วันอังคารที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2560

สัมภาษณ์ แทยังจากนิตยสาร GQ ฉบับเดือน ธันวาคม 2017


ใช้ชีวิตอย่างดวงตะวัน 

การใช้ชีวิตตามอย่างแทยัง ไม่ใช่การใส่แต่ชุดนอนและอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่เป็นระเบียบเรียบร้อยและมีสวนอย่างในรายการ  “I Live Alone” หรอกค่ะ แต่เป็นการใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางเสียงดนตรีโดยที่ไม่มีการชะงักสงสัยในเรื่องใดๆทั้งนั้นด้วยความ"หลงใหล"ที่เต็มเปี่ยม


GQ : เราได้อ่านสัมภาษณ์ที่ผ่านมาของคุณที่ให้ไว้กับทาง GQ ทั้งหมดแล้วฉันสังเกตว่าคุณมักจะพูดเก้ี่ยวกับเรื่องแผนการในอนาคตซะเป็นส่วนใหญ่ คุณเคยพูดไว้ว่าคุณจะตกหลุมรัก คุณจะทัวร์คอนเสริต์ไปรอบโลก คุณจะออกเพลงใหม่ออกมาโดยจะเน้นไปที่เสียงของคุณล้วนๆ ดูไปแล้วคุณได้ทำทุกอย่างที่คุณเคยพูดว่าจะทำได้อย่างสำเร็จนะคะ
YB : ใช่ไม๊ครับ? 5555+ ผมค่อนข้างประหลาดใจนะครับตอนที่คุณพูดถึงมันขึ้นมา ในตอนนั้นผมพูดเรื่องพวกนี้ออกมาเองจริงๆแหละครับ

GQ :มีอะไรที่อยากจะทำให้ประสบความสำเร็จอีกไม๊คะ?

YB : หากจะมองไปในเรื่องของเสียงเพลง ท้ายที่สุดแล้วตอนนี้ผมได้ข้อสรุปของเสียงเพลงที่สามารถจะสะท้อนชีวิตของผมออกมาและทำให้ผู้คนมีความรู้สึกที่สามารถเกี่ยวโยงมากขึ้นถึงความเป็นดนตรีและความจริงใจของผมที่อยากจะสื่อออกมาครับ ยิ่งผมลงมือทำงานเพลงมากเท่าไหร่ผมก็ยิ่งรู้สึกมากเท่านั้น ผมไม่ได้มั่นใจนักหรอกครับว่านี่เป็นความรู้สึกที่แท้จริงรึเปล่า แต่ผมคิดว่าเรื่องราวในชีวิตของผมจะต้องมีสำคัญเป็นอันดับ 1 ผมรู้สึกว่าผมจะสามารถทำเพลงที่ดูเป็นของแท้ของผมจริงๆได้ เมื่อผมรู้สึกและได้เรียนรู้และได้แรงบันดาลใจจากเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมาเข้ามาในชีวิตของผม ผมไม่รู้ว่าการที่ทำแบบนี้มันเป็นสิ่งที่ถูกต้องไม๊สำหรับคนที่เป็นนักดนตรี แต่ผมอยากที่จะเป็นคนที่มีความเป็นผู้ใหญ่และผมรู้สึกว่าชีวิตของผมจะสะท้อนออกมาในทุกอย่างที่ผมแสดงออก

GQ : เมื่อก่อนไม่ได้ทำแบบนี้หรอกเหรอคะ?? อย่างเช่น เรื่องของเสียงเพลง เมื่อก่อนคุณแค่แสดงไปตามทางที่คุณรู้สึกว่ามันจะเหมาะกับการขึ้นแสดงในแต่ละครั้ง แบบนั้นเหรอคะ?
YB : ชิ้นงานมักจะต้องมาก่อนเสมอครับ เมื่อก่อนการที่จะต้องมีเพลงใหม่ออกมามักจะมีความสำคัญเป็นอันดับ 1ก่อนเสมอ ผมรีบเร่งที่จะออกผลงานชิ้นใหม่ออกมามากกว่าที่จะสะท้อนความคิดเห็นหรือตัวตนของผมออกมา แต่ถึงอย่างงั้นก็เถอะผมคงไม่ได้เป็นตัวผมในทุกวันนี้ถ้าไม่ได้ทำแบบนั้นมาก่อน

GQ : คุณเป็นคนที่ไม่ได้พยายามที่จะเป็นคนที่เหมาะกับรายการวาไรตี้แต่ในขณะเดียวกันคุณกลายเป็นคนที่ไม่ได้มีความอึดอัดเลยที่จะไปออกรายการประเภทนั้น ฉันว่านี่แหละคือ แทยัง ในตอนนี้
YB : ครับ ผมว่าถ้าผมเป็นตัวผมแบบในตอนนี้ ผมคงจะทำได้ดีมากกว่านี้ในรายการวาไรตี้ แต่ก็อีกครับผมว่าเป็นเพราะช่วงเวลาด้วย รายการวาไรตี้ในสมัยก่อนนั้นมักจะต้องแสดงออกเกินจริงและมีการใส่สีเติมไข่มาก ซึ่งมันเป็นปัญหาเป็นเรื่องหนักใจมากสำหรับผมเพราะมันไม่เหมาะกับผม แต่ตอนนี้ คนต้องการที่จะดูในสิ่งที่ทุกอย่างมันเป็นจริงไม่ได้แต่งเติม ที่ผมสามารถที่จะทำรายการวาไรตี้ได้ดีตอนนี้ก็เพราะ มันเป็นรายการประเภทตามไปถ่ายตามไปสังเกตการณ์แบบเรียลลิตี้โชว์มากกว่านะครับ


GQ : ช่วงที่คุณออกอัลบั้มเต็มอัลบั้มที่ 2 ของคุณ RISE ฉันรู้สึกว่าจู่ๆแทยังก็กลายเป็นแทยังคนที่เราเห็นปัจจุบันนี้ บนเวทีของบิกแบงคุณดูแตกต่างไปจากในอดีตเลย มันดูเหมือนว่าคุณเล่นสนุกอยู่บนเวทีจริงๆ
YB : จริงๆแล้ว ผมพยายามอย่างมากเลยละครับที่จะแสดงตัวตนของตัวเองออกมาและผมก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างธรมชาติ ผมไม่อยากจะบอกว่าตอนนั้นอายุเท่าไหร่แต่ช่วงเวลาก็เป้นเรื่องที่สำคัญที่ผมไม่อาจจะเพิกเฉยได้ คือ ความคิดของผมจู่ๆก็กลายเป็นความคิดที่เรียบง่ายและชัดเจนว่าจริงๆแล้วหลักและแก่นแท้มันคืออะไร

GQ : ฉันยังคงจำได้ว่า แทยังอยากที่จะทำอะไรบางอย่างแต่ก็ถูกบริษัทคัดค้านได้อยู่เลยละค่ะ ดังนั้นคุณคงต้องต่อสู้เพื่อที่จะเดินตามทางที่คุณอยากจะทำใช่ไม๊คะ? หรือว่านั่นก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย?
YB : ใช้เวลาถึง 4 ปีนะครับกว่าอัลบั้มเต็มอัลบั้มที่2ของผมจะเสร็จออกมาได้ เพราะผมและบริษัทมีเรื่องขัดแย้งกันอย่างรุนแรงมากตอนนั้น ดังนั้นผมไม่สามารถที่จะทำเพลงที่ผมอยากจะทำออกมาได้ สภาพจิตใจของผมเปลี่ยนไปมากหลังจากที่ออกเพลง ‘Eyes, Nose, Lips’. สไตล์เพลงของผมยังคงทำให้เกิดข้อขัดแย้งเรื่อยๆ อัลบั้มก็ถูกดีเลย์ออกไปเรื่อยๆ จากนั้นแผนการก็แตกเป็นเสี่ยงๆอีก ดังนั้น ผมเลยมานั่งคิดถึงเพลงในแบบที่ผมสามารถที่จะทำได้และเพลงนั้นก็ออกมาได้หลังจากที่ผมตัดสินใจว่าจะบอกเล่าเรื่องของตัวเองโดยที่ไม่สนว่าเพลงมันจะเป็นเพลงในแบบไหนแนวไหน ซึ่งผู้คนชอบเพลงนั้นกันมาก ดังนั้นผมเลยคิดว่าเพลงที่ดีจริงๆแล้วมันจะออกมาจากเรื่องเล่าที่จริงใจครับ

GQ : งั้นอัลบั้มเต็มชุดที่ 3 WHITE NIGHTเป็นอัลบั้มที่เป็นตัวคุณมากขึ้นสินะคะ?
YB : ในมุมมองที่ต่างกันก็ย่อมมีความแตกต่างเสมอครับ แต่ที่ผมคิดคือ อัลบั้มนี้ประกอบไปด้วยสิ่งที่ผมรู้สึกและรักในตอนนี้ ความเป็นลักษณะตัวตนของผมเกือบจะทั้งหมดอยู่ในอัลบั้มนั้น ผมทำในสิ่งที่ผมอยากจะทำเพื่ออัลบั้มชุดนี้ เกือบ 99 เปอร์เซ็นต์เลย ผมเรียนรู้ที่จะทำมันออกมาในระหว่างการทำอัลบั้มชุดที่ 2 สิ่งที่ผมเสียใจมากที่สุดคือ สัมพันธภาพ ผมมาตระหนักได้ว่าเหนือสิ่งอื่นใด สัมพันธภาพเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน ความสัมพันธ์กับบริษัท ทัศนคติที่ผมมีต่อผู้คนได้เปลี่ยนแปลงไป จริงๆแล้วผมเป็นคนที่ปิดกั้นมากๆ แต่ถ้าผมได้เปิดใจแล้ว การพบปะผู้คนก็จะเป็นไปตามธรรมชาติมากขึ้นสำหรับผมครัับ 

GQ : ฉันไม่แน่ใจว่า ในเรื่องสัมพันธภาพนั้นจะเป็นเรื่องง่ายที่จะเอาชนะได้นะคะ ฉันคิดว่าการมีความสัมพันธ์กับผู้คนนั้นเกือบจะเรียกได้ว่าต้องอาศัยพรสวรรค์เลยทีเดียว สำหรับแทยังมันเป็นยังไงคะ?
YB : ถ้าให้ผมอธิบายว่าผมรู้สึกยังไงออกมาอีก ผมจะกลายเป็นคนน่าเบื่ออีกแล้วนะครับ 555+ 

 

GQ : ถ้ามีคนมาถามว่า "คุณเปลี่ยนไปรึเปล่า??" คุณจะตอบพวกเค้าว่ายังไง??
YB : มีสิ่งที่เปลี่ยนไปครับ ผมสามารถบอกได้อย่างแน่นอนเลยว่ามันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีสำหรับผม
GQ : ในความคิดของฉัน มีสิ่งนึงที่ไม่เปลี่ยนแปลงเลยคือ ตัวคุณ คนที่ยังคงใช้คำว่า "ความจริงใจ" ฉันคิดว่าแทยังคนที่มีความหลงใหลที่บริสุทธิ์เหมือนเด็กคนนั้นยังอยู่
YB : ผมคิดว่าผมคงไม่สามารถจะทำเพลงได้อีกต่อไปแล้วละครับถ้าส่วนนั้นของผมเปลี่ยนแปลงไป มันเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับผมที่จะลงมือทำอะไรก็ตามที่ตัวผมไม่ได้ยอมรับมันหมดทั้งใจ หรือสิ่งที่ผมไม่ได้มีความหลงใหลในสิ่งนั้นเลยครับ

GQ : เร็วๆนี้คุณได้ไปดูแลเด็กฝึกที่จะปรากฏตัวในรายการ Mix 9 ด้วยมันเป็นยังไงบ้างคะ?เหมือนกับว่ามันจะเป็นการมีส่วนร่วมในช่วงเวลาสั้นๆไม๊คะเพราะรายการตัดเอาแต่ในส่วนที่คุณพูดให้กำลังใจมาออกอากาศ ดังนั้นฉันเลยไม่รู้เลยว่าจริงๆแล้วคุณรู้สึกยังไง
YB :  ผมก้มีความท้อแท้หมดหวังเหมือนกันในตอนที่ผมพยายามที่จะเป็นนักร้องและกระบวนการที่ทำให้ผมมาเป็นนักร้องได้ในตอนนี้ มัน ท้อแท้ หมดหวังมากจริงๆ เช่น ผมมักจะสงสัยในตัวเองและถามตัวเองตลอดว่า " ทำไมการมาเป็นนักร้องมันสำคัญกับผมมากขนาดนี้เลยเหรอ?? เราต้องทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ??" อีกอย่างนึงคือ มันจะช่วยได้มากเลยถ้าระบบมันจะช่วยออกแบบมาให้มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้นแต่ส่วนใหญ่แล้วมันคลุมเครืออยู่มากครับ เด็กฝึกแค่พยายามทำให้ดีที่สุดตามแบบที่ได้เรียนมา พวกเค้าแค่ทำงานอย่างหนักแบบไม่มีเงื่อนไขใดๆเลย พวกเค้าไม่ได้มานั่งคิดย้อนทบทวนหรือเตรียมพร้อมสำหรับการติดขัดต่างๆหรือเตรียมตัวสู้เลยว่า พวกเค้าอยากจะเป็นนักร้องแบบไหน จะร้องเพลงประเภทไหน การแสดงบนเวทีจะเป็นออกมาเป็นยังไง

GQ : คุณใช้คำว่า "ติดขัด" ดังนั้นฉันจะถามคุณในเรื่องนี้ ฉันคิดว่าคุณเป็นคนที่มีพลังงานเพื่อความหลงใหลล้วนๆและแน่นอนมีความแดดดาลอยู่ด้วยแน่นอน แต่ฉันไม่เคยเห็นแทยังโมโหมาก่อนเลยจนกระทั่งถึงตอนนี้
YB : มันแปลกใช่ไม๊ครับ ผมมีด้านนั้นในตัวครับแต่มันไม่เคยหลุดไปออกอากาศที่ไหน ผมจะไม่ใช่คนที่ขี้โมโหแต่ผมจะตรงมากๆ ในบรรดาสมาชิกวงผมเป็นคนที่พูดเรื่องแย่ๆให้กับพวกทีมงานมากที่สุด ซึ่งมันสามารถกลายเป็นความเย็นชามากๆได้เลยครับ จริงๆผมก็พูดจาแบบนั้นกับคนอื่นเวลาออกทีวีเหมือนกันนะครับแต่มันจะถูกตัดออกจนหมด จะมีแต่คำพูดที่อบอุ่นที่หลุดออกมาออกอากาศ ทีมงานเมื่อก่อนอาจจะรู้สึกว่าการทำงานกับผมมันยากมาก แต่ตอนนี้ผมเรียนรู้วิธีที่จะแก้ไขอะไรบางอย่างพร้อมๆกับพูดจาดีๆไปด้วยได้แล้วละครับ

GQ : อัลบั้ม WHITE NIGHT ดูจะเป็นแบบนั้นนะคะ แม้ว่าเพลงที่ดูเป็นเพลงเต้นทรงพลังก็ยังฟังอ่อนโยน
YB : ผมคิดว่ามันก็น่าจะสามารถให้ความรู้สึกแบบนั้นแหละครับ ยังไงก็ตามมันเป็นเพลงที่มีตัวตนและแนวของผมอยู่ 
GQ : ในอัลบั้มเพลงไหนเป็นเพลงโปรดของคุณคะ?
YB : ผมชอบพวกมันทั้งหมดเลยละครับ 555+ แต่ถ้าผมจะต้องเลือกแล้วละก็ผมขอเลือก Intro เหมือนกับที่ผมเลือก Intro ในอัลบั้มที่ 2 เหมือนกัน เพราะผมจะพยายามแสดงออกถึงแนวรวมภาพรวมของอัลบั้มทั้งอัลบั้มออกมาใน Intro ผมคิดว่า Intro เป็นเพลงที่แสดงออกถึงความเป็น White Night ได้มากที่สุดกว่าเพลงทั้งหมดในอัลบั้มนี้ครับ


GQ: ถ้าให้ฉันเพิ่มเติมละก็ ฉันจะบอกว่าเพลงสุดท้ายในอัลบั้มก็มีความสำคัญเท่าเทียมกับเพลงแรกในอัลบั้มของแทยังเหมือนกันนะคะ เพราะเพลงสุดท้ายมักจะประกอบไปด้วยการร้องที่ยอดเยี่ยม 
YB:เห็นด้วยครับ ผมมักจะใส่ภาพลักษณ์ที่ว่า พระอาทิตย์จะร้อนแรงที่สุดลงไปในเพลงสุดท้าย ผมไม่เคยจะยอมประณีประนอมเลยในเพลงแรกและเพลงสุดท้ายของผมในตอนที่ทำอัลบั้มที่ 2 ดังนั้นพวกมันจะบรรจุตัวตนและภาพรวมของอัลบั้มเอาไว้ครับ GQ:มีคนให้ข้อสังเกตมาว่า อัลบั้มนี้ออกจะดูสั้นไปนะคะ เหมือนกับอัลบั้มล่าสุดเรานับได้เหรอคะว่าเป็นอัลบั้มเต็ม??
YB : เห็นด้วยครับ มันน่าจะมีอย่างน้อย 10 เพลงเป็นอย่างต่ำ

GQ: คุณได้ตัดเพลงบางเพลงออกไปบ้างรึเปล่าคะ?
YB : ผมเอาเพลงบางเพลงออกไปครับ ในตอนทำอัลบั้มชุดที่ 2 แต่สำหรับอัลบั้มนี้ผมทำมันออกมาแบบนี้เลยครับ ในฐานะที่เป็นผู้สร้างสรรค์มันออกมา ผมพอใจที่ผมทำเพลงออกมาได้ 8 เพลงและใส่พวกมันทั้งหมดลงไปในอัลบั้ม มันอาจจะดีถ้าผมใส่เพลงลงไปเพิ่ม แต่ถ้าผมทำแบบนั้น ผมจะไม่สามารถออกวางแผงมันได้ในปีนี้ ผมเริ่มทำเพลงในช่วงต้นปีเลยและทำเพลงออกมาเดือนละ 1 เพลง ผมแทบจะไม่ได้พักเลย 

GQ : คุณเคยชินที่จะพยายามขัดเกลาและปรับแต่งเพลงไปเรื่อยๆแต่ตอนนี้คุณสามารถที่จะก้าวไปสู่ขั้นตอนต่อไปได้อย่างรวดเร็ว
YB:ในทางอาชีพแล้วถ้าผมไม่ทำแบบนั้นผมคิดว่ามันคงจะต้องใช้เวลานานมากกว่าที่จะถึงจุดที่ผมพอใจ ผมใช้เวลานานมากในการทำอัลบั้มชุดที่ 2 ของผมจากนั้นผมจะรู้สึกเหนื่อยและเบื่อที่จะฟังเพลงที่ผมทำออกมาตั้งแต่ต้น ผมจะเริ่มถามตัวเอง "นี่มันโอเคแล้วไม๊??" ซึ่งผมตระหนักว่าอาการติดขัดแบบนั้นมันไม่เป็นผลดีกับตัวผมครับ

GQ:คุณรู้สึกยังไงกับความจริงที่ว่า อัลบั้มนี้ได้รับการต้อนรับจากประเทศอื่นๆมากกว่าการต้อนรับในประเทศเกาหลี
YB: จริงๆผมดีใจนะครับกับคำชื่นชมที่มาจากต่างประเทศ 555+ แต่ผมก็อยากจะได้รับเสียงตอบรับที่ดีเช่นกันในประเทศเกาหลีเพราะผมเป็นนักร้องที่เป็นคนเกาหลีร้องเพลงเกาหลีนะครับ

GQ: ฉันคิดว่าแทยังเป็นนักร้องที่มีรสนิยมที่ดีในเรื่องเพลงนะคะ แต่การที่จะเข้าถึงแนวเพลงแบบเมนสตรีมนั้น พูดตรงๆก็คือ การตอบรับจากคนในประเทศเกาหลีนั้นสำคัญกับสิ่งนี้ด้วยเหรอคะ?
YB: มันไม่สำคัญหรอกครับว่าเพลงของผมจะได้รับความรักจากที่ไหนมากน้อย แต่จุดแข็งของผมนั้นผมร้องเพลงเกาหลี เสียงของผมมันมีส่วนที่ดีที่ฟังแล้วมันไม่ได้ฟังแล้วกระอักกระอ่วนสำหรับชาวต่างชาติเวลาที่ผมร้องเพลงเกาหลี ผมเติบโตมากับการฟังเพลงจากต่างประเทศก็จริงแต่อารมณ์ต่างๆของผมนั้นอยู่ที่เกาหลี มันอาจจะเป็นเรื่องยากมากขึ้นแต่มันเป็นสิ่งที่ดูใช่และดูดีกว่าที่ผมจะสามารถสร้างสมดุลที่ดีและทำให้เพลงของผมเป็นที่ยอมรับทั้งในและนอกประเทศ เอาจริงๆแฟนๆที่เป็นชาวต่างชาติของผมพวกเค้าร้องเพลงของผมตั้งแต่ต้นจนจบได้แม้ว่าพวกเค้าจะไม่สามารถเข้าใจความหมายของเพลงเลยก็ตาม ผมหวังนะครับว่าเพลงที่ผมร้องที่เป็นภาษาเกาหลีนี่จะได้รับการตอบรับที่ดีจากชาวเกาหลี

  
Q: คุณมักจะจับตามองนักร้องชาวเกาหลีอยู่ตลอด เพลงของใครคะที่คุณฟังอยู่ในช่วงนี้? 
YB : เพลงของรุ่นพี่You Jae ha ครับ ผมต้องการที่จะแสดงออกเพลงในแนวนี้ให้เป็นที่รู้จักในเทรนแนวเพลงในปัจจุบัน ในตอนที่ผมฟังเพลงในอัลบั้มเต็มอัลบั้มแรกของเค้าา มันบริสุทธิ์มาก แม้ว่ามันจะผ่านเวลามาเป็นเวลานานมากแล้วแต่มันยังสามารถทำให้เรารู้สึกเกี่ยวเนื่องได้   มันเป็นเพลงที่ทรงพลังและสามารถดึงเอาความรู้สึกออกมาขนาดนี้ได้และผมรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ที่เค้าทำเพลงแบบนี้ออกมาในยุคนั้น ผมคิดว่าวงการ KPop จะต้องแตกต่างออกไปจากนี้แน่ๆถ้าเค้ายังคงทำเพลงต่อไปจนถึงตอนนี้

GQ: มันน่าสนใจดีนะคะ ที่นักร้องที่เรียกได้ว่าเป็นนักร้องสายร้องที่ดีที่สุดในวงการตอนนี้ กล่าวชื่นชมอย่างมากให้กับนักร้องที่เพลงของเค้าถูกแบนเพราะถูกวิจารณ์ว่า ขาดทักษะในการร้องไป
YB: จริงเหรอครับ? น่าจะเป็นมาตรฐานในยุคนั้นนะครับ ผมรู้สึกว่ามันเป็นเพลงจริงๆโดยแท้สำหรับผมในตอนนี้ครับ จริงๆ เพลงมันอยู่เหนือการประเมินผลใดๆนะครับ คุณไม่สามารถที่จะเอามาตรฐานใดมาวัดได้ว่าดีไม่ดีแค่ว่า ทักษะการร้องมันไม่เข้าขั้น คุณเข้าใจที่ผมต้องการจะสื่อความหมายใช่ไม๊ฮะ??

Editor Kang Ji Young, Jung Woo Young
Photographer Hyung Sik Kim
Stylist Ji Eun
Hair Kim Tae Hyun
Makeup Lim Hae Kyung

Eng Translated by redsun for alwaystaeyang.wordpress.com
Thai Translated by Miss mew 

วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

Numero Talk Vol:29 กับแดซอง กุมภาพันธ์ 2017


"Talk" คือช่วงที่เราจะสัมภาษณ์พูดคุยกับนักแสดงชื่อดัง ศิลปิน และผู้สร้างสรรค์งาน 
ในหัวข้อ "on and off" ในเล่มที่ 29 นี้เราได้พูดคุยกับนักร้องและสมาชิกวงบิกแบง แดซอง 

เป็นเวลากว่า 10 ปีมาแล้ว บิกแบงได้เติบโตกลายเป็นวงที่มีความโด่งดังในระดับโลก ซึ่งในปีนี้เป็นปีที่ครบรอบพอดี แดซองในฐานะนักร้องนำประจำวงที่โปรยเสน่ห์ให้แฟนๆหลงใหลจากรอยยิ้มที่สดใส ได้เริ่มกิจกรรมในฐานะนักร้องเดี่ยวอีกครั้งหลังจากที่ห่างหายไป 2 ปี เค้ากำลังจะเปิดตัวอัลบั้มเดี่ยวที่มีเพลงที่เพิ่มความเร็วของจังหวะขึ้นมาอีกนิดและสามารถทำให้อารมณ์ดีขึ้นได้มาก และกำลังจะเริ่มการทัวร์คอนเสริต์ตามโดมต่างๆอีกด้วย 

ในวันนี้เค้าได้มาร่วมแบ่งปันความรู้สึกของเค้าในตอนนี้และความคิดของเค้าเกี่ยวกับงานดนตรีกับเรา

Numero:ก่อนอื่นเลยช่วยพูดถึง มินิอัลบั้มชุดใหม่ D-Day หลังจากที่เว้นไปกว่า2ปีของคุณหน่อยค่ะ คุณว่าอัลบั้มชุดนี้มีความพิเศษยังไงบ้างคะ?
Daesung: ถ้าจะเปรียบเทียบกับอัลบั้มชุดที่แล้ว D's Love สิ่งที่ผมเพิ่มเข้าไปคือแนวดนตรีที่เติบโตขึ้นครับ D-Day จะช่วยดึงอารมณ์ของทุกคนให้สดใสขึ้น เพลงที่มีความสดชื่นจะเข้ากับฤดูที่กำลังเริ่มที่จะอบอุ่นขึ้นได้เป็นอย่างดี ผมร่วมสร้างสรรค์เพลงกับศิลปินที่ผมชื่นชอบมากๆและฟังเพลงของพวกเค้ามาเยอะเลยละครับในอัลบั้มชุดนี้ 

Numero: คุณหมายถึงศิลปินอย่าง Yoshiki Mizuno จาก Ikimono Gakari , Motohiro Hata และ Ayaka อะไรที่เป็นตัวนำให้คุณขอให้ศิลปินที่เป็นตัวแทนของดนตรี pop ของญี่ปุ่นในตอนนี้เหล่านี้มาเขียนเพลงให้คุณคะ
Daesung:ตั้งแต่ที่ผมหยิบเอาเพลงของพวกเค้ามาร้อง cover ในอัลบั้มรวมเพลง cover ของผมผมก็เฝ้ารอที่จะทำงานร่วมกับพวกเค้าในการสร้างสรรค์เพลงใหม่ออกมาละครับ มันไม่ใช่แค่ว่าผมชื่นชอบเพลงของพวกเค้ามากๆเท่านั้นแต่ผมยังอยากที่จะได้พบปะพูดคุยกับพวกเค้าโดยตรงด้วยครับ ช่วงเวลาที่ผมต้องการก็เป็นช่วงเวลาที่ประจบเหมาะและโชคดีมากๆที่พวกเค้าต่างก็เห็นด้วยที่จะทำงานร่วมกับผม ซึ่งงานของเราก็เข้ากันได้อย่างราบรื่นครับ

Numero:คุณกำลังจะมีทัวร์คอนเสริ์ตเดี่ยวตามโดมที่ต่างๆด้วยอัลบั้มใหม่ชุดนี้ ช่วยบอกถึงแรงจูงใจของคุณหน่อยค่ะ
Daesung: ผมอยากที่จะจัดคอนเสริต์ที่ทุกๆคนร่วมลงมือทำร่วมกันมากกว่าคอนเสริต์ที่เน้นไปที่การโชว์แสงสีเสียง ผมอยากให้ผู้ชมได้มีเวลามีความสุขกับตัวเองและตัวผมก็จะได้รับความเข้มแข็งจากการได้เห็นว่าแฟนๆมีความสุข และนั่นเป็นเหตุผลที่ว่าผมจะไม่ขึ้นแสดงและร้องเพลงให้จบๆไป แต่จะเป็นการร่วมแบ่งปันช่วงเวลาและร่วมสร้างความทรงจำที่ดีร่วมกันที่ผมจะทำร่วมกับแฟนๆ ในคอนเสริต์เดี่ยวของผมผมจะไม่เน้นไปที่การเต้น แต่จะขยับตัวไปเรื่อยๆและมองลงไปในตาของแฟนๆ (ประจำที่นั่งในหลายๆระดับที่ต่างกัน) ในครั้งนี้ทุกเพลงเหมาะที่จะกระโดดไปมาและสนุกไปพร้อมๆกัน ซึ่งผมตั้งหน้าตั้งตารอให้มันเกิดขึ้นแล้วละครับ

Numero:ระยะหลังนี้ คุณยุ่งออกทัวร์กับสมาชิกในวงบิกแบงตลอด ช่วยบอกหน่อยได้ไม๊คะว่า อะไรที่ทำให้คุณเลือกเดินมาบนถนนสายดนตรีนี้ 
Daesung: ทุกคนในครอบครัวของผมต่างก็รักเสียงเพลงครับ ดังนั้นตั้งแต่เด็กๆเลยเรามักจะไปร้องคาราโอเกะร่วมกันเสมอและบ้านของเราก็มีเสียงเพลงอยู่ตลอดเวลาในขณะที่เสียงเพลงจะอยู่รอบตัวของผมเสมอ แต่จุดเปลี่ยนจริงๆอยู่ที่ว่าคุณครูในสมัยมัธยมของผมได้เอาชื่อของผมไปเข้าเสนอชื่อให้เป็นนักร้องนำและผมจะต้องร้องเพลงต่อหน้าผู้ชมจริงๆ ในตอนแรกผมรู้สึกประหลาดใจมากๆ แต่จนถึงวันนี้ผมก็ยังไม่อาจลืมความสุขที่ผมรู้สึกและไม่อาจลืมใบหน้าของผู้ชมที่มองมาในตอนที่ผมร้องจบในวันนั้นได้ ผมคิดว่าความพยายามอย่างสม่ำเสมอที่ผมได้พยายามก้าวไปทีละก้าวจากตอนนั้นสุดท้ายก็ส่งผลให้ตัวผมเป็นตัวผมในวันนี้ครับ

Numero:คุณจะอธิบายความรู้สึกที่คุณมีในขณะที่กำลังทำการแสดงคอนเสริต์ออกมาว่ามันรู้สึกยังไงคะ?
Daesung: มันเป็นอะไรที่คนเราจะไม่ได้ลิ้มรสในชีวิตประจำวันธรรมดาครับ ความสุขที่ผมได้รับในระหว่างการขึ้นแสดงนั้นมันยิ่งใหญ่จนไม่อาจจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมพยายามที่จะทำงานเพลงต่อไปเรื่อยๆเพื่อที่จะได้ขึ้นไปแสดงบนเวทีเรื่อยๆ มันเป็นความรู้สึกที่กรุ่นอยู่ในใจ หลังจากที่ร้องเพลงบนเวทีกว่า 2 ชั่วโมงเสร็จสิ้นลงการที่ได้เปิดเพลงจังหวะช้าๆในขณะที่เรานั่งอย่างสงบในรถระหว่างทางกลับยิ่งเป็นความรู้สึกที่สุดยอด สำหรับผมแล้วเสียงเพลงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยไม่ว่าจะเป็นตอนไหนก็ตาม 


Numero: ดูเหมือนว่าช่วงนี้คุณจะพยายามอย่างมากในการฝึกเสียงใช่ไม๊คะ? อะไรที่อยู่เบื้องหลังพลังที่คอยผลักดันให้คุณขัดเกลาทักษะและความสามารถต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลาแบบนี้คะ?
Deasung:การทัวร์คอนเสริต์เดี่ยวของผมจะเป็นการพิสูจน์ให้ผมเห็นอีกครั้งครับว่าเสียงของผมนั้นมีความสำคัญมากแค่ไหน เพราะเสียงของผมก็เปรียบเป็นเครื่องดนตรีชนิดนึงเหมือนกันดังนั้นผมจำเป็นต้องรักษาให้อุปกรณ์ชิ้นนี้ของผมอยู่อย่างปกติ ผมอยากให้คนที่มาชมคอนเสริต์ของผมได้มีความสุขที่ได้เห็นว่าเสียงของผมยังดีอยู่เหมือนเคยครับ

Numero:มีศิลปินคนไหนที่คุณนับถือเป็นพิเศษบ้างไม๊คะ?
Daesung:ผมชอบและฟังดนตรีได้ทุกๆแบบเลยครับ ระยะหลังนี้ผมฟังเพลง ร็อคเยอะมากเป็นพิเศษ และผมคิดว่าผมมาถูกทางแล้วที่ได้ทำเพลงที่ทำให้ผมรู้สึกดีกับตัวเอง ยกตัวอย่างนะครับ ออร่าและพลังที่ Freddie Mercury ปล่อยออกมาบนเวทีนั้นท่วมท้นมากๆ ก่อนที่จะขึ้นเวทีคอนเสริต์บางครั้งผมจะดูวีดีโอการแสดงของเค้าและผมจะรู้สึกประทับใจมากๆกับการที่เค้าทำให้ผู้ชมหลงใหลในทางที่ทรงพลังมากๆแบบนั้น

Numero:คุณใช้เวลาในวันว่างยังไงคะ?? คุณใช้วิธีไหนในการที่จะผ่อนคลายทั้งกายและจิตใจ??
Daesung:ช่วงนี้ผมยุ่งมากๆและแทบจะไม่ได้ใช้เวลาใดๆในวันหยุดเลยครับ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มีวันหยุดผมจะใช้เวลาอยู่คนเดียวที่บ้านหรือที่โรงแรมที่ผมต้องอาศัยอยู่ในช่วงเวลานั้น นอนบนเตียงและดูหนังก็ทำให้ผมมีความสุขแล้วครับ ส่วนใหญ่เลยผมก็จะหลับไประหว่างที่ดูหนังนั่นแหละ (หัวเราะ) แต่การได้ทำแบบนี้ก็สร้างความสุขให้กับผมแล้วครับ ผมคิดว่าด้วยวิธีนี้ทำให้ผมผ่อนคลายได้มากที่สุด

Numero: ในเรื่องของแฟชั่นมีอะไรที่คุณชอบมากเป็นพิเศษไม๊คะ?? คุณไปช้อปปิ้งซื้อของที่ไหน??
Daesung:จริงๆผมไม่ได้มีอะไรที่ชอบเป็นพิเศษในเรื่องของแฟชั่นแบบที่จีดราก้อนจะมีหรอกครับ โดยปกติแล้วผมจะเลือกซื้อเสื้อผ้าที่ญี่ปุ่นเท่านั้น แล้วก็มักจะหยิบเอาเสื้อผ้าที่สไตลิสต์ได้เตรียมไว้ให้ใช้ที่ประเทศญี่ปุ่นมาใช้ในชีวิตประจำวันอยู่เรื่อยๆ ถ้าจะให้ผมบอกว่าอะไรที่ผมซื้อล่าสุดก็คงจะเป็นถุงเท้าครับ (หัวเราะ) ผมจะเป็นคนที่จู้จี้ในเรื่องของถุงเท้าอยู่ครับ ถ้าพวกมันไม่มีความหนาที่พอดีนั่นแสดงว่าใช้ไม่ได้ครับ เมื่อสองสามวันก่อนสไตลิสต์ได้ไปเจอถุงเท้าที่มีความหนาที่สมบูรณ์แบบมากๆและผมก็ชอบมันมากๆผมเลยซื้อพวกมันทีเดียวเลย 200 คู่โดยซื้อโดยตรงจากโรงงานเลยครับ (หัวเราะ)

Numero:มีสถานที่ไหนในโตเกียวที่ไม่ว่ายังไงๆคุณก็จะต้องไปให้ได้ไม๊คะ?
Daesung:ผมชอบที่จะไปซื้อชิ้นงานของศิลปินที่ ร้าน MoMA ครับ นอกจากนี้ก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องแฟชั่นนะครับแต่ผมมักจะไปร้านอาหารเกาหลีร้านนึงในเมือง ทุกๆอย่างบนเมนูของร้านนี้อร่อยทุกจานครับ มันจะให้ความรู้สึกเหมือนผมไม่ได้อยู่ที่โตเกียวเลยเวลาไปร้านนั้น ผมชอบมันมากๆเลยครับ

Numero:สุดท้ายแล้ว ชื่ออัลบั้มครั้งนี้คือ D-Day ซึ่งหมายถึงวันที่สำคัญ คุณจะให้คำนิยามวันสำคัญของคุณว่าเป็นยังไงคะ?
Daesung:ทุกๆวันล้วนมีความสำคัญต่อผมครับ ตลอด10ปีมานี้ผมได้แต่วิ่งไปข้างหน้า จนตอนนี้เวลา10ปีได้ผ่านไปแล้วและผมเริ่มสงสัยว่ายังเหลือเวลาอีกมากน้อยแค่ไหนมีเวลาอีกนานแค่ไหนที่ผมจะเป็นที่รักแบบนี้ต่อไป และนั่นทำให้ทุกๆวันล้วนมีความหมายสำหรับผมครับ

Source: https://numero.jp/talks29/3/
English Translation by Mshinju
Thai Translation by Miss Mew


วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

สัมภาษณ์แดซองจากนิตยสาร An-An japan Febuary 2017


Anan:เราได้เลือก แดซอง มาเป็นตัวแทนของคนที่ "พึ่งพาได้เสมอ" ของเราในฉบับนี้นะคะ เราได้ถามถึงความรู้สึกของเค้าว่ารู้สึกยังไงบ้างและเค้าก็ตอบพึมพำมาว่า "ผมเขินจังเลยครับ" ด้วยเสียงที่เบาจนแทบจะหายไป แม้ว่าเค้าจะเป็นหนึ่งในสมาชิกของวง Bigbang วงที่ประสบความสำเร็จกับการจัดคอนเสริต์หลายครั้งในหลายๆโดมก็ตาม อันที่จริงในช่วงฤดูใบไม้ผลิปีนี้ แดซองจะเป็นศิลปินเดี่ยวที่จะจัดคอนเสริ์ตบนเวทีโดมเดียวกับที่วงเคยทำมาแล้ว
Daesung: ไม่เคยเลยที่ผมจะคิดว่าตัวเองเป็นคนพิเศษครับ ผมจะมองหาสิ่งที่ผมยังบกพร่องขาดแคลนอยู่ตลอดและผมชอบที่จะทำแบบนั้นด้วยครับ และเมื่อไหร่ที่ผมมองหาข้อบกพร่องเหล่านั้นผมก็จะพบมันเยอะเลยละครับ (หัวเราะ)

ผมยอมรับตาเล็กๆของตัวเอง ขาโก่งๆและข้อบกพร่องต่างๆตามลักษณะร่างกาย แต่ผมจะไม่ยอมรับเด็ดขาดกับสิ่งที่ผมสามารถที่จะจัดการพัฒนาแก้ไขมันได้ เช่น วิธีการร้องเพลงของผม  และสำหรับสิ่งที่ผมยังขาดมันไป แฟนๆของผมและสมาชิกในวง จะเป็นผู้ที่เติมเต็มมันครับ ดังนั้นถ้าคุณจะเรียกผมว่าเป็นคนที่"พึ่งพาได้เสมอ" นั่นเป็นเพราะคนเหล่านั้นที่คอยช่วยผมครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังของแฟนๆนั้นมันยิ่งใหญ่มหาศาลมากๆ มีหลายครั้งเลยที่ผมไม่สบายและเสียงหายระหว่างที่มีคอนเสริ์ต ผมก้าวข้ามปัญหานั้นมาได้ด้วยการมองหน้าของแฟนๆ ผมเชื่อว่ามันมีพลังยิ่งใหญ่พลังที่มองด้วยตาไม่เห็นมันเป็นพลังที่ผมได้รับการแฟนๆครับ 

Anan: แดซองนั้นมีชื่อเสียงโด่งดังเรื่อง "รอยยิ้มเทวดา" ที่ทำให้ทุกคนมีความสุข ทุกครั้งที่เค้าผ่อนคลายและยิ้มออกมา เวทีและผู้ชมดูเหมือนจะเข้าใกล้กันยิ่งขึ้นยิ่งขึ้น ในการสัมภาษณ์นี้เค้าก็ยิ้มแย้มแจ่มใสตลอด ดูเหมือนว่าอะไรๆก็ทำให้เค้าโกรธไม่ได้ แต่...
Daesung: แน่นอนครับมีเวลาที่ผมโกรธ สิ่งที่จำเป็นที่จะต้องพูดออกไปแม้ว่ากำลังโมโหก็จำเป็นต้องพูดครับ เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกโมโหเป็นช่วงที่กำลังทำงานในอัลบั้ม D'scover ครับ ก่อนหน้านั้นผมเชื่อว่าการเป็นคนเจ้าอารมณ์นั้นไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาอะไรได้ ผมเป็นคนที่จะพูดว่า "ได้ครับ" อยู่เสมอเป็นคนที่สามารถรับได้ทุกอย่าง แต่หลังจากที่ต้องไปโรงพยาบาลและเช็คคอของผมดู คุณหมอบอกว่า "ผมเป็นห่วงเรื่องสภาพจิตใจของคุณมากกว่าสภาพคออีกนะครับ" " คุณควรที่จะแสดงออกความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองออกมามากกว่านี้ " คุณหมอทุกคนต่างบอกกับผมว่ามันจะดีกว่าถ้าผมปล่อยอารมณ์ที่แท้จริงก็ตัวเองออกมา ดังนั้นผมจึงตัดสินใจว่าจะไม่เก็บอะไรไว้กับตัวเองอีกแล้ว

เวลาที่ผมโมโหและทำให้บรรยากาศแย่ สิ่งเหล่านั้นมันก็แค่อยู่ชั่วคราวแต่ผลงานที่เราทำนั้นจะอยู่ตลอดไป ผมสามารถที่จะยังคงยิ้มได้ต่อไปบนเวทีก็เพราะทีมงานที่คอยทำงานอยู่ด้านล่างยอมรับความรู้สึกต่างๆของผมได้ มันอาจจะมีช่วงเวลาที่ผมต้องการให้พวกเค้าอดทนกับผม มันเป็นเหตุผลที่ทีมงานกับผมถึงได้แบ่งปันความคิดและไอเดียต่างๆร่วมกันเสมอว่าเราสามารถที่จะทำงานร่วมกันได้หรือไม่

Anan: ในโลกธุรกิจที่จำเป็นจะต้องพูดคำว่า "ไม่" ไปเพื่อผลลัพท์ที่ดีกว่าเดิม มีความแตกต่างกับ โลกของความสัมพันธ์บ้างรึเปล่าคะ?
Daesung: เวลาที่ผมอินเลิฟจริงๆ ผมสามารถยอมรับได้เกือบจะทุกเรื่องเลยละครับ แต่ถ้าคนรักเกิดมีคำถามว่า จะเลือก "ฉันหรืองาน อะไรที่สำคัญกว่ากัน??" นี่สิที่เป็นปัญหาจริงๆครับ มันมีเวลาที่ผมจะได้รับแจ้งตารางงานก่อนล่วงหน้าไม่นานใช่ไม๊ละครับ ซึ่งถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมันจะสร้างความปวดหัวให้กับผม ผมจะตอบว่ายังไงเหรอครับ?? ผมก็จะบอกว่า "ผมจะต้องไปทำงานจริงๆนะครับ แต่หัวใจของผมอยู่ตรงนี้กับคุณนะครับ " แล้วจากไปฮะ (หัวเราะ)

Anan: ยังไงก็ตามคุณเป็นคนเดียวในวงบิกแบงที่ไม่ได้ใช้ สื่อ SNS เลย
Daesung: เมื่อไม่นานมานี้ ผมเปิดบัญชี Instagram เพื่อที่จะเข้าไปดูว่าสมาชิกคนอื่นโพสอะไรกันครับ แต่ท้ายที่สุดแล้วผมก็ไม่ได้เปิดมาเช็คเลยละครับ (หัวเราะ)ตั้งแต่ผมเด็กๆแล้วผมไม่ชอบการถ่ายรูปหรือโดนถ่ายรูปเลยละครับ ในขณะที่จะต้องมาโพสท่าแล้วได้ยินคำว่า "มองมาทางนี้นะ หนึ่ง สอง สาม" ผมมักจะคิดว่า "นี่ผมทำไมต้องมาทำอะไรแบบนี้เนี่ย??" ผมรู้สึกเสียใจเหมือนกันที่ผมไม่มีรูปของตัวเองตอนเด็กๆมากเท่าไหร่เพราะนิสัยนี้ แต่เวลาที่ผมรู้สึกประทับใจกับสถานที่ที่ได้เห็น ผมอยากที่จะมองเห็นมันด้วยตาของตัวเองมากกว่าที่จะถ่ายรูปเอาไว้ เวลาที่ผมไปที่ไหน ผมไม่ได้พอใจแค่ไปถึง ถ่ายภาพแล้วจากไปครับ


Anan: แดซองได้รับความรักมากมายจากแฟนๆและทีมงาน แต่ยังไงก็ตามสมาชิกวงบิกแบงก็ยังเป็นคนที่คุณมีความรู้สึกผูกพันธ์ด้วยมากที่สุด
Daesung: เราต่างมีนิสัยและความสนใจที่แตกต่างกันครับ สิ่งเดียวที่เรามีเหมือนกันคือเราทุกคนต่างมีเรื่องราวส่วนตัวของตัวเองให้ไปทำครับ (หัวเราะ) สำหรับช่วง 5 ปีแรกในอาชีพที่พวกเรามีร่วมกัน พวกเรามีความแตกต่างกันมากจนก่อให้เกิดปัญหา แต่หลังจากการบันทึกเสียงเพื่ออัลบั้ม Alive ทำให้สถานการณ์ต่างๆเปลี่ยนไปครับ เราหันมายอมรับความแตกต่างของกันและกัน การทำงานเป็นทีมของพวกเราดีขึ้นๆตามลำดับหลังจากที่เราตระหนักว่าพวกเราทุกคนเหมือนชิ้นส่วนของตัวต่อที่มีรูปร่างแตกต่างกันไปแต่ก็ต้องมาประกอบรวมกันได้เป็นภาพภาพเดียว ในตอนนี้ ผมจะรู้ว่าใครคิดยังไงเพียงแค่มองลงไปในตาพวกเค้าเท่านั้น ก็รู้แล้วละครับ

Anan: ตัวต่อทั้ง 5 ชิ้นเป็นชิ้นส่วนที่สมบูรณ์แบบที่ลงตัวให้กับ บิกแบง แต่กุญแจสำคัญคือคนที่คอยรักษาสมดุล ซึ่งคนคนนั้นคือ แดซอง
Daesung: โซลคุงและวีไอ เป็นคนประเภทที่จะคอยเดินออกมาข้างหน้าและรับเอาความสนใจไป ท็อปซังและจีดีซัง เป็นคนประเภทที่ว่าสายตาทุกคู่จะคอยจับจ้องพวกเค้าอยู่แล้วแม้พวกเค้าจะไม่ได้ทำอะไรเลยก็ตาม ส่วนตัวผมผมอยากจะเป็นคนที่คอยมองพวกเค้าทั้งหมดจากเบื้องหลัง ผมไม่ต้องการที่จะก้าวออกไปข้างหน้า ผมต้องคอยมองพวกเค้าจากด้านหลังและทำหน้าที่ "ควบคุมการจราจร" ครับ(หัวเราะ)

Anan: เป็นวงที่มีชิ้นส่วนแสนมหัศจรรย์ 5 ชิ้นนะคะ
Daesung: จะแน่ใจได้ยังไงครับว่ามันดีทั้ง 5 ส่วน (พูดเล่น โดยที่ชี้ไปที่รูปน้องซึงในนิตยสารที่วางอยู่) หรือ มี 4ชิ้นที่ดีกว่า ผมจะให้ทุกคนตัดสินใจกันเองนะครับ (หัวเราะ)


แดซองคิดยังไงกับเสน่ห์ของเค้าที่สามารถละลายใจของผู้คนได้

เสียงของเค้า
(เค้าโด่งดังมากจากเสียงที่แหบแต่ลึกซึ้งของเค้า จากเพลงที่ทรงพลังมาถึงเพลงบัลลาร์ตที่เต็มไปด้วยความลึกซึ้ง เค้าเป็นคนที่มีเสียงหลากหลายมาก)
จริงๆเสียงของผมนั้นเป็นความซับซ้อนในตัวของผมนะครับ เสียงผมแหบและสำหรับผมแล้วมันฟังแล้วไม่ชัดเจนครับ เป็นเสียงที่เอาแต่ใจตัวเองพร้อมกับเปลี่ยนอารมณ์ไปเรื่อยในแต่ละวัน ดังนั้นถ้าผมไม่ตามใจมันจนเหลิง มันก็จะอยู่กับร่องกับรอยใช้ได้ครับ (หัวเราะ) แต่ผมจะมีความสุขที่สุดก็ตอนที่ร้องเพลง ดังนั้นเพื่อที่จะให้ผมร้องเพลงไปได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมจะฝึกเสียงของผมเสมอ และผมก็เรียนรู้วิธีในการใช้เสียงโดยที่ทำให้คอของผมรู้สึกสบายที่สุด หากผมจะเปลี่ยนการใช้เสียงไปเลย มันก็ดูจะเป็นการหยาบคายกับคนที่ชอบเสียงของผมอยู่แล้ว ดังนั้นผมเห็นว่ามันสำคัญนะครับที่จะอยู่เป็นตัวของตัวเองแบบนี้ต่อไป

ริมฝีปาก
(แฟนๆหลายๆคนชอบริมฝีปากที่"อวบอิ่มและเซ็กซี่"ของเค้า มันเป็นแรงจูงใจให้ออกสินค้าต่างๆที่เกี่ยวกับริมฝีปากของเค้าออกมาด้วย)
ปากผมเซ็กซี่เหรอครับ??  อืมมม ผมแค่คิดว่ามันมีสีชมพูก็แค่นั้นเองครับ (หัวเราะ) เหตุผลที่ทำไมรูปริมฝีปากของผมกับจมูก กลายเป็นถาดทำน้ำแข็งในของที่ระลึกที่งานคอนเสริ์ตก็เพราะมันเป็นส่วนที่แฟนๆจะจดจำผมได้มากที่สุดครับซึ่งเป็นการตัดสินใจของผมเอง ซึ่งผมมักจะมีไอเดียมากมายเกี่ยวกับสินค้าที่ระลึกในงานคอนเสริ์ตครับ 

ถ้าผมสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ผมคงจะเปลี่ยนขาที่โก่งของผมครับ ถ้าขาของผมตรงผมคงจะสูงขึ้นหลายเซนเลยครับ คุณแม่ได้ซื้อที่ดัดขามาให้ลองใช้ด้วยแต่มันไม่ได้ผลกับผมละครับ

อารมณ์ขัน
(ชื่อของแดซองที่ญี่ปุ่นจะใช้คำว่า D-light ที่มาจากคำว่า Delight ที่แปลว่าทำให้ยินดีมีความสุข ซึ่งเค้าไม่เคยลังเลที่จะทำให้ช่วงพูดคุยบนเวทีเต็มไปด้วยความสนุกสนามเพิ่มมากขึ้นเลย)
อารมณ์ขันเป็นส่วนสำคัญในตัวผมเลยละครับ ดังนั้นผมจึงรู้สึกดีใจมากที่สามารถทำให้บรรยากาศมันสดใสขึ้นมาและทำให้ผู้คนมีความสุข ตั้งแต่ตอนเป็นเด้กแล้วผมชอบทำให้เพื่อนๆที่โรงเรียนหัวเราะ แต่ที่บ้านผมจะไม่ทำอะไรแบบนั้นเลย ผมจะไม่ค่อยพูด เพราะคุณพ่อคุณแม่เข้มงวดเรื่องเกรดของผมมากดังนั้นผมจึงอยู่เงียบๆดีกว่า (หัวเราะ) พี่สาวของผมได้เกรดดีมากๆไม่เหมือนกับผม เธอจะหงุดหงิดขึ้นมาทันทีเพียงแค่ไม่สามารถตอบคำถามไม่กี่ข้อในตอนสอบได้ เล่นเอาผมก็หมดคำพูดครับ 



Cover-story เบื้องหลังการถ่ายทำ

เพื่อนร่วมงานที่เคยสัมภาษณ์แดซองมาก่อนได้เล่าว่า" อารมณ์ขันและรอยยิ้มของเค้านั้นออกมาจากจิตใจที่อ่อนโยน" ครั้งนี้เป็นเกียรติของฉันที่ได้พบแดซองในการถ่ายทำปกและร่วมสัมภาษณ์ ฉันดีใจมากและยินดีที่สิ่งที่เพื่อนเคยเล่านั้นเป็นเรื่องจริง 

ด้วยอารมณ์ขันของเค้าในวงบิกแบง แดซองมักจะมีรอยยิ้มเสมอเวลาที่ขึ้นแสดงบนเวที ช่วยไม่ได้ที่ฉันจะเชื่อว่าแฟนๆทั่วโลกต่างก็ต้องถูกต้องมนต์สะกดจากหัวใจที่อ่อนโยนและอบอุ่นของเค้าเช่นกัน

แดซองได้มอบเวลาอย่างเหลือเฟือให้แก่พวกเราในการทำสัมภาษณ์และการสัมภาษณ์ทั้งหมดทำโดยพูดภาษาญี่ปุ่นตลอดเวลา แดซองพูดภาษาญี่ปุ่นได้อย่างคล่องแคล่วแม้ว่ามันจะเป็นภาษาต่างประเทศสำหรับเค้าก็ตาม แถมเค้ายังจัดการให้พวกเราได้หัวเราะทุกๆ3นาทีด้วยภาษาต่างประเทศของเค้า (ขอบคุณแดซองนะคะที่ทำให้ทุกคนได้มีความสุขในการทำงานขนาดนี้) แดซองไม่ได้หลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามข้อไหนเลย ซ้ำยังใช้คำที่เหมาะสมในการที่จะอธิบายความรู้สึกตัวเองออกมาได้อย่างดี 

แดซองยังทำงานร่วมกับช่างภาพได้ดีมาก เค้าเอ่ยปากในตอนแรกว่า เค้าไม่ค่อยเก่งในการโพสท่าถ่ายภาพเท่าไหร่ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นคำโกหกเพราะเค้าสามารถดึงเอาภาพลักษณ์ที่หล่อและเท่ออกมาได้ตั้งแต่เริ่มโพสท่าแรกในการถ่ายภาพเลยทีเดียว จากนั้น การถ่ายภาพได้ย้ายไปถ่ายในห้องนอน อาจจะเป็นเพราะโลเคชั่นที่ใช้ในการถ่ายทำจึงทำให้แดซองในตอนนี้ได้เปิดเผยด้านที่เซ็กซี่ของเค้าออกมา ช่างแต่งหน้าได้แซวว่า "คุณดูเป็น bad boy เลยตอนนี้(หัวเราะ)" พอได้ยินแบบนั้น แดซองก็ยิ้มอายพร้อมทำหน้าเขินแบบลูกแมวและกระโดดโพสท่าอุตตร้าแมนบนเตียงก่อนที่จะพูดเบาๆว่า "อะไรฮะเนี่ย" พร้อมบิดหมอนไปด้วย การที่ได้เห็นด้านที่น่ารักแบบนั้นของแดซองทีมงานทุกคนต่างก็ยิ้มออกมา อย่างไรก็ตามจากนั้นแดซองก็เปลี่ยนสีหน้าพร้อมกับการถ่ายภาพ จากเด็ก 5ขวบกลายมาเป็นจริงจัง การเปลี่ยนจากหน้าเท่ๆไปเป็นใบหน้าที่น่ารักๆ ทำให้เราได้เห็นอารมณ์ที่หลากหลายจากเค้าจริงๆ


ด้วยความที่เค้าใส่ใจและเข้าใจความรู้สึกของผู้คนรอบตัวเค้าได้อย่างดี เค้าเตรียมพร้อมและทุ่มสุดตัวเมื่อรู้ถึงสิ่งที่ผู้คนคาดหวังจากเค้า เค้าเป็นคนจริงที่สามารถจู่โจมเข้าไปในหัวใจของคนอื่นได้อย่างตรงเป้าหมายและเติมเต็มทุกคนรอบตัวด้วยความดีของเค้า นี่คือความรู้สึกของฉันหลังจากที่ได้ทำงานร่วมกับแดซองมาหลายชั่วโมง ฉันหวังว่าผู้อ่านนิตยสาร Anan จะได้ร่วมรู้สึกความรู้สึกเหล่านี้ผ่านภาพถ่ายและการสัมภาษณ์ครั้งนี้ด้วยนะคะ

และมีเราได้รับของขวัญจาก แดซองด้วยค่ะ ในการเซ็นลายเซ็นลงบนโพลารอยด์ที่ระลึก เค้าได้วาดรูป D-Kun ลงไปด้วยระหว่างวาดก็บ่นว่า"นี่มันแปลกๆรึเปล่าฮะ??" ซึ่งไม่แปลกเลยค่ะมันน่ารักมากๆทุกคนอย่าพลาดนะคะ


นี่คือห้องของโรงแรมที่ใช้ในการถ่ายภาพ ภาพปกถ่ายตรงกระจกหน้าต่างที่เห็นข้างโซฟา บทสัมภาษณ์เราสัมภาษณ์กันตรงโต๊ะกลมและเก้าอี้นับไป 3 ตัวคือเก้าอี้ที่แดซองใช้นั่งในการทำการสัมภาษณ์ค่ะ

Source: Anan (Feb. 2017)
English translation by @mmvvip +@Mshinju +daesungfishh for cover story 
Thai Translation by miss_mew 
Phot Credit to Kangdaesung Bar

วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

กงยู "ผมชอบผู้หญิงที่ผมจะสามารถใช้ชีวิตอย่างสบายๆด้วยได้"

จริงๆไม่ได้ตั้งใจที่จะโพสเรื่องนี้ในวันวาเลนไทน์เลยละค่ะ แต่เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆที่ช่วงก่อนมิวตามอ่านบทสัมภาษณ์ต่างๆแล้วคิดอยากจะรวบรวมไว้เหมือนกันว่า กงยู เค้าเคยพูดถึงสาวในสเปคเอาไว้ยังไงบ้างวันนี้ว่างหน่อยเลยลงมือแปล  บทสัมภาษณ์เหล่านี้จะว่าไปก็ผ่านมานานแล้วละค่ะ ในเมื่อยังไม่มีฉบับอัพเดทกว่านี้ ก็ขอรวบรวมให้อ่านกันเล่นๆแบบนี้ก่อนแล้วกันเนอะ มิวได้วงเล็บที่มาที่ไปไว้ด้วยค่ะ

==============


กงยูอยากจะเดทกับผู้หญิงที่มีความลุยๆแบบผู้ชายแต่ก็แอบมีความเป็นผู้หญิงอยู่บ้าง เค้าสนใจผู้หญิงที่ดูดีในกางเกงยีนส์กับรองเท้าผ้าใบมากกว่าผู้หญิงที่สวมกระโปรงและรองเท้าส้นสูง เค้าไม่ได้เป็นคนที่คลั่งไคล้ชอบสาวน้อยน่ารัก เค้ากล่าวว่า  Gong Hyo Jin และ Diane Lane เป็นผู้หญิงที่ใกล้เคียงกับสเปคของเค้าที่สุด
(จาก dramafever.com มิถุนายน 2016 ตัดมาจากสัมภาษณ์ในเดือนธันวาคมปี 2011)

กงยูกล่าวว่า สาวในสเปคของเค้านั้น คือคนที่มีเสน่ห์ในสองด้าน กงยูได้พูดเอาไว้ในการให้สัมภาษณ์กับรายการ TV’s Midnight TV Entertainment ที่ออกอากาศในเดือนธันวาคม ปี 2011 ทางช่อง SBS ว่า
"ผมไม่ชอบผู้หญิงที่ดูสง่าและเป็นผู้หญิงมากๆ แต่กลับชอบผู้หญิงที่ดูเหมือนผู้ชายและซ่อนความเป็นผู้หญิงไว้บ้าง ผมชอบผู้หญิงที่ดูดีในรองเท้าส้นแบนมากกว่ารองเท้าส้นสูง ผมไม่ชอบผู้หญิงที่ดูเป็นมิตรมากเกินไป หรือ คนที่ดูหยิ่งเกินไป ผมชอบผู้หญิงที่ซื่อตรงเปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่ประดิษฐ์ปรุงแต่ง "

ในปีเดียวกัน กงยูให้สัมภาษณ์ในรายการ star date ในปีนั้นกงยูได้มีโอกาสให้สัมภาษณ์ในรายการต่างๆมากมาย เพราะเค้ามีงานภาพยนตร์เรื่อง Silenced ซึ่งสร้างชื่อเสียงและกระแสตอบรับอย่างล้นหลามให้กับเค้า ในปีนั้นกงยูอายุ 33 ปีได้ชื่อว่าเป็นนักแสดงที่ได้รับเสียงชื่นชมมากมายและมีความโด่งดังมาก แต่เค้าก็ยังไม่ได้แต่งงานและไม่มีข่าวเรื่องสาวๆเลย ในรายการพิธีกรกล่าวว่า แฟนๆรู้สึกกังวลว่าทำไมกงยูยังไม่แต่งงานซักที กงยูตอบว่า ทำไมแฟนๆถึงต้องกังวลด้วย แฟนๆน่าจะรู้สึกยินดีกับเค้ามากกว่า และลงท้ายว่า ยังไงๆซักวันนึงเค้าก็ต้องแต่งงานแหละดังนั้นแฟนๆไม่ต้องกังวลและเค้าก็อยากจะมีลูกด้วย

กงยูกล่าวว่าเค้าชอบผู้หญิงที่ฉลาดและสวยงาม เรื่องรูปร่างหน้าตานั้นเป็นแค่ตัวเลือกเท่านั้น แต่ประเด็นอยู่ที่จิตใจมากกว่า เค้าชอบผู้หญิงที่มีจิตใจที่สวยงาม 

เมื่อกงยูพูดถึงสเปคสาวที่เค้าชอบว่ามีลักษณะลุยๆเท่ๆ เป็น Boyish นักข่าวมากมายต่างเล็งไปที่ สาว  ยุนอึนเฮ ที่เคยรับบทนางเอกคู่กับเค้าในเรื่อง Coffee Prince ซึงกงยูก็ได้พูดดักคอเอาไว้ว่า
"ผมมั่นใจเลยว่าหลังจากที่ผมพูดไป จะต้องมีบทความนับไม่ถ้วนเขียนว่า สาวในสเปคของผมคือคุนยุนอึนเฮ จากละครเรื่อง coffee prince ดังนั้นผมเลยจะขออธิบายว่า ผมไม่ได้พูดถึงใครเฉพาะเจาะจงนะครับ " ซึ่งทำเอานักข่าวหัวเราะกันใหญ่ แต่หลังจากนั้นก็มีบทความเขียนเรื่องยุนอึนเฮคือสาวในสเปคของกงยูออกมามากมายอยู่ดี

ต่อมาทางเวปไซด์ Minor8 ได้เขียนถึงการสัมภาษณ์ทางรายการโทรทัศน์นึง ถึงคำถามที่กงยูโดนถามอีกครั้งเรื่อง ผู้หญิงในสเปคของเค้า กงยูได้ตอบว่า "ผมเคยชอบผู้หญิงที่มีสไตล์เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่ตอนนี้ผมชอบผู้หญิงที่ธรรมดาๆมากกว่าครับ" "บางทีผมอาจจะไม่สามารถควบคุมผู้หญิงในแบบที่ผมเคยชอบได้อีกต่อไปแล้วละครับเลยขอแบบธรรมดาจะดีกว่า" ทำเอาทุกคนหัวเราะเสียงดัง

นอกจากนี้กงยูยังบอกว่าผู้หญิงที่ดูใสซื่อนั้นออกจะน่าเบื่อไปหน่อยดังนั้นเค้าจึงสนใจผู้หญิงที่มีท่าทางลุยๆเท่ๆมากกว่า เค้ายังบอกอีกว่าเค้าอยากจะแต่งงานก่อนอายุ 40 และอยากจะมีลูกด้วย เค้ากล่าวว่า 
"ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญที่จะมีชีวิตกับผู้หญิงคนนึง คนที่ผมจะรักได้ทั้งในฐานะนักแสดงและในฐานะผู้ชายคนนึง แต่ผมไม่เคยมีจินตนาการใดๆเลยเกี่ยวกับการแต่งงาน "

กงยูเล่าต่อว่า "บางครั้งในชีวิตการแต่งงานนั้นอาจจะลำบากแต่ผมก็อยากจะสัมผัสและรู้สึกในทุกๆอย่างไม่ว่ามันจะลำบากแค่ไหน ผมอยากรู้ว่ามันจะเป็นยังไงถ้าผมมองไปที่ลูกของผมแล้วเด็กคนนั้นที่เหมือนผมมองจ้องกลับมา"
ในรายการ Section TV ทางช่อง MBC กงยูเคยพูดย้ำในเรื่องนี้ไว้ว่า " สเปคสาวในอุดมคติของผมได้เปลี่ยนไปแล้วครับ ในตอนที่ยังเด็กกว่านี้ ผมชอบผู้หญิงที่มีอารมณ์ปุ๊บปั๊บ น่าค้นหา แต่ตอนนี้ผมชอบผู้หญิงที่ผมจะสามารถใช้ชีวิตอย่างสบายๆด้วยได้ ผมคิดว่าถ้าเป็นคนที่มีอารมณ์แกว่งไปมาปุ๊บปั๊บ คงยากที่จะรับมือละครับ"

----------------------
Source: Minor8.com 
Thai translation by miss mew
Picture credit to epigram 

วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

"แม้ว่าผมจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ผมคิดว่าความท้าทายนี่แหละที่มีความสวยงามในตัวของมันเอง"


ทุกคนคงจะต้องมีช่วงเวลาที่เรามีความรู้สึกว่า มีแค่เราสองคนในโลกนี้ ช่วงเวลาที่เหมือนกับเรื่องเหลือเชื่อในภาพยนตร์แต่มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง อย่างไรก็ตามช่วงเวลานั้นไม่นานก็ถูกฝังเก็บไว้ในใจของพวกเค้าทั้งสองกลายเป็นเรื่องที่พวกเค้าเก็บไว้ในใจไม่เคยบอกเล่าให้ใครฟัง 

นักแสดงหนุ่ม กงยู ได้บอกเราถึงความรู้สึกนั้นว่า มันเป็นความงุ่มง่ามแต่มันก็เป็นความรู้สึกที่จริงแท้ เกิดขึ้นอย่างระมัดระวังรอบคอบแต่ก็เด็ดขาดรุนแรง 

เมื่อไม่นานมานี่ กงยู ได้ให้สัมภาษณ์กับทางข่าว Bnt ที่ร้านกาแฟในย่าน Samcheong-dong ในโซลก่อนที่ภาพยนตร์เรื่อง  A Man and a Woman  ของเค้าจะเริ่มฉายรอบปฐมทัศน์ ในวันนั้นเค้ากลับมีใบหน้าที่ซีดเซียวยังกับคนที่มีปัญหาเรื่องความรัก

กงยูเลือกภาพยนตร์เรื่อง A Man and a Woman เป็นผลงานในการคัมแบคหลังจากแสดงในภาพยนตร์เรื่องThe Suspect ในปี 2013 การคัมแบคครั้งนี้เป็นครั้งแรกของเค้าในการแสดงในภาพยนตร์แนว เมโลดราม่า เค้ารับบทเป็น กีฮง ชายที่ตกหลุมรักอย่างบ้าคลั่งกับ ซางมิน


เหตุผลหลักๆที่ทำให้เค้าตัดสินใจแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเพราะ คุณ จอนโดฮยอน เธอเป็นเหตุผลข้อหลักๆที่ทำให้เค้าเลือกงานนี้
"ผมอยากจะทำงานกับคุณ จอนโดฮยอน มากจริงๆตั้งแต่ผมยังอายุน้อยๆครับ สำหรับผมแล้ว เธอเซ็กซี่ตลอดกาลและเพราะเธอถูกแคสติ้งให้มารับบทคู่กับผมในเรื่อง ก็ไม่มีเหตุผลใดที่ผมจะลังเลแล้วละครับ"

"แน่นอนว่าเรื่องในภาพยนตร์ก็เป็นแค่ภาพยนตร์ครับ แต่มันก็สำคัญว่าต้องมีเหตุผลว่าผมสามารถที่จะรักคนคนนี้ที่จะมารับบทเป็นคู่ของผมในเรื่องได้หรือไม่ ในภาพยนตร์ผมจะต้องรักกับคุณ จอนโดฮยอน เธอเป็นเหตุผลใหญ่ที่สุดที่ทำให้ผมตัดสินใจทำเรื่องต่างๆในภาพยนตร์ ถ้าไม่ใช่เธอผมก็อาจจะไม่ตัดสินใจแบบนี้"

"ยิ่งภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์เมโลดราม่าที่แต่งขึ้นมาใหม่ ความรู้สึกส่วนตัวของผมต่อผู้แสดงที่มารับบทเป็นคู่กับผมในเรื่องย่อมจะสะท้อนออกมาให้เห็นในการแสดงด้วย มันดูเหมือนว่าผมตัดสินใจที่จะมาแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้เพื่อความต้องการของตัวเองซึ่งพูดไปมันก็จริงนะครับ แต่ในชีวิตจริงเรื่องราวแบบนี้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะถูกต้อง "



ความรู้สึกต่างๆของกงยูที่แสดงออกมาในภาพยนตร์จริงๆแล้วมาจากผู้กำกับ คุณ Lee Yoon Ki ในขณะที่พูดถึงมาตรฐานที่เค้าตั้งเอาไว้เวลาเลือกรับงาน กงยูกล่าวว่า เค้าพยายาม"หลีกเลี่ยงงานที่ดูเป็นแบบแผนเดิมๆ" ดังนั้นแทนที่จะคาดหวังไปกับสิ่งที่คุ้นเคย การเลือกของเค้ากลับไม่เป็นแบบนั้น และครั้งนี้  A Man and a Woman ก็เป็นแบบนั้น

“ผมคิดว่าในภาพยนตร์เรื่อง A Man and a Woman มันมีอะไรที่ต่างไปจากภาพยนตร์ในแนวเมโลดราม่าทั่วๆไปครับ มันไม่ใช่แค่ดูเป็นละครประโลมโลกธรรมดาๆ "  


เค้าเปิดเผยว่าที่ภาพยนตร์เรื่องนี้แตกต่างไปก็เพราะความเท่ของผู้กำกับ Lee Yoon Ki  เอกลักษณ์ของผู้กำกับคือการแสดงออกความรู้สึกอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาส่งข้อความที่ชัดเจนต่อผู้ชม เพราะเอกลักษณ์นี้ ผู้ชมสามารถที่จะรู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่ลึกซึ้งจากภาพยนตร์ของเค้าโดยที่ไม่ต้องอาศัยคำอธิบายอะไรมากผ่านเนื้อเรื่องที่ดำเนินออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ 

เวลาที่ผู้คนดูภาพยนตร์เรื่องนี้ในแง่ของความเป็นจริง มันเป็นความจริงที่พวกเค้าไม่สามารถเข้าใจการกระทำของกงยูในภาพยนตร์ได้  ภาพยนตร์ A man and a woman เน้นเนื้อเรื่องไปที่ความรู้สึกล้วนๆ แต่ภาพยนตร์ก็บรรจุเนื้อเรื่องที่ผิดศีลธรรมอยู่ คือ การคบชู้นอกใจ กงยูกล่าวว่า " หากผมจะมองมันในแง่ศีลธรรม กีฮงและชางมินนั้นแย่มากครับ แต่ยังไงก็ตาม มันเป็นเรื่องในภาพยนตร์นะครับ" 

"ผมคิดว่าความรู้สึกของกีฮงและชางมินเป็น รักแท้ครับ ผมต้องระมัดระวังที่จะพูดอะไรออกไปนะครับเพราะผมยังไม่ได้แต่งงาน แต่ถึงแม้ว่าผมจะแต่งงานแล้วและกลายมาเป็นคุณพ่อแล้ว หัวใจของผมก็ยังสามารถที่จะเต้นรั่วสั่นไหวโอนเอียงได้นะครับ ซึ่่งถ้าความรู้สึกแบบในภาพยนตร์ก็อาจจะเกิดขึ้นกับผมเช่นกัน แต่ที่ต่างไปคือถ้ามันเกิดขึ้นผมจะเพิกเฉยต่อความรู้สึกนั้นครับ"


ความคิดเห็นที่ห้าวหาญและตรงไปตรงมาของกงยูน่าสนใจทีเดียว เราจะเห็นว่ามีการไตร่ตรองมากมายเกิดขึ้นในทุกๆคำพูดของเค้าเหมือนกับ ตัวละคร กีฮงที่เค้ารับบทในภาพยนตร์ กีฮงที่ไม่รู้วิธีที่จะหลบซ่อนความรู้สึกของตัวเอง

กงยูกล่าวว่า
" กีฮงเป็นคนที่ ทื่อๆ และน่าเบื่อครับ เค้ายังไม่สามารถที่จะอธิบายความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองออกมาได้อีกด้วย ยังไงก็ดี เค้าต้องการที่จะเป็น ผู้ชายที่ดี จนกระทั่งเค้าได้มาพบกับชางมิน จากตรงนี้ ผมพบบางส่วนตรงนี้ของเค้าคล้ายกับผม เวลาที่ผมจะทำอะไรผมมักจะไม่คิดคำนวณใดๆทั้งนั้น"

กงยูได้แบ่งปันความคิดของเค้าเกี่ยวกับเรื่องความรักออกมาด้วย เค้าคิดว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับกีฮงนั้นไม่ได้เกิดขึ้นแบบปัจจุบันทันด่วนหรือรุนแรงฉับพลัน เค้ากล่าวว่า " คนเราจะพบว่าตัวเองกำลังหัวเราะและดวงตาจะเปลี่ยนไปเมื่อพวกเค้าอยู่กับคนที่พวกเค้ารักจริงๆแม้ว่าพวกเค้าจะอยู่ในห้วงแห่งความกังวลหรือกำลังมีปัญหา จริงๆผมไม่ค่อยรู้เรื่องความรักเท่าไหร่หรอกครับ แต่ว่าความรักนี่แหละที่เปลี่ยนแปลงผู้คน" 




มีความรู้สึกว่ากงยูจะดึงทุกคนเข้าสู่โลกแห่งแฟนตาซี ความคิดและคำพูดของเค้าล้วนดูแยกตัวออกจากโลกแห่งความเป็นจริง แต่มันก็ให้ความรู้สึกว่ามันสามารถจะเป็นจริงขึ้นมาได้เพราะมันออกมาจากปากเค้า กงยูรู้ตัวดีว่าผู้คนและสาธารณชนต่างก็มีจินตนาการที่เกี่ยวกับเค้า แต่เค้ากลับไม่ได้แสดงออกเพื่อคนอื่นหรือเพื่อเติมเต็มภาพที่คนอื่นคิดเกี่ยวกับเค้าว่ามีแต่ภาพลักษณ์ดีๆ แทนที่จะทำแบบนั้น เค้ากลับเดินหน้าแสดงออกตามความพอใจของตัวเองและเพื่อความสำเร็จของตัวเค้าเองต่อไป กงยูกล่าวว่า "แม้ว่าผมจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ผมคิดว่าความท้าทายนี่แหละที่มีความสวยงามในตัวของมันเอง"

แต่ไม่ใช่ว่าตัวเค้าต้องการที่จะเปลี่ยนภาพลักษณ์ของตัวเองโดยการตามหางานที่จะมาเป็นตัวทดลองไปเรื่อยๆ เค้าเสริมว่า " ผมรู้ว่ามันย่อมต้องมีข้อขัดแย้งอะไรเกิดขึ้นบ้าง บางครั้งผมรู้สึกว่าความต้องการของผมกับชีวิตจริงนั้นมันแยกออกจากกัน" 


"และนั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงพยายามค้นหาเหตุผลที่ชอบธรรมอยู่เสมอหากผมเอาแต่ตามใจตัวเองในอดีตผมคงลองทำทุกๆอย่างไปแล้วแม้ว่ามันจะดูไม่เข้ากับภาพรวมเลยก็ตาม แต่ถึงแม้ว่าผู้คนรอบตัวผมสงสัยว่าทำไมผมถึงตัดสินใจรับงานในเรื่อง  ‘Train to Busan’ และ ‘The Age of Shadows’ ก็ตามแต่สำหรับผมแล้วผมมีเหตุผลของผมครับ ดังนั้นคอยจับตาดูก็แล้วกันครับ " 

กงยูมีความคิดมากมายและความกังวลมากมาย เรารู้สึกถึงสิ่งเหล่านั้นได้ผ่านการสัมภาษณ์ครั้งนี้ที่เค้าพูดถึงจุดเป้าหมายลึกๆที่ทำให้เค้าก้าวไปข้างหน้าต่อไปโดยปราศจากการคำนวณใดๆ คนเราจำเป็นที่จะต้องทำงานด้วยความรู้สึกที่เอาความรู้สึกส่วนตัวของตัวเองออกมา ซึ่งมันต่างจากการพึ่งพาคนอื่น ความรู้สึกเหล่านั้นมันสร้างความเชื่อมต่อในการทำงานร่วมกันตั้งหาก ดังนั้น เรื่องราวทั้งหมดในงานของเค้ามันถึงดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริง และมันนำเอาความเศร้ามาให้เค้าพอๆกับความพอใจ  


English Translated by Woorim Ahn Via Mnet Kpop news // 28.02.2016

Photo credit to showbox
Thai translation by Miss mew


วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2560

กงยูกล่าวว่าเมื่อเค้ามีอายุน้อยกว่านี้เค้าอยากจะแต่งงานเร็วๆ


เมื่อวันก่อนมิวแปล บทความเรื่องความคิดเห็นของกงยูกับเรื่องครอบครัวและความรัก อ่านๆไปดูเหมือนกงยูจะเป็นคนโสดหัวใจแข็งแรงเหลือเกิน 555+ จริงๆทาง Inquisitr เจ้าของบทความย้อนรวบรวมเฉพาะบทสัมภาษณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้กงยูก็ดูจะสบายและเคยชินกับชีวิตโสดจริงๆแหละค่ะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเค้าจะไม่เคยวาดภาพครอบครัวในฝันเอาไว้นะคะ วันนี้พอดีมิวไปอ่านเจอบทสัมภาษณ์อันนึง พูดเรื่องครอบครัวที่เค้าวาดฝันไว้น่ารักดี เลยจะมาเล่าๆเพิ่มให้ค่ะ เผื่อจะเป็นข้อมูลให้เราจินตนาการในอนาคต 555+ 

จริงๆท่อนนึงในการให้สัมภาษณ์ เมื่อครั้งออกโปรโมทภาพยนตร์เรื่อง The age of shadows ที่ได้อ่านกันไป กงยูลงท้ายด้วยว่า
"ก่อนหน้านี้ผมเคยคิดว่าคนเราจำเป็นจะต้องการคู่ชีวิตเพื่อที่จะไม่ให้รู้สึกเหงาและคอยดูแลเวลาที่คุณป่วยและอายุมากนะครับ" "แต่ตอนนี้ผมตัดสินใจที่จะผลักเรื่องนี้ออกไปก่อนครับ"

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2014 ตอนนั้นกงยูแสดงในภาพยนตร์เรื่อง The Suspect และเป็นช่วงโปรโมทภาพยนตร์จึงมีการให้สัมภาษณ์ การสัมภาษณ์ในวันนั้นเป็นไปแบบสบายๆกับนักข่าวโดยนั่งดื่มกันไปพูดคุยกันไป นักข่าวกล่าวว่ากงยูเป็นมิตรมากๆ กงยูบอกว่าเค้าให้ความสำคัญกับคนที่อยู่ใกล้ตัวเค้าคนที่เค้าสามารถที่จะแบ่งปันพูดคุยความคิดต่างๆที่อยู่ในใจของเค้าจริงๆได้ หัวข้อที่พูดคุยนอกจากเรื่องภาพยนตร์แล้ว ยังมีการถามถึงเรื่องแผนการการแต่งงานของเค้าด้วย 

กงยูซึ่งในตอนนั้นอายุ 35 ปี กงยูกล่าวว่าเมื่อเค้ามีอายุน้อยกว่านี้เค้าอยากจะแต่งงานเร็วๆเพื่อที่ว่าจะได้มีอาชีพที่ดีไปพร้อมๆกับสร้างครอบครัวดีๆไปพร้อมกันเลย  แต่ช่วงเวลาเหล่านั้นได้ผ่านมาแล้วและตอนนี้เค้ามุ่งความตั้งใจไปที่งานของเค้าเท่านั้นและการที่อยู่คนเดียวมานานทำให้เค้าเริ่มชินกับความเหงาทั้งหลายแล้ว

เมื่อถามไปถึงครอบครัวในฝันที่วาดฝันเอาไว้จะเป็นยังไง กงยูกล่าวว่าเค้าอยากมีบ้านที่เงียบสงบกับสนามที่ใหญ่โต กงยูอยากจะสร้างบ้านให้กับคุณพ่อคุณแม่ในชนบทและมีสนามหน้าบ้านที่กว้างใหญ่ พอพูดยังไม่ทันจบก็หัวเราะว่า คุณพ่อคุณแม่ไม่ยอมให้ความร่วมมือกับความฝันนี้เพราะคุณพ่อคุณแม่ชอบอยู่ในเมือง 

กงยูฝันไว้ว่าจะพาลูกๆของเค้าไปเยี่ยมคุณปู่คุณย่าในบ้านชนบท บ้านที่มีสนามหญ้ากว้างใหญ่ให้ลูกๆได้วิ่งเล่น แต่คุณพ่อคุณแม่ของกงยูกลับบอกว่าทำไมพวกเค้าต้องย้ายไปอยู่ในฟาร์มเพื่อให้ความฝันนี้ของกงยูจะได้เป็นจริงด้วย (หัวเราะ) 

ในการให้สัมภาษณ์นี้ได้พูดเรื่องเครื่องดื่มแอลกฮอลล์ด้วย ก่อนหน้านี้มิวแปลสัมภาษณ์จาก Elle กงยูยืนยันว่า ชอบโชจู แต่ในสัมภาษณ์นี้ เค้าตอบว่าเค้าชอบดื่ม Somaek (เบียร์+โชจู) และกล่าวว่าตัวเค้าดื่มโชจูได้ขวดครึ่งก็จะมึนๆแล้ว กงยูว่าเค้าชอบความรู้สึกที่ว่า เมานิดๆ และนานๆทีถ้าเค้านอนไม่หลับก็จะดื่มไวน์แดงบ้าง เพราะแฟนๆส่งมาให้ลองหลายขวดอยู่ ส่วนกับแกล้มที่ชอบที่สุด คือ เมื่อเวลาได้เดินทางไปถ่ายทำภาพยนตร์ในที่ต่างๆหลากหลายเค้ามักจะซื้อของทานในที่นั้นๆมาลองแกล้มดู 

ชักจะฝันถึงบ้านที่เงียบสงบและมีสนามกว้างๆ บวกกับทริปพาลูกๆไปเยี่ยมคุณปู่คุณย่าในชนบทกันรึยังคะ?? 555+  ภาพที่พามาแปะครั้งนี้เป็นภาพจากสัมภาษณ์ครั้งนี้แหละค่ะ มิวเอามาเล่าต่ออีกทีจาก  koalasplayground ย้อนไปเมื่อเดือน กุมภาพันธ์ 2014 เห็นว่าน่ารักเลยเอามาแบ่งอ่านกัน

Source: Koalasplayground.com
Thai Translation by miss mew 

 

วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2560

กงยู คิดยังไงกับเรื่องความรักและการแต่งงาน ?


