เป็นความคิดที่น่าสนใจว่าไม๊ครับ ว่าการเกณฑ์ทหารจะส่งผลกระทบอะไรต่อฮอลลีวู้ดและดารานักแสดงดาวรุ่งที่มีแววจะได้เป็นนักแสดงนำในวันพรุ่งนี้บ้าง "ไม่มี Star Trek Beyond ให้คุณแสดงหรอกนะ Anton Yelchin!” ไม่มีข้อแม้ๆทั้งนั้น “เอาละเราจะหยุดตรงนี้ละนะในแง่มุมของ X-Men ไม่จ้างหรอก Nicholas Hoult!” ความหวังและความฝันของคุณล่มสลายลงไปแบบนั้นเลย หรือไม่ก็จะต้องหยุดเอาไว้ก่อน 1-2 ปีถ้าคุณโชคดีที่จะกลับมาได้ละนะ
เช่นเดียวกับชะตากรรมของพลเมืองชายที่เกาหลีใต้ กงยูได้เข้ารับใช้ชาติอยู่ในกรมทหารในช่วงปลายอายุ 20 ของเค้าในช่วงที่อยู่บนจุดสูงสุดของความโด่งดังในปี 2007 ในตอนนั้นละครทางโทรทัศน์ The 1st Shop of Coffee Prince ได้รับความโด่งดังมากและทำให้นายแบบที่ผันมาเป็นนักแสดงได้กลายเป็นนักแสดงชื่อดังเต็มตัว อีกทั้งความต้องการในตัวเค้าไปไกลถึงต่างประเทศน้อมรับกระแสนักแสดง “Hallyu” และเป็นส่วนหนึ่งใน “The Korean Wave,” ที่หมายถึงการเผยแพร่วัฒนธรรมเกาหลีออกไปทั่วโลกในช่วงปี 90 เป็นต้นมา
ระยะเวลา 2 ปีฟังเหมือนโทษประหารสำหรับวงการบันเทิงแต่ถึงแม้ว่าผลงานจะดูเบาบาง แต่กงยูได้กลับมาอย่างประสบความสำเร็จ และก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เค้ากลับมาอย่างแข็งแกร่งจากกรมทหาร เช่นเดียวกับสีสันในการเป็นศิลปินของเค้าก็เพิ่มมากขึ้น ครั้งนึงที่เรารู้จักเค้าจากละครโรแมนติกคอมเมดี้ เราได้เห็นกงยูรับแสดงภาพยนตร์ Silenced (2011), ภาพยนตร์สุดอื้อฉาวที่สร้างมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เรื่องราวที่นักเรียนหูหนวกถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยคุณครูที่โรงเรียนสำหรับผู้ที่มีความบกพร่องทางการได้ยินแห่งหนึ่งในเกาหลีใต้ ในช่วงปี2000 นอกจากนี้เค้ายังขยับเลื่อนขั้นอีกเล็กน้อยรับบทเป็นสายลับจากเกาหลีเหนือในภาพยนตร์เรื่อง Suspect (2013).
ในปีนี้ คานซ์ได้เปิดตัวภาพยนตร์ในรอบเที่ยงคืนเป็นภาพยนตร์ของผู้กำกับ Yeon-Sang Ho เรื่อง Train to Busan ซึ่งในเรื่องนี้กงยู ต้องติดอยู่บนรถไฟ KTX (รถไฟความเร็วสูงของประเทศเกาหลีใต้) และต้องเจอกับการล้างโลกโดยซอมบี้ ในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ กงยูจะหวนคืนสู่วงการโทรทัศน์หลังจากที่แห่งหายไปกว่า 4 ปี ด้วยละครเรื่อง โทแกบี (Goblin) เรื่องเล่าในตำนานเกี่ยวกับ ก็อบลินและยมทูตที่ทำงานร่วมกันเพื่อช่วยให้คนตายได้ผ่านไปยังโลกหน้า
ที่คานซ์เราได้ขโมยตัว กงยู มานั่งคุยกันสั้นๆหลังจากที่ Train to Busan มีรอบปฐมทัศน์ไปที่คานซ์
(เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานซ์ ครั้งที่69จัดขึ้นระหว่างวันที่ 11-22 พฤษภาคม)
คุณได้รับผลตอบรับที่กระตือรือร้นอย่างไม่น่าเชื่อเลยนะครับ นี่เป็นปีที่5แล้วของผมที่คานซ์และผมไม่เคยประสบกับอะไรที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เลย เป็นครั้งแรกของคุณที่ได้เห็นภาพยนตร์ในแบบที่ตัดต่อเสร็จสมบูรณ์แบบนี้ด้วยไม๊ครับ?
ใช่ครับ พูดตามตรงนะครับผมกังวลนิดๆในตอนเริ่มแรกครับเพราะนี่เป็นภาพยนตร์แอคชั่นที่ใช้คนจริงๆแสดงเป็นเรื่องแรกของผู้กำกับ Yeon-Sang Ho แต่ก่อนที่เราจะเริ่มการถ่ายทำ เราได้แบ่งปันพูดคุยเกี่ยวกับความตั้งใจที่จะฝังเอาข้อความสำคัญแฝงลงไปในเนื้อเรื่องของภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับซอมบี้ซึ่งเพราะเนื้อหาแฝงนี้ทำให้ผมพอใจอย่างมากครับ ผมไม่รู้ว่าคุณรู้สึกได้ถึงข้อความนั้นรึเปล่าเวลาที่ได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่ว่ามนุษย์เรานั้นน่ากลัวกว่าผีดิบซะอีก
ผมคิดว่าเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวที่สุดในโลกแล้วครับ ซึ่งผมยิ่งมั่นใจขึ้นทุกวันๆ
เราต้องการที่จะสื่อสารข้อความนี้ออกไปครับ เราต้องการจะแสดงให้เห็นว่า คนเราสามารถที่จะน่ากลัวได้แค่ไหน ไม่ใช่พวกซอมบี้
ในทุกความรู้สึกที่จับต้องได้ Train to Busan ถือว่าเป็นภาพยนตร์ในแนวระทึกขวัญ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นภาพยนตร์ที่เศร้าและซึ้งได้อย่างไม่น่าเชื่อ คุณรู้สึกว่าในการถ่ายทำต้องใช้ความท้าทายทางด้านร่างกายหรืออารมณ์เป็นพิเศษไม๊ครับในเวลาแสดง?
สำหรับผม การแสดงเป็นงานที่ยากอยู่แล้วโดยปกติครับ มันเป็นการที่หนักทั้งทางร่างกายและจิตใจ แต่มันจะเป็นเรื่องที่น่าอายนะครับที่ผมจะยอมรับว่าผมเหนื่อยมากๆในการถ่ายทำ เพราะ นักแสดงที่สวมบทบาทเป็นซอมบี้นั้นทำงานหนักมากจริงๆ ผมจึงไม่อาจจะปริปากบ่นถึงสิ่งที่ผมต้องเผชิญมาได้เพราะสิ่งที่พวกเค้าคาดหวังจากนักแสดงที่เป็นซอมบี้ในทางร่างกายต้องแข็งแกร่งกว่ามากครับสิ่งที่เค้าต้องทำให้สำเร็จนั้นมีมากมายครับ
ผ่านมาช่วงนึงแล้วนะครับตั้งแต่มีการปิดกล้องและจบการถ่ายทำไป ผมเข้าใจว่าการที่ได้มาดูภาพยนตร์เมื่อคืนนี้ ได้เรียกคืนความทรงจำมากมายเกี่ยวกับการถ่ายทำให้ย้อนกลับมาแน่ๆ คุณพอจะแบ่งปันเรื่องราวความทรงจำเหล่านั้นซักเรื่องนึงกับพวกเราได้ไม๊ครับ
คือภาพยนตร์เป็นเรื่องราวที่แต่งขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดใช่ไม๊ครับ แต่มีช่วงเวลาที่ผมรู้สึกกลัวจริงๆครับ เวลาที่คุณตั้งสมาธิไปกับความหวาดกลัวในขณะที่กำลังสวมบทบาท ในพื้นที่จำกัดอย่างบนรถไฟ และจู่ๆมีซอมบี้มาจับแขนคุณ มันน่ากลัวครับ มันเป็นเหมือนการแกล้งกันเล่นก็จริงแต่ ความรู้สึกและการแสดงออกทางสีหน้าของผมตอนนั้นเป็นของจริงครับ
คุณใช้เวลาส่วนใหญ่ในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้หนีเอาตัวรอด ซึ่งผมรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันสมจริงมากจริงๆ
ผมวิ่งแบบหนีนรกตลอดทั้งเรื่องครับและผมไม่ต้องแกล้งทำด้วย (หัวเราะ) ผมกลัวจริงๆ (หัวเราะ) แม้ตอนที่เราไม่ได้มีการถ่ายทำ ผมก็จะไม่ไปเข้าใกล้นักแสดงที่แมคอัพแต่งหน้าเป็นซอมบี้ครับ
Yeon-Sang Ho เป็นผู้กำกับที่มาจากวงการ อานิเมชั่นและเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์แอคชั่นเรื่องแรกของเค้าเหมือนที่คุณกล่าวไปเมื่อครู่ อะไรที่คุณสังเกตได้จากเค้าในฐานะผู้กำกับและในฐานะคนคนนึงครับ?
ถ้าคุณกำลังจะทำงานที่มีแนวที่เกี่ยวกับผีดิบซอมบี้ ซึ่งเป็นแนวที่ไม่ค่อยมีการสร้างในระดับภาพยนตร์ในเกาหลีใต้มาก่อน คุณจำเป็นต้องมีความมั่นใจที่จะมองมันให้ออก ซึ่งผมมองเห็นความมั่นใจนี้ในตัวของคุณ Yeon-Sang Ho ครับ ผมมั่นใจว่าเค้าจะต้องสร้างภาพยนตร์ให้ยอดเยี่ยมได้ตั้งแต่เค้าเริ่มต้น นอกจากนี้เค้ายังมีความสามารถในการที่จะทำให้นักแสดงหัวเราะ ซึ่งนั่นสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายให้เกิดขึ้นครับ
คุณอยู่ในวงการนี้มาก็ชั่วระยะหนึ่งแล้วและก็ลองสำรวจมาก็มาก ในตอนนี้อะไรที่จะทำให้คุณตื่นเต้นได้ครับ?
ผมมองไปที่ป่าที่กว้างไกลไม่ใช่หมายตาไปที่ต้นไม้เพียงต้นเดียวครับ
เจ้าบทเจ้ากลอนเลยนะครับ แปลง่ายๆคือ คุณมองไปที่ภาพรวมมากกว่า
ถูกต้องครับ หากว่ามีป่าที่มองไปแล้วเป็นวิวที่สวยงาม ผมก็ยินดีที่จะลงไปสำรวจมันครับ
source: http://anthemmagazine.com
Text By Kee Chang Photo By Victoria Stevens
Thai Translation by miss mew
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น