วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2560

กงยูกล่าวว่าเมื่อเค้ามีอายุน้อยกว่านี้เค้าอยากจะแต่งงานเร็วๆ


เมื่อวันก่อนมิวแปล บทความเรื่องความคิดเห็นของกงยูกับเรื่องครอบครัวและความรัก อ่านๆไปดูเหมือนกงยูจะเป็นคนโสดหัวใจแข็งแรงเหลือเกิน 555+ จริงๆทาง Inquisitr เจ้าของบทความย้อนรวบรวมเฉพาะบทสัมภาษณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้กงยูก็ดูจะสบายและเคยชินกับชีวิตโสดจริงๆแหละค่ะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเค้าจะไม่เคยวาดภาพครอบครัวในฝันเอาไว้นะคะ วันนี้พอดีมิวไปอ่านเจอบทสัมภาษณ์อันนึง พูดเรื่องครอบครัวที่เค้าวาดฝันไว้น่ารักดี เลยจะมาเล่าๆเพิ่มให้ค่ะ เผื่อจะเป็นข้อมูลให้เราจินตนาการในอนาคต 555+ 

จริงๆท่อนนึงในการให้สัมภาษณ์ เมื่อครั้งออกโปรโมทภาพยนตร์เรื่อง The age of shadows ที่ได้อ่านกันไป กงยูลงท้ายด้วยว่า
"ก่อนหน้านี้ผมเคยคิดว่าคนเราจำเป็นจะต้องการคู่ชีวิตเพื่อที่จะไม่ให้รู้สึกเหงาและคอยดูแลเวลาที่คุณป่วยและอายุมากนะครับ" "แต่ตอนนี้ผมตัดสินใจที่จะผลักเรื่องนี้ออกไปก่อนครับ"

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2014 ตอนนั้นกงยูแสดงในภาพยนตร์เรื่อง The Suspect และเป็นช่วงโปรโมทภาพยนตร์จึงมีการให้สัมภาษณ์ การสัมภาษณ์ในวันนั้นเป็นไปแบบสบายๆกับนักข่าวโดยนั่งดื่มกันไปพูดคุยกันไป นักข่าวกล่าวว่ากงยูเป็นมิตรมากๆ กงยูบอกว่าเค้าให้ความสำคัญกับคนที่อยู่ใกล้ตัวเค้าคนที่เค้าสามารถที่จะแบ่งปันพูดคุยความคิดต่างๆที่อยู่ในใจของเค้าจริงๆได้ หัวข้อที่พูดคุยนอกจากเรื่องภาพยนตร์แล้ว ยังมีการถามถึงเรื่องแผนการการแต่งงานของเค้าด้วย 

กงยูซึ่งในตอนนั้นอายุ 35 ปี กงยูกล่าวว่าเมื่อเค้ามีอายุน้อยกว่านี้เค้าอยากจะแต่งงานเร็วๆเพื่อที่ว่าจะได้มีอาชีพที่ดีไปพร้อมๆกับสร้างครอบครัวดีๆไปพร้อมกันเลย  แต่ช่วงเวลาเหล่านั้นได้ผ่านมาแล้วและตอนนี้เค้ามุ่งความตั้งใจไปที่งานของเค้าเท่านั้นและการที่อยู่คนเดียวมานานทำให้เค้าเริ่มชินกับความเหงาทั้งหลายแล้ว

เมื่อถามไปถึงครอบครัวในฝันที่วาดฝันเอาไว้จะเป็นยังไง กงยูกล่าวว่าเค้าอยากมีบ้านที่เงียบสงบกับสนามที่ใหญ่โต กงยูอยากจะสร้างบ้านให้กับคุณพ่อคุณแม่ในชนบทและมีสนามหน้าบ้านที่กว้างใหญ่ พอพูดยังไม่ทันจบก็หัวเราะว่า คุณพ่อคุณแม่ไม่ยอมให้ความร่วมมือกับความฝันนี้เพราะคุณพ่อคุณแม่ชอบอยู่ในเมือง 

กงยูฝันไว้ว่าจะพาลูกๆของเค้าไปเยี่ยมคุณปู่คุณย่าในบ้านชนบท บ้านที่มีสนามหญ้ากว้างใหญ่ให้ลูกๆได้วิ่งเล่น แต่คุณพ่อคุณแม่ของกงยูกลับบอกว่าทำไมพวกเค้าต้องย้ายไปอยู่ในฟาร์มเพื่อให้ความฝันนี้ของกงยูจะได้เป็นจริงด้วย (หัวเราะ) 

ในการให้สัมภาษณ์นี้ได้พูดเรื่องเครื่องดื่มแอลกฮอลล์ด้วย ก่อนหน้านี้มิวแปลสัมภาษณ์จาก Elle กงยูยืนยันว่า ชอบโชจู แต่ในสัมภาษณ์นี้ เค้าตอบว่าเค้าชอบดื่ม Somaek (เบียร์+โชจู) และกล่าวว่าตัวเค้าดื่มโชจูได้ขวดครึ่งก็จะมึนๆแล้ว กงยูว่าเค้าชอบความรู้สึกที่ว่า เมานิดๆ และนานๆทีถ้าเค้านอนไม่หลับก็จะดื่มไวน์แดงบ้าง เพราะแฟนๆส่งมาให้ลองหลายขวดอยู่ ส่วนกับแกล้มที่ชอบที่สุด คือ เมื่อเวลาได้เดินทางไปถ่ายทำภาพยนตร์ในที่ต่างๆหลากหลายเค้ามักจะซื้อของทานในที่นั้นๆมาลองแกล้มดู 

ชักจะฝันถึงบ้านที่เงียบสงบและมีสนามกว้างๆ บวกกับทริปพาลูกๆไปเยี่ยมคุณปู่คุณย่าในชนบทกันรึยังคะ?? 555+  ภาพที่พามาแปะครั้งนี้เป็นภาพจากสัมภาษณ์ครั้งนี้แหละค่ะ มิวเอามาเล่าต่ออีกทีจาก  koalasplayground ย้อนไปเมื่อเดือน กุมภาพันธ์ 2014 เห็นว่าน่ารักเลยเอามาแบ่งอ่านกัน

Source: Koalasplayground.com
Thai Translation by miss mew 

 

วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2560

กงยู คิดยังไงกับเรื่องความรักและการแต่งงาน ?


 นักแสดงจากละครเรื่อง Goblin กงยู ในตอนนี้กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งกับความสำเร็จของละครเรื่องแรกของเค้าในรอบ 5 ปี ดังนั้นคงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลที่ชาวเนตจะสงสัยอยากรู้เกี่ยวกับเรื่องชีวิตส่วนตัวของเค้ามากในตอนนี้ ว่าเค้าจะมีแฟนรึยัง?? หรือเค้าวางแผนว่าจะแต่งงานรึยัง?? แฟนๆก็แสดงออกมากๆว่าอยากจะรู้เรื่องนี้เป็นที่สุด


ดังนั้น ทางเราจึงตัดสินใจมองย้อนไปในการให้สัมภาษณของเค้าหลายๆครั้งในอดีตและพบเบาะแสที่พอจะหาคำตอบในเรื่องเหล่านั้นมาได้ และถ้าคุณเป็นแฟนเกริ์ลของกงยูที่อาจจะกำลังฝันอยากจะแต่งงานกับนักแสดง อายุ 37 ปีคนนี้ ความคิดเห็นของเค้าเกี่ยวกับการแต่งงานและการเป็นคุณพ่อคุณแม่นั้นอาจจะทำให้คุณใจสลายได้ เอาละค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะ

ในบทความที่ทางAll K POP ได้รายงานมา ดูเหมือนว่ากงยูอาจจะกลัวการแต่งงานตามการรายงานของ All K POP กงยูได้ให้สัมภาษณ์กับทาง Ilgan Sports ที่เปิดเผยถึงความคิดของเค้าเกี่ยวกับการเป็นเจ้าบ่าวว่า

“ผมเริ่มที่จะกลัวการแต่งงานและการเป็นคุณพ่อคุณแม่มากขึ้นมากขึ้นละครับ ผมคิดว่าอาจจะเป็นเพราะผมเริ่มมีอายุมากขึ้น " " แน่นอนว่ายังมีอะไรต้องเรียนรู้อีกมาก และผมก็รู้ว่าประสบการณ์จากการแต่งงานและการเป็นพ่อแม่นั้นจะช่วยผมในเรื่องของการแสดงด้วย"

จากคำพูดระหว่างที่ให้สัมภาษณ์ เค้ายังรู้สึกกลัวภาพการที่จะได้เป็นคุณพ่อคุณแม่ด้วย

“วันนึงผมคงจะแต่งงานและกลายเป็นคุณพ่อในวันนึงละครับ แต่ว่าถ้าเทียบกับอายุของผมในตอนนี้ผมควรจะมีลูกไปแล้ว 2 คนละนะครับ  จริงๆเพื่อนๆของผมก็เป็นคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกอยู่ชั้นประถมกันแล้ว แต่ทั้งๆที่ผมอายุขนาดนี้แล้ว แต่ความคิดทางอารมณ์ของผมยังเด็กอยู่มากๆ จากสิ่งที่ผมเห็นจากคนอื่นรอบตัวผม ผมสามารถบอกได้เลยว่าการแต่งงาน การสร้างครอบครัว และการมีลูกนั้นเป็นเรื่องที่ ยากสุดขีดเลยละครับ"

เช่นเดียวกับรายการข่าวของทาง soompi ที่เปิดเผยมุมมองของเค้าเกี่ยวกับการแต่งงานเมื่อ กงยูมานั่งให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องใหม่ The Age of Shadows ในเดือนกันยายน 2016ที่ผ่านมา ซึ่งในสัมภาษณ์ครั้งนั้น กงยูกล่าวว่า เค้าคิดว่าเรื่องของการแต่งงานไม่ใช่สิ่งที่เค้ามุ่งความสนใจในชีวิตไปตรงนั้นในขณะนี้

"ในตอนนี้ผมอยู่ในช่วงอายุปลาย 30 แล้วผมคิดเรื่องแต่งงานและครอบครัวเยอะอยู่นะครับ แต่พูดตามตรง ผมตัดสินใจที่จะผลักความคิดเกี่ยวกับเรื่องแต่งงานและคำถามเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวออกไปก่อนครับ"

กงยูเสริมว่าการพูดคุยกับผู้กำกับ  Kim Ji Woon ผู้กำกับภาพยนตร์ The Age of shadows ได้ช่วยให้เค้าตระหนักว่าเค้าควรจะใช้ชีวิตในแบบของเค้าให้มีความสุขสนุกสนานให้มากขึ้นอีกนิด

"นี่เป็นช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับผมนะครับและผมจะใช้เวลานี้อย่างไรนั้นจะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผมไปด้วยในตอนที่ผมอายุอยู่ในช่วง 40 ผมได้รับอิทธิพลอย่างมากจากผู้กำกับ  Kim Ji Woon ในขณะที่ได้ทำงานร่วมกับเค้า เค้าถามผมว่า ผมคิดว่าคนเรานั้นควรใช้เวลามากน้อยแค่ไหนในการที่จะสนุกกับการใช้ชีวิตของตัวเอง เค้าบอกว่า ในเกาหลีคนส่วนใหญ่พึ่งพาคุณพ่อคุณแม่จนถึงช่วงอายุ 30 ดังนั้นพวกเราจะมีเวลาแค่ในช่วงอายุ30-60 ที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเป็นของตัวเอง "

คำพูดนี้บ่งบอกเป็นอย่างดีว่า กงยู ยังไม่ได้แอบไปแต่งงานกับใครหรือวางแผนว่าจะแต่งงานในอนาคตอันใกล้นี้

แต่การที่จะได้เห็นกงยูแต่งงาน นั้นดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่แฟนๆของเค้าหลงใหลอยากจะได้เห็น เมื่อเร็วๆนี้กงยูได้ไปร่วมรายการ  Guerilla Date รายการในช่วงของ Entertainment Weekly program ทางช่อง KBS2 ในรายการนั้น กงยูได้สร้างความประหลาดใจให้กับแฟนๆด้วยการเดินพูดคุยไปตามถนนในย่าน คังนัม มีอยู่ช่วงหนึ่งแฟนๆได้ขอร้องเค้าว่าถ้าเค้าจะแต่งงานขอให้เค้าประกาศการแต่งงานผ่านทาง Fan cafe ซึ่งกงยูก็ให้สัญญาว่าหากวันนั้นมาถึงเค้าจะทำ

แฟนคลับ “ถ้าคุณจะประกาศการแต่งงาน ได้โปรดประกาศผ่านทาง fan cafeก่อนเลยนะคะ”
กงยู " ไว้ผมจะทำนะครับ " (ก่อนที่แฟนคลับคนนั้นจะพูดแทรกเค้า)
กงยู " หัวใจของผมยังไม่พร้อมสำหรับการแต่งงานเช่นกันละครับ" 
แฟนคลับ "โล่งอกไปทีนะคะ"

ซึ่งกงยูจะรักษาสัญญาของเค้ารึเปล่า เราคงต้องรอดูเมื่อเวลานั้นมาถึงนะคะ

source: http://www.inquisitr.com/3786465/gong-woo-married-girlfriend-goblin-korean-dram-ep-3-eng-sub-kim-go-eun-lee-dong-wook-video-pics-2016/ (11 ธันวาคม2016)
Thai Translation by miss mew 
ภาพจากเบื้องหลัง ภาพยนตร์ One man one woman 
คลิปวีดีโอรายการ Guerrilla Date ทางช่อง KBS2

วันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2560

สัมภาษณ์ กงยู และ จอนโดยอน จากนิตยสาร W เดือนพฤศจิกายน 2015

                                                            

                                                                 กงยู

ฉันได้ยินมาว่า ภาพยนตร์เรื่อง  “A Man and A Woman” ได้เจอผู้ที่จะมารับหน้าที่แสดงเป็นตัวเอกของเรื่องทางฝ่ายหญิงก่อน
ผมรู้เรื่องภาพยนตร์เรื่องนี้เพราะทางผมกับคุณจอนโดยอนอยู่บริษัทเดียวกันครับ ผมรู้สึกดีใจที่ได้รับการเสนอบทมาให้ ผมอยากจะแสดงในภาพยนตร์ในแนวเมโล ผมอยากจะแสดงภาพยนตร์ร่วมกับจอนโดยอนนูน่า ผมไม่ต้องใช้เวลานานในการตัดสินใจเลยครับ

มันไม่ได้เป็นสถานการณ์ที่น่าเครียดเหรอคะในการที่ได้ทำงานร่วมกับ คุณJeon Do Yeon?
เธอสร้างชื่อเสียงเอาไว้ในวงการจริงๆครับ แต่ผมคงจะไม่ทำแน่หากรู้สึกว่ามันเป็นภาระ มันก็ยังเฉยๆนะครับจนผมตัดสินใจรับแสดงก็เฉยๆ แต่จริงๆผมมาเริ่มรู้สึกกลัวเมื่อเริ่มลงมือทำครับ ในขั้นตอนที่กระบวนการเตรียมการต่างๆเริ่ม เพราะผมต้องทำให้ออกมาดีครับ

รู้สึกเหมือนนานมากๆเลยนะคะ ตั้งแต่คุณแสดงในภาพยนตร์เรื่อง  “The Suspect”.
ผมมาอยู่ตรงที่ผมอยู่ได้ในตอนนี้โดยใช้เวลาของผมครับ แต่ผมมักจะมีความคิดอยู่ในใจเสมอว่าควรจะค่อยเป็นค่อยไปเพราะมีอะไรมากกว่าความหนุ่มสาวที่มันไม่สามารถคงอยู่ได้ตลอดไป การที่ได้ทำงานในหลายๆโปรเจคเพราะผู้คนอยากจะมองเห็นผมดูผม นั่นเป็นโชคที่ผมได้รับครับ ผมอาจจะเหลือพลังน้อยมากแต่เมื่อแต่ละโปรเจคเสร็จสิ้นจบลง ผมจะเก็บทุกอย่างทิ้งไปแล้วเริ่มทำงานในโปรเจคต่อไป ยังไงก็ดีผมได้ทำต่างไปจากหลักการที่ตัวเองวางไว้ในปีนี้ครับ เพราะผมอยู่ในกองถ่ายตลอดเวลาในปีนี้ เป็นครั้งแรกตั้งแต่ทำอาชีพนี้มาที่ผมถ่ายทำภาพยนตร์สองเรื่องในเวลาเดียวกันและถ่ายทำเสร็จไปแล้วทั้งสองเรื่องในเวลาเดียวกันรอเพียงแค่การเปิดตัวออกฉายเท่านั้น ผมเสร็จสิ้นการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “A Mand and A Woman” และเว้นห่างไม่ถึงเดือนผมก็เริ่มก็ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “Busan Bound”. เริ่มจากช่วงกลางเดือนตุลาคม ผมก็อยู่ในกองถ่ายภาพยนตร์เรื่อง  “Miljung” ( The age of shadows) ที่ประเทศจีน

ผมเกิดปีแกะครับ ( คนทางประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลีจะเรียกปีแพะ ว่าปีแกะค่ะ) แล้วก็แปลกที่ปีนี้ก็เป็นปีแกะด้วยซึ่งทั้งดวงชะตาและเวลานั้นดูจะลงตัวได้เป็นอย่างดี แต่ถึงกระนั้น การที่ต้องถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องต่อเรื่องต่อๆกันไป โดยที่ไม่ได้รับฟีคแบคผลต้อนรับใดๆเลยมันน่าเบื่อมากครับ ตอนนี้ผมอยากจะเห็นปฏิกริยาตอบรับจากผู้คนแล้วละครับ

การที่สงสัยอยากจะรู้ถึงปฏิกริยาตอบกลับ แสดงว่าคุณมีความมั่นใจในผลลัพท์ที่จะออกมามาก
ผมคิดไปถึงบางอย่างที่ต่างออกไปจากแนวคิดนี้นะครับ คนแต่ละคนต่างก็มีมุมมองที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นก็มักจะมีคนที่ชอบการแสดงของผมและคนที่ไม่ชอบการแสดงของผมอยู่เสมอ ผู้คนเหล่านั้นมักจะรู้สึกอะไรเกี่ยวกับผมอยู่เสมอในฐานะที่ผมเป็นนักแสดง มันมีบางแง่มุมเกี่ยวกับภาพยนตร์ที่สำเร็จออกมาแล้วที่ผมไม่สามารถควบคุมมันได้ สิ่งที่ผมคิดคือผมจำเป็นต้องมีการสื่อสารกับคนอื่นๆครับ

ตั้งแต่ผมถ่ายทำภาพยนตร์ติดต่อกัน 3 เรื่องในคราวเดียว ผมมีความรู้สึกว่าผมต้องการอยากจะพักผ่อนทั้งทางกายและจิตใจของผมจริงๆ คือผมไม่ใช่คนประเภทที่จะทำงานเป็นมดงานขยัน แบบนั้นครับ

ตรงข้ามกับคุณJeon Do Yeon นะคะเธอบอกว่ามันเหนื่อยล้ามากที่จะกลับไปใช้ชีวิตประจำวันตามปกติหลังจากการถ่ายทำสิ้นสุดลง
นักแสดงบางคนได้รับพลังงานจากความตื่นเต้นและความเครียดเฉพาะตัวที่จะมาจากความจริงที่ว่าสิ่งแวดล้อมรอบตัวพวกเค้าและทีมงานจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดในตอนที่พวกเค้าเริ่มถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องใหม่ แต่สำหรับผมแล้วไม่ใช่แบบนั้นครับ ของผมชีวิตปกติธรรมดาที่เกิดขึ้นประจำวันนั้นมันเป็นเหมือนสิ่งที่มาชดเชยเป็นอะไรที่ผมอยากจะกลับไปหาอยู่เสมอ เวลาที่ผมทำงานหนักๆแล้วทำงานเพียงอย่างเดียวมันทำให้ผมรู้สึกว่างเปล่าครับ

Jeon Do Yeon บอกว่าเธอต้องพึ่งพาคุณอย่างมากเลยในตอนที่ ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง“A Man and A Woman” แล้วทางคุณละคะเป็นยังไงบ้าง?
ผมได้รู้จักเธอในฐานะรุ่นพี่ที่ยอดเยี่ยม ในฐานะนักแสดงหญิงชั้นนำของประเทศเกาหลี แต่ผมคิดว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เข้าใจเธอในฐานะที่เธอเป็นคนคนนึงอย่างที่เธอเป็นครับ แน่นอนว่าผมไม่อาจจะพูดได้ว่าผมรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเธอ แต่แม้ว่าจะรู้แค่นิดเดียวมันก็เป็นช่วงเวลาที่มีความหมายที่ผมได้เข้าใจอย่างใกล้ชิดถึงคนคนนึงที่แตกต่างจากผมอย่างมาก ผมอยู่ภายใต้ความกดดันเพราะผมพยายามที่จะคิดว่ามันจะเป็นยังไงนะถ้าผมจะสามารถมีใจให้กับนักแสดงหญิงหรือรุ่นพี่ที่เหมือนกับเธอคนนี้เป็นเวลา3 เดือน ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์เมโลที่เต็มไปด้วยอารมณ์ที่ลึกซึ้ง ผมไม่อยากจะกลายเป็นคนอื่นไปเลยเพื่ออยู่ในผลงานของเธอครั้งนี้หรือเพื่อทำให้การถ่ายทำแค่เสร็จสิ้นไป มันเป็นความกดดันทางอารมณ์ความรู้สึก แต่ครั้งนี้เป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดที่ผมได้รับจากการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ครับ

ดูเหมือนว่านี่เป็นครั้งแรกที่คุณจะต้องสวมบทบาทในการจำลองภาพความรักในแบบผู้ใหญ่ มีความกดดันรึเปล่าคะเกี่ยวกับระดับของการแสดงออกว่าควรจะมากน้อยแค่ไหน?
ฉากบนเตียงมีความยากมากกว่าฉากแอคชั่นครับ มันยากมากเพราะมันกินพลังงานมากและเราต้องดูเป็นธรรมชาติในการที่จะเข้ากันได้เป็นอย่างดีทั้งบทพูดและด้วยเทคนิคต่างๆซึ่งก็เหมือนฉากแอคชั่นที่เราจะต้องมีการซ้อมก่อนครับ โดยอนนูน่าเป็นผู้จะต้องเข้าฉากกับผมเธอจะเป็นคู่หูของผมและเพราะผมสามารถรู้สึกถึงความไว้ใจที่เธอมีต่อผมผมต้องทำให้การถ่ายทำออกมาอย่างถูกต้อง ผมว่ามันเป็นความตึงเครียดที่ดีร่วมกันที่เราต่างก็ได้รับและต่างก็มอบให้กันและกัน การแสดงไม่ใช่อะไรที่คุณจะสามารถทำได้ด้วยตัวของคุณเองทั้งหมด ดังนั้นผมจึงเชื่อในความงดงามที่มันมาด้วยความบังเอิญ เมื่อนักแสดงมีวิธีมีทางของตัวเองที่จะดึงเอาพลังงานดีๆจากกันและกันออกมาได้ มันจะกลายเป็นความสวยงามยิ่งขึ้นไปอีก และนี่คือสิ่งที่ผมคิดครับนี่เป็นมุมมองกว้างๆของภาพยนตร์ที่ผมได้ดู ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงโดยผมเอง

ฉันรู้มาว่าคุณเป็นแฟนกีฬาเบสบอล ถ้าหากสมมุติคุณได้เป็นนักกีฬาเบสบอล ชีวิตของนักกีฬาเบสบอลคนไหนที่คุณอยากจะใช้ชีวิตเป็นเค้าคะ?
นี่เป็นคำถามที่ยากที่สุดที่ผมได้ยินมาในวันนี้เลยนะครับ (ยิ้ม) คุณพ่อผมเป็นนักกีฬาเบสบอลครับตอนนี้เป็นโค้ชแล้ว ในตอนที่ผมอยู่ชั้นประถม มักจะมีญาติของคุณพ่อมาที่บ้านเราแล้วมักจะคว้าข้อมือของผมไม่ก็จับไหล่ของผมและจะพูดว่า "เธอเป็นตัวขว้าง เป็นตัวขว้าง (พิชเชอร์)" พูดตามตรงนะครับ พิชเชอร์นั้นมีความคล้ายกับนักแสดงมาก เค้าจะเป็นคนได้รับความเด่นในสนาม เค้าใช้เวลาอย่างมากในการโอดครวญต่อสู้ในการต่อสู้ที่โดดเดี่ยว ดังนั้นนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้พิชเชอร์เป็นตำแหน่งที่ยอดเยี่ยมและทุกคนต่างก็ส่งกำลังใจให้เค้าไม่ให้เค้าล้มพับไป เมื่อช่วงทำแต้ม(อินนิ่ง)จบลงและเค้ากลับเข้ามาทุกคนจะให้กำลังใจเค้าโดยการตบไหล่เค้าเสมอ ยังไงก็ตาม ผมเป็นนักแสดงมา 15 ปีแล้วและผมคิดว่ามันคงจะดีที่จะได้ไปอยู่ในสนามและช่วยสนับสนุนให้กำลังใจพิชเชอร์ครับ ในฐานะนักแสดงผมได้รับความช่วยเหลือจากทีมงานรอบตัวผมเสมอ เอาละครับผมต้องการที่จะช่วยพวกเค้าจากตำแหน่งที่ต่างไปบ้าง ด้วยใจที่เต็มไปด้วยความหวังว่าจะสามารถหายเป็นปกติได้อย่างรวดเร็วเพราะตอนนี้เค้ากำลังบาดเจ็บอยู่ครับ ผมเลือกที่จะใช้ชีวิตของคุณ Kang Hung Ho จากทีม  Pittsburgh Pirates ครับ



                                                          จอนโดยอน

พวกคุณพูดเกี่ยวกับการถ่ายแบบในวันนี้ว่า "ฉันหวังว่าเราจะไม่ดูเหมือนคู่รักจนเกินไปนะคะ" ฉันสงสัยว่าเราจะจำลองภาพความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงที่สบายๆเท่ๆออกมายังไงดีนะ ฉันคิดว่ามันคงดีกว่าที่จะทำให้ดูเหมือนเพื่อนมากกว่าคู่รักที่ชอบทำตัวติดกันแบบแยกไม่ออก

ยังไงก็ตามแต่ เรารู้มาว่าคุณกับกงยู แสดงเป็นคู่รักที่ทำตัวติดกันในภาพยนตร์เรื่อง  “A Man and A Woman”นะคะ
ค่ะ ภาพยนตร์จะมีการเปิดตัวในช่วงต้นปีหน้า แต่โปรเจคนี้เป็นโปรเจคที่มีการเขียนบทเอาไว้นานมาแล้วค่ะ ฉันได้รับบทนี้ตั้งแต่ในตอนที่ฉันถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “The Housemaid” (2010) ฉันชอบมันและตอบกลับไปว่าฉันต้องการจะทำนะคะ แต่ก็ต้องปฏิเสธไปเพราะตารางการงานของฉันกับตารางการถ่ายทำไม่ลงตัวและมีอะไรหลายอย่างที่จะต้องทำ แต่ทาง CEO ของบริษัท Spring Productions คุณ Oh Jung Wan ได้พูดว่า "ภาพยนตร์เรื่องนี้จะไม่มีการถ่ายทำถ้าไม่มีคุณครับ" ดังนั้นเลยจบลงที่ว่าฉันจำเป็นจะต้องรับแสดงอย่างไม่มีทางเลือก ฉันรู้สึกว่าฉันจะต้องทำงานนี้ค่ะ ฉันเคยทำงานกับทางผู้กำกับ Lee Yoon Ki ในเรื่อง “My Dear Enemy” ผู้กำกับคนนี้เป็นคนที่"นิ่ง"แต่เค้ารู้ว่าจะจัดการกับความรู้สึกยังไง ดังนั้นฉันเกิดอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาว่า "ความนิ่ง"ของเค้าจะสร้างอิทธิพลยังไงให้กับภาพยนตร์เรื่อง “A Man and A Woman”.

คุณไม่ใช่คนนิ่งๆเลยนะคะ
เป็นเพราะฉันไม่ใช่คนนิ่งเลย ดังนั้นแง่มุมความนิ่งของบุคคลิกของผู้กำกับจึงมีอิทธิพลต่อฉันค่ะ เมื่อผู้กำกับได้เจอกับนักแสดงที่มีความสดใสต่างจากความนิ่งขรึมของเค้า มันจะมีส่วนประกอบเสริมที่สร้างผลกระทบต่อการกำกับของเค้า ทั้งนักแสดงและผู้กำกับต่างก็มีอิทธิพลซึ่งกันและกัน เมื่อพูดถึงการสวมบทบาทเราจะต้องเปลี่ยนเป็นตัวละครนั้น เรื่องของมุมมองว่าอยากให้ออกมาเป็นแนวไหนเป็นเรื่องปกติที่จะต้องคิดแต่ในเรื่องนี้ก็เหมือนกับต้องไว้ใจในตัวฉันด้วย ว่าฉันสามารถมองเห็นอะไรในตัวละครในมุมมองที่แตกต่างไปไม๊และฉันสามารถบรรยายเรื่องราวนั้นออกมาในแบบใหม่ๆได้ไม๊ ซึ่ง นี่คือการสวมบทบาทและเปลี่ยนเป็นตัวละครนั้นๆค่ะ 

คุณพูดถึงภาพยนตร์เรื่อง  “Secret Sunshine” และ “Happy End” ว่าเป็นภาพยนตร์ที่ทำให้ความเป็นนักแสดงของคุณก้าวกระโดดไปอีกขั้น แล้วภาพยนตร์เรื่อง A Man and A woman นี้คืออะไรสำหรับคุณคะ?
“A Man and A Woman” เป็นความท้าทายสำหรับฉันค่ะ เป็นความท้าทายที่ควรลองสำหรับฉันในวัยนี้? (ยิ้ม) พูดตามตรงนะคะ ฉันรู้สึกว่ายังมีเรื่องราวส่วนขยายมากกว่านี้ที่ฉันอยากจะเล่าออกไป เรื่องราวที่เกี่ยวกับความรู้สึกอยากจะรักและอยากถูกรัก มันย่อมมีช่วงเวลาที่คุณอยากจะรักและช่วงเวลาที่คุณอยากจะเป็นผู้ถูกรักไม่ใช่เหรอคะ? ฉันคิดว่านี่เป็นมุมมองที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของฉันในฐานะนักแสดงด้วยนะคะ ฉันก็อาจจะมีความใฝ่ฝันจินตนาการของตัวเองเหมือนกันต่อสถานการณ์ที่ฉันไม่เคยจะประสบมาก่อนในชีวิตจริงหรือฉันก็อาจจะมีความใฝ่ฝันในบทบาทที่ฉันยังไม่เคยแสดงมาก่อน เมื่อมีการถ่ายทำภาพยนตร์เกิดขึ้น ความใฝ่ฝันจินตนาการเหล่านั้นมันก็ใกล้เคียงกับความเป็นจริงขึ้นมา อย่างในตอนที่ฉันอ่านบทภาพยนตร์เรื่องนี้ฉันมีความตื่นเต้นและมีความรู้สึก"หัวใจเต้น"จริงๆ

มีนักแสดงหญิงในวงการฮอลลีวู้ดบางคน บ่นมาว่าในช่วงระยะหลังนี้บทบาทของนักแสดงหญิงนั้นลดลงไปมาก รู้สึกว่าความคับข้องใจในเรื่องนี้ในวงการบันเทิงประเทศเกาหลีก็เป็นปัญหาที่ไม่เล็กเหมือนกันนะคะ
สถานการณ์แบบนี้มันดำเนินมาได้พักใหญ่แล้วนะคะ ในตอนที่ฉันได้ยินว่าในวงการฮอลลีวู้ดมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ฉันคิดว่า "ปัญหานี้ไม่ได้มีแค่เฉพาะในวงการอุตสาหกรรมภาพยนตร์เกาหลีเท่านั้นสินะ" แต่ก็อีกแหละค่ะในใจฉันก็คิดอิจฉาพวกเค้าอยู่นะว่า"แต่ถึงยังไง"พวกเค้าก็มีโอกาสมีตัวเลือกที่กว้างกว่าทางเราอยู่ไม่ใช่เหรอ??  อย่างในเร็วๆนี้ ฉันอิจฉา Charlize Theron มากเลยในขณะที่ฉันดูภาพยนตร์เรื่อง  “Mad Max: Road of Fury” พวกเค้าไม่ทำภาพยนตร์แบบนี้ในเกาหลีหรอกนะคะ จำนวนเรื่องราวที่นักแสดงหญิงจะสามารถบอกเล่าได้ จำนวนภาพยนตร์ที่เป็นแบบนั้นมันน้อยมากๆ แต่ฉันก็คิดนะคะว่ายังมีบทบาทที่จะสามารถเป็นบทบาทในยุคเจริญรุ่งเรืองได้อยู่ ถึงแม้ว่ามันจะสามารถส่องแสงประกายแค่ในกลุ่มเล็กๆก็ตาม

ความสำเร็จและความรุ่งเรืองของคุณนั้นถูกจารึกเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วนี่คะอะไรที่คอยมอบพลังให้กับคุณในการที่จะคอยกระตุ้นตัวเองให้อยู่ตรงนั้นอยู่เสมอคะ?                                   
ฉันคิดว่า แรงจูงใจฉันอย่างแรกเลยคือความรักและหลงใหลในงานนี้ค่ะ มันเป็นความรักที่ไม่มีวันหมด มันไม่ใช่การเติมเต็มในสิ่งที่ฉันขาดไปหรอกเหรอ?? มันไม่ใช่สิ่งที่ฉันลงมือทำเพื่อให้ตัวเองมีอะไรทำหรอกเหรอ??

ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหน ชื่อเล่น "ราชินีแห่งเมืองคานซ์" ก็ติดอยู่กับชื่อของคุณเสมอ มันทำให้รู้สึกยังไงคะ?
ฉันชินกับมันแล้วละค่ะตอนนี้แต่เคยรู้สึกอึดอัดกับมันอยู่ค่ะ เหมือนกับฉันได้ก้าวพ้นอะไรบางอย่างมาได้แล้ว ฉันคิดว่าฉันสร้างความสบายใจอยู่กับมันได้แล้วและฉันก็มองไปข้างหน้าเพื่อสิ่งที่ฉันอยากจะทำต่อไปค่ะ เมื่อเช้าระหว่างทางมาที่นี่ ฉันคุยโทรศัพท์กับคุณ Yoon Yeo Jung ที่ฉันไม่ได้เจอมานาน เธอบอกกับฉันว่า "ใช่เลยนั่นเป็นเหตุผลที่เธอต้องจัดการกำจัดคำว่า"ราชินีเมืองคานซ์"ออกไปให้เร็วที่สุด ฉันบอกกับเธอว่า"ฉันอยากจะกำจัดมันออกไปนะ งั้นคงต้องได้รับรางวัลออสการ์แทนงั้นเหรอ??" และเธอก็ตอบมาว่า "ก็นะ เธอพูดภาษาอังกฤษได้นี่นา ฉันหวังว่าเธอจะได้ทำงานที่ไหนซักแห่งอย่างฮ่องกงแล้วได้รับ ชื่อเล่นว่า "ราชินีแห่งเอเซีย" มาแทนจะดีกว่า แล้วนี่ก็ทำให้ฉันหัวเราะและยิ้มได้มาตั้งแต่เช้าละค่ะ ยังไงก็ตามรางวัลของฉันก็ถูกลืมไปแล้ว แต่เรื่องราวทั้งหมดที่ว่า ฉันเป็น"ผู้หญิงที่คานซ์รัก" กลายเป็นเรื่องพูดคุยไปทั้งเมืองอีกแล้วเพราะฉันถูกเชิญให้ไปเป็นส่วนหนึ่งของผู้ตัดสินใจในครั้งนี้ (ยิ้ม)

ก็เพราะมันเป็นเรื่องจริงนะคะที่ว่าคุณได้รับความรักจากคานซ์มากจริงๆ
ฉันว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยบกับได้รับความนับถือมากกว่าค่ะ เวลาที่ฉันเดินทางไปเมืองคานซ์ ฉันจะมีความคิดว่า "ฉันถูกนับถือในฐานะที่เป็นนักแสดง" ซึ่งฉันรู้สึกขอบคุณมากจริงๆค่ะ

ถ้าให้สรุปเป็นคำพูดของคุณเอง ภาพยนตร์เรื่อง “A Mand and A Woman” เรื่องราวความรักในแบบไหนคะ?
มันเป็นเรื่องราวที่เหมือนกับเรื่องในจินตนาการเป็นจริงขึ้นมา แต่มันเป็นเรื่องรักในชีวิตจริงที่มีรสชาติขม ดูเหมือนว่าตอนจบที่สมหวังนั้นไม่มีอยู่จริงเลยเมื่อพูดถึงเรื่องความรัก


source: W Korea
English Translation: thesunnytown – thesunnytown.wordpress.com
Thai translation : miss mew

วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2560

สัมภาษณ์กงยู BE MINE (เป็นของฉันเถอะ) จากนิตยสาร Elle ฉบับ ตุลาคม 2015


ฉันจะถามคำถามที่คุณต้องตอบแบบตรงไปตรงมานะคะ จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับ 
"ช่วงเวลาที่ผู้หญิงจะรักผู้ชายซักคนนึง"

ก่อนอื่นเลย "การทำอาหาร" ซึ่งช่วงนี้กำลังมาแรงเลย คุณเป็น “yoseknam” รึเปล่าคะ?? 
[ yoseknam คือ คำใช้เรียก ผู้ชายเซ็กซี่ที่สามารถทำอาหารได้ ]?
ครับ ผมชอบทำอาหารครับ  ไม่ใช่อะไรที่ยิ่งใหญ่แบบการทำอาหารฝรั่งเคสหรืออิตาเลี่ยนหรอกนะครับ แต่อย่างถ้ามีการถ่ายทำภาพยนตร์กันในสถานที่ที่อยู่ในแถบชนบท ผมมักจะแชร์ที่พักกับผู้จัดการอยู่แล้วเป็นเวลา2-3เดือน ในช่วงเวลาแบบนั้นผมมักจะทำอาหารทานเองแทนที่จะออกไปทานข้างนอกครับ นอกจากนี้ผมยังมีความสุขในกระบวนการที่ได้ลงมือทำและทำให้คนอื่นได้ทานด้วย ผมได้ดูรายการโทรทัศน์และลองทำตามทุกเมนูของ เชฟ Baek Jong Won มาแล้วนะครับ มีเมนูที่เหมาะกับจะทานคู่แอลกฮอล์กกับพวกกับแกล้มหลายเมนูทีเดียวครับ

ต่อไป "การขับรถ" คุณเป็นคนขับรถสไตล์ไหนคะ? 
ผมชอบรถและชอบการขับรถครับ สไตล์การขับรถของผมจะเปลี่ยนไปตามสไตล์ของรถที่ผมขับเหมือนกับว่าวิธีการพูดหรือการวางตัวของคุณจะเปลี่ยนแปลงตามสไตล์เสื้อผ้าที่สวมใส่แบบนั้นแหละครับ ถ้าเป็นพวกรถสปอร์ต ผมแทบจะไม่รู้ตัวเลยว่าได้เหยียบคันเร่งหนักไปรึเปล่า? แต่ถ้าเป็นรถที่ใช้ขับขี่ในเมืองพวก city car สไตล์การขับรถของผมก็จะเปลี่ยนเป็นแบบนุ่มนวลครับ

กีฬาละคะ??
กีฬาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผมครับ ผมชอบดูเบสบอลเหมือนกัน

แฟนเบสบอลจะรู้ถึงความสุขและความเศร้าในช่วงฤดูกาลแข่งขันดีนะคะ
ครับ ผมตะโกน ผมขนลุกในขณะที่ดูเทปการแข่งขัน แฟนๆเบสบอลทุกคนเป็นเหมือนกันหมดละครับ ผมชอบกีฬาทุกชนิดที่ใช้บอลเล่นครับผมชอบดูทุกประเภทเลย

แล้วเกมส์การรักษาความงามของคุณก็เข้มข้นด้วยไม๊คะ?? ดูเหมือนหน้าคุณไม่ได้เปลี่ยนไปเลยจากช่วงที่แสดงในละครเรื่อง“Coffee Prince” 
ผมพยายามจะทำพวกพื้นฐานนะครับ ผมใช้สกินโลชั่นของบอดี้ช้อปแล้วถ้าเกิดว่าสิวยังขึ้นอยู่อีก ก็จะใช้  tea tree oil ซึ่งผลออกมาน่าทึ่งมากๆครับจนผมเองยังสงสัยเลย คุณแม่ของผมก็ชอบใช้ผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม “drops of youth” มากๆแล้วคุณแม่ก็ดูสาวขึ้นด้วยครับ ( 5555 ) นอกจากนี้ผมยังไปหาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางผิวหนังอาทิตย์ละหนึ่งครั้ง พูดตามตรงนะครับ การจะต้องไปนอนให้ดูแลผิวหน้าแบบนั้นมันลำบากครับ แต่ผมตระหนักได้ว่าผมจำเป็นต้องทำในสิ่งที่ดีต่อผม เพราะตัวเองอายุก็มากขึ้นแล้วครับ


เพลงที่ติดอยู่ในหูช่วงนี้คือเพลงอะไรคะ??
พูดตามตรงนะครับ ในตอนที่อายุอยู่ในช่วงวัย 20 ผมจะคอยหาเพลงใหม่ๆมาฟังตลอดและจะรู้สึกเหนือกว่านะครับถ้าคนอื่นไม่รู้จักเพลงที่ผมรู้จัก จะแบบ "พวกนายไม่รู้จักเพลงนี้เหรอ??" แต่ช่วงนี้ผมฟังเพลงของวงHyukohครับ น่าเศร้ามากที่พวกเค้าเริ่มเป็นที่โด่งดังมากๆตั้งแต่ไปออกรายการ "Infinite Chanllenge" 

มันมีอยู่จริงๆด้วย กับอาการทางจิตใจที่ว่า "ฉันอยากจะเป็นคนเดียวที่รู้" 
คุณพูดถูกครับ ศิลปินที่ผมฟังเยอะมากที่สุดในตอนนี้คือ Honne เวลาที่ผมนั่งดื่ม ผมก็จะฟัง ผมเอาเพลงใส่ไว้ในโทรศัพท์แล้วในรถจะมี Holderเอาไว้เสียบโทรศัพท์ เวลาขับรถแล้วฝนตก เพลงของวงนี้จะเข้ามาในใจของผมและผมก็จะเปิดฟังครับ 

มันไพเราะมากนะคะ และการที่ฟังโดยใช้หูฟังก็จะยิ่งทำให้มันเพราะขึ้นไปอีก
จริงครับ คุณต้องลองฟังด้วยตัวเอง


เอาละคะตอนนี้มาถึงการถามตอบอย่างรวดเร็ว ช่วยเลือกเพียงตัวเลือกเดียว แล้วก็ต้องตอบตรงไปตรงมาด้วยนะคะ เริ่มเลย

แกงกิมจิ vs. พาสต้า
แกงกิมจิครับ

โซจู vs. เบียร์ …แต่ทำไมฉันรู้สึกว่าคุณจะตอบ somaek  [โซจู+เบียร์] ก็ไม่รู้
ผมดื่ม somaek เยอะครับ มันสดชื่นดีนะครับสำหรับการดื่มรอบแรกแต่หลังจากนั้น ผมจะดื่มโซจูครับ เอาจริงๆคำถามนี้มันยากนะครับ เหมือนถามว่า "คุณชอบคุณพ่อหรือคุณแม่มากกว่า" อืมม ยังคงตอบว่าโซจูครับ เบียร์ยังเอาผมไม่อยู่ครับ มันน่ารำคาญนะครับที่จะต้องเดินไปเข้าห้องน้ำบ่อยๆ

คุณคิดยังไงกับโซจูที่มีรสผลไม้ออกมาซึ่งตอนนี้กำลังฮิตเลย ?
โอ้ววว, ผมดื่มไม่ได้แน่ครับ รสชาติต้องพิลึกแน่ๆ แต่ผมคิดนะครับว่าแอลกออล์กแบบนี้ยิ่งอันตรายรึเปล่า? คุณต้องระวังมากเลยเวลาที่ดื่มไม่งั้นละก็อาจจะถึงขั้นลุกไม่ขึ้นเดินไม่ได้นะครับ

Americano vs. latte
Americano ครับ แต่ก็มีที่ที่ทำลาเต้อร่อยมากเป็นพิเศษด้วย ถ้าเป็นลาเต้ต้องเป็นลาเต้ที่มาจากที่แบบนั้นครับ 

ชุดออกกำลังกาย vs. สูท
ชุดออกกำลังกายครับ

รถเก๋ง vs. มอเตอร์ไซด์
รถเก๋งครับ มอเตอร์ไซด์อันตรายครับ เป็นคำบอกจากคุณพ่อผมครับ  

เพลงเกาหลี vs. เพลงป็อป
อืมม ผมชอบเพลงเกาหลีรุ่นก่อนครับ อย่าง เพลงของคุณ Lee Seung Hwan, Lee Moon Se, Yoo Jae Ha… แต่ว่าท่ามกลางนักดนตรีรุ่นใหม่นี้ ผมคิดว่าGD กับ IU มีความไพเราะจับใจมากจริงๆครับ พวกเค้าเท่มากๆด้วย แต่ยังไงก็ตามหลังจากที่ดื่มไปแล้วเพลงที่ผมเปิดฟังก็จะเป็นเพลงจากยุค70’s, 80’s, 90’s.อยู่ดี นี่ผมเริ่มแก่แล้วจริงๆ ใช่ไม๊ครับ

source:https://thesunnytown.wordpress.com
Thai Translation by miss_mew

วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2560

กงยู : เราต้องการจะแสดงให้เห็นว่ามนุษย์เราสามารถน่ากลัวได้แค่ไหนไม่ใช่ซอมบี้



เป็นความคิดที่น่าสนใจว่าไม๊ครับ ว่าการเกณฑ์ทหารจะส่งผลกระทบอะไรต่อฮอลลีวู้ดและดารานักแสดงดาวรุ่งที่มีแววจะได้เป็นนักแสดงนำในวันพรุ่งนี้บ้าง "ไม่มี Star Trek Beyond ให้คุณแสดงหรอกนะ  Anton Yelchin!” ไม่มีข้อแม้ๆทั้งนั้น  “เอาละเราจะหยุดตรงนี้ละนะในแง่มุมของ X-Men ไม่จ้างหรอก Nicholas Hoult!” ความหวังและความฝันของคุณล่มสลายลงไปแบบนั้นเลย หรือไม่ก็จะต้องหยุดเอาไว้ก่อน 1-2 ปีถ้าคุณโชคดีที่จะกลับมาได้ละนะ

เช่นเดียวกับชะตากรรมของพลเมืองชายที่เกาหลีใต้ กงยูได้เข้ารับใช้ชาติอยู่ในกรมทหารในช่วงปลายอายุ 20 ของเค้าในช่วงที่อยู่บนจุดสูงสุดของความโด่งดังในปี 2007  ในตอนนั้นละครทางโทรทัศน์  The 1st Shop of Coffee Prince ได้รับความโด่งดังมากและทำให้นายแบบที่ผันมาเป็นนักแสดงได้กลายเป็นนักแสดงชื่อดังเต็มตัว อีกทั้งความต้องการในตัวเค้าไปไกลถึงต่างประเทศน้อมรับกระแสนักแสดง “Hallyu” และเป็นส่วนหนึ่งใน “The Korean Wave,” ที่หมายถึงการเผยแพร่วัฒนธรรมเกาหลีออกไปทั่วโลกในช่วงปี 90 เป็นต้นมา

ระยะเวลา 2 ปีฟังเหมือนโทษประหารสำหรับวงการบันเทิงแต่ถึงแม้ว่าผลงานจะดูเบาบาง แต่กงยูได้กลับมาอย่างประสบความสำเร็จ และก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เค้ากลับมาอย่างแข็งแกร่งจากกรมทหาร เช่นเดียวกับสีสันในการเป็นศิลปินของเค้าก็เพิ่มมากขึ้น ครั้งนึงที่เรารู้จักเค้าจากละครโรแมนติกคอมเมดี้ เราได้เห็นกงยูรับแสดงภาพยนตร์ Silenced (2011), ภาพยนตร์สุดอื้อฉาวที่สร้างมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เรื่องราวที่นักเรียนหูหนวกถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยคุณครูที่โรงเรียนสำหรับผู้ที่มีความบกพร่องทางการได้ยินแห่งหนึ่งในเกาหลีใต้ ในช่วงปี2000 นอกจากนี้เค้ายังขยับเลื่อนขั้นอีกเล็กน้อยรับบทเป็นสายลับจากเกาหลีเหนือในภาพยนตร์เรื่อง Suspect (2013).

ในปีนี้ คานซ์ได้เปิดตัวภาพยนตร์ในรอบเที่ยงคืนเป็นภาพยนตร์ของผู้กำกับ  Yeon-Sang Ho เรื่อง Train to Busan ซึ่งในเรื่องนี้กงยู ต้องติดอยู่บนรถไฟ  KTX (รถไฟความเร็วสูงของประเทศเกาหลีใต้) และต้องเจอกับการล้างโลกโดยซอมบี้  ในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ กงยูจะหวนคืนสู่วงการโทรทัศน์หลังจากที่แห่งหายไปกว่า 4 ปี ด้วยละครเรื่อง โทแกบี (Goblin) เรื่องเล่าในตำนานเกี่ยวกับ ก็อบลินและยมทูตที่ทำงานร่วมกันเพื่อช่วยให้คนตายได้ผ่านไปยังโลกหน้า 

ที่คานซ์เราได้ขโมยตัว กงยู มานั่งคุยกันสั้นๆหลังจากที่ Train to Busan มีรอบปฐมทัศน์ไปที่คานซ์
(เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานซ์ ครั้งที่69จัดขึ้นระหว่างวันที่ 11-22 พฤษภาคม)

คุณได้รับผลตอบรับที่กระตือรือร้นอย่างไม่น่าเชื่อเลยนะครับ นี่เป็นปีที่5แล้วของผมที่คานซ์และผมไม่เคยประสบกับอะไรที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เลย เป็นครั้งแรกของคุณที่ได้เห็นภาพยนตร์ในแบบที่ตัดต่อเสร็จสมบูรณ์แบบนี้ด้วยไม๊ครับ?
ใช่ครับ พูดตามตรงนะครับผมกังวลนิดๆในตอนเริ่มแรกครับเพราะนี่เป็นภาพยนตร์แอคชั่นที่ใช้คนจริงๆแสดงเป็นเรื่องแรกของผู้กำกับ Yeon-Sang Ho แต่ก่อนที่เราจะเริ่มการถ่ายทำ เราได้แบ่งปันพูดคุยเกี่ยวกับความตั้งใจที่จะฝังเอาข้อความสำคัญแฝงลงไปในเนื้อเรื่องของภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับซอมบี้ซึ่งเพราะเนื้อหาแฝงนี้ทำให้ผมพอใจอย่างมากครับ ผมไม่รู้ว่าคุณรู้สึกได้ถึงข้อความนั้นรึเปล่าเวลาที่ได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่ว่ามนุษย์เรานั้นน่ากลัวกว่าผีดิบซะอีก

ผมคิดว่าเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวที่สุดในโลกแล้วครับ ซึ่งผมยิ่งมั่นใจขึ้นทุกวันๆ
เราต้องการที่จะสื่อสารข้อความนี้ออกไปครับ เราต้องการจะแสดงให้เห็นว่า คนเราสามารถที่จะน่ากลัวได้แค่ไหน ไม่ใช่พวกซอมบี้



ในทุกความรู้สึกที่จับต้องได้ Train to Busan  ถือว่าเป็นภาพยนตร์ในแนวระทึกขวัญ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นภาพยนตร์ที่เศร้าและซึ้งได้อย่างไม่น่าเชื่อ คุณรู้สึกว่าในการถ่ายทำต้องใช้ความท้าทายทางด้านร่างกายหรืออารมณ์เป็นพิเศษไม๊ครับในเวลาแสดง?
สำหรับผม การแสดงเป็นงานที่ยากอยู่แล้วโดยปกติครับ มันเป็นการที่หนักทั้งทางร่างกายและจิตใจ แต่มันจะเป็นเรื่องที่น่าอายนะครับที่ผมจะยอมรับว่าผมเหนื่อยมากๆในการถ่ายทำ เพราะ นักแสดงที่สวมบทบาทเป็นซอมบี้นั้นทำงานหนักมากจริงๆ ผมจึงไม่อาจจะปริปากบ่นถึงสิ่งที่ผมต้องเผชิญมาได้เพราะสิ่งที่พวกเค้าคาดหวังจากนักแสดงที่เป็นซอมบี้ในทางร่างกายต้องแข็งแกร่งกว่ามากครับสิ่งที่เค้าต้องทำให้สำเร็จนั้นมีมากมายครับ

ผ่านมาช่วงนึงแล้วนะครับตั้งแต่มีการปิดกล้องและจบการถ่ายทำไป ผมเข้าใจว่าการที่ได้มาดูภาพยนตร์เมื่อคืนนี้ ได้เรียกคืนความทรงจำมากมายเกี่ยวกับการถ่ายทำให้ย้อนกลับมาแน่ๆ คุณพอจะแบ่งปันเรื่องราวความทรงจำเหล่านั้นซักเรื่องนึงกับพวกเราได้ไม๊ครับ
คือภาพยนตร์เป็นเรื่องราวที่แต่งขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดใช่ไม๊ครับ แต่มีช่วงเวลาที่ผมรู้สึกกลัวจริงๆครับ เวลาที่คุณตั้งสมาธิไปกับความหวาดกลัวในขณะที่กำลังสวมบทบาท ในพื้นที่จำกัดอย่างบนรถไฟ และจู่ๆมีซอมบี้มาจับแขนคุณ มันน่ากลัวครับ มันเป็นเหมือนการแกล้งกันเล่นก็จริงแต่ ความรู้สึกและการแสดงออกทางสีหน้าของผมตอนนั้นเป็นของจริงครับ 

คุณใช้เวลาส่วนใหญ่ในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้หนีเอาตัวรอด ซึ่งผมรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันสมจริงมากจริงๆ
ผมวิ่งแบบหนีนรกตลอดทั้งเรื่องครับและผมไม่ต้องแกล้งทำด้วย (หัวเราะ) ผมกลัวจริงๆ (หัวเราะ) แม้ตอนที่เราไม่ได้มีการถ่ายทำ ผมก็จะไม่ไปเข้าใกล้นักแสดงที่แมคอัพแต่งหน้าเป็นซอมบี้ครับ

Yeon-Sang Ho เป็นผู้กำกับที่มาจากวงการ อานิเมชั่นและเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์แอคชั่นเรื่องแรกของเค้าเหมือนที่คุณกล่าวไปเมื่อครู่ อะไรที่คุณสังเกตได้จากเค้าในฐานะผู้กำกับและในฐานะคนคนนึงครับ?
ถ้าคุณกำลังจะทำงานที่มีแนวที่เกี่ยวกับผีดิบซอมบี้ ซึ่งเป็นแนวที่ไม่ค่อยมีการสร้างในระดับภาพยนตร์ในเกาหลีใต้มาก่อน คุณจำเป็นต้องมีความมั่นใจที่จะมองมันให้ออก ซึ่งผมมองเห็นความมั่นใจนี้ในตัวของคุณ Yeon-Sang Ho ครับ ผมมั่นใจว่าเค้าจะต้องสร้างภาพยนตร์ให้ยอดเยี่ยมได้ตั้งแต่เค้าเริ่มต้น นอกจากนี้เค้ายังมีความสามารถในการที่จะทำให้นักแสดงหัวเราะ ซึ่งนั่นสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายให้เกิดขึ้นครับ 

คุณอยู่ในวงการนี้มาก็ชั่วระยะหนึ่งแล้วและก็ลองสำรวจมาก็มาก ในตอนนี้อะไรที่จะทำให้คุณตื่นเต้นได้ครับ?  
ผมมองไปที่ป่าที่กว้างไกลไม่ใช่หมายตาไปที่ต้นไม้เพียงต้นเดียวครับ

เจ้าบทเจ้ากลอนเลยนะครับ แปลง่ายๆคือ คุณมองไปที่ภาพรวมมากกว่า 
ถูกต้องครับ หากว่ามีป่าที่มองไปแล้วเป็นวิวที่สวยงาม ผมก็ยินดีที่จะลงไปสำรวจมันครับ

source: http://anthemmagazine.com
Text By Kee Chang Photo By Victoria Stevens
Thai Translation by miss mew




วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2560

สัมภาษณ์ กงยู จากนิตยสาร Star 1 ฉบับ กรกฏาคม 2016


คงเลี่ยงที่จะไม่พูดถึงเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานซ์ไม่ได้นะคะ คุณได้พักบ้างรึเปล่าคะ?
ระยะเวลางานสั้นมากครับและตารางงานก็ค่อนข้างยุ่งเลยทีเดียว แต่ผมก็รู้สึกมีความสุขจริงๆครับ ตอนนี้ผมกลับมาอยู่ที่เกาหลีแล้วผมคิดว่าผมอยากจะกลับไปนะครับ มันให้ความรู้สึกเหมือนผมได้อยู่ในความฝันอันสวยงามในช่วงเวลาสั้นๆครับ (หัวเราะ)

คุณไม่ได้ตั้งใจจะไปเพื่อพิชิตชัยชนะใดๆแต่รอยยิ้มกว้างที่จริงใจของคุณกลับเป็นสิ่งที่ดึงความสนใจมากนะคะ
(หัวเราะ) คุณจะหมายความว่ารอยยิ้มของผมก่อนหน้านี้ดูหลอกๆเหรอครับ? (หัวเราะ) พูดตรงๆนะครับ  “Train To Busan” ไม่ได้มีเพื่อไปแข่งขันครับ ครั้งแรกที่ผมได้ยินว่าเราจะไปเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานซ์กัน ปฏิกริยาแรกของผมคือ " เค้าว่าเราได้ไปคานซ์เหรอ จริงเหรอเนี่ย??" ดังนั้นผมเลยตั้งใจเอาไว้ว่าจะแค่ไปเพื่อสนุกกับการเที่ยวงานเทศกาลก็แล้วกัน แต่พอไปถึงมันกลับตรงกันข้ามกับที่ผมคิดเอาไว้ครับ สื่อต่างประเทศที่นั่นต่างก็ต้อนรับเราอย่างดีและเราก็ต้องเดินทางไปในสถานที่ที่มีคนเยอะมากซึ่งทำเอาจู่ๆผมก็เกิดเครียดขึ้นมา แน่นอนว่ามันเป็นงานอย่างเป็นทางการครับดังนั้นผมก็ทำในสิ่งที่ผมถูกบอกกล่าวมาให้ทำแต่ความจริงที่ว่าผมยิ้มเยอะมากๆเป็นเพราะผมรู้สึกมีความสุขมากๆครับ เป็นครั้งแรกของผมที่ได้มาประสบกับเหตุการณ์อะไรแบบนี้ตั้งแต่ผมเดบิวต์มาครับ 

พิจารณาจากตอนที่คุณไปอยู่ที่ต่างประเทศ คุณรู้สึกว่าบรรยากาศแตกต่างไปจากตอนที่คุณอยู่ในประเทศเกาหลีบ้างไม๊คะ ?
คุณพูดถูกครับ ผมไม่ใช่นักแสดงที่เดินพรมแดงมาแล้วมากมายขนาดที่เกาหลีก็ไม่ค่อยได้ไปเดินครับ ส่วนตัวแล้วงานประกาศรางวัลทำให้ผมรู้สึกไม่สบายใจครับและถึงกับทำให้ผมรู้สึกคลื่นไส้เลยทีเดียว เมื่อเวลาผ่านไปสถานที่ที่ว่านี้ก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกอึดอัดมากขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ยังไงก็ตามผมรู้สึกว่าครั้งนี้ทำให้ผมรู้สึกต่างไปครับ

คุณ Jeon Do Yeon ที่ถูกเรียกว่าเป็น" ราชินีแห่งเมืองคานซ์" เป็นนักแสดงที่อยู่เอเจนซี่เดียวกับคุณ เธอให้คำแนะนำอะไรบ้างไม๊คะ?
ตอนนี้เธอกำลังยุ่งกับการถ่ายทำละครครับดังนั้นเธอจึงยุ่งมากๆและเราไม่สามารถติดต่อกันได้มากเท่าในตอนที่เราถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “A Man and a Woman” ด้วยกัน ดังนั้นนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าเธอไม่ได้บอกอะไรเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานซ์กับผมเลยละครับ เมื่อไม่นานมานี้จู่ๆผมก็ส่งข้อความไปหาเธอแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า " ตอนนี้คุณคงลำบากสินะครับเพราะจำเป็นต้องถ่ายทำในอากาศที่ร้อนระอุแบบนี้" ซึ่งข้อความนี้เป็นข้อความเดียวที่เราติดต่อหากันในช่วงนี้ครับ


คำชื่นชมที่ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมเท่าที่เคยมีมา ถูกกระจายออกมาอย่างรวดเร็วทันทีที่การฉายภาพยนตร์นี้รอบเที่ยงคืนจบลงซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาเกือบตีสองแล้ว ซึ่งคำชื่นชมเหล่านั้นก็ถูกส่งมาถึงที่เกาหลีในช่วงเวลานั้นทันทีเลยด้วย
ทีมงานคงกลัวว่าพวกเราจะรู้สึกผิดหวัง ขนาดว่าภาพยนตร์ยังไม่ได้เริ่มฉาย พวกเค้าก็เอาแต่บอกกับพวกเราว่า " มีนักข่าวที่เข้ามาชมภาพยนตร์ที่ฉายรอบเที่ยงคืนไม่มากหรอกและปฏิกริยาของพวกเค้าก็อาจจะไม่ต้อนรับขับสู้เท่าไหร่นักหรอก"  ดังนั้นผมจึงรู้สึกสงบและบอกกับตัวเองว่า "ไม่ได้จะมาชิงรางวัลอะไรซักหน่อยนี่นา" ซึ่งตอนนั้นเป็นครั้งแรกของผมด้วยที่จะได้ดูภาพยนตร์ในแบบตัดต่อเสร็จเรียบร้อยเป็นผลงานที่สมบูรณ์ ดังนั้นผมจึงรู้สึกอยากรู้ว่าผลงานชิ้นนี้จะออกมาเป็นยังไง

มันเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ที่เราได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นถึงขนาดนี้ซึ่งผมไม่เคยจินตนาการเอาไว้มาก่อนครับ และกับความจริงที่ว่ามีคนบอกว่า"นี่เป็นภาพยนตร์ที่ได้รับปฏิกริยาตอบรับที่ยอดเยี่ยมที่สุด"อีกผมคิดว่าที่พวกเค้าบอกเราแบบนั้นก็เพื่อจะแสดงไมตรีจิตที่ดีเท่านั้นแต่เป็นเพราะผู้คนที่มาชมและผู้สื่อข่าวมากมายต่างก็พูดแบบนี้ซ้ำๆ ผมเลยสรุปเอาเองว่าพวกเค้าหมายความแบบนั้นจริงๆว่าพวกเค้าชอบมันจริงๆ ครับ

แล้วตัวคุณละคะคิดยังไงกับภาพยนตร์เรื่องนี้ที่กำลังจะเข้าฉายในช่วงฤดูร้อนนี้แล้ว ช่วยกล่าวอ้างสรรพคุณซักหน่อยสิคะ
คอมพิวเตอร์กราฟฟิกเป็นสิ่งที่ผมกังวลมากที่สุดเลยครับ ตั้งแต่ที่ได้รับบทมาจนไปถึงท่ามกลางเวลาที่จะต้องถ่ายทำ CG จะเป็นส่วนที่คุณไม่สามารถที่จะมองเห็นได้ก่อน ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าผมกลัวมากๆว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นนะถ้า CG เกิดทำออกมาได้ไม่ดีและผู้คนก็เสียสมาธิกับภาพยนตร์ไปเพราะมัน แม้ว่าเวอร์ชั่นที่เราเอาไปฉายที่เมืองคานซ์จะยังไม่สมบูรณ์แบบที่สุด แต่ผมก็คิดกับตัวเองว่า "ขอบคุณพระเจ้า มันไม่ได้แย่เลย" ซึ่งความกังวลนี้ก็ได้รับการแก้ไขในเนื้อหาบางจุดไปแล้วครับ ในมุมมองของผู้คนมันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ผู้ชมทุกคนมองว่า " มันไม่เห็นมีอะไรที่ดูขาดๆเกินๆเลยนี่" แต่ว่าเรื่องเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ดูจะไม่ได้ส่งผลใหญ่โตใดๆหากผู้คนอินไปกับภาพยนตร์ หากตัวภาพยนตร์ดูไม่ดีจริงๆข้อบกพร่องทั้งหลังจะฟ้องเด่นออกมาก่อนเลยครับ ซึ่งในเรื่องนี้ผมต้องขอบคุณผู้กำกับครับที่สไตล์การกำกับของเค้าคือการปิดจุดบกพร่องเหล่านั้นให้ได้ครับ

ตั้งแต่ ภาพยนตร์เรื่อง “Train To Busan” ถูกเชิญให้เข้าฉายที่งานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานซ์ คุณก็กล่าวว่าคุณได้เห็นด้านใหม่ๆของผู้กำกับด้วย
สไตล์ของผู้กำกับ Yeon Sang Ho คือเค้ามักจะทำตัวพังๆให้คนอื่นหัวเราะครับ แม้แต่อยู่ต่อหน้านักแสดงก็ไม่เว้นครับ เค้าจะเล่นตลกไปทั่วและเป็นเหมือนคนสร้างบรรยากาศดีๆในกองครับ เค้าเป็นผู้กำกับก็จริงแต่เค้าให้ความรู้สึกเหมือนเพื่อนซะมากกว่าซึ่งบางครั้งผมก็เผลอพูดแบบไม่เป็นทางการไปครับ
แล้วก็คุณ Ma dong seok ที่ไม่สามารถที่จะเดินทางไปที่คานซ์กับพวกเราได้ เค้าเป็นคนที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรขึ้นเวลาอยู่ในกองถ่าย พวกเราต่างก็เสียใจเพราะบทของเค้าก็ได้รับปฏิกริยาตอบรับอย่างดีเยี่ยมที่คานซ์ด้วยครับ จนถึงวินาทีที่เราจะต้องออกจากเกาหลีไปผมเอาแต่ส่งข้อความหาเค้า " ฮยองครับ มาไม่ได้เหรอครับ?? ละครไม่สำคัญเท่าไหร่หรอกนะครับ นี่มันเป็นโอกาสครั้งนึงในชีวิตนะครับ" แต่สุดท้ายเค้าก็ไม่สามารถที่จะมาได้ ดังนั้นผมกับคุณ Yumi เลยรับหน้าที่ที่จะสร้างบรรยากาศดีๆแทน ดังนั้นผมจึงรู้สึกมีความสุขมากครับ จริงๆเค้าเป็นตัวนำโชคจริงๆของ “Train To Busan” ก็ว่าได้


เราเห็นคุณเดินเล่นอย่างสบายใจที่ชายหาด ณ เมืองคานซ์กับทีมของภาพยนตร์   “Train To Busan” และทีมงานจากเอเจนซี่ของคุณ ดูคุณสบายใจไร้กังวลและดูกระตือรือร้นมาก
ทันทีที่งานอีเว้นซ์ที่จัดขึ้นอย่างเป็นทางการสิ้นสุด ความเครียดต่างๆก็สลายไปทันทีครับ เรารู้สึกเศร้าที่จะต้องเดินทางกลับเกาหลี ดังนั้นทีมงานทั้งหมดจึงร่วมรับประทานอาหารเย็นด้วยกันและออกไปเดินเล่นตรงทางเดินเลียบชายฝั่ง ผมคิดว่าเราเดินไปจนถึงสถานที่จัดงาน “Korean movie night” จริงๆผมกับคุณ Yumi ไม่ควรจะต้องไปงานนั้นครับแต่หลังจากที่เราทานอาหารค่ำกับผู้กำกับ Yeon Sang Ho เค้าเล่าว่านักแสดงทั้งหมดจากเรื่อง “The Handmaidden” จะมาที่งาน และมันคงจะเหงามากแน่ถ้าเค้าจะไปร่วมงานคนเดียว ดังนั้นผมจึงได้คุยเรื่องนี้กับคุณ yumi และตัดสินใจว่าจะไปที่งานเพื่อเติมพลังให้กับผู้กำกับซักหน่อย ผมคิดว่าสิ่งที่ผมกังวลในตอนนั้นคือผมสงสัยว่างานจัดในแบบเป็นทางการรึเปล่า ผมจะต้องสวมสูทรึเปล่า แต่พวกเค้าบอกว่างานจัดแบบสบายๆเป็นกันเอง ที่แย่ไปกว่านั้นคุณ Yumi ออกมาทั้งๆที่สวมรองเท้าแตะด้วยครับดังนั้นเลยต้องไปเปลี่ยนรองเท้าเพื่อจะไปร่วมงาน ผู้กำกับดีใจมากๆเลย พวกเราเลยคิดว่าเราทำถูกต้องแล้วละครับ

รูปที่คุณถ่ายกับทีมภาพยนตร์  “Handmaidden” ที่งานนี้กลายเป็นประเด็นร้อนเลยนะคะ
ผมไม่คิดว่ารูปนั้นจะโดนอัพโหลดออนไลน์ครับ ผมดื่มไปแก้วนึง และอารมณ์ดี จากนั้นผมก็ถ่ายรูปไปโดยที่ไม่ได้หวนคิดอีกรอบนึง มารู้อีกทีก็ตอนที่โดนอัพโหลดไปแล้วละครับ รูปนี้คุณ Kim Tae ri เป็นคนถ่ายระหว่างที่เราอยู่ในงาน  “Korean movie night” ส่วนอีกรูปนึงคือถ่ายตอนที่เราออกไปต่ออีกที่นึงแล้ว เราได้ทักทายกันเล็กน้อยในงาน  “Korean movie night” ได้พูดคุยกันนิดหน่อยและจากนั้นผมเป็นคนเสนอเองแหละครับให้ไปดื่มต่อที่อื่นดีกว่า เป็นครั้งแรกที่ผมได้พูดคุยเป็นการส่วนตัวกับรุ่นพี่ Jo Jin Woong ซึ่งเค้าเป็นนักแสดงที่ผมชื่นชอบมาโดยตลอด ดังนั้นถ้าไม่ใช่โอกาสครั้งนี้แล้ว มันคงเป็นการยากมากๆที่ผมจะชวนเค้าไปดื่มต่อที่อื่นถ้าบังเอิญไปเจอกันในบาร์ที่เกาหลีจริงไม๊ครับ? และเป็นเวลานานมากแล้วที่ผมไม่ได้เจอ Jung Woo ฮยองเลย (Ha Jung Woo) ดังนั้นผมจึงรู้สึกเศร้าครับที่ต้องบอกลาเค้าเร็วเกินไป เพราะคืนนั้นเป็นคืนสุดท้ายที่ผมจะอยู่ที่เมืองคานซ์แล้ว เมื่อมาคิดตอนนี้ ผมสงสัยว่าพวกเค้าอาจจะเหนื่อยมากๆในคืนนั้นแต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธที่จะไปดื่มต่อเพราะผมเป็นคนชวนรึเปล่าน้า? แต่ก็ไม่เป็นไรครับ เพราะผมรู้สึกมีความสุขมากๆ 


“Train To Busan” เป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ประจำฤดูร้อนนี้ที่ได้กำหนดวันฉายไปเรียบร้อยแล้ว ฉันคิดว่าคุณน่าจะอยากรู้ว่าผู้ชมชาวเกาหลีจะมีปฏิกริยาอย่างไรและระดับการทำเงินจะไปได้สวยแค่ไหนไม๊คะ?
ความจริงที่ว่าภาพยนตร์ออกฉายในช่วงฤดูร้อนไม่ได้ทำให้ผมกังวลมากครับเพราะผมรู้ตั้งแต่ทีแรกแล้วว่ามันจะต้องออกฉายในช่วงฤดูร้อนซึ่งเนื้อเรื่องก็เข้ากันได้เป็นอย่างดีกับบรรยากาศของฤดูร้อน แต่ เราก็ยังลุ้นกันอยู่นะครับว่าเราต้องแข่งกับหนังภาคต่ออย่าง Bourne ได้ไม๊? ไปออกฉายถัดไปอีกอาทิตย์นึงจะดีกว่ารึเปล่า? Matt Damon จะมาโปรโมทหนังที่เกาหลีไม๊?? ผมสงสัยว่าผมควรจะไปต่างประเทศแล้วเจาะจงกลับมาประเทศเกาหลีในขณะที่ Matt Damon มาพอดีและเดินรั้งท้ายอยู่ด้านหลังเค้าผมจะได้โดนถ่ายรูปไปด้วยจะดีไม๊น้า?? (หัวเราะ) อ่าาา ผมล้อเล่นครับ คือผมรู้สึกกังวลและกดดันมากกว่าจะกระตือรือร้นอยากรู้อะไรเหล่านั้นนะครับ

กังวลและกดดันเรื่องอะไรคะ?
คือ รอบฉายปฐมทัศน์ของเราจัดขึ้นที่คานซ์ ซึ่งนี่ทำให้ภาพยนตร์ “Train To Busan” เป็นที่รู้จักและช่วยในด้านการตลาดอย่างมาก แต่การฉายรอบแรกอย่างเป็นทางการให้กับผู้ชมนั้นกว่าจะเกิดขึ้นก็ห่างจากช่วงนั้นไปพักใหญ่แล้วซึ่งดูเหมือนว่าพอถึงตอนที่จะต้องฉายแล้ว ความจริงที่ว่าเราไปเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานซ์มาก็ถูกลืมไปจนหมดสิ้นครับ ทุกวันนี้ ผลจากการทำการตลาดนั้นหายไปอย่างรวดเร็วดังนั้นผมเลยกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ
และผมไม่คิดว่าปฏิกริยาในประเทศเกาหลีจะเป็นไปในแนวทางที่ดีเพียงเพราะว่าภาพยนตร์ของเราได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นที่คานซ์ ในทางตรงกันข้าม ผมสงสัยว่าความคาดหวังรอคอยในตอนนี้คงจะมีไม่มากเท่าไหร่แล้วรึเปล่า? ผมเห็นมานักต่อนักแล้วละครับ ความกระตือรือร้นที่โหมขึ้นมาในโปรเจคแบบนี้มันกลายเป็นสิ่งที่ส่งผลเสียไป ดังนั้นเมื่อมีคำกล่าวต่อท้ายมาว่า "โปรเจคทุ่มทุน10ล้าน" คำกล่าวอะไรแบบนี้ออกมาทีไรผมจะกลัวทุกที เพราะหากมีความคาดหวังสูง ความผิดหวังก็สูงมากมาตามกัน มันเหมือนกับว่าคุณจะต้องลองไปเปิดกล่องดูเอาเองว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น

งั้นฉันอาจจะเพิ่มความกดดันให้คุณอีกนะคะ เพราะที่ฉันจะพูดถึงไม่ใช่แค่ภาพยนตร์เรื่อง “Train To Busan” แต่ยังจะมีภาพยนตร์เรื่อง  “The Age of Shadows” ที่คุณได้ร่วมงานกับผู้กำกับ Kim Ji Woon และคุณ Song Kang Ho ไหนจะละครเรื่อง “Goblin” ซึ่งเป็นผลงานเขียนของคุณ  Kim Eun Sook ซึ่งมีการคาดการณ์เอาไว้ว่าปีนี้จะเป็นปีของคุณเลยทีเดียว
เป็นความกดดันมหาศาลครับด้วยความสัตย์จริง เวลาผู้คนพูดแบบนี้ออกมาแล้วผลที่ออกมามันไม่ใช่ในแบบที่พวกเค้าคาดหวังเอาไว้ ในฐานะที่ผมเป็นนักแสดงผมไม่มีอะไรจะพูดครับแต่มันทำให้ผมรู้สึกละอายใจ นอกจากนี้ตัวผมไม่เคยที่จะคิดถึงสถานการณ์เอาไว้ล่วงหน้าว่ามันจะเป็นไปแบบนั้นเลยเพราะผลสุดท้ายที่ออกมาไม่มีใครสามารถที่จะมองเห็นได้ก่อน ดังนั้นผมจึงพยายามที่จะมองเป็นกลางไว้ก่อนเสมอ ผมเลือกทำงานในโปรเจคนั้นๆเพราะผมชอบมัน แต่บางครั้งก็มีเหมือนกันที่ผมต้องเจ็บปวดเพราะผลลัพท์ที่ออกมามันไม่ได้เป็นไปแบบที่ผมตั้งใจวางแผนเอาไว้ และแน่นอนว่ายังมีบางครั้งที่ในภาพรวมแล้วมันมีส่วนบกพร่องซึ่งตัวผมก็เป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ในโปรเจคนั้น

ดังนั้นสำหรับ "Train To Busan” แล้วผมพอใจในสิ่งที่ผมได้จินตนาการเอาไว้และฝันเอาไว้ดังนั้นผมคิดว่ามันจะกลายมาเป็นโปรเจคที่ผมพอใจกับมันนะครับโดยที่ไม่ต้องไปคำนึงถึงเรื่องการทำรายได้ยอดผู้เข้าชมแต่อย่างใด


พูดตามตรงนะคะ ฉันรู้สึกอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่อง  “The Age of Shadows”มากกว่า “Train To Busan” อีกค่ะ
ผมรู้สึกตกตะลึงมากครับเมื่อบทภาพยนตร์มาถึง คือ จู่ๆก็โผล่มาครับ ยังไงก็ตามตัวผมเองไม่เคยแสดงในภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาตร์และผมก็มีความเพ้อฝันของผมเกี่ยวกับภาพยนตร์ในยุคนี้มากกว่าภาพยนตร์โบราณที่ย้อนยุคไปเลย เครื่องแต่งกายก็มีระดับและคลาสลิก ดังนั้นผมรู้สึกกระตือรือร้นมากที่จะได้เห็นว่ามันจะออกมาเป็นยังไงกับภาพลักษณ์ทั้งหมดนี้ แน่นอนว่าบทภาพยนตร์ก็ยอดเยี่ยมครับ ส่วนที่สำคัญก็คือความจริงที่ว่าผมได้เผชิญหน้ากับรุ่นพี่ Song Kang Ho

อย่างที่ผมได้กล่าวไปในการให้สัมภาษณ์2-3ครั้งในอดีตว่า รุ่นพี่  Song Kang Ho เป็นรุ่นพี่ที่ผมจะต้องร่วมงานให้ได้แน่นอนเมื่อโอกาสมาถึง ผมเคยตั้งความคาดหวังเอาไว้ว่าอยากจะมีโอกาสร่วมงานกับ รุ่นพี่  Jeon Do Yeon และเราก็ได้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง“A Man and a Woman” ร่วมกัน ผมสงสัยว่าจะเป็นยังไงถ้าได้ร่วมงานกับรุ่นพี่ Song Kang Ho นะ?

