วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560
"แม้ว่าผมจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ผมคิดว่าความท้าทายนี่แหละที่มีความสวยงามในตัวของมันเอง"
ทุกคนคงจะต้องมีช่วงเวลาที่เรามีความรู้สึกว่า มีแค่เราสองคนในโลกนี้ ช่วงเวลาที่เหมือนