลายๆข้อที่ทำให้คุณไม่สามารถพักได้นะคะ ซึ่งเป็นการกลับคืนสู่วงการละครครั้งยิ่งใหญ่หลังจากที่หายไปกว่า 4 ปีเลย ซึ่งมันคงเป็นละคร โรแมนติกเลิฟคอมเมดี้ที่แฟนๆของคุณตั้งความหวังรอเลยนะคะ
ผมค่อนข้างระมัดระวังมากๆกับโปรเจคนี้นะครับ นอกจากความจริงที่ว่าผมตอบรับผมตกลงจะแสดงครับ นอกนั้นก็ยังไม่มีอะไรถูกทำออกมาเลยแม้แต่อย่างเดียว ซึ่งการตัดสินใจรับแสดงผมพึ่งจะตอบรับไปเมื่อเร็วๆนี้ ดังนั้นสิ่งที่เหลือที่จะต้องจัดการก็คือกระบวนการทั้งหมด ผมสงสัยว่าเราควรจะคุยกันในเรื่องเล็กๆน้อยๆเพื่อที่จะทำให้กระบวนการสร้างมันคืบหน้าไม๊? มันมีความคาดหวังแล้วความกระตือรืนรันอย่างมากในละครเรื่องนี้ ดังนั้นมันก็เป็นสิ่งที่น่ากังวลในฐานะนักแสดงนะครับ

ผมได้พบนักเขียน คุณ  Kim Eun Sook มาแล้วสองสามครั้งครับและผมก็สงสัยว่าทั้งผู้เขียนและPD น่าจะเป็นคนที่ต้องรับความกดดันมากกว่าผมไปอีกทั้งเรื่องของผลตอบรับที่จะออกมาและในเรื่องของเรตติ้ง เพราะผลงานเรื่องก่อนหน้านี้ประสบความสำเร็จอย่างมากและเรื่องนี้เป็นโปรเจคล่าสุดของพวกเค้า ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมพูดกับผู้เขียนว่า " ไม่ต้องกังวลกับเรื่องพวกนั้นหรอกครับ มาทำงานร่วมกันให้สนุกสนานดีกว่าและร่วมสร้างความทรงจำดีๆร่วมกัน" ซึ่งผู้เขียนก็ได้ตอบกลับมาว่า " ขอบคุณที่พูดแบบนั้นออกมานะค่ะ"

ในช่วง 3-4 ปีนี้ คุณได้แสดงภาพยนตร์เรื่องชนเรื่อง มาโดยตลอด ดังนั้นการที่คุณรับแสดงละครจึงเป็นเรื่องที่ไม่คาดฝันเลยนะคะ
ในตอนที่ผมถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “A Man and A Woman”, “Train To Busan”, “The Age of Shadows” ผมมีความสุขนะครับแต่ผมตระหนักได้ว่าผมสูญเสียความแข็งแกร่งและพลังงานไปด้วยในขณะที่ลงมือทำ โดยเฉพาะในตอนที่ผมถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “The Age of Shadows” มันจบลงที่ว่าผมมานั่งคิดอย่างจริงจังเลยเรื่องลิมิตของตัวเอง ผมรู้สึกได้ถึงความละอายใจ และการได้ทำงานร่วมกับนักแสดงที่ยอดเยี่ยมทำให้ผมรู้สึกว่าผมยังขาดอะไรไปมันทำให้ผมมีปมด้อยครับ ผมย้อนคิดทบทวนเรื่องของตัวเองเยอะมาก ซึ่งตั้งแต่เริ่มทำงานมานั่นเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกแบบนั้น และนั่นเป็นเหตุผลที่ผมจะต้องรีบูตตัวเองใหม่ครับซึ่งมันเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำและการรับแสดงละครก็จะทำให้ผมได้มีโอกาสรีบูทตัวเองขึ้นมาใหม่

ผมรู้สึกขอบคุณมากๆครับที่ได้รับอิทธิพลต่างๆมาจากนักเขียนและผู้กำกับซึ่งดีกับผมมากๆ และมันทำให้ผมมีความเชื่อว่า "ผมน่าจะฟื้นความมั่นใจในตัวเองที่ทำหายไปกลับมาได้อีกครั้งนะ? พวกเค้าจะสร้างสนามให้ผมได้เล่นสนุกใช่ไม๊น้า? " มันให้ความรู้สึกว่าพวกเค้ามอบความรู้สึกที่ผมจะได้เล่นสนุกมาให้ครับ "ถ้าผมตั้งใจทำงานอย่างหนักตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงตอนจบและผมรู้สึกสนุกไปกับมันผมน่าจะเติมเต็มสิ่งที่ผมทำมันหายไปได้ใช่ไม๊?? " นี่คือความคาดหวังของผมครับ


ทุกครั้งคุณจะกล่าวในการให้สัมภาษณ์ว่าคุณอยากจะทำงานร่วมกับรุ่นพี่คนนั้นหรือไม่ก็นักแสดงคนนี้เฉพาะเจาะจงลงไป ซึ่งก็เป็นจริงขึ้นมาจริงๆ และนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันจะถามในวันนี้นะคะว่าคุณมีนักแสดงที่อายุน้อยกว่าหมายตาเอาไว้บ้างรึเปล่า?
อืมมม .... 5555+ มันเป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่เหรอครับ เมื่อก่อนผมรู้สึกไม่เป็นไรนะครับที่จะดูตัวเองผ่านจอแต่พอถึงจุดจุดนึง ผมก็เหมือนจะรู้ตัวเองขึ้นมา ดังนั้นในตอนนี้ไม่อาจจะดูได้แล้วละครับ แม้แต่ในตอนที่ดูภาพยนตร์เรื่อง  “Train To Busan” ที่คานซ์ ผมรู้สึกอายมากจนพูดออกมาไม่ได้เลยบางครั้ง และระหว่างฉากบางฉากผมก็จะบอกกับตัวเองว่า "เราแม่งแสดงออกไปแบบนั้นเหรอเนี่ย" แม้ว่าคนอื่นจะมาพูดว่าไม่เป็นอย่างงั้นหรอก แต่นักแสดงจะรู้ตัวเองดีนะครับ และมันจะยิ่งเป็นแบบนี้มากขึ้นๆเมื่อเวลาผ่านไป  ผมคิดว่าเวลาที่จะต้องมีความรู้สึกแบบนี้มาถึงผมแล้วละครับ ในช่วงเวลาแบบนี้ บางครั้งผมก็จะรู้สึกเสียใจกับตัวเองในขณะที่นั่งดื่มคนเดียวที่บ้านและพยายามอย่างหนักที่จะระมัดระวังในทุกเรื่อง

ดังนั้นผมจึงระมัดระวังมากๆที่จะพูดถึงรุ่นน้องครับ ตัวผมเองก็ยังถือว่าเป็นรุ่นน้องเมื่อเทียบกับรุ่นพี่ในวงการ ผมได้ยินมาเยอะจากรุ่นพี่ว่าเมื่อเวลาผ่านไปมันจะยิ่งลำบากมากขึ้นอีก ซึ่งเรื่องแบบนี้ผมไม่เคยรู้เลยในตอนที่ยังเด็ก ผมสามารถที่จะพูดได้อย่างกล้าหาญเลยว่า สไตล์ของผมเป็นแบบนั้นแบบนี้ ซึ่งผมไม่สามารถพูดแบบนั้นได้อีกแล้วครับในตอนนี้ ผมกลัวเพราะผมตระหนักแล้วว่ายังมีเรื่องอีกมากมายนักต่อนัก ที่ผมยังไม่รู้ สิ่งที่มั่นใจได้ในช่วงระยะนี้คือผมคิดกับตัวเองว่า " นายจำเป็นต้องเป็นคนกล้าหาญมากกว่านี้อีกนิดนะ" ผมกลายเป็นคนที่ระมัดระวังมากเกินไปและความมั่นใจในตัวเองของผมก็กลายเป็นน้อยลงเรื่อยๆและลดลงไปมากเลยครับ 

ดังนั้นคือไม่มีนักแสดงที่อายุน้อยกว่าอยู่ในใจเลยเหรอคะ? 
อืมม พูดแบบนี้ดีกว่าครับเอาเป็นว่าผมสนใจในไอเดียที่มีบางโปรเจคได้นำเอานักแสดงที่อยู่ในกรอบเดียวกันซึ่งมีอายุใกล้เคียงกับผม อย่างคุณ Jung Woo Sung และ Lee Jung Jae มาแสดงร่วมกันอย่างในเรื่อง “City of the Rising Sun” มันมีนักแสดงที่ยากจะมาประชันกันในโปรเจคเดียวกันอยู่นะครับ สำหรับนักแสดงที่มีระดับเท่าเทียมกัน มันเป็นเรื่องยุ่งยากซับซ้อนที่จะมาถ่ายทำภาพยนตร์ร่วมกันได้เพราะพวกเค้าจะถูกเปรียบเทียบเพื่อบทเดียวกันอยู่เป็นประจำ เมื่อคุณรู้แล้วว่านักแสดงมีความรู้สึกยังไง หากผู้คนจะสามารถจับทุกอย่างมาวางแผนทั้งหมดได้ ผมอยากรู้จริงๆว่าโปรเจคแบบนี้มันควรค่าที่จะลงมือทำจริงไม๊ครับ? 

คุณ Choi Dong Hoon สร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับการปล้นขึ้นมา แม้แต่ในภาพยนตร์ประเภทนี้ก็มีนักแสดงที่อยู่ในวัยเดียวกับผมแค่คนเดียว เอายกตัวอย่างง่ายๆ คุณจินตนาการได้ไม๊ครับว่ามันจะเป็นยังไงถ้ามีภาพยนตร์ที่มี คุณ Kang Dong Won, Jo In Sung และผมร่วมแสดง? ก่อนที่จะสายไปก่อนที่ผมจะอายุ เข้าสู่วัย 40 ผมคิดว่าการที่ยังคงสามารถพูดคุยถึงเรื่องเยาวชนในตอนนี้อาจจะทำให้รายชื่อผลงานภาพยนตร์ของผมเป็นที่น่าสนใจอยู่ และโปรดิวเซอร์และผู้กำกับก็ยังหาทางแก้สำหรับปัญหานี้และทำให้มันเกิดขึ้นยังไม่ได้ เพราะพวกเค้าจะบอกว่า " เป็นไม่ได้หรอก มันยากเกินไป" แต่ผมสงสัยจริงๆนะครับว่านักแสดงคนอื่นก็อาจจะรู้สึกแบบที่ผมรู้สึกอยู่ก็ได้

คุณมีชื่อเสียงมากๆในวงการโฆษณาว่าเป็นพระเจ้าแห่งการโฆษณา เวลาคุณรับเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับสินค้าใดๆคุณจะมีภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งมาก ซึ่งมันคงเป็นเรื่องน่าเศร้านะคะถ้าคุณจะทิ้งการโปรโมทแบบนี้ให้รุ่นน้องรับมือกันไป
ผมคิดว่ามันเกี่ยวข้องกับเส้นสายนะครับ การที่สามารถรักษาความสัมพันธ์ที่ดีในการทำงานกับบริษัทที่จะต้องจัดการในเรื่องของธุรกิจโดยตรงมันเป็นเหตุผลใหญ่ๆครับ และแน่นอนความจริงที่ว่าการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีเอาไว้ได้ก็จะทำให้ผู้สร้างโฆษณามองผมในฐานะที่จะสามารถเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้เค้าได้ในทางบวก ซึ่งผมรู้สึกขอบคุณมากๆเสมอมาครับ เหนือสิ่งอื่นใด ผมอยากจะขอบคุณตัวเองและอยากจะชมตัวเองครับที่มาถึงจุดนี้ได้โดยที่ไม่มีเรื่องข่าวอื้อฉาวอะไรเลย (หัวเราะ) 

สิ่งที่ผมคิดคือมันเป็นเพราะโชคชะตาอย่างเดียวรึเปล่าที่ทำให้ผมได้เป็นพรีเซ้นเตอร์ให้กับแบรนด์ใหม่ๆหรือสินค้าใหม่ๆในบางครั้ง ในฐานะนายแบบมันย่อมมีความพอใจเกิดขึ้นเมื่อสินค้าสามารถผ่านช่วงเวลาเอาตัวรอดของการเปิดตัวสินค้าหรือแบรนด์ใหม่ๆไปได้และเราสามารถมองมันไปสู่สถานะที่ไปได้แล้วระดับนึง ซึ่งภาพยนตร์หรือละคร ไม่เหมือนกับงานโฆษณาครับงานโฆษณาจะแตกต่างไป แต่หากคุณมองว่าโฆษณาสินค้าเป็นโปรเจคนึงเหมือนกับภาพยนตร์เรื่องนึง คุณก็จะจบลงที่รู้สึกรักและผูกพันเวลาที่คุณเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับสินค้านึงเป็นเวลายาวนาน คุณจะรู้สึกเหมือนกับว่ามันเป็นลูกของคุณ  
ซึ่งมันก็เป็นการดีนะครับที่จะมีนายแบบให้กับสินค้าแบรนด์นึงซักสองสามคน แต่ผมรู้แล้วว่ามันจะให้ความรู้สึกมีความสุขแบบไหนหากได้เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับแบรนด์ใดแบรนด์นึงยาวนานถึง 2-3 ปี 

และเป็นเพราะผมรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงในเรื่องชั่วอายุคนคนนึงนั้นมีการเปลื่ยนแปลงเกิดขึ้นตลอดเวลา ผมแค่อยากจะบอกลาในแบบที่สำนึกบุญคุณเสมอและจากไปในแบบที่สวยงาม เท่านั้นเองครับ

Source:https://thesunnytown.wordpress.com/
Thai Translation by miss mew


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น