ความจริงที่ว่าผมสามารถมีโอกาสได้ร่วมงานกับนักแสดงชั้นยอดซึ่งผมชื่นชอบมากๆทั้งสองคนและความจริงที่ว่าสามารถทำได้ในระยะเวลาอันสั้นก็ยิ่งทำให้ผมคิดว่าปีนี้ผมค่อนข้างโชคดีจริงๆครับ

ฉันคิดว่ากระบวนการในการทำงานกับผู้กำกับที่แสนมหัศจรรย์และนักแสดงที่มหัศจรรย์ จะต้องพิเศษมากแน่ๆ เว้นแต่ว่ามันจะเกิดขึ้นในช่วงที่คุณยังเป็นนักแสดงหน้าใหม่อยู่ คุณมองหาโปรเจคต่างๆในการทำงานโดยมุ่งไปว่าจะต้องเป็นนักแสดงนำที่สมบูรณ์แบบซักวันนึงในอนาคตไม๊คะ?
ในส่วนของผู้กำกับ นักแสดง หรือบรรยากาศในกอง มันไม่มีอะไรแตกต่างนะครับ ถ้าเทียบกับภาพยนตร์เรื่อง  “Train To Busan” มันจริงครับที่ว่ามีความกดดันมากกว่าในกองถ่ายของภาพยนตร์เรื่อง “The Age of Shadows” ผมต้องร่วมแบ่งปันแกนหลักของเนื้อเรื่องร่วมกับผู้คนที่ยอดเยี่ยมและผมไม่อยากจะทำให้โปรเจคนี้ต้องเสี่ยงว่าจะเกิดสิ่งที่ไม่ดีขึ้นเพราะผม ผมไม่อยากจะให้ผู้กำกับจะต้องรู้สึกเสียใจที่คัดเลือกผมมา สิ่งนี้มันใกล้เคียงกับความเครียดทางด้านอารมณ์มากครับ 

ในช่วงแรกของการถ่ายทำ ผมเหมือนกับเด็กๆที่ต้องการจะแสดงออกให้รุ่นพี่  Song Kang Ho และผู้กำกับเห็นว่าผมเก่งนะ ผมอยากให้พวกเค้ารับรู้ว่ามีผมอยู่ ผมอยากให้พวกเค้าสนใจผม ผมอยากให้พวกเค้ารักผม ความรู้สึกแบบนี้มันกดดันมากๆจนเหมือนกับผมเหนื่อยจนแทบจะหมดแรงเพราะพวกเค้า แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมรู้สึกเหมือนตัวเองพบกับความมั่นคงทีละเล็กทีละน้อยและผู้กำกับก็ฝึกฝนผมผ่านกระบวนการเหล่านี้ เวลาที่ผมอยู่ในกอง ทุกอย่างดูจะโกลาหลมากเกินกว่าที่ผมจะคิดอะไรออก ดังนั้นผมเดาว่าที่ผมสามารถจะแสดงความรู้สึกและความคิดออกมาได้เป็นเพราะทุกๆอย่างถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบเอาไว้ในใจของผมแล้วครับ


คุณได้ผ่านช่วงที่ยากและลำบากมาจริงๆนะคะ แต่ฉันกลับคิดว่า กระบวนการแบบนั้นมันเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับคุณไม๊นะที่จะต้องผ่านมันให้ได้ก่อนที่จะสายเกินไป
ผมรู้สึกเหมือนว่าตัวเองได้รับการฝึกฝนในแบบชั้นสูงและยอดเยี่ยมมานะครับ สิ่งเดียวที่อยู่ในใจของผมตอนนั้นคือ "ถ้าไม่สามารถทำออกมาให้สำเร็จได้ ก็จะไม่มีทางรอดไปได้เลยนะ" ผมสู้จนสุดใจในทุกๆช่วงเวลาในการทำงานที่ผมได้รับมอบหมายมาและใช้ชีวิตมาในทุกๆวันแบบนี้ ผู้กำกับเป็นคนคนนึงที่จะสร้างความรู้สึกให้กับภาพแคบๆในใจเกี่ยวกับอะไรบางอย่างที่ผมไม่สามารถจะรู้สึกได้เองขึ้นมาให้ สิ่งที่ผมเคยมีมุมมองลบกับมันก็เริ่มจะกลับมาเป็นบวก ผมต้องขอบคุณเค้ามากๆด้วยใจทั้งหมดของผมครับ

คุณได้พูดคุยเกี่ยวกับความกังวลนี้ของคุณให้คุณ Song Kang Hoฟังบ้างไม๊คะ? เค้าเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงที่เป็นคนสนุกสนานมากเวลาไปดื่มในผับใช่ไม๊คะ? 
พูดตามตรงนะครับ ผมไม่ได้ออกไปข้างนอกมากนักระหว่างที่มีการถ่ายทำครับ ผู้กำกับ Kim Ji Woon จะใช้เทคนิคเกี่ยวกับแสงและการจัดไฟเพื่อภาพที่สวยงามครับ ดังนั้นจะมีมุมเฉพาะบนใบหน้าและเส้นโค้งเว้าต่างๆที่เค้าอยากจะเห็น ดังนั้นผมต้องรักษามุมมองและเส้นโค้งเว้าเหล่านั้นเอาไว้และผมไม่ควรที่จะมีน้ำหนักเพิ่มแม้แต่นิดเดียวครับ ดังนั้นผมจึงขอความกรุณาจากรุ่นพี่เอาไว้ ครับ 

ในตอนที่เราถ่ายทำกันที่ประเทศจีน เค้ารู้ว่าผมต้องขี่จักรยานทุกวันและผมต้องลำบากอย่างมากที่จะทำให้หุ่นคงที่ ดังนั้นในทางตรงกันข้าม เค้าไม่เคยที่จะชวนผมออกไปข้างนอกหรือไปดื่มเลยแม้แต่ครั้งเดียว จริงๆแล้วเค้ากล่าวชมผมด้วยว่า" นายเจ๋งมากๆเลย ฉันชื่นชมนายจริงๆนะ" เวลาที่คุณถ่ายทำภาพยนตร์ การที่ออกไปดื่มมันสามารถเป็นการสร้างกำลังใจและสร้างผลกระทบที่ดีให้กับการทำงานเป็นทีมได้  แต่ยังไงก็ดีผมไม่อาจจะมีส่วนร่วมในการทำแบบนั้นได้ ในตอนที่เรามีการถ่ายภาพเพื่อโปสเตอร์หนังเมื่อเร็วๆนี้ ผมได้กล่าวขอบคุณเค้าอีกครั้งนึง เค้าคอยปลอบผมและพูดย้ำว่ามันไม่มีอะไรเลย ซึ่งผมรู้สึกขอบคุณมากๆที่เค้ารับรู้ถึงการมีอยู่ของตัวผมด้วยครับ

แม้แต่ในช่วงเตรียมงาน ภาพยนตร์เรื่อง “The Age of Shadows” ก็เป็นที่โจษจันกันทั้งวงการภาพยนตร์ว่าเป็น "โปรเจค10ล้านวอน" นะคะ 
มันน่ากลัวที่ได้ยินแบบนั้นนะครับ มันน่ากลัวและทำให้ผมกลัวครับ ผมเดาว่าเป็นเพราะผมเป็นเพียงมนุษย์คนนึงซึ่งคงจะเป็นการโกหกที่จะกล่าวว่าไม่มีความคาดหวังใดๆเลย แต่ไม่ใช่การโกหกแน่ๆที่จะพูดว่าเป้าหมายของผมคือจะต้องไปให้ถึงจุดเสมอตัวให้ได้เสมอ ผมไม่ได้มีความฝันยิ่งใหญ่อะไร บางคนอาจจะพูดว่าผมกำลังแสร้งทำเป็นว่าไม่มีความทะเยอทะยานใดๆ แต่คุณพ่อคุณแม่ของผมมักจะกล่าวเอาไว้เสมอตั้งแต่ผมยังเด็กๆว่า "ลูกต้องเป็นคนที่มีความคิดที่ยิ่งใหญ่และมีแรงบันดาลใจที่ดี ดังนั้นจงสร้างฝันแต่พอเพียง " ผมรู้สึกได้ถึงความรับผิดชอบในฐานะนักแสดงนำในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์นะครับ แต่ความรู้สึกรับผิดชอบที่ผมเป็นนักแสดงโดยอาชีพนั้นยิ่งใหญ่กว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผมคือการพยายามที่จะโฟกัสไปที่การถ่ายทำให้มากที่สุดและลดทอนความสนใจในแง่มุมต่างๆให้น้อยลงมากที่สุด ผมพยายามที่จะไม่โดนภาพในขั้นตอนสุดท้ายครอบงำ มีภาพยนตร์มากมายที่ต้องตะเกียดตะกายที่จะขายตั๋วให้ได้มากกว่า 1 ล้านใบ ดังนั้นภาพยนตร์ที่เป็นโปรเจค 10 ล้านวอนจึงมีมากขึ้นมากมายกว่าในอดีตมาก ดังนั้นผมคิดว่าคำกล่าวอ้างที่ว่า เป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์10ล้านวอน มันเป็นคำที่เอามาพูดแบบอิสระจนมากเกินไป 

เมื่อเวลาผ่านไปภาพยนตร์ฟอร์มเล็กๆก็จะถูกผลักให้ตกขอบและหายไปและมันทำให้ผมเศร้าเพราะรู้สึกว่าความหลากหลายในวงการก็จะหายไปด้วย เวลาที่ผมวางแผนจะไปดูภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์ซักเรื่อง มันมีช่วงเวลาที่ผมรู้สึกว่าสถานการณ์นี้มันร้ายแรงนะผมสงสัยว่าผมจะต้องไปดูภาพยนตร์ที่คนส่วนใหญ่ไม่สนใจจะไปดูได้ที่ไหนกัน? ผลสุดท้าย ผมไม่มีเวลามากพอที่จะไปโรงภาพยนตร์นั้นๆ ดังนั้นเลยจบลงที่ผมดูภาพยนตร์เหล่านั้นผ่าน IPTV แทน (ระบบส่งสัญญาณโทรทัศน์ผ่านทางอินเตอร์เนต)


เริ่มจากกิจกรรมในการโปรโมทภาพยนตร์เรื่อง “Train To Busan” มาคุณคงทำงานอย่างต่อเนื่องโดยที่ไม่ได้พักเลยตลอดช่วงครึ่งปีให้หลังมานี้ คุณได้ตระเตรียมอะไรเป็นพิเศษเพื่อการนี้ไม๊คะ?
ผมเป็นคนขี้แงเลยละครับแล้วจะเอาแต่บ่นว่า " ผมจะทำยังไงดี ผมจะทำยังไงดี?" ก่อนที่จะลงมือทำจริงๆ ซึ่งผมมารู้ได้ทีหลังว่าจริงๆแล้วผมสามารถที่จะทำได้ทุกอย่างที่กล่าวมาเมื่อผมหุบปากแล้วทำครับ(หัวเราะ) สิ่งที่ผมกังวลมากที่สุดคือเวลาที่จะต้องถ่ายทำจะไปซ้อนทับกับเวลาที่จะต้องโปรโมท ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่ต้องการเจอมากที่สุด ซึ่งมันเคยเกิดขึ้นครั้งนึงครับ และมันเหน็ดเหนื่อยสาหัสมาก ผมหวังว่าผมจะสามารถทำงานได้และผลที่ออกมาดีนั้นจะทำให้ผมสามารถเพิกเฉยกับเรื่องที่ทำให้เหนื่อยจนหมดแรงไปได้

การรับแสดงละคร น่าจะเป็น1ในเหตุผลหลายๆข้อที่ทำให้คุณไม่สามารถพักได้นะคะ ซึ่งเป็นการกลับคืนสู่วงการละครครั้งยิ่งใหญ่หลังจากที่หายไปกว่า 4 ปีเลย ซึ่งมันคงเป็นละคร โรแมนติกเลิฟคอมเมดี้ที่แฟนๆของคุณตั้งความหวังรอเลยนะคะ
ผมค่อนข้างระมัดระวังมากๆกับโปรเจคนี้นะครับ นอกจากความจริงที่ว่าผมตอบรับผมตกลงจะแสดงครับ นอกนั้นก็ยังไม่มีอะไรถูกทำออกมาเลยแม้แต่อย่างเดียว ซึ่งการตัดสินใจรับแสดงผมพึ่งจะตอบรับไปเมื่อเร็วๆนี้ ดังนั้นสิ่งที่เหลือที่จะต้องจัดการก็คือกระบวนการทั้งหมด ผมสงสัยว่าเราควรจะคุยกันในเรื่องเล็กๆน้อยๆเพื่อที่จะทำให้กระบวนการสร้างมันคืบหน้าไม๊? มันมีความคาดหวังแล้วความกระตือรืนรันอย่างมากในละครเรื่องนี้ ดังนั้นมันก็เป็นสิ่งที่น่ากังวลในฐานะนักแสดงนะครับ

ผมได้พบนักเขียน คุณ  Kim Eun Sook มาแล้วสองสามครั้งครับและผมก็สงสัยว่าทั้งผู้เขียนและPD น่าจะเป็นคนที่ต้องรับความกดดันมากกว่าผมไปอีกทั้งเรื่องของผลตอบรับที่จะออกมาและในเรื่องของเรตติ้ง เพราะผลงานเรื่องก่อนหน้านี้ประสบความสำเร็จอย่างมากและเรื่องนี้เป็นโปรเจคล่าสุดของพวกเค้า ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมพูดกับผู้เขียนว่า " ไม่ต้องกังวลกับเรื่องพวกนั้นหรอกครับ มาทำงานร่วมกันให้สนุกสนานดีกว่าและร่วมสร้างความทรงจำดีๆร่วมกัน" ซึ่งผู้เขียนก็ได้ตอบกลับมาว่า " ขอบคุณที่พูดแบบนั้นออกมานะค่ะ"

ในช่วง 3-4 ปีนี้ คุณได้แสดงภาพยนตร์เรื่องชนเรื่อง มาโดยตลอด ดังนั้นการที่คุณรับแสดงละครจึงเป็นเรื่องที่ไม่คาดฝันเลยนะคะ
ในตอนที่ผมถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “A Man and A Woman”, “Train To Busan”, “The Age of Shadows” ผมมีความสุขนะครับแต่ผมตระหนักได้ว่าผมสูญเสียความแข็งแกร่งและพลังงานไปด้วยในขณะที่ลงมือทำ โดยเฉพาะในตอนที่ผมถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “The Age of Shadows” มันจบลงที่ว่าผมมานั่งคิดอย่างจริงจังเลยเรื่องลิมิตของตัวเอง ผมรู้สึกได้ถึงความละอายใจ และการได้ทำงานร่วมกับนักแสดงที่ยอดเยี่ยมทำให้ผมรู้สึกว่าผมยังขาดอะไรไปมันทำให้ผมมีปมด้อยครับ ผมย้อนคิดทบทวนเรื่องของตัวเองเยอะมาก ซึ่งตั้งแต่เริ่มทำงานมานั่นเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกแบบนั้น และนั่นเป็นเหตุผลที่ผมจะต้องรีบูตตัวเองใหม่ครับซึ่งมันเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำและการรับแสดงละครก็จะทำให้ผมได้มีโอกาสรีบูทตัวเองขึ้นมาใหม่

ผมรู้สึกขอบคุณมากๆครับที่ได้รับอิทธิพลต่างๆมาจากนักเขียนและผู้กำกับซึ่งดีกับผมมากๆ และมันทำให้ผมมีความเชื่อว่า "ผมน่าจะฟื้นความมั่นใจในตัวเองที่ทำหายไปกลับมาได้อีกครั้งนะ? พวกเค้าจะสร้างสนามให้ผมได้เล่นสนุกใช่ไม๊น้า? " มันให้ความรู้สึกว่าพวกเค้ามอบความรู้สึกที่ผมจะได้เล่นสนุกมาให้ครับ "ถ้าผมตั้งใจทำงานอย่างหนักตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงตอนจบและผมรู้สึกสนุกไปกับมันผมน่าจะเติมเต็มสิ่งที่ผมทำมันหายไปได้ใช่ไม๊?? " นี่คือความคาดหวังของผมครับ


ทุกครั้งคุณจะกล่าวในการให้สัมภาษณ์ว่าคุณอยากจะทำงานร่วมกับรุ่นพี่คนนั้นหรือไม่ก็นักแสดงคนนี้เฉพาะเจาะจงลงไป ซึ่งก็เป็นจริงขึ้นมาจริงๆ และนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันจะถามในวันนี้นะคะว่าคุณมีนักแสดงที่อายุน้อยกว่าหมายตาเอาไว้บ้างรึเปล่า?
อืมมม .... 5555+ มันเป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่เหรอครับ เมื่อก่อนผมรู้สึกไม่เป็นไรนะครับที่จะดูตัวเองผ่านจอแต่พอถึงจุดจุดนึง ผมก็เหมือนจะรู้ตัวเองขึ้นมา ดังนั้นในตอนนี้ไม่อาจจะดูได้แล้วละครับ แม้แต่ในตอนที่ดูภาพยนตร์เรื่อง  “Train To Busan” ที่คานซ์ ผมรู้สึกอายมากจนพูดออกมาไม่ได้เลยบางครั้ง และระหว่างฉากบางฉากผมก็จะบอกกับตัวเองว่า "เราแม่งแสดงออกไปแบบนั้นเหรอเนี่ย" แม้ว่าคนอื่นจะมาพูดว่าไม่เป็นอย่างงั้นหรอก แต่นักแสดงจะรู้ตัวเองดีนะครับ และมันจะยิ่งเป็นแบบนี้มากขึ้นๆเมื่อเวลาผ่านไป  ผมคิดว่าเวลาที่จะต้องมีความรู้สึกแบบนี้มาถึงผมแล้วละครับ ในช่วงเวลาแบบนี้ บางครั้งผมก็จะรู้สึกเสียใจกับตัวเองในขณะที่นั่งดื่มคนเดียวที่บ้านและพยายามอย่างหนักที่จะระมัดระวังในทุกเรื่อง

ดังนั้นผมจึงระมัดระวังมากๆที่จะพูดถึงรุ่นน้องครับ ตัวผมเองก็ยังถือว่าเป็นรุ่นน้องเมื่อเทียบกับรุ่นพี่ในวงการ ผมได้ยินมาเยอะจากรุ่นพี่ว่าเมื่อเวลาผ่านไปมันจะยิ่งลำบากมากขึ้นอีก ซึ่งเรื่องแบบนี้ผมไม่เคยรู้เลยในตอนที่ยังเด็ก ผมสามารถที่จะพูดได้อย่างกล้าหาญเลยว่า สไตล์ของผมเป็นแบบนั้นแบบนี้ ซึ่งผมไม่สามารถพูดแบบนั้นได้อีกแล้วครับในตอนนี้ ผมกลัวเพราะผมตระหนักแล้วว่ายังมีเรื่องอีกมากมายนักต่อนัก ที่ผมยังไม่รู้ สิ่งที่มั่นใจได้ในช่วงระยะนี้คือผมคิดกับตัวเองว่า " นายจำเป็นต้องเป็นคนกล้าหาญมากกว่านี้อีกนิดนะ" ผมกลายเป็นคนที่ระมัดระวังมากเกินไปและความมั่นใจในตัวเองของผมก็กลายเป็นน้อยลงเรื่อยๆและลดลงไปมากเลยครับ 

ดังนั้นคือไม่มีนักแสดงที่อายุน้อยกว่าอยู่ในใจเลยเหรอคะ? 
อืมม พูดแบบนี้ดีกว่าครับเอาเป็นว่าผมสนใจในไอเดียที่มีบางโปรเจคได้นำเอานักแสดงที่อยู่ในกรอบเดียวกันซึ่งมีอายุใกล้เคียงกับผม อย่างคุณ Jung Woo Sung และ Lee Jung Jae มาแสดงร่วมกันอย่างในเรื่อง “City of the Rising Sun” มันมีนักแสดงที่ยากจะมาประชันกันในโปรเจคเดียวกันอยู่นะครับ สำหรับนักแสดงที่มีระดับเท่าเทียมกัน มันเป็นเรื่องยุ่งยากซับซ้อนที่จะมาถ่ายทำภาพยนตร์ร่วมกันได้เพราะพวกเค้าจะถูกเปรียบเทียบเพื่อบทเดียวกันอยู่เป็นประจำ เมื่อคุณรู้แล้วว่านักแสดงมีความรู้สึกยังไง หากผู้คนจะสามารถจับทุกอย่างมาวางแผนทั้งหมดได้ ผมอยากรู้จริงๆว่าโปรเจคแบบนี้มันควรค่าที่จะลงมือทำจริงไม๊ครับ? 

คุณ Choi Dong Hoon สร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับการปล้นขึ้นมา แม้แต่ในภาพยนตร์ประเภทนี้ก็มีนักแสดงที่อยู่ในวัยเดียวกับผมแค่คนเดียว เอายกตัวอย่างง่ายๆ คุณจินตนาการได้ไม๊ครับว่ามันจะเป็นยังไงถ้ามีภาพยนตร์ที่มี คุณ Kang Dong Won, Jo In Sung และผมร่วมแสดง? ก่อนที่จะสายไปก่อนที่ผมจะอายุ เข้าสู่วัย 40 ผมคิดว่าการที่ยังคงสามารถพูดคุยถึงเรื่องเยาวชนในตอนนี้อาจจะทำให้รายชื่อผลงานภาพยนตร์ของผมเป็นที่น่าสนใจอยู่ และโปรดิวเซอร์และผู้กำกับก็ยังหาทางแก้สำหรับปัญหานี้และทำให้มันเกิดขึ้นยังไม่ได้ เพราะพวกเค้าจะบอกว่า " เป็นไม่ได้หรอก มันยากเกินไป" แต่ผมสงสัยจริงๆนะครับว่านักแสดงคนอื่นก็อาจจะรู้สึกแบบที่ผมรู้สึกอยู่ก็ได้

คุณมีชื่อเสียงมากๆในวงการโฆษณาว่าเป็นพระเจ้าแห่งการโฆษณา เวลาคุณรับเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับสินค้าใดๆคุณจะมีภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งมาก ซึ่งมันคงเป็นเรื่องน่าเศร้านะคะถ้าคุณจะทิ้งการโปรโมทแบบนี้ให้รุ่นน้องรับมือกันไป
ผมคิดว่ามันเกี่ยวข้องกับเส้นสายนะครับ การที่สามารถรักษาความสัมพันธ์ที่ดีในการทำงานกับบริษัทที่จะต้องจัดการในเรื่องของธุรกิจโดยตรงมันเป็นเหตุผลใหญ่ๆครับ และแน่นอนความจริงที่ว่าการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีเอาไว้ได้ก็จะทำให้ผู้สร้างโฆษณามองผมในฐานะที่จะสามารถเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้เค้าได้ในทางบวก ซึ่งผมรู้สึกขอบคุณมากๆเสมอมาครับ เหนือสิ่งอื่นใด ผมอยากจะขอบคุณตัวเองและอยากจะชมตัวเองครับที่มาถึงจุดนี้ได้โดยที่ไม่มีเรื่องข่าวอื้อฉาวอะไรเลย (หัวเราะ) 

สิ่งที่ผมคิดคือมันเป็นเพราะโชคชะตาอย่างเดียวรึเปล่าที่ทำให้ผมได้เป็นพรีเซ้นเตอร์ให้กับแบรนด์ใหม่ๆหรือสินค้าใหม่ๆในบางครั้ง ในฐานะนายแบบมันย่อมมีความพอใจเกิดขึ้นเมื่อสินค้าสามารถผ่านช่วงเวลาเอาตัวรอดของการเปิดตัวสินค้าหรือแบรนด์ใหม่ๆไปได้และเราสามารถมองมันไปสู่สถานะที่ไปได้แล้วระดับนึง ซึ่งภาพยนตร์หรือละคร ไม่เหมือนกับงานโฆษณาครับงานโฆษณาจะแตกต่างไป แต่หากคุณมองว่าโฆษณาสินค้าเป็นโปรเจคนึงเหมือนกับภาพยนตร์เรื่องนึง คุณก็จะจบลงที่รู้สึกรักและผูกพันเวลาที่คุณเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับสินค้านึงเป็นเวลายาวนาน คุณจะรู้สึกเหมือนกับว่ามันเป็นลูกของคุณ  
ซึ่งมันก็เป็นการดีนะครับที่จะมีนายแบบให้กับสินค้าแบรนด์นึงซักสองสามคน แต่ผมรู้แล้วว่ามันจะให้ความรู้สึกมีความสุขแบบไหนหากได้เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับแบรนด์ใดแบรนด์นึงยาวนานถึง 2-3 ปี 

และเป็นเพราะผมรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงในเรื่องชั่วอายุคนคนนึงนั้นมีการเปลื่ยนแปลงเกิดขึ้นตลอดเวลา ผมแค่อยากจะบอกลาในแบบที่สำนึกบุญคุณเสมอและจากไปในแบบที่สวยงาม เท่านั้นเองครับ

Source:https://thesunnytown.wordpress.com/
Thai Translation by miss mew


วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2560

บิกแบงกล่าวว่า "เราใช้ชีวิตเหมือนอยู่ในฝัน"


เหตุผลที่ว่าทำไมการที่บิกแบงครบรอบ10ปีถึงมีความหมายน่าจดจำมากๆเป็นเพราะ สมาชิกทั้ง 5 คนของวงอยู่ด้วยกันตลอดเวลาในการสร้างความสำเร็จที่น่าตื่นตะลึงแบบนี้ ในบรรดาวงบอยแบรนด์ยุคที่2 บิกแบงเป็นวงเดียวในบรรดาวงบอยแบรนด์ที่เดบิวต์ในช่วงเดียวกันที่ยังมีสมาชิกอยู่ครบเป็นสมาชิกเซตเดียวกับตอนเดบิวต์

เมื่อถามถึงความคิดของพวกเค้าว่าเคยคิดบ้างไม๊ว่าจะเกิดอะไรขึ้นใน 10 ปีข้างหน้าในตอนที่เดบิวต์ สมาชิกวงตอบว่า "มันเป็นอะไรที่เราไม่เคยคิดจินตนาการมาก่อนเลยละครับ" ในตอนนั้น ท็อปซึ่งเป็นสมาชิกที่มีอายุมากที่สุดในวง มีอายุเพียง 20 ปี และสมาชิกที่อายุน้อยที่สุดคือ ซึงรี อายุ 17 ปี มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเค้าที่จะคิดไปถึงหนทางในอีก 3-4ปีข้างหน้าอย่าว่าแต่ 10 ปีเลย 


แต่พวกเค้าก็ทำมาได้จนถึง 10 ปี ในวันนี้พวกเค้าออกอัลบั้มเต็มชุดที่ 3 “MADE THE FULL ALBUM” ออกมาในตอนที่วงครบรอบเดบิวต์ 10 ปีพอดี ทุกอย่างที่พวกเค้าทำมาตลอดระยะเวลา 10 ปีนั้นกลายมาเป็นประเด็น ไม่ใช่แค่ในเรื่องของดนตรีและแฟชั่น แต่เรื่องในชีวิตประจำวันของสมาชิกแต่ละคนล้วนได้รับความสนใจ บิกแบงกล่าวว่า "เราใช้ชีวิตเหมือนอยู่ในความฝันเลยครับ"

เนื้อหาของเพลง “LAST DANCE” เป็นเรื่องราวของคุณเองใช่ไม๊ครับ? ผมรู้สึกถึงความกังวลบางอย่างในเนื้อเพลงนะครับ 
G-DRAGON:มันเป็นเรื่องราวของความรู้สึกที่พวกเรากำลังรู้สึกในสถานการณ์ที่พวกเค้ากำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้นะครับ ในตอนที่ผมเขียนเนื้อเพลง ผมใช้ความคิดมากมายใส่ลงไป ด้วยเหตุผลบางอย่าง ผมเขียนออกมาสำเร็จได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว ผมมีอายุเกือบจะ 30 ปีแล้วและผมใช้ชีวิตอยู่กับกลุ่มคนไม่กี่คนที่คัดสรรมาแล้ว มันไม่เป็นประเด็นอะไรอีกแล้วละครับ ผมแค่อยากจะอยู่กับคนที่ผมรู้สึกสบายใจที่จะอยู่ด้วย  
ในตอนที่เราทำการบันทึกเสียงเพลงนี้ผมบอกกับสมาชิกในวงว่า ให้ร้องออกมาแบบไม่ต้องพยายามเกินไปผมไม่อยากให้สมาชิกในวงร้องเพลงนี้ด้วยเทคนิคมากมาย ผมอยากให้พวกเค้าร้องเหมือนกับกำลังพูดอยู่และตั้งใจร้องไปในเนื้อหาที่ร้องออกมา ผมอยากจะให้เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์เวลาพวกเค้าร้องเพลงนี้ครับ 

ขนาดพวกคุณยังรู้สึกกังวลเลยเหรอครับ? 
T.O.P: พูดถึงสภาพจิตใจแล้ว เราไม่เคยมีความมั่นคงหรอกครับ (ทุกคนต่างก็หัวเราะ)
G-DRAGON: เราทำผลงานได้อย่างดีมาโดยตลอดครับ แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันเลยว่าเราจะทำได้ดีต่อไปเรื่อยๆ ผมรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดีเลยละครับ เมื่อคุณเดินทางไปสู่จุดที่สูงวันนึงคุณก็ย่อมต้องก้าวลงมา มันเป็นเรื่องของการที่เราเป็นผู้ได้รับมามากกว่าครับ ไม่ใช่ว่าเรากำลังกังวลหรือกระวนกระวาย เราแค่อยากจะอยู่ตรงนี้แบบนี้และมีความสุขกับมัน คุณไม่มีทางรู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น มันไม่ใช่ว่าเรามีเรื่องที่จะต้องกังวลเฉพาะเจาะจงนะครับแต่เราแค่ไม่รู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น เราสงสัยว่า ปีที่เราครบรอบวง 11 ปีจะเป็นยังไง เรากังวลว่าเราควรจะทำยังไงหลังจากที่เราเสร็จสิ้นหน้าที่ในการเข้ากรมทหารไปแล้ว คือผมเดาว่าเรามีความคิดมากมายอยู่ในหัวในตอนนี้ครับ 

ในตอนที่พวกคุณพึ่งจะเดบิวต์ คุณคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอีก10ปีข้างหน้าครับ? มันแตกต่างไปจากสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้มากไม๊? 
G-DRAGON: ในตอนที่เราเดบิวต์เราไม่รู้เลยครับว่าเราจะได้มีโอกาส ฉลองครบรอบวง 10 ปีด้วย (ยิ้ม)
T.O.P: มันเหมือนกับผมใช้ชีวิตอยู่ในความฝันครับ ความฝันของผมตั้งแต่เมื่อยังเด็กคือการทำเพลงและขึ้นแสดงตราบนานเท่านานอย่างวง Rolling Stones ผมรู้สึกขอบคุณมากๆที่ผมได้มีโอกาสทำทัวร์คอนเสริ์ตไปรอบโลกและได้ขึ้นแสดงบนเวที
TAEYANG: สถานการณ์นี้เป็นเหมือนความฝันของนักร้องทุกคนแหละครับ เราไม่เคยคิดไว้ก่อนเลยว่าเราจะได้ใช้ชีวิตแบบทุกวันนี้มาก่อนเลยในตอนที่เราพึ่งเริ่มเดบิวต์ เรายุ่งมากๆจริงๆในช่วงที่เรายังเป็นเด็กหน้าใหม่ มันไม่ใช่สิ่งที่พวกคาดหวังเอาไว้ครับ แต่ในตอนนี้ผมเริ่มคิดว่า ที่เราสามารถเป็นได้อย่างทุกวันนี้เป็นเพราะเรายุ่งมากๆเมื่อย้อนกลับไปในตอนนั้น 
G-DRAGON: เมื่อเร็วๆนี้ผมไปเจอหนังสือร่วมรุ่นจบสมัยชั้นประถม ในนั้นผมเขียนเอาไว้ว่า ความฝันของผมคืออยากจะเป็นนักร้อง แล้วตอนนี้ผมก็ได้เป็นนักร้องจริงๆ เหมือนไม่ใช่เรื่องจริงเลยละครับ

พวกคุณจะไปออกรายการ Infinite Challenge ทางช่อง MBC และรายการ Radio Star ด้วย เห็นว่าเป็นเวลานานแล้วนะครับที่พวกคุณทั้ง 5 คนไปออกรายการวาไรตี้โชว์ด้วยกัน
TAEYANG: อย่างที่คุณรู้ครับ เราไม่ค่อยมีเวลามากนัก (ท็อปกำลังจะเข้ากรมและรับราชการเป็นตำรวจในเดือนกุมภาพันธ์ 2017 นี้ และสมาชิกคนอื่นก็ต้องเข้ากรมในเร็วๆนี้) ดังนั้นเราจึงอยากจะปรากฏตัวให้แฟนๆของพวกเราเห็นมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ คุณ หยางก็เห็นด้วยว่าเป็นความคิดที่ดีที่เราจะไปปรากฏตัวในรายการโทรทัศน์ครับ

บิกแบงไม่ได้โด่งดังแค่ในประเทศเกาหลีเท่านั้นแต่ยังโด่งดังไปทั่วโลก มีเคล็ดลับอะไรครับ? 
SEUNGRI: ในตอนที่เราเดบิวต์ ยังไม่มีการใช้โซเซี่ยลมีเดียเลยครับ แต่ในตอนที่เราออกเพลง“FANTASTIC BABY” ผู้คนมีการใช้โซเซี่ยลเนตเวริ์คกันอย่างแพร่หลายกว้างขวางซึ่งมันเป็นเรื่องง่ายที่จะเข้าถึงเนื้อหาทางวัฒนธรรมต่างๆผ่านทาง Youtube, Instagram, Twitter, Facebook และอีกมากมายครับ ผู้คนมากมายกลายมาเป็นแฟนเพลงของเราหลังจากที่ดู MV ของเราครับ ฐานแฟนเพลงที่เราสร้างขึ้นมาก็ยังคงแข็งแกร่งมาก นอกจากนี้เราก็พยายามที่จะสื่อสารกับแฟนๆผ่านทาง SNS ด้วย
G-DRAGON: การสื่อสารกันแบบเริ์ยลไทม์เป็นเรื่องที่ทำได้เมื่อทำผ่าน SNS ครับมันทำให้เราใกล้ชิดกับแฟนๆได้เหมือนกับเราเป็นเพื่อน มันสนุกดีครับ ผมไม่รู้ว่าวงอื่นเค้ามีการสื่อสารกับแฟนๆรึเปล่าดังนั้นผมเลยไม่มีข้อมูลมาให้เปรียบเทียบ ในตอนนี้ เวลาเรามีคอนเสริต์ที่ญี่ปุ่น สมาชิกทุกคนจะพูดภาษาญี่ปุ่น ซึ่งพอไปอเมริกาหรือประเทศจีนก็จะพูดภาษาของประเทศนั้นๆครับ ผมคิดว่าผู้คนคงพอใจกับความจริงที่ว่าเราพยายามที่สื่อสารกับแฟนๆด้วยภาษาของพวกเค้า เราฟังในสิ่งที่พวกเค้าพูดและตอบกลับ ซึ่งการติดต่อสื่อสารมันง่ายแบบนั้นแหละครับ มันทำให้แฟนๆรู้สึกใกล้ชิดกับเรา แฟนๆของเราเรียนภาษาเกาหลีและแปลเนื้อเพลงออกมา พวกเราก็จะต้องเรียนรู้เหมือนกันครับ


คอนเสริ์ตของบิกแบงขึ้นชื่อเรื่องความสนุกใช่ไม๊ครับ
G-DRAGON: ประเด็นคือเราไม่เก่งเรื่องเต้นเป็นกลุ่มครับ เราเคยลองแล้วในตอนที่เรายังเป็นเด็กใหม่ ซึ่งการเต้นเป็นกลุ่มไม่ใช่อะไรสำหรับเราครับมันไม่ใช่สิ่งที่เราอยากจะทำให้สำเร็จ ในความเห็นของผมมันมีสิ่งที่เรากับแฟนๆของเราชอบที่สุดอยู่

เวลาที่เราเล่นคอนเสริต์ในสถานที่ใหญ่มากๆหรือที่โดม พวกเราจะดูตัวเล็กมากๆเกือบจะเหมือนนิ้วนิ้วนึงแค่นั้นเองครับสำหรับแฟนๆที่ดูจากด้านหลังฮอลส์พวกเค้าต้องมองพวกเราจากจอสกีน สำหรับคนที่ได้ตั๋วที่นั่งที่จำกัดก็แทบจะมองจอสกีนไม่เห็นด้วยซ้ำ ดังนั้นมันจึงเป็นเหตุผลที่ว่าเราจะต้องเอาตัวเองออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้แม้ว่าเราจะเหนื่อยหนักแค่ไหนและดูบ้าคลั่งมากแค่ไหนก็ตามสิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในคอนเสริต์ของเราครับ 

แน่นอนว่าการแสดงก็ต้องสมบูรณ์แบบด้วยแต่อย่างน้อยสิ่งที่เราควรทำเพื่อแฟนๆของเราคือการมองลงไปในตาของพวกเค้าและทักทายสวัสดี ไปให้ใกล้และร้องเพลงต่อหน้าพวกเค้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นความทรงจำของแฟนๆครับ 

เมื่อตอนที่ผมเป็นเด็กผมไปดูคอนเสริต์นึงที่นักร้องมองลงมาในตาของผม เค้าคงไม่ได้คิดอะไรแต่ผมคิดกับตัวเองว่า " เค้ามองมาที่ผม!!"และผมก็เริ่มฝันที่จะกลายเป็นนักร้อง ในตอนที่คุณขึ้นแสดงคุณต้องรู้สึกสนุกบนเวทีแต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนดูด้วย และนั่นเป็นการสื่อสารสำหรับผมครับ

บิกแบงเคยเจอวิกฤตอะไรบ้างไม๊ครับ?
G-DRAGON: ที่ผมรู้ไม่มีนะครับ พวกเราเป็นคนที่มองโลกในแง่บวกกัน เราพยายามที่จะไม่กังวลมากไป เราจะบอกกับตัวเองว่า "ไม่ต้องกังวล ทุกอย่างจะต้องออกมาดี" และซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ เมื่อเราเห็นวงที่ต้องแยกกันไป มีความคิดหลายอย่างเข้ามาในใจของพวกเรา เราอาจจะต้องมีจุดจบแบบพวกเค้าก็ได้ เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง แต่เราเคารพ รัก และเป็นห่วงกันและกัน และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เราอยู่มาถึง 10 ปี และเหนือสิ่งอื่นใด ผมแวดล้อมไปด้วยคนดีๆครับ ความจริงที่ว่าผมได้มาพบ T.O.P, SEUNGRI, TAEYANG, และ DAESUNG และทีมงาน ทำให้ผมรู้สึกโชคดีมาก เมื่อผู้คนที่คุณทำงานร่วมกับเค้าต่างทำงานอย่างหนักเพื่อคุณและมอบพลังงานที่ดีๆให้คุณ มันยากที่คุณจะไม่ประสบความสำเร็จนะครับ

บิกแบงเป็นวงไอดอลในยุค2วงเดียวที่ยังคงอยู่รอดมีสมาชิกครบทุกคนเหมือนเดิมตั้งแต่เดบิวต์นะครับ
T.O.P: เหตุผลหลักๆเลยคือเราแตกต่างกันมากๆ เราสามารถที่จะเข้าใจในสมาชิกแต่ละคนได้ดีและพยายามเติมเต็มซึ่งกันและกัน เราไม่เคยทะเลาะกันแรงๆเลยซักครั้งครับ 