 นักแสดงจากละครเรื่อง Goblin กงยู ในตอนนี้กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งกับความสำเร็จของละครเรื่องแรกของเค้าในรอบ 5 ปี ดังนั้นคงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลที่ชาวเนตจะสงสัยอยากรู้เกี่ยวกับเรื่องชีวิตส่วนตัวของเค้ามากในตอนนี้ ว่าเค้าจะมีแฟนรึยัง?? หรือเค้าวางแผนว่าจะแต่งงานรึยัง?? แฟนๆก็แสดงออกมากๆว่าอยากจะรู้เรื่องนี้เป็นที่สุด


ดังนั้น ทางเราจึงตัดสินใจมองย้อนไปในการให้สัมภาษณของเค้าหลายๆครั้งในอดีตและพบเบาะแสที่พอจะหาคำตอบในเรื่องเหล่านั้นมาได้ และถ้าคุณเป็นแฟนเกริ์ลของกงยูที่อาจจะกำลังฝันอยากจะแต่งงานกับนักแสดง อายุ 37 ปีคนนี้ ความคิดเห็นของเค้าเกี่ยวกับการแต่งงานและการเป็นคุณพ่อคุณแม่นั้นอาจจะทำให้คุณใจสลายได้ เอาละค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะ

ในบทความที่ทางAll K POP ได้รายงานมา ดูเหมือนว่ากงยูอาจจะกลัวการแต่งงานตามการรายงานของ All K POP กงยูได้ให้สัมภาษณ์กับทาง Ilgan Sports ที่เปิดเผยถึงความคิดของเค้าเกี่ยวกับการเป็นเจ้าบ่าวว่า

“ผมเริ่มที่จะกลัวการแต่งงานและการเป็นคุณพ่อคุณแม่มากขึ้นมากขึ้นละครับ ผมคิดว่าอาจจะเป็นเพราะผมเริ่มมีอายุมากขึ้น " " แน่นอนว่ายังมีอะไรต้องเรียนรู้อีกมาก และผมก็รู้ว่าประสบการณ์จากการแต่งงานและการเป็นพ่อแม่นั้นจะช่วยผมในเรื่องของการแสดงด้วย"

จากคำพูดระหว่างที่ให้สัมภาษณ์ เค้ายังรู้สึกกลัวภาพการที่จะได้เป็นคุณพ่อคุณแม่ด้วย

“วันนึงผมคงจะแต่งงานและกลายเป็นคุณพ่อในวันนึงละครับ แต่ว่าถ้าเทียบกับอายุของผมในตอนนี้ผมควรจะมีลูกไปแล้ว 2 คนละนะครับ  จริงๆเพื่อนๆของผมก็เป็นคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกอยู่ชั้นประถมกันแล้ว แต่ทั้งๆที่ผมอายุขนาดนี้แล้ว แต่ความคิดทางอารมณ์ของผมยังเด็กอยู่มากๆ จากสิ่งที่ผมเห็นจากคนอื่นรอบตัวผม ผมสามารถบอกได้เลยว่าการแต่งงาน การสร้างครอบครัว และการมีลูกนั้นเป็นเรื่องที่ ยากสุดขีดเลยละครับ"

เช่นเดียวกับรายการข่าวของทาง soompi ที่เปิดเผยมุมมองของเค้าเกี่ยวกับการแต่งงานเมื่อ กงยูมานั่งให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องใหม่ The Age of Shadows ในเดือนกันยายน 2016ที่ผ่านมา ซึ่งในสัมภาษณ์ครั้งนั้น กงยูกล่าวว่า เค้าคิดว่าเรื่องของการแต่งงานไม่ใช่สิ่งที่เค้ามุ่งความสนใจในชีวิตไปตรงนั้นในขณะนี้

"ในตอนนี้ผมอยู่ในช่วงอายุปลาย 30 แล้วผมคิดเรื่องแต่งงานและครอบครัวเยอะอยู่นะครับ แต่พูดตามตรง ผมตัดสินใจที่จะผลักความคิดเกี่ยวกับเรื่องแต่งงานและคำถามเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวออกไปก่อนครับ"

กงยูเสริมว่าการพูดคุยกับผู้กำกับ  Kim Ji Woon ผู้กำกับภาพยนตร์ The Age of shadows ได้ช่วยให้เค้าตระหนักว่าเค้าควรจะใช้ชีวิตในแบบของเค้าให้มีความสุขสนุกสนานให้มากขึ้นอีกนิด

"นี่เป็นช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับผมนะครับและผมจะใช้เวลานี้อย่างไรนั้นจะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผมไปด้วยในตอนที่ผมอายุอยู่ในช่วง 40 ผมได้รับอิทธิพลอย่างมากจากผู้กำกับ  Kim Ji Woon ในขณะที่ได้ทำงานร่วมกับเค้า เค้าถามผมว่า ผมคิดว่าคนเรานั้นควรใช้เวลามากน้อยแค่ไหนในการที่จะสนุกกับการใช้ชีวิตของตัวเอง เค้าบอกว่า ในเกาหลีคนส่วนใหญ่พึ่งพาคุณพ่อคุณแม่จนถึงช่วงอายุ 30 ดังนั้นพวกเราจะมีเวลาแค่ในช่วงอายุ30-60 ที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเป็นของตัวเอง "

คำพูดนี้บ่งบอกเป็นอย่างดีว่า กงยู ยังไม่ได้แอบไปแต่งงานกับใครหรือวางแผนว่าจะแต่งงานในอนาคตอันใกล้นี้

แต่การที่จะได้เห็นกงยูแต่งงาน นั้นดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่แฟนๆของเค้าหลงใหลอยากจะได้เห็น เมื่อเร็วๆนี้กงยูได้ไปร่วมรายการ  Guerilla Date รายการในช่วงของ Entertainment Weekly program ทางช่อง KBS2 ในรายการนั้น กงยูได้สร้างความประหลาดใจให้กับแฟนๆด้วยการเดินพูดคุยไปตามถนนในย่าน คังนัม มีอยู่ช่วงหนึ่งแฟนๆได้ขอร้องเค้าว่าถ้าเค้าจะแต่งงานขอให้เค้าประกาศการแต่งงานผ่านทาง Fan cafe ซึ่งกงยูก็ให้สัญญาว่าหากวันนั้นมาถึงเค้าจะทำ

แฟนคลับ “ถ้าคุณจะประกาศการแต่งงาน ได้โปรดประกาศผ่านทาง fan cafeก่อนเลยนะคะ”
กงยู " ไว้ผมจะทำนะครับ " (ก่อนที่แฟนคลับคนนั้นจะพูดแทรกเค้า)
กงยู " หัวใจของผมยังไม่พร้อมสำหรับการแต่งงานเช่นกันละครับ" 
แฟนคลับ "โล่งอกไปทีนะคะ"

ซึ่งกงยูจะรักษาสัญญาของเค้ารึเปล่า เราคงต้องรอดูเมื่อเวลานั้นมาถึงนะคะ

source: http://www.inquisitr.com/3786465/gong-woo-married-girlfriend-goblin-korean-dram-ep-3-eng-sub-kim-go-eun-lee-dong-wook-video-pics-2016/ (11 ธันวาคม2016)
Thai Translation by miss mew 
ภาพจากเบื้องหลัง ภาพยนตร์ One man one woman 
คลิปวีดีโอรายการ Guerrilla Date ทางช่อง KBS2

วันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2560

สัมภาษณ์ กงยู และ จอนโดยอน จากนิตยสาร W เดือนพฤศจิกายน 2015

                                                            

                                                                 กงยู

ฉันได้ยินมาว่า ภาพยนตร์เรื่อง  “A Man and A Woman” ได้เจอผู้ที่จะมารับหน้าที่แสดงเป็นตัวเอกของเรื่องทางฝ่ายหญิงก่อน
ผมรู้เรื่องภาพยนตร์เรื่องนี้เพราะทางผมกับคุณจอนโดยอนอยู่บริษัทเดียวกันครับ ผมรู้สึกดีใจที่ได้รับการเสนอบทมาให้ ผมอยากจะแสดงในภาพยนตร์ในแนวเมโล ผมอยากจะแสดงภาพยนตร์ร่วมกับจอนโดยอนนูน่า ผมไม่ต้องใช้เวลานานในการตัดสินใจเลยครับ

มันไม่ได้เป็นสถานการณ์ที่น่าเครียดเหรอคะในการที่ได้ทำงานร่วมกับ คุณJeon Do Yeon?
เธอสร้างชื่อเสียงเอาไว้ในวงการจริงๆครับ แต่ผมคงจะไม่ทำแน่หากรู้สึกว่ามันเป็นภาระ มันก็ยังเฉยๆนะครับจนผมตัดสินใจรับแสดงก็เฉยๆ แต่จริงๆผมมาเริ่มรู้สึกกลัวเมื่อเริ่มลงมือทำครับ ในขั้นตอนที่กระบวนการเตรียมการต่างๆเริ่ม เพราะผมต้องทำให้ออกมาดีครับ

รู้สึกเหมือนนานมากๆเลยนะคะ ตั้งแต่คุณแสดงในภาพยนตร์เรื่อง  “The Suspect”.
ผมมาอยู่ตรงที่ผมอยู่ได้ในตอนนี้โดยใช้เวลาของผมครับ แต่ผมมักจะมีความคิดอยู่ในใจเสมอว่าควรจะค่อยเป็นค่อยไปเพราะมีอะไรมากกว่าความหนุ่มสาวที่มันไม่สามารถคงอยู่ได้ตลอดไป การที่ได้ทำงานในหลายๆโปรเจคเพราะผู้คนอยากจะมองเห็นผมดูผม นั่นเป็นโชคที่ผมได้รับครับ ผมอาจจะเหลือพลังน้อยมากแต่เมื่อแต่ละโปรเจคเสร็จสิ้นจบลง ผมจะเก็บทุกอย่างทิ้งไปแล้วเริ่มทำงานในโปรเจคต่อไป ยังไงก็ดีผมได้ทำต่างไปจากหลักการที่ตัวเองวางไว้ในปีนี้ครับ เพราะผมอยู่ในกองถ่ายตลอดเวลาในปีนี้ เป็นครั้งแรกตั้งแต่ทำอาชีพนี้มาที่ผมถ่ายทำภาพยนตร์สองเรื่องในเวลาเดียวกันและถ่ายทำเสร็จไปแล้วทั้งสองเรื่องในเวลาเดียวกันรอเพียงแค่การเปิดตัวออกฉายเท่านั้น ผมเสร็จสิ้นการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “A Mand and A Woman” และเว้นห่างไม่ถึงเดือนผมก็เริ่มก็ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “Busan Bound”. เริ่มจากช่วงกลางเดือนตุลาคม ผมก็อยู่ในกองถ่ายภาพยนตร์เรื่อง  “Miljung” ( The age of shadows) ที่ประเทศจีน

ผมเกิดปีแกะครับ ( คนทางประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลีจะเรียกปีแพะ ว่าปีแกะค่ะ) แล้วก็แปลกที่ปีนี้ก็เป็นปีแกะด้วยซึ่งทั้งดวงชะตาและเวลานั้นดูจะลงตัวได้เป็นอย่างดี แต่ถึงกระนั้น การที่ต้องถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องต่อเรื่องต่อๆกันไป โดยที่ไม่ได้รับฟีคแบคผลต้อนรับใดๆเลยมันน่าเบื่อมากครับ ตอนนี้ผมอยากจะเห็นปฏิกริยาตอบรับจากผู้คนแล้วละครับ

การที่สงสัยอยากจะรู้ถึงปฏิกริยาตอบกลับ แสดงว่าคุณมีความมั่นใจในผลลัพท์ที่จะออกมามาก
ผมคิดไปถึงบางอย่างที่ต่างออกไปจากแนวคิดนี้นะครับ คนแต่ละคนต่างก็มีมุมมองที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นก็มักจะมีคนที่ชอบการแสดงของผมและคนที่ไม่ชอบการแสดงของผมอยู่เสมอ ผู้คนเหล่านั้นมักจะรู้สึกอะไรเกี่ยวกับผมอยู่เสมอในฐานะที่ผมเป็นนักแสดง มันมีบางแง่มุมเกี่ยวกับภาพยนตร์ที่สำเร็จออกมาแล้วที่ผมไม่สามารถควบคุมมันได้ สิ่งที่ผมคิดคือผมจำเป็นต้องมีการสื่อสารกับคนอื่นๆครับ

ตั้งแต่ผมถ่ายทำภาพยนตร์ติดต่อกัน 3 เรื่องในคราวเดียว ผมมีความรู้สึกว่าผมต้องการอยากจะพักผ่อนทั้งทางกายและจิตใจของผมจริงๆ คือผมไม่ใช่คนประเภทที่จะทำงานเป็นมดงานขยัน แบบนั้นครับ

ตรงข้ามกับคุณJeon Do Yeon นะคะเธอบอกว่ามันเหนื่อยล้ามากที่จะกลับไปใช้ชีวิตประจำวันตามปกติหลังจากการถ่ายทำสิ้นสุดลง
นักแสดงบางคนได้รับพลังงานจากความตื่นเต้นและความเครียดเฉพาะตัวที่จะมาจากความจริงที่ว่าสิ่งแวดล้อมรอบตัวพวกเค้าและทีมงานจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดในตอนที่พวกเค้าเริ่มถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องใหม่ แต่สำหรับผมแล้วไม่ใช่แบบนั้นครับ ของผมชีวิตปกติธรรมดาที่เกิดขึ้นประจำวันนั้นมันเป็นเหมือนสิ่งที่มาชดเชยเป็นอะไรที่ผมอยากจะกลับไปหาอยู่เสมอ เวลาที่ผมทำงานหนักๆแล้วทำงานเพียงอย่างเดียวมันทำให้ผมรู้สึกว่างเปล่าครับ

Jeon Do Yeon บอกว่าเธอต้องพึ่งพาคุณอย่างมากเลยในตอนที่ ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง“A Man and A Woman” แล้วทางคุณละคะเป็นยังไงบ้าง?
ผมได้รู้จักเธอในฐานะรุ่นพี่ที่ยอดเยี่ยม ในฐานะนักแสดงหญิงชั้นนำของประเทศเกาหลี แต่ผมคิดว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เข้าใจเธอในฐานะที่เธอเป็นคนคนนึงอย่างที่เธอเป็นครับ แน่นอนว่าผมไม่อาจจะพูดได้ว่าผมรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเธอ แต่แม้ว่าจะรู้แค่นิดเดียวมันก็เป็นช่วงเวลาที่มีความหมายที่ผมได้เข้าใจอย่างใกล้ชิดถึงคนคนนึงที่แตกต่างจากผมอย่างมาก ผมอยู่ภายใต้ความกดดันเพราะผมพยายามที่จะคิดว่ามันจะเป็นยังไงนะถ้าผมจะสามารถมีใจให้กับนักแสดงหญิงหรือรุ่นพี่ที่เหมือนกับเธอคนนี้เป็นเวลา3 เดือน ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์เมโลที่เต็มไปด้วยอารมณ์ที่ลึกซึ้ง ผมไม่อยากจะกลายเป็นคนอื่นไปเลยเพื่ออยู่ในผลงานของเธอครั้งนี้หรือเพื่อทำให้การถ่ายทำแค่เสร็จสิ้นไป มันเป็นความกดดันทางอารมณ์ความรู้สึก แต่ครั้งนี้เป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดที่ผมได้รับจากการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ครับ

ดูเหมือนว่านี่เป็นครั้งแรกที่คุณจะต้องสวมบทบาทในการจำลองภาพความรักในแบบผู้ใหญ่ มีความกดดันรึเปล่าคะเกี่ยวกับระดับของการแสดงออกว่าควรจะมากน้อยแค่ไหน?
ฉากบนเตียงมีความยากมากกว่าฉากแอคชั่นครับ มันยากมากเพราะมันกินพลังงานมากและเราต้องดูเป็นธรรมชาติในการที่จะเข้ากันได้เป็นอย่างดีทั้งบทพูดและด้วยเทคนิคต่างๆซึ่งก็เหมือนฉากแอคชั่นที่เราจะต้องมีการซ้อมก่อนครับ โดยอนนูน่าเป็นผู้จะต้องเข้าฉากกับผมเธอจะเป็นคู่หูของผมและเพราะผมสามารถรู้สึกถึงความไว้ใจที่เธอมีต่อผมผมต้องทำให้การถ่ายทำออกมาอย่างถูกต้อง ผมว่ามันเป็นความตึงเครียดที่ดีร่วมกันที่เราต่างก็ได้รับและต่างก็มอบให้กันและกัน การแสดงไม่ใช่อะไรที่คุณจะสามารถทำได้ด้วยตัวของคุณเองทั้งหมด ดังนั้นผมจึงเชื่อในความงดงามที่มันมาด้วยความบังเอิญ เมื่อนักแสดงมีวิธีมีทางของตัวเองที่จะดึงเอาพลังงานดีๆจากกันและกันออกมาได้ มันจะกลายเป็นความสวยงามยิ่งขึ้นไปอีก และนี่คือสิ่งที่ผมคิดครับนี่เป็นมุมมองกว้างๆของภาพยนตร์ที่ผมได้ดู ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงโดยผมเอง

ฉันรู้มาว่าคุณเป็นแฟนกีฬาเบสบอล ถ้าหากสมมุติคุณได้เป็นนักกีฬาเบสบอล ชีวิตของนักกีฬาเบสบอลคนไหนที่คุณอยากจะใช้ชีวิตเป็นเค้าคะ?
นี่เป็นคำถามที่ยากที่สุดที่ผมได้ยินมาในวันนี้เลยนะครับ (ยิ้ม) คุณพ่อผมเป็นนักกีฬาเบสบอลครับตอนนี้เป็นโค้ชแล้ว ในตอนที่ผมอยู่ชั้นประถม มักจะมีญาติของคุณพ่อมาที่บ้านเราแล้วมักจะคว้าข้อมือของผมไม่ก็จับไหล่ของผมและจะพูดว่า "เธอเป็นตัวขว้าง เป็นตัวขว้าง (พิชเชอร์)" พูดตามตรงนะครับ พิชเชอร์นั้นมีความคล้ายกับนักแสดงมาก เค้าจะเป็นคนได้รับความเด่นในสนาม เค้าใช้เวลาอย่างมากในการโอดครวญต่อสู้ในการต่อสู้ที่โดดเดี่ยว ดังนั้นนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้พิชเชอร์เป็นตำแหน่งที่ยอดเยี่ยมและทุกคนต่างก็ส่งกำลังใจให้เค้าไม่ให้เค้าล้มพับไป เมื่อช่วงทำแต้ม(อินนิ่ง)จบลงและเค้ากลับเข้ามาทุกคนจะให้กำลังใจเค้าโดยการตบไหล่เค้าเสมอ ยังไงก็ตาม ผมเป็นนักแสดงมา 15 ปีแล้วและผมคิดว่ามันคงจะดีที่จะได้ไปอยู่ในสนามและช่วยสนับสนุนให้กำลังใจพิชเชอร์ครับ ในฐานะนักแสดงผมได้รับความช่วยเหลือจากทีมงานรอบตัวผมเสมอ เอาละครับผมต้องการที่จะช่วยพวกเค้าจากตำแหน่งที่ต่างไปบ้าง ด้วยใจที่เต็มไปด้วยความหวังว่าจะสามารถหายเป็นปกติได้อย่างรวดเร็วเพราะตอนนี้เค้ากำลังบาดเจ็บอยู่ครับ ผมเลือกที่จะใช้ชีวิตของคุณ Kang Hung Ho จากทีม  Pittsburgh Pirates ครับ



                                                          จอนโดยอน

พวกคุณพูดเกี่ยวกับการถ่ายแบบในวันนี้ว่า "ฉันหวังว่าเราจะไม่ดูเหมือนคู่รักจนเกินไปนะคะ" ฉันสงสัยว่าเราจะจำลองภาพความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงที่สบายๆเท่ๆออกมายังไงดีนะ ฉันคิดว่ามันคงดีกว่าที่จะทำให้ดูเหมือนเพื่อนมากกว่าคู่รักที่ชอบทำตัวติดกันแบบแยกไม่ออก

ยังไงก็ตามแต่ เรารู้มาว่าคุณกับกงยู แสดงเป็นคู่รักที่ทำตัวติดกันในภาพยนตร์เรื่อง  “A Man and A Woman”นะคะ
ค่ะ ภาพยนตร์จะมีการเปิดตัวในช่วงต้นปีหน้า แต่โปรเจคนี้เป็นโปรเจคที่มีการเขียนบทเอาไว้นานมาแล้วค่ะ ฉันได้รับบทนี้ตั้งแต่ในตอนที่ฉันถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “The Housemaid” (2010) ฉันชอบมันและตอบกลับไปว่าฉันต้องการจะทำนะคะ แต่ก็ต้องปฏิเสธไปเพราะตารางการงานของฉันกับตารางการถ่ายทำไม่ลงตัวและมีอะไรหลายอย่างที่จะต้องทำ แต่ทาง CEO ของบริษัท Spring Productions คุณ Oh Jung Wan ได้พูดว่า "ภาพยนตร์เรื่องนี้จะไม่มีการถ่ายทำถ้าไม่มีคุณครับ" ดังนั้นเลยจบลงที่ว่าฉันจำเป็นจะต้องรับแสดงอย่างไม่มีทางเลือก ฉันรู้สึกว่าฉันจะต้องทำงานนี้ค่ะ ฉันเคยทำงานกับทางผู้กำกับ Lee Yoon Ki ในเรื่อง “My Dear Enemy” ผู้กำกับคนนี้เป็นคนที่"นิ่ง"แต่เค้ารู้ว่าจะจัดการกับความรู้สึกยังไง ดังนั้นฉันเกิดอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาว่า "ความนิ่ง"ของเค้าจะสร้างอิทธิพลยังไงให้กับภาพยนตร์เรื่อง “A Man and A Woman”.

คุณไม่ใช่คนนิ่งๆเลยนะคะ
เป็นเพราะฉันไม่ใช่คนนิ่งเลย ดังนั้นแง่มุมความนิ่งของบุคคลิกของผู้กำกับจึงมีอิทธิพลต่อฉันค่ะ เมื่อผู้กำกับได้เจอกับนักแสดงที่มีความสดใสต่างจากความนิ่งขรึมของเค้า มันจะมีส่วนประกอบเสริมที่สร้างผลกระทบต่อการกำกับของเค้า ทั้งนักแสดงและผู้กำกับต่างก็มีอิทธิพลซึ่งกันและกัน เมื่อพูดถึงการสวมบทบาทเราจะต้องเปลี่ยนเป็นตัวละครนั้น เรื่องของมุมมองว่าอยากให้ออกมาเป็นแนวไหนเป็นเรื่องปกติที่จะต้องคิดแต่ในเรื่องนี้ก็เหมือนกับต้องไว้ใจในตัวฉันด้วย ว่าฉันสามารถมองเห็นอะไรในตัวละครในมุมมองที่แตกต่างไปไม๊และฉันสามารถบรรยายเรื่องราวนั้นออกมาในแบบใหม่ๆได้ไม๊ ซึ่ง นี่คือการสวมบทบาทและเปลี่ยนเป็นตัวละครนั้นๆค่ะ 

คุณพูดถึงภาพยนตร์เรื่อง  “Secret Sunshine” และ “Happy End” ว่าเป็นภาพยนตร์ที่ทำให้ความเป็นนักแสดงของคุณก้าวกระโดดไปอีกขั้น แล้วภาพยนตร์เรื่อง A Man and A woman นี้คืออะไรสำหรับคุณคะ?
“A Man and A Woman” เป็นความท้าทายสำหรับฉันค่ะ เป็นความท้าทายที่ควรลองสำหรับฉันในวัยนี้? (ยิ้ม) พูดตามตรงนะคะ ฉันรู้สึกว่ายังมีเรื่องราวส่วนขยายมากกว่านี้ที่ฉันอยากจะเล่าออกไป เรื่องราวที่เกี่ยวกับความรู้สึกอยากจะรักและอยากถูกรัก มันย่อมมีช่วงเวลาที่คุณอยากจะรักและช่วงเวลาที่คุณอยากจะเป็นผู้ถูกรักไม่ใช่เหรอคะ? ฉันคิดว่านี่เป็นมุมมองที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของฉันในฐานะนักแสดงด้วยนะคะ ฉันก็อาจจะมีความใฝ่ฝันจินตนาการของตัวเองเหมือนกันต่อสถานการณ์ที่ฉันไม่เคยจะประสบมาก่อนในชีวิตจริงหรือฉันก็อาจจะมีความใฝ่ฝันในบทบาทที่ฉันยังไม่เคยแสดงมาก่อน เมื่อมีการถ่ายทำภาพยนตร์เกิดขึ้น ความใฝ่ฝันจินตนาการเหล่านั้นมันก็ใกล้เคียงกับความเป็นจริงขึ้นมา อย่างในตอนที่ฉันอ่านบทภาพยนตร์เรื่องนี้ฉันมีความตื่นเต้นและมีความรู้สึก"หัวใจเต้น"จริงๆ

มีนักแสดงหญิงในวงการฮอลลีวู้ดบางคน บ่นมาว่าในช่วงระยะหลังนี้บทบาทของนักแสดงหญิงนั้นลดลงไปมาก รู้สึกว่าความคับข้องใจในเรื่องนี้ในวงการบันเทิงประเทศเกาหลีก็เป็นปัญหาที่ไม่เล็กเหมือนกันนะคะ
สถานการณ์แบบนี้มันดำเนินมาได้พักใหญ่แล้วนะคะ ในตอนที่ฉันได้ยินว่าในวงการฮอลลีวู้ดมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ฉันคิดว่า "ปัญหานี้ไม่ได้มีแค่เฉพาะในวงการอุตสาหกรรมภาพยนตร์เกาหลีเท่านั้นสินะ" แต่ก็อีกแหละค่ะในใจฉันก็คิดอิจฉาพวกเค้าอยู่นะว่า"แต่ถึงยังไง"พวกเค้าก็มีโอกาสมีตัวเลือกที่กว้างกว่าทางเราอยู่ไม่ใช่เหรอ??  อย่างในเร็วๆนี้ ฉันอิจฉา Charlize Theron มากเลยในขณะที่ฉันดูภาพยนตร์เรื่อง  “Mad Max: Road of Fury” พวกเค้าไม่ทำภาพยนตร์แบบนี้ในเกาหลีหรอกนะคะ จำนวนเรื่องราวที่นักแสดงหญิงจะสามารถบอกเล่าได้ จำนวนภาพยนตร์ที่เป็นแบบนั้นมันน้อยมากๆ แต่ฉันก็คิดนะคะว่ายังมีบทบาทที่จะสามารถเป็นบทบาทในยุคเจริญรุ่งเรืองได้อยู่ ถึงแม้ว่ามันจะสามารถส่องแสงประกายแค่ในกลุ่มเล็กๆก็ตาม

ความสำเร็จและความรุ่งเรืองของคุณนั้นถูกจารึกเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วนี่คะอะไรที่คอยมอบพลังให้กับคุณในการที่จะคอยกระตุ้นตัวเองให้อยู่ตรงนั้นอยู่เสมอคะ?                                   
ฉันคิดว่า แรงจูงใจฉันอย่างแรกเลยคือความรักและหลงใหลในงานนี้ค่ะ มันเป็นความรักที่ไม่มีวันหมด มันไม่ใช่การเติมเต็มในสิ่งที่ฉันขาดไปหรอกเหรอ?? มันไม่ใช่สิ่งที่ฉันลงมือทำเพื่อให้ตัวเองมีอะไรทำหรอกเหรอ??

ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหน ชื่อเล่น "ราชินีแห่งเมืองคานซ์" ก็ติดอยู่กับชื่อของคุณเสมอ มันทำให้รู้สึกยังไงคะ?
ฉันชินกับมันแล้วละค่ะตอนนี้แต่เคยรู้สึกอึดอัดกับมันอยู่ค่ะ เหมือนกับฉันได้ก้าวพ้นอะไรบางอย่างมาได้แล้ว ฉันคิดว่าฉันสร้างความสบายใจอยู่กับมันได้แล้วและฉันก็มองไปข้างหน้าเพื่อสิ่งที่ฉันอยากจะทำต่อไปค่ะ เมื่อเช้าระหว่างทางมาที่นี่ ฉันคุยโทรศัพท์กับคุณ Yoon Yeo Jung ที่ฉันไม่ได้เจอมานาน เธอบอกกับฉันว่า "ใช่เลยนั่นเป็นเหตุผลที่เธอต้องจัดการกำจัดคำว่า"ราชินีเมืองคานซ์"ออกไปให้เร็วที่สุด ฉันบอกกับเธอว่า"ฉันอยากจะกำจัดมันออกไปนะ งั้นคงต้องได้รับรางวัลออสการ์แทนงั้นเหรอ??" และเธอก็ตอบมาว่า "ก็นะ เธอพูดภาษาอังกฤษได้นี่นา ฉันหวังว่าเธอจะได้ทำงานที่ไหนซักแห่งอย่างฮ่องกงแล้วได้รับ ชื่อเล่นว่า "ราชินีแห่งเอเซีย" มาแทนจะดีกว่า แล้วนี่ก็ทำให้ฉันหัวเราะและยิ้มได้มาตั้งแต่เช้าละค่ะ ยังไงก็ตามรางวัลของฉันก็ถูกลืมไปแล้ว แต่เรื่องราวทั้งหมดที่ว่า ฉันเป็น"ผู้หญิงที่คานซ์รัก" กลายเป็นเรื่องพูดคุยไปทั้งเมืองอีกแล้วเพราะฉันถูกเชิญให้ไปเป็นส่วนหนึ่งของผู้ตัดสินใจในครั้งนี้ (ยิ้ม)

ก็เพราะมันเป็นเรื่องจริงนะคะที่ว่าคุณได้รับความรักจากคานซ์มากจริงๆ
ฉันว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยบกับได้รับความนับถือมากกว่าค่ะ เวลาที่ฉันเดินทางไปเมืองคานซ์ ฉันจะมีความคิดว่า "ฉันถูกนับถือในฐานะที่เป็นนักแสดง" ซึ่งฉันรู้สึกขอบคุณมากจริงๆค่ะ

ถ้าให้สรุปเป็นคำพูดของคุณเอง ภาพยนตร์เรื่อง “A Mand and A Woman” เรื่องราวความรักในแบบไหนคะ?
มันเป็นเรื่องราวที่เหมือนกับเรื่องในจินตนาการเป็นจริงขึ้นมา แต่มันเป็นเรื่องรักในชีวิตจริงที่มีรสชาติขม ดูเหมือนว่าตอนจบที่สมหวังนั้นไม่มีอยู่จริงเลยเมื่อพูดถึงเรื่องความรัก


source: W Korea
English Translation: thesunnytown – thesunnytown.wordpress.com
Thai translation : miss mew

วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2560

สัมภาษณ์กงยู BE MINE (เป็นของฉันเถอะ) จากนิตยสาร Elle ฉบับ ตุลาคม 2015


ฉันจะถามคำถามที่คุณต้องตอบแบบตรงไปตรงมานะคะ จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับ 
"ช่วงเวลาที่ผู้หญิงจะรักผู้ชายซักคนนึง"

ก่อนอื่นเลย "การทำอาหาร" ซึ่งช่วงนี้กำลังมาแรงเลย คุณเป็น “yoseknam” รึเปล่าคะ?? 
[ yoseknam คือ คำใช้เรียก ผู้ชายเซ็กซี่ที่สามารถทำอาหารได้ ]?
ครับ ผมชอบทำอาหารครับ  ไม่ใช่อะไรที่ยิ่งใหญ่แบบการทำอาหารฝรั่งเคสหรืออิตาเลี่ยนหรอกนะครับ แต่อย่างถ้ามีการถ่ายทำภาพยนตร์กันในสถานที่ที่อยู่ในแถบชนบท ผมมักจะแชร์ที่พักกับผู้จัดการอยู่แล้วเป็นเวลา2-3เดือน ในช่วงเวลาแบบนั้นผมมักจะทำอาหารทานเองแทนที่จะออกไปทานข้างนอกครับ นอกจากนี้ผมยังมีความสุขในกระบวนการที่ได้ลงมือทำและทำให้คนอื่นได้ทานด้วย ผมได้ดูรายการโทรทัศน์และลองทำตามทุกเมนูของ เชฟ Baek Jong Won มาแล้วนะครับ มีเมนูที่เหมาะกับจะทานคู่แอลกฮอล์กกับพวกกับแกล้มหลายเมนูทีเดียวครับ

ต่อไป "การขับรถ" คุณเป็นคนขับรถสไตล์ไหนคะ? 
ผมชอบรถและชอบการขับรถครับ สไตล์การขับรถของผมจะเปลี่ยนไปตามสไตล์ของรถที่ผมขับเหมือนกับว่าวิธีการพูดหรือการวางตัวของคุณจะเปลี่ยนแปลงตามสไตล์เสื้อผ้าที่สวมใส่แบบนั้นแหละครับ ถ้าเป็นพวกรถสปอร์ต ผมแทบจะไม่รู้ตัวเลยว่าได้เหยียบคันเร่งหนักไปรึเปล่า? แต่ถ้าเป็นรถที่ใช้ขับขี่ในเมืองพวก city car สไตล์การขับรถของผมก็จะเปลี่ยนเป็นแบบนุ่มนวลครับ

กีฬาละคะ??
กีฬาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผมครับ ผมชอบดูเบสบอลเหมือนกัน

แฟนเบสบอลจะรู้ถึงความสุขและความเศร้าในช่วงฤดูกาลแข่งขันดีนะคะ
ครับ ผมตะโกน ผมขนลุกในขณะที่ดูเทปการแข่งขัน แฟนๆเบสบอลทุกคนเป็นเหมือนกันหมดละครับ ผมชอบกีฬาทุกชนิดที่ใช้บอลเล่นครับผมชอบดูทุกประเภทเลย

แล้วเกมส์การรักษาความงามของคุณก็เข้มข้นด้วยไม๊คะ?? ดูเหมือนหน้าคุณไม่ได้เปลี่ยนไปเลยจากช่วงที่แสดงในละครเรื่อง“Coffee Prince” 
ผมพยายามจะทำพวกพื้นฐานนะครับ ผมใช้สกินโลชั่นของบอดี้ช้อปแล้วถ้าเกิดว่าสิวยังขึ้นอยู่อีก ก็จะใช้  tea tree oil ซึ่งผลออกมาน่าทึ่งมากๆครับจนผมเองยังสงสัยเลย คุณแม่ของผมก็ชอบใช้ผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม “drops of youth” มากๆแล้วคุณแม่ก็ดูสาวขึ้นด้วยครับ ( 5555 ) นอกจากนี้ผมยังไปหาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางผิวหนังอาทิตย์ละหนึ่งครั้ง พูดตามตรงนะครับ การจะต้องไปนอนให้ดูแลผิวหน้าแบบนั้นมันลำบากครับ แต่ผมตระหนักได้ว่าผมจำเป็นต้องทำในสิ่งที่ดีต่อผม เพราะตัวเองอายุก็มากขึ้นแล้วครับ


เพลงที่ติดอยู่ในหูช่วงนี้คือเพลงอะไรคะ??
พูดตามตรงนะครับ ในตอนที่อายุอยู่ในช่วงวัย 20 ผมจะคอยหาเพลงใหม่ๆมาฟังตลอดและจะรู้สึกเหนือกว่านะครับถ้าคนอื่นไม่รู้จักเพลงที่ผมรู้จัก จะแบบ "พวกนายไม่รู้จักเพลงนี้เหรอ??" แต่ช่วงนี้ผมฟังเพลงของวงHyukohครับ น่าเศร้ามากที่พวกเค้าเริ่มเป็นที่โด่งดังมากๆตั้งแต่ไปออกรายการ "Infinite Chanllenge" 

มันมีอยู่จริงๆด้วย กับอาการทางจิตใจที่ว่า "ฉันอยากจะเป็นคนเดียวที่รู้" 
คุณพูดถูกครับ ศิลปินที่ผมฟังเยอะมากที่สุดในตอนนี้คือ Honne เวลาที่ผมนั่งดื่ม ผมก็จะฟัง ผมเอาเพลงใส่ไว้ในโทรศัพท์แล้วในรถจะมี Holderเอาไว้เสียบโทรศัพท์ เวลาขับรถแล้วฝนตก เพลงของวงนี้จะเข้ามาในใจของผมและผมก็จะเปิดฟังครับ 

มันไพเราะมากนะคะ และการที่ฟังโดยใช้หูฟังก็จะยิ่งทำให้มันเพราะขึ้นไปอีก
จริงครับ คุณต้องลองฟังด้วยตัวเอง


เอาละคะตอนนี้มาถึงการถามตอบอย่างรวดเร็ว ช่วยเลือกเพียงตัวเลือกเดียว แล้วก็ต้องตอบตรงไปตรงมาด้วยนะคะ เริ่มเลย

แกงกิมจิ vs. พาสต้า
แกงกิมจิครับ

โซจู vs. เบียร์ …แต่ทำไมฉันรู้สึกว่าคุณจะตอบ somaek  [โซจู+เบียร์] ก็ไม่รู้
ผมดื่ม somaek เยอะครับ มันสดชื่นดีนะครับสำหรับการดื่มรอบแรกแต่หลังจากนั้น ผมจะดื่มโซจูครับ เอาจริงๆคำถามนี้มันยากนะครับ เหมือนถามว่า "คุณชอบคุณพ่อหรือคุณแม่มากกว่า" อืมม ยังคงตอบว่าโซจูครับ เบียร์ยังเอาผมไม่อยู่ครับ มันน่ารำคาญนะครับที่จะต้องเดินไปเข้าห้องน้ำบ่อยๆ

คุณคิดยังไงกับโซจูที่มีรสผลไม้ออกมาซึ่งตอนนี้กำลังฮิตเลย ?
โอ้ววว, ผมดื่มไม่ได้แน่ครับ รสชาติต้องพิลึกแน่ๆ แต่ผมคิดนะครับว่าแอลกออล์กแบบนี้ยิ่งอันตรายรึเปล่า? คุณต้องระวังมากเลยเวลาที่ดื่มไม่งั้นละก็อาจจะถึงขั้นลุกไม่ขึ้นเดินไม่ได้นะครับ

Americano vs. latte
Americano ครับ แต่ก็มีที่ที่ทำลาเต้อร่อยมากเป็นพิเศษด้วย ถ้าเป็นลาเต้ต้องเป็นลาเต้ที่มาจากที่แบบนั้นครับ 

ชุดออกกำลังกาย vs. สูท
ชุดออกกำลังกายครับ

รถเก๋ง vs. มอเตอร์ไซด์
รถเก๋งครับ มอเตอร์ไซด์อันตรายครับ เป็นคำบอกจากคุณพ่อผมครับ  

เพลงเกาหลี vs. เพลงป็อป
อืมม ผมชอบเพลงเกาหลีรุ่นก่อนครับ อย่าง เพลงของคุณ Lee Seung Hwan, Lee Moon Se, Yoo Jae Ha… แต่ว่าท่ามกลางนักดนตรีรุ่นใหม่นี้ ผมคิดว่าGD กับ IU มีความไพเราะจับใจมากจริงๆครับ พวกเค้าเท่มากๆด้วย แต่ยังไงก็ตามหลังจากที่ดื่มไปแล้วเพลงที่ผมเปิดฟังก็จะเป็นเพลงจากยุค70’s, 80’s, 90’s.อยู่ดี นี่ผมเริ่มแก่แล้วจริงๆ ใช่ไม๊ครับ

source:https://thesunnytown.wordpress.com
Thai Translation by miss_mew

วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2560

กงยู : เราต้องการจะแสดงให้เห็นว่ามนุษย์เราสามารถน่ากลัวได้แค่ไหนไม่ใช่ซอมบี้



เป็นความคิดที่น่าสนใจว่าไม๊ครับ ว่าการเกณฑ์ทหารจะส่งผลกระทบอะไรต่อฮอลลีวู้ดและดารานักแสดงดาวรุ่งที่มีแววจะได้เป็นนักแสดงนำในวันพรุ่งนี้บ้าง "ไม่มี Star Trek Beyond ให้คุณแสดงหรอกนะ  Anton Yelchin!” ไม่มีข้อแม้ๆทั้งนั้น  “เอาละเราจะหยุดตรงนี้ละนะในแง่มุมของ X-Men ไม่จ้างหรอก Nicholas Hoult!” ความหวังและความฝันของคุณล่มสลายลงไปแบบนั้นเลย หรือไม่ก็จะต้องหยุดเอาไว้ก่อน 1-2 ปีถ้าคุณโชคดีที่จะกลับมาได้ละนะ

เช่นเดียวกับชะตากรรมของพลเมืองชายที่เกาหลีใต้ กงยูได้เข้ารับใช้ชาติอยู่ในกรมทหารในช่วงปลายอายุ 20 ของเค้าในช่วงที่อยู่บนจุดสูงสุดของความโด่งดังในปี 2007  ในตอนนั้นละครทางโทรทัศน์  The 1st Shop of Coffee Prince ได้รับความโด่งดังมากและทำให้นายแบบที่ผันมาเป็นนักแสดงได้กลายเป็นนักแสดงชื่อดังเต็มตัว อีกทั้งความต้องการในตัวเค้าไปไกลถึงต่างประเทศน้อมรับกระแสนักแสดง “Hallyu” และเป็นส่วนหนึ่งใน “The Korean Wave,” ที่หมายถึงการเผยแพร่วัฒนธรรมเกาหลีออกไปทั่วโลกในช่วงปี 90 เป็นต้นมา

ระยะเวลา 2 ปีฟังเหมือนโทษประหารสำหรับวงการบันเทิงแต่ถึงแม้ว่าผลงานจะดูเบาบาง แต่กงยูได้กลับมาอย่างประสบความสำเร็จ และก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เค้ากลับมาอย่างแข็งแกร่งจากกรมทหาร เช่นเดียวกับสีสันในการเป็นศิลปินของเค้าก็เพิ่มมากขึ้น ครั้งนึงที่เรารู้จักเค้าจากละครโรแมนติกคอมเมดี้ เราได้เห็นกงยูรับแสดงภาพยนตร์ Silenced (2011), ภาพยนตร์สุดอื้อฉาวที่สร้างมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เรื่องราวที่นักเรียนหูหนวกถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยคุณครูที่โรงเรียนสำหรับผู้ที่มีความบกพร่องทางการได้ยินแห่งหนึ่งในเกาหลีใต้ ในช่วงปี2000 นอกจากนี้เค้ายังขยับเลื่อนขั้นอีกเล็กน้อยรับบทเป็นสายลับจากเกาหลีเหนือในภาพยนตร์เรื่อง Suspect (2013).

ในปีนี้ คานซ์ได้เปิดตัวภาพยนตร์ในรอบเที่ยงคืนเป็นภาพยนตร์ของผู้กำกับ  Yeon-Sang Ho เรื่อง Train to Busan ซึ่งในเรื่องนี้กงยู ต้องติดอยู่บนรถไฟ  KTX (รถไฟความเร็วสูงของประเทศเกาหลีใต้) และต้องเจอกับการล้างโลกโดยซอมบี้  ในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ กงยูจะหวนคืนสู่วงการโทรทัศน์หลังจากที่แห่งหายไปกว่า 4 ปี ด้วยละครเรื่อง โทแกบี (Goblin) เรื่องเล่าในตำนานเกี่ยวกับ ก็อบลินและยมทูตที่ทำงานร่วมกันเพื่อช่วยให้คนตายได้ผ่านไปยังโลกหน้า 

ที่คานซ์เราได้ขโมยตัว กงยู มานั่งคุยกันสั้นๆหลังจากที่ Train to Busan มีรอบปฐมทัศน์ไปที่คานซ์
(เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานซ์ ครั้งที่69จัดขึ้นระหว่างวันที่ 11-22 พฤษภาคม)

คุณได้รับผลตอบรับที่กระตือรือร้นอย่างไม่น่าเชื่อเลยนะครับ นี่เป็นปีที่5แล้วของผมที่คานซ์และผมไม่เคยประสบกับอะไรที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เลย เป็นครั้งแรกของคุณที่ได้เห็นภาพยนตร์ในแบบที่ตัดต่อเสร็จสมบูรณ์แบบนี้ด้วยไม๊ครับ?
ใช่ครับ พูดตามตรงนะครับผมกังวลนิดๆในตอนเริ่มแรกครับเพราะนี่เป็นภาพยนตร์แอคชั่นที่ใช้คนจริงๆแสดงเป็นเรื่องแรกของผู้กำกับ Yeon-Sang Ho แต่ก่อนที่เราจะเริ่มการถ่ายทำ เราได้แบ่งปันพูดคุยเกี่ยวกับความตั้งใจที่จะฝังเอาข้อความสำคัญแฝงลงไปในเนื้อเรื่องของภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับซอมบี้ซึ่งเพราะเนื้อหาแฝงนี้ทำให้ผมพอใจอย่างมากครับ ผมไม่รู้ว่าคุณรู้สึกได้ถึงข้อความนั้นรึเปล่าเวลาที่ได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่ว่ามนุษย์เรานั้นน่ากลัวกว่าผีดิบซะอีก

ผมคิดว่าเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวที่สุดในโลกแล้วครับ ซึ่งผมยิ่งมั่นใจขึ้นทุกวันๆ
เราต้องการที่จะสื่อสารข้อความนี้ออกไปครับ เราต้องการจะแสดงให้เห็นว่า คนเราสามารถที่จะน่ากลัวได้แค่ไหน ไม่ใช่พวกซอมบี้



ในทุกความรู้สึกที่จับต้องได้ Train to Busan  ถือว่าเป็นภาพยนตร์ในแนวระทึกขวัญ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นภาพยนตร์ที่เศร้าและซึ้งได้อย่างไม่น่าเชื่อ คุณรู้สึกว่าในการถ่ายทำต้องใช้ความท้าทายทางด้านร่างกายหรืออารมณ์เป็นพิเศษไม๊ครับในเวลาแสดง?
สำหรับผม การแสดงเป็นงานที่ยากอยู่แล้วโดยปกติครับ มันเป็นการที่หนักทั้งทางร่างกายและจิตใจ แต่มันจะเป็นเรื่องที่น่าอายนะครับที่ผมจะยอมรับว่าผมเหนื่อยมากๆในการถ่ายทำ เพราะ นักแสดงที่สวมบทบาทเป็นซอมบี้นั้นทำงานหนักมากจริงๆ ผมจึงไม่อาจจะปริปากบ่นถึงสิ่งที่ผมต้องเผชิญมาได้เพราะสิ่งที่พวกเค้าคาดหวังจากนักแสดงที่เป็นซอมบี้ในทางร่างกายต้องแข็งแกร่งกว่ามากครับสิ่งที่เค้าต้องทำให้สำเร็จนั้นมีมากมายครับ

ผ่านมาช่วงนึงแล้วนะครับตั้งแต่มีการปิดกล้องและจบการถ่ายทำไป ผมเข้าใจว่าการที่ได้มาดูภาพยนตร์เมื่อคืนนี้ ได้เรียกคืนความทรงจำมากมายเกี่ยวกับการถ่ายทำให้ย้อนกลับมาแน่ๆ คุณพอจะแบ่งปันเรื่องราวความทรงจำเหล่านั้นซักเรื่องนึงกับพวกเราได้ไม๊ครับ
คือภาพยนตร์เป็นเรื่องราวที่แต่งขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดใช่ไม๊ครับ แต่มีช่วงเวลาที่ผมรู้สึกกลัวจริงๆครับ เวลาที่คุณตั้งสมาธิไปกับความหวาดกลัวในขณะที่กำลังสวมบทบาท ในพื้นที่จำกัดอย่างบนรถไฟ และจู่ๆมีซอมบี้มาจับแขนคุณ มันน่ากลัวครับ มันเป็นเหมือนการแกล้งกันเล่นก็จริงแต่ ความรู้สึกและการแสดงออกทางสีหน้าของผมตอนนั้นเป็นของจริงครับ 

คุณใช้เวลาส่วนใหญ่ในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้หนีเอาตัวรอด ซึ่งผมรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันสมจริงมากจริงๆ
ผมวิ่งแบบหนีนรกตลอดทั้งเรื่องครับและผมไม่ต้องแกล้งทำด้วย (หัวเราะ) ผมกลัวจริงๆ (หัวเราะ) แม้ตอนที่เราไม่ได้มีการถ่ายทำ ผมก็จะไม่ไปเข้าใกล้นักแสดงที่แมคอัพแต่งหน้าเป็นซอมบี้ครับ

Yeon-Sang Ho เป็นผู้กำกับที่มาจากวงการ อานิเมชั่นและเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์แอคชั่นเรื่องแรกของเค้าเหมือนที่คุณกล่าวไปเมื่อครู่ อะไรที่คุณสังเกตได้จากเค้าในฐานะผู้กำกับและในฐานะคนคนนึงครับ?
ถ้าคุณกำลังจะทำงานที่มีแนวที่เกี่ยวกับผีดิบซอมบี้ ซึ่งเป็นแนวที่ไม่ค่อยมีการสร้างในระดับภาพยนตร์ในเกาหลีใต้มาก่อน คุณจำเป็นต้องมีความมั่นใจที่จะมองมันให้ออก ซึ่งผมมองเห็นความมั่นใจนี้ในตัวของคุณ Yeon-Sang Ho ครับ ผมมั่นใจว่าเค้าจะต้องสร้างภาพยนตร์ให้ยอดเยี่ยมได้ตั้งแต่เค้าเริ่มต้น นอกจากนี้เค้ายังมีความสามารถในการที่จะทำให้นักแสดงหัวเราะ ซึ่งนั่นสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายให้เกิดขึ้นครับ 

คุณอยู่ในวงการนี้มาก็ชั่วระยะหนึ่งแล้วและก็ลองสำรวจมาก็มาก ในตอนนี้อะไรที่จะทำให้คุณตื่นเต้นได้ครับ?  
ผมมองไปที่ป่าที่กว้างไกลไม่ใช่หมายตาไปที่ต้นไม้เพียงต้นเดียวครับ

เจ้าบทเจ้ากลอนเลยนะครับ แปลง่ายๆคือ คุณมองไปที่ภาพรวมมากกว่า 
ถูกต้องครับ หากว่ามีป่าที่มองไปแล้วเป็นวิวที่สวยงาม ผมก็ยินดีที่จะลงไปสำรวจมันครับ

source: http://anthemmagazine.com
Text By Kee Chang Photo By Victoria Stevens
Thai Translation by miss mew