ท็อปจะเป็นสมาชิกคนแรกที่จะต้องเข้ากรมแล้ว มีการวางแผนเรื่องโซโล่บ้างไม๊ครับ ?
T.O.P: ยังครับ
DAESUNG: มันควรจะเป็นความลับไม่ใช่เหรอฮะ?(ทุกคนหัวเราะ)
G-DRAGON: แต่เหลือเวลาไม่มากแล้วนะครับ 
T.O.P: มันเป็นความลับครับ 

Source :www.yg-life.com
Thai Translation by miss mew 

กงยู : นำภาพยนตร์เกาหลีออกสู่ระดับโลก


นักแสดงชาวเกาหลี กงยู กล่าวว่าเค้าดีใจในฐานะนักแสดงและในฐานะผู้ชม ที่ภาพยนตร์เรื่อง The Age Of Shadows ได้เป็นตัวแทนภาพยนตร์เกาหลีในปีนี้

หากรางวัลออสการ์มีการตัดสินจากแฟนๆ ภาพยนตร์เรื่องนี้คงชนะรางวัลภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศบนเวทีประกาศรางวัล Academy Award หรือออสการ์แน่ๆ เพราะมีกงยูร่วมแสดง
นักแสดงชาวเกาหลีใต้อายุ 37 ปี กงยูคนนี้เป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีจากละครและภาพยนตร์มากมาย ในตอนนี้ละคร Goblin ก็กำลังทำเรทติ้งได้ดีมากๆอีกด้วย

กงยูมีข่าวพาดหัวจากภาพยนตร์ทำเงินTrain To Busan เมื่อปีที่แล้ว ในตอนนี้เค้ามีภาพยนตร์ที่ร่วมแสดงกับคุณ Song Kang Ho (The Host, Snowpiercer)ในภาพยนตร์เรื่องThe Age Of Shadows, ซึ่งจะลงโรงฉายในวันที่ 5 มกราคมนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเนื้อเรื่องที่ถูกเซตให้เกิดขึ้นในปี 1920s นำแสดงโดย คุณ Song Kang Ho กงยู ร่วมกับ คุณ Lee Byung Hun และนักแสดงมากความสามารถมากมาย  ซึ่งรายชื่อภาพยนตร์ที่จะได้ร่วมเข้าชิงรางวัลออสการ์ในสาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศนี้จะประกาศออกมาในวันที่ 24 มกราคม

เรามาฟังกงยูพูดถึงความคิดของเค้าที่มีต่อภาพยนตร์เรื่องนี้กันดีกว่า 

คุณเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ยังไงคะ? 
ผมสนใจในภาพยนตร์ที่มีเนื้อเรื่องเกี่ยวข้องกับประวัติศาตร์อยู่แล้วครับ นอกจากนี้ตัวผมอยากจะแสดงร่วมกับคุณ Song Kang Ho ซึ่งเป็นนักแสดงที่ผมเคารพมากๆ และการที่ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้คือคุณ Kim Ji Woon อีกก็ยิ่งทำให้มันดึงดูดใจผมมากๆครับ การที่จะได้มีโอกาสสามารถร่วมทำงานกับสองท่านนี้ก็ช่วยให้ผมตัดสินใจรับงานนี้โดยไม่ลังเลเลยครับ

ช่วงเวลาที่น่าจดจำที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้สำหรับคุณคือตอนไหนคะ?
มีอยู่ฉากนึงครับเป็นฉากที่ พวกเราตัวละครทั้ง 3 ตัวในเรื่องกำลังดื่มกันครับ ก็จะมีคุณ Lee Byung Hun นั่งอยู่ทางซ้ายมือของผมคุณ Song Kang Ho นั่งอยู่ทางด้านขวา ผมสงสัยว่าจะมีโอกาสแบบนี้อีกรึเปล่าที่ผมจะได้มานั่งอยู่ระหว่างนักแสดงผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 2 คนแบบนี้ ซึ่งการได้มานั่งแบบนั้นผมรู้สึกเป็นเกียรติมากๆ อยากจะรู้ว่านักแสดงรุ่นน้องจะมองผมแบบนี้เหมือนกับที่ผมมองคุณSong Kang Hoและคุณ  Lee Byung Hun รึเปล่าเมื่อผมสามารถขึ้นไปอยู่ระดับนั้นได้

สำหรับคุณแล้วอะไรสำคัญกว่ากันคะ ระหว่าง ภาพยนตร์สามารถทำรายได้ถล่มทลาย กับการชนะรางวัล?? 
เราไม่สามารถเลือกได้หรอกนะครับและไม่สามารถบอกได้ด้วยครับ มีคนมากมายที่ร่วมมือทำให้ภาพยนตร์เสร็จสมบูรณ์ขึ้นมา  หากผู้ชมพอใจกับมันนั่นก็เป็นรางวัลให้กับความพยายามของผมแล้วครับ 
ผมเป็นคนไม่มีความโลภที่จะอยากได้รางวัลใดๆเลย หากพวกเค้าจะมอบรางวัลให้กับผมในผลงานที่ผมตั้งใจทำงานอย่างหนัก มันก็เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมครับ ผมอยากที่จะให้ผลงานของผมเป็นที่จดจำและทีมงานที่คอยทำงานหนักอยู่เบื้องหลังพอใจกับมันผมก็พอใจแล้วครับ 

วงการฮอลลีวู้ดน่าจะสนใจในภาพยนตร์เรื่อง The Age Of Shadows เป็นพิเศษนะคะ เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกเลือกให้เป็นตัวแทนภาพยนตร์จากประเทศเกาหลี ในการส่งไปพิจารณาเพื่อร่วมเข้าชิงรางวัล Academy Awards ครั้งที่ 89 ในสาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม คุณมีความคิดเห็นในเรื่องนี้ยังไงคะ?
ในตอนที่ผมได้ยินว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกเลือกให้เป็นตัวแทนของประเทศเกาหลีใต้ ผมรู้สึกดีใจครับทั้งในฐานะที่เป็นนักแสดงและในฐานะที่เป็นผู้ชม มันเป็นเรื่องที่น่าเฉลิมฉลองครับ
ผมรู้สึกว่านี่เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความโด่งดังของภาพยนตร์เกาหลีในปัจจุบันที่เริ่มลามไปสู่ต่างประเทศในระยะนี้  ผมหวังว่าพวกเค้าจะสนับสนุนภาพยนตร์ของเกาหลีไปเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง 

ภาพยนตร์เรื่อง The Age Of Shadows เป็นภาพยนตร์ที่คลาสลิกมากๆและคุณจะสามารถเห็นได้ถึงความสวยงามและการจัดองค์ประกอบภาพของภาพยนตร์ที่เป็นไปตามประวัติศาตร์ คุณ Kim Ji Woon ผู้กำกับก็เป็นผู้กำกับที่ขึ้นชื่อว่าเป็นปรมาจารย์ในเรื่องของการทำภาพยนตร์ออกมาให้สวยงาม ผลงานที่ออกมาแสดงให้เห็นถึงการผสมผสานความเป็นศิลปินชั้นยอดและความโด่งดังของผู้กำกับออกมาครับ

The Age Of Shadows ถูกเชิญให้เข้าฉายในเทศกาลแจกรางวัลทางภาพยนต์มากมาย อาทิ Venice Film Festival และ Toronto International Film Festival ผมหวังว่าไม่ใช่แค่ฮอลลีวู้ด แต่ เป็นในระดับโลก ที่จะหันมาสนใจในภาพยนตร์ของเกาหลีครับ

English Translation by www.herworldplus.com
Thai Translation by miss mew
Source : หนังสือพิมพ์ในวันที่ 4 มกราคม 2017

วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2560

สัมภาษณ์ กงยู จากนิตยสาร Marie Claire กรกฏาคม 2016


วันนึงกลางฤดูร้อน วันที่เราพบกันนั้นดูอบอุ่นกว่าเมื่อวันก่อนซะอีก เป็นเพราะตอนนี้เป็นฤดูร้อนฉันเลยต้องการต้นไม้ให้มาอยู่เป็นแบล็คกราวในการถ่ายทำ ยิ่งในช่วงบ่ายอากาศยิ่งร้อนระอุ กงยูร่วมมาถ่ายแบบในวันนี้เพื่อแบ่งปันภาพในแบบสวนหลังบ้านกับเรา

เค้าพูดคุยอย่างเป็นกันเองกับช่างภาพที่รู้จักกันมานานและเค้าก็พร้อมสำหรับการถ่ายแบบครั้งนี้มาก ธีมคือพี่ชายข้างบ้านที่ไม่ต้องห่วงเรื่องการทำงาน ฉันเลยเพิ่มชอตที่จะต้องสูบบุหรี่เข้ามา เค้ายิ้มและถ่ายทำอย่างสบายอกสบายใจ เมื่อถ่ายชอตนึงจบลงและมีการพัก ฉันพูดคุยเล่นมุขกับเค้าอย่างเป็นกันเอง อาจจะเป็นเพราะเค้าทำงานอยู่ในวงการแสดงมากว่า 15 ปีทำให้เราคุ้นเคยกันยิ่งกว่าคุ้นซะอีก และเหล่าทีมงานต่างก็คุ้นเคยและรู้นิสัยใจคอสิ่งที่เค้าชอบไม่ชอบเป็นอย่างดี 

แต่เมื่อพูดถึงเรื่องงานงานที่หลากหลายของเค้าทำให้เราไม่อาจจะเรียกว่าคุ้นเคยได้เลย จากพระเอกละครรักโรแมนติกเลิฟคอมเมดี้ มาถึงบทบาทที่จะต้องต่อสู้โชว์ความแข็งแกร่งของร่างกาย มาถึงพระเอกที่แฝงความเศร้าของหัวใจไว้ในดวงตา และฤดูร้อนนี้เค้ากลายมาเป็นคุณพ่อที่ต้องต่อสู้ปกป้องลูกสาว ใน Train to Busan และยังรับบทเป็นทหารรับจ้างในยุคที่เกาหลีเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น และอีกไม่นานเค้าจะกลายเป็นก็อบลิน รายชื่อผลงานที่ผ่านมาล้วนแล้วแต่น่าอิจฉา แต่เค้ากลับมีจุดที่ละอายใจและความผิดหวังพูดออกมาอยู่ตลอดที่ให้สัมภาษณ์แทนที่จะพอใจในความสำเร็จที่ได้รับ 

เป็นเพราะตัวเค้ายังคงคิดคำนวณและพยายามทบทวนตัวเองอยู่เสมอเพื่อจะได้ภาพนักแสดงที่สมบูรณ์แบบในแบบที่เค้าตั้งเป้าหมายเอาไว้


“Busan Train” เป็นหนังซอมบี้ ที่มีเนื้อเรื่องแตกต่างไปจากภาพยนตร์ทั่วๆไปของเกาหลีนะคะ

ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มีการสร้างภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เกี่ยวกับซอมบี้ขึ้นมาหลังจากที่มีหนังสั้นเกี่ยวกับซอมบี้พวกนี้ออกมาก่อนหน้านี้ครับ ดังนั้น ผมเลยคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ควรค่าต่อความท้าทายดี ผมเชื่อมั่นในความมั่นใจในตัวเองมากๆของผู้กำกับ Yeon Sang Ho ครับ เวลาที่คุณได้พบคนที่มีความมั่นใจในตัวเองขนาดนั้น มันอาจจะทำให้คุณรู้สึกอึดอัดได้แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถทำให้คุณรู้สึกดีได้ด้วยเช่นกัน ในกรณีของผู้กำกับ  Yeon Sang Ho คืออย่างหลังครับ ผลงานก่อนหน้านี้ของเค้าเป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นที่มีเนื้อหาต่อต้านสังคมอย่างรุนแรง ดังนั้นถึงแม้ว่าภาพยนตร์เรื่อง“Busan Train”จะถูกสร้างออกมาเป็นภาพยนตร์ที่มีคนเป็นผู้แสดง แต่ผมคิดว่ามันจะต้องเต็มไปด้วยความหมายที่ต่างออกไปแน่ครับ 

ตัวละครSukWooเป็นอย่างไงบ้างคะ?ดูเหมือนว่าตัวละครตัวนี้จะต้องผ่านความเปลี่ยนแปลงอย่างมากเลยหลังจากเกิดเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ในภาพยนตร์

ตอนแรกที่ผมอ่านบท Suk Wooเป็นตัวละครที่ซ้ำซากจำเจตัวนึงครับ คุณพ่อที่จะต้องปกป้องลูกสาวจากซอมบี้ พูดตามตรงนะครับตอนที่ผมเลือกที่จะรับแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมถูกดึงดูดจากโปรเจคภาพยนตร์เรื่องนี้มากกว่าจะถูกใจในบทของ Suk Woo ครับ ผมอยากจะใส่อะไรบางอย่างลงไปในบทของ Suk Woo อะไรที่มันจะทำให้ตัวละครนี้ก้าวข้ามความซ้ำซากไป เป็นเพราะมันไม่ได้ปรากฏอยู่ในฉากมันจึงเป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องใส่มันลงไปให้เข้ากับตัวละครที่ผมไม่เคยเป็นมาก่อนในภาพยนตร์แบบนี้ ซึ่งผมคิดว่าตัวเองไม่ได้ทำมันออกมาครับ ในฐานะนักแสดง ไม่มีทางเลยที่ผมจะพอใจเต็มที่กับโปรเจคนี้ได้ ดังนั้นในแง่มุมนี้ของภาพยนตร์เรื่อง Busan Train มันเป็นอะไรที่ผมรู้สึกเสียใจและละอายใจครับ ผมข้องใจว่ามันจะไม่ดีกว่านี้เหรอถ้าผมจะลองสวมบทบาทตัวละครนี้ด้วยสไตล์ที่ต่างไปอีกนิด แค่นิดเดียวก็ยังดี

คุณมีคำตัดสินในเรื่องการแสดงของตัวเองทันทีเลยนะคะเป็นเพราะคุณเป็นนักแสดงมาแล้ว 15 ปีมันเลยทำให้คุณมีจิตวิญญาณที่อิสระที่จะคิดแบบนั้นรึเปล่าคะ?

ไม่นะครับ ผมไม่สามารถจะมีจิตวิญญาณที่อิสระและคิดเสรีแบบนั้นได้ ผมคิดว่าผมห่างจากจุดนั้นมามากกว่าที่ผมจะจินตนาการได้ซะอีกเมื่อผมอายุมากขึ้น ในตอนที่ผมเริ่มแสดง ผมห่วงว่าผู้คนจะตัดสินการแสดงของผมออกมายังไงซึ่งมันทำร้ายผมมาก ยังไงก็ตามเมื่อเวลาผ่านไป ความคิดของผู้คนเหล่านั้นก็สงบลงผมคิดแค่ว่าผมไม่ควรจะไปใส่ใจอะไรแบบนั้นขอแค่เดินตามทางของตัวเองก็พอ ผมคิดว่าความคิดแบบนี้ในตัวเองจะยิ่งมั่นคงขึ้นเรื่อยๆเมื่อผมอายุมากขึ้นแต่มันกลับไม่เป็นแบบนั้นครับ ผมถูกเหวี่ยงให้ห่างจากความคิดนั้นไปไกลกว่าที่ตัวผมเองจะจินตนาการได้และถูกเหวี่ยงอีกรอบถ้าไปคิดถึงมันอีก ผมรู้สึกว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้ ไปๆมาๆตลอดกาลครับ  

เป็นเพราะคุณเคยประสบกับช่วงที่ตกต่ำรึเปล่าคะ?

ผมมักจะทำงานหนึ่งต่อจากอีกงานหนึ่งต่อเนื่องไปเสมอครับ ดังนั้นผมจะไม่เรียกว่ามีช่วงที่ตกต่ำแต่ผมคิดว่าผมกำลังเจอช่วงที่ลำบากมากกว่า พูดตามตรงนะครับ ผมแสดงต่อเนื่องไปเรื่อยๆโดยที่ไม่ได้หยุดพักเลย ถ้าคุณลองดูความเร็วที่แต่ละโปรเจคของผมออกสู่สายตาสาธารณชน คุณจะเห็นว่ามันเร็วมากจริงๆนะครับ ผมไม่อยากจะชะลอเวลาแล้วใช้เวลาของผมไปกับการย้อนดูโปรเจคที่ผ่านมา แต่ตอนนี้ผมรู้สึกเป็นครั้งแรกว่ามันชักจะมากเกินกว่าที่ตัวผมจะรับไหวแล้วละครับ 

ผมคิดว่าเป็นเพราะตัวผมเองมักจะรู้สึกว่าตัวเองขาดพลังและไม่มีความมั่นใจในตัวเอง แทนที่จะตื่นเต้นและกระตือรือร้น ผมกลับระมัดระวังและไม่สามารถที่จะดูภาพยนตร์ที่ตัวเองแสดงได้อย่างมั่นใจเลย ในตอนที่ภาพยนตร์ฉายรอบปฐมทัศน์ที่ Cannes ผมไม่เคยบรรยายความรู้สึกของตัวเองออกมาแต่ในตอนนั้นหัวใจของผมเต้นแรงอย่างบ้าคลั่งผมกลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับฉากที่ผมไม่สามารถที่จะแสดงออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ความรู้สึกของผมไปถึงจุดนั้นดังนั้นมันทำให้ผมรู้สึกละอายใจเล็กน้อยกับมันครับ ผมไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากผมไม่ได้เปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองออกมาแบบนี้ แต่มันก็เป็นความจริงครับ 

คุณตั้งเป้าหมายเกี่ยวกับตัวเองไปจนถึงจุดนั้นเลยมันดูยิ่งโหดร้ายนะคะ?

ผมพยายามที่จะเป็นคนแบบนี้ครับ ผมไม่ใช่คนประเภทที่จะตามใจตัวเอง เมื่อผมอายุมากขึ้นผมถึงรู้สึกว่าตัวเองเริ่มที่จะหลงใหลจมดิ่งไปกับงานของตัวเองได้ ผมเกลียดที่จะมานั่งวิจารณ์ตัดสินการแสดงของตัวเอง มันทรมานครับ แต่ผมคิดว่ามันเป็นความทรมานที่คุณจะต้องใช้ชีวิตอยู่กับมันในเมื่อคุณเป็นนักแสดง การแสดงมันยากลำบากขึ้นเมื่อคุณอายุมากขึ้นครับ

ชีวิตนักแสดงเป็นยังไงบ้างคะ? มันมีความแตกต่างออกไปไม๊คะในตอนนี้ที่คุณอยู่ในช่วงอายุ 30 มันมีอะไรต่างจากช่วงที่อายุอยู่ในช่วง 20 บ้างไม๊?

ตอนที่ผมอายุอยู่ในช่วง 20 ผมอยากจะอายุ 30 เร็วๆครับ คือ แต่ว่าการที่คุณเติบโตขึ้นอายุมากขึ้นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะคิดอะไรออกได้ทุกอย่าง ผมเคยคาดหวังเอาไว้คร่าวๆว่าการที่ผมอายุมากขึ้นจะทำให้ผมสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ผมต้องเผชิญอยู่ได้ดีกว่าที่ผมกำลังรับมืออยู่ในตอนนี้ ผมคิดว่าการที่อายุมากขึ้นหมายความว่าผมจะสามารถยืนอยู่ต่อหน้ากล้องและรู้สึกถึงความรู้สึกต่างๆที่ผมไม่อาจจะบรรยายได้ ผมนี่มีความคิดในเชิงบวกมากเลยเนอะครับ(หัวเราะ) ผมคิดนะครับ การแสดงเป็นการต่อสู้ที่ไร้จุดจบ 

น่าประหลาดใจนะคะ ฉันรู้สึกว่าผลงานของคุณมันกว้างขึ้นลึกซึ้งขึ้นนะคะ หมายถึงคุณสวมบทบาทเป็นตัวละครที่เติบโตขึ้น กว้างขึ้น แตกสาขาไปในแนวที่แตกต่างมากขึ้น มันไม่ใช่สิ่งที่น่าพอใจหรือรู้สึกภูมิใจกับมันหรอกเหรอคะ?

ผมไม่อาจจะพูดได้ว่าผมตัดความโลภที่จะมีรายชื่อผลงานของตัวเองดีๆออกไปได้เวลาที่ผมเลือกภาพยนตร์ที่จะแสดง แต่รายชื่อผลงานนั้นก็ไม่ใช่ทุกอย่าง ผู้คนอาจจะคิดว่าผมกำลังสร้างรายชื่อผลงานที่สมบูรณ์แบบอยู่คือรับแต่ภาพยนตร์ที่โปรไฟล์ดีๆ แต่เอาจริงๆแล้วผมไม่เห็นว่ารายชื่อพวกนั้นจะนำมาซึ่งความสมบูรณ์แบบนะครับ สิ่งที่ผมคิดและวิธีที่ผมจะจัดการกับความคิดเห็นของผู้คนเป็นคำถามที่ตามมา ผมไม่คิดว่าความตั้งใจของผมในขณะที่จะเลือกชิ้นงานนั้นจะเปลี่ยนไปตามคำตัดสินดีๆของผู้คนที่ผมจะได้รับ ผลตอบรับจากชิ้นงานที่สมบูรณ์แล้วไม่ได้เปลี่ยนความพอใจของผม

มันมีอะไรหลายอย่างที่ผมไม่พอใจกับมัน ความโศกเศร้าที่ผมต้องเอาชนะ การที่ผมไม่สามารถที่จะไปให้ถึงจุดมาตรฐานที่ผมตั้งเอาไว้ได้ แม้ว่าภาพยนตร์จะกลายเป็นหนังฟอร์มยักษ์ที่ประสบความสำเร็จทำรายได้งดงาม ก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดว่า " นี่ไม่ใช่บทที่คนอย่างเราจะทำไม่ได้นี่นา" ในส่วนตัวผมเอง ผมคิดว่าผมจะจดจำภาพยนตร์เรื่อง “Busan Train” และ “The Age of Shadows” ว่าเป็นงานที่ทำให้ผมมีความกังวลดังที่กล่าวมาครับ 



สำหรับนักแสดงแล้วคงไม่มีงานไหนที่จะไร้ความหมายนะคะ ภาพยนตร์เรื่อง “Busan Train” มันเปี่ยมไปด้วยความหมายยังไงสำหรับคุณคะ?

ผมอยากที่จะแสดงในเรื่องนี้เพราะมันมีธีมที่เกี่ยวกับซอมบี้ครับ ผมอยากจะปกป้องตัวเอง อยากจะต่อสู้ ผมไม่คิดว่าตัวเองจะมีความโลภหรือคาดหวังอะไรที่เจาะจงจากภาพยนตร์เรื่องนี้นะครับเพราะถ้าผมมีมันคงจะเดินไปตามทางที่คนอื่นลังเลที่จะรับ ผมก็เหมือนกัน หากภาพยนตร์ฉายรอบปฐมทัศน์แล้วผลตอบรับออกมาดี คำวิจารณ์ดีๆก็จะตามมาใช่ไม๊ครับ?? มันเป็นความท้าทายดีนะครับเป็นความท้าทายที่กล้าหาญ คำพูดอะไรแบบนั้น ผมคิดว่าผมจะมองว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นความท้าทายที่มีความความหมายสำหรับผมเมื่อผมย้อนกลับมาทบทวนความคิดของตัวเองในอนาต 

ในภาพยนตร์คุณต่อสู้เพื่อปกป้องลูกสาวของคุณ คุณเคยต้องต่อสู้อย่างหนักเพื่อปกป้องใครหรืออะไรบ้างไม๊คะในชีวิตจนกระทั่งตอนนี้?  

การแสดงเอาเวลาส่วนใหญ่ในชีวิตของผมไปหมดเลยละครับ ดังนั้นผมไม่เคยหยุดที่จะพยายามรักษาคุณค่าและความเชื่อมั่นของผมในการแสดงเอาไว้ การที่มีชีวิตอยู่ในฐานะนักแสดง ในฐานะคนสร้างสรรค์ความบันเทิงทำให้ผมกังวลว่าผมจะเข้าใกล้กับภาพที่ตัวเองจะต้องแสดงออกมาได้ยังไงเมื่ออายุมากขึ้น มันมีภาพที่สาธารณชนต้องการที่จะเห็นและมีภาพที่ตัวผมเองอยากจะเห็น ผมคิดว่าผมมักจะใส่ใจในการหาความสมดุลระหว่างสองจุดนี้เสมอ อืมม คำว่า "ลงตัว" น่าจะสร้างความเข้าใจผิดอยู่นะครับ คือผมหมายถึงว่า ผมพยายามที่จะไปให้ถึงภาพที่ผู้คนคาดหวังไว้ในขณะเดียวกันก็ยังคงสามารถเลือกในสิ่งที่ตัวเองต้องการจะทำด้วยได้ ณจุดนึง ในอนาคต เวลาที่ผู้คนจดจำผม ผมหวังว่าพวกเค้าจะมองไปที่ภาพรวมที่ตัวผมได้สร้างขึ้นมาจนเสร็จสิ้นสมบูรณ์ครับ 

อยากจะรู้จริงๆนะคะว่าภาพแบบไหนที่คุณกำลังสร้างอยู่ในใจคุณตอนนี้?

บางครั้งผมจะอ่านบทสัมภาษณ์เก่าๆของตัวเองและคิดว่าผมอวดดีมากเกินไปในวิธีที่ผมพูดในตอนที่ผมยังเป็นเด็ก เวลาที่ผมอ่านบทสัมภาษณ์เก่าๆเหล่านั้นผมจะคิดกับตัวเองว่าตอนนั้นเด็กจริงๆ บางครั้งผมพบว่าตัวเองน่ารัก บางครั้งบางคำถามก็ทำให้ผมประทับใจจริงๆ วิธีที่ผมจะบรรยายตัวเองนั้นเปลี่ยนไปนิดนึงครับ แต่ความคิดที่ผมมีต่อเรื่องการแสดงและทำไมผมถึงมีความสุขที่ได้ทำมันยังไม่เปลี่ยนแปลงครับ ผมไม่อยากที่จะรีบก้าวไปข้างหน้าเพียงเพื่อการแสดง แน่นอนว่าการแสดงทำให้ผมมีเงินเยอะ และ ทำให้ผมมีชื่อเสียงซึ่งมันสิ่งที่ผมรู้สึกขอบคุณนะครับ แต่ยังไงก็ตามผมอยากจะเติมเต็มชีวิตการแสดงของผมด้วยความสัตย์จริงมากกว่าความสำเร็จที่เกิดจากการค้าและโฆษณา

นี่คือเหตุผลสินะคะ นอกจากในภาพยนตร์หรือละครแล้วที่เราไม่ได้เห็นคุณบ่อยๆก็เพราะแบบนี้ ฉันหมายถึงว่า ระยะหลังนี้เราไม่เห็นคุณตามรายการวาไรตี้หรืออีเว้นซ์ใดๆเลย 

พูดตามตรงนะครับ ผมระมัดระวังคำพูดของผมมากครับ ในตอนที่ยังเป็นเด็ก ผมเปิดเผยรสนิยมและความคิดของตัวเองออกมาอย่างตรงๆเพราะในตอนนั้นผมเต็มไปด้วยหลงใหล ยังไงก็ตามแต่ คำพูดก็สามารถที่จะถูกแปลความหมายผิดๆไปได้อย่างง่ายๆและสร้างความเข้าใจผิดขึ้นมาได้ สิ่งที่ผมจำเป็นต้องทำเพื่ออะไรบางอย่างทั้งๆที่ผมยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับมันมากพอมันไม่สนุกเลยครับและผมไม่อยากจะทำด้วย แต่ยังไงก็ตามผมไม่อาจจะพูดเผื่อไปถึงในอนาคตนะครับ เอาเป็นว่าแค่ในตอนนี้ก็แล้วกัน ผมอาจจะจบลงที่การทำรายการวาไรตี้หลังจากที่ตัวเองบอกว่าไม่ชอบก็เป็นได้ งานของผมไม่ใช่อะไรที่ผมจะสามารถทำทั้งหมดด้วยตัวของผมเองได้ ผมต้องมีความประนีประนอมเพราะมันเป็นงานที่เกี่ยวกับการทำงานร่วมกับคนอื่น ผมจะมาหัวดื้ออยู่ไม่ได้ มันไม่ใช่การขีดเส้นระหว่างอะไรที่ดีหรืออะไรที่แย่ แต่ผมอยากจะเดินไปบนทางที่ผมชอบและเข้ากับผม แต่ระหว่างทางเดินนั้นก็ย่อมต้องมีการประนีประนอมเกิดขึ้น ดังนั้นผมคิดว่าผมต้องเดินต่อไปข้างหน้าในขณะที่จูงใจตัวเองให้ลงมือทำไปด้วย ตอนนี้ผมพยายามที่จะเปิดรับการเปลี่ยนแปลงแม้ว่ามันจะไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากจะก้าวไปหาก็ตาม ครับ 


คุณจะเริ่มถ่ายทำละคร เรื่อง “Goblin” เร็วๆนี้แล้ว ว่าแต่เรื่องราวของก็อบลินในปี 2016 เหรอคะ?? 
ครับ ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันครับ (หัวเราะ) บทยังไม่ออกมาครับ ดังนั้นผมเลยจินตนาการไม่ออกว่ามันจะเป็นยังไง  ผมไม่รู้ว่าอะไรที่ผู้เขียนกำลังจะสร้างออกมาผมคิดเรื่องนี้เยอะมากจนตอนนี้มันเริ่มส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของผมแล้วละครับ การต้องทำการตัดสินใจมันเหนื่อยมาก พูดตามตรงคือ ผมชอบเนื้อเรื่องที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงมากกว่าที่จะอยู่ในจินตนาการนะครับ บทบาทของผมในเรื่อง “A Mand and a Woman”, “Busan Train” และ “The Age of Shadows” ทำเอาผมจะเสียสติครับ และเหมือนกับผมกำลังโดนทรมานอยู่เลย รู้สึกเหมือนกับว่าวิ่งไปชนกำแพงยังไงยังงั้น แต่โดยที่ไม่รู้ตัวผมกลับรู้สึกมีความอิ่มเอมขึ้นในใจนะครับซึ่งผมจะใช้ชีวิตด้วยความรุนแรงแบบนั้นไม่ได้ 

ผมใช้เวลาในการทำสมาธิ ผมคิดว่าผมควรเคร่งครัดกับตัวเองอีกนิดและพยายามไม่กังวลว่าจะต้องละอายใจทีหลังมากขึ้น ผมต้องการโอกาสที่จะรู้สึกอิสระอย่างแท้จริงและหึกเหิมอย่างที่ไม่ต้องกลัวจะละอายใจทีหลัง หากเทียบกับภาพยนตร์แล้วละครจะมีตารางงานที่แน่นและต้องใช้เวลาในการถ่ายทำมากกว่าต้องลงเวลาให้กับมันเยอะ ผมคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ผมต้องการในขณะนี้  ละครในแนวแฟนตาซีแบบนี้เป็นอะไรที่ผมกลัวมาตลอด แต่ผมตัดสินใจที่จะเชื่อผู้เขียนครับ ผมสงสัยว่าถ้าไม่มีสถานการณ์ใดๆมาทำให้ผมรู้สึกสนุกสนานได้ มันก็เหมือนกับผมไม่ได้รับอนุญาติให้ทลายกำแพงในตัวเองลงได้ 

การทำงานแสดงเป็นการเพิ่มความเจ็บปวดหรือเพิ่มช่วงเวลาที่มีความสุขให้คุณคะ?
ดูเหมือนจะเพิ่มความเจ็บปวดนะครับ 

คุณเคยรู้สึกเสียใจไม๊คะที่เลือกมาเป็นนักแสดง?
มีช่วงเวลาที่ผมรู้สึกเสียใจครับ แต่ตอนนี้ผมไม่มีอะไรต้องเสียใจแล้วครับ การมีชีวิตอยู่ในฐานะนักแสดงได้มอบอะไรหลายๆอย่างให้กับผม ซึ่งผมไม่ตระหนักเห็นมันในตอนที่ผมยังเด็ก ผมคิดว่าผมควรจะใชัชีวิตอยู่ตามคุณค่าในตัวเองและจุดมุ่งหมายของตัวเอง มันไม่จำเป็นเลยที่จะใช้ชีวิตอยู่และเปรียบเทียบชีวิตตัวเองกับคนอื่น สิ่งที่ชัดเจนเลยคือ งานการแสดงเป็นอาชีพที่โดดเดี่ยว ความเหงานี้ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นและผมก็เรียนรู้ที่จะเอาชนะก้าวผ่านมันไปได้ ผมแข็งแกร่งขึ้น ซึ่งผมไม่ได้คิดถึงความเหงานี้ในแง่ที่มันเป็นสิ่งเลวร้าย อย่างเดียวหรอกครับ

คุณรับงานแสดงต่อเนื่องจากโปรเจคหนึ่งไปอีกโปรเจคหนึ่งโดยไม่ได้พักเลย คุณคงเหนื่อยมากนะคะ
ผมไม่ชอบคำพูดที่ว่า "ต้องตีเหล็กในขณะที่กำลังร้อน" คือจนถึงตอนนี้ผมก็ยังคงหาทางที่จะพักผ่อนในจุดจุดนึงระหว่างรับงานไป2-3โปรเจคนะครับ เมื่อผู้คนพูดถึงนักแสดงที่ทำงานแบบไม่หยุดเลย ผมก็ยังคงแบ่งรับแบ่งสู้นะครับเพราะผมยังคงจัดการทำงานในแบบปานกลางและพักเล็กน้อยในช่วงต่อโปรเจค แต่หากพูดถึงในช่วงนี้คือผมอยากที่จะทำงานเหล่านี้จริงๆเพราะมันเป็นงานที่เสนอมาให้กับผมและผมไม่อยากจะให้โอกาสมันหลุดลอยไปครับ ถึงแม้ว่ามันจะสร้างความยากลำบากให้กับร่างกายแน่ๆก็ตาม

ผมเคยชินที่จะให้เวลาที่จะเป็น"ผม"อยู่เสมอเพื่อชาร์ตพลังของผมให้กลับมา ซึ่งตัวผมไม่ต้องการที่จะทำอะไรเป็นพิเศษเพื่อจะเรียกพลังกลับมาเลยละครับแค่เวลาที่เป็นตัวเองก็พอ

เหมือนกับ "การทิ้งระยะห่าง" ที่เราได้คุยกันไปคร่าวๆในตอนที่ถ่ายภาพรึเปล่าคะ?
โลกนี้เป็นโลกที่ยุ่งเหยิงนะครับ พวกเราก็ควรที่จะจำเป็นต้องมีบางเวลาที่ไม่ต้องคิดอะไรเลยบ้างรึเปล่าครับ?ยังไงก็ตาม ผมต้องระวังในการที่จะพูดแบบนี้นะครับเนี่ย เพราะว่าอาจจะถูกมองว่าหยิ่งก็ได้

คุณนี่ระมัดระวังในสิ่งต่างๆเยอะมากจริงๆ (หัวเราะ)
เมื่อผมอายุมากขึ้น ผมกลายเป็นระมัดระวังในทุกๆอย่างครับ ความคิดเห็นของผู้คนนั้นกลายเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากหลายสิ่งหลายอย่างถูกบิดเบือนไปในช่วงเวลาอันสั้น มันเป็นโลกที่ไม่ง่ายเลยที่จะยอมรับสิ่งต่างๆในแบบที่มันควรจะเป็น ผมกลายเป็นคนที่พูดน้อยลง ผมไม่ใช้สื่อ SNS มันน่าอายนะครับที่จะอัพโหลดรูปและขอให้ผู้คนเข้าไปดูมัน และผมคิดว่าผมคงจะต้องเป็นคนที่มานั่งกังวลเรื่องตัวเลขของคนฟอลโล่วแน่ๆถ้าหากว่าผมเริ่มที่จะใช้SNS การที่ใช้โซเชี่ยลมีเดียเพื่อแบ่งปันความคิดของผมและจากนั้นคำพูดของผมก็ถูกนำไปบิดเบือนจากผู้คนนับไม่ถ้วนที่ผมไม่รู้จักด้วยซ้ำ ความจริงที่ว่าคนแต่ละคนต่างก็มีการตีความกับสิ่งที่เห็นต่างกันไปมันคือสิ่งที่ทำให้ผมกลัว

แทนที่จะใช้ SNS ผมชอบที่จะดื่มและพูดคุยกับคนที่รู้จักผม คนที่เชื่อในผม คนที่ไม่แปลสิ่งที่ผมพูดออกไปไปในทางที่ผิดๆ คนที่รับฟังเรื่องราวในแบบที่พวกเค้าได้ยิน 


อยากรู้จริงๆนะคะว่าภาพที่สมบูรณ์ของคุณจะดูเป็นยังไงและในชีวิตประจำวันธรรมดาคุณจะเป็นยังไง?
ผมดูหนังอยู่ที่บ้าน เลี้ยงแมว เวลาทั้งหมดของผมถูกใช้ไปแบบนี้ครับ แม้ว่ามันจะดูน่าเบื่อและไม่ตื่นเต้นแต่ผมคิดว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ผมต้องการมากที่สุดครับ เมื่อคุณทำอะไรบางอย่างซ้ำแล้วซ้ำอีก มันจะทำให้คุณผ่อนคลายจากความเครียดแต่สำหรับผมมันไม่ใช่ครับ ผมชอบที่จะออกกำลังด้วย การออกกำลังและทำให้เหงื่อออกเป็นชีวิตประจำวันของผม ผมชอบการออกกำลังกายมาเสมอและมันคือหนทางที่จะจัดการกับตัวเองอย่างเคร่งครัด ผมคิดว่าการออกกำลังกายมันคือความสำเร็จในการได้มาในสิ่งที่คุณต้องการโดยอาศัยน้ำพักน้ำแรงที่คุณลงไปล้วนๆแบบไม่มีเรื่องของโชคชะตามาเกี่ยวข้อง ผมไม่ชอบใช้ลูกเล่นใดๆทั้งนั้น ผมชอบการเข้าหาแบบตรงไปตรงมามากกว่า ผมคิดว่าการออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ยากจะสำเร็จได้หากปราศจากความพยายาม เร็วนี้ๆผมเริ่มที่จะเล่นบาสเกตบอล1ครั้งต่ออาทิตย์กับคนจากเอเจนซี่เดียวกัน จนถึงจุดหนึ่งผมรู้สึกสนุกกับการเล่นบาสแบบนี้มากกว่าไปดื่ม ในตอนเช้าผมตื่นแต่เช้าเหมือนคุณลุงที่อยู่ในวัยเดียวกับผมและดูmajor leagues ที่มีผู้เล่นชาวเกาหลีชั้นยอด และช่วงนี้จะชอบดู NBA เป็นพิเศษครับ (หัวเราะ)  

ปีนี้คงเป็นปีที่หนักหนาสำหรับคุณนะคะเนี่ย 
ผมคิดว่าการทำงานเป็นทั้งหมดที่ผมทำทั้งในปีที่แล้วและในปีนี้ครับ หากผลักความคิดเรื่องที่ผมยังมีความผิดหวังอยู่บ้างในการแสดงของตัวเองออกไป จริงๆแล้วผมก็อยากจะปรบมือให้กับตัวเองดังๆสำหรับงานหนักที่ผ่านมา ผมประสบความสำเร็จในสิ่งที่ผมกระตือรือร้นอยากจะทำ โชคเข้าข้างผมมากๆที่ผมสามารถที่จะทำโปรเจคที่ยิ่งใหญ่ออกมาได้อย่างดี ผมคิดว่าปีนี้คงเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขในชีวิตของผมเพียงเพราะว่าผมยังคงได้ทำงานอย่างต่อเนื่องในโปรเจคที่ผมอยากจะทำครับ

English Translation by @thesunnytown – thesunnytown.wordpress.com
Thai Translation by miss mew
Source:www.marieclairekorea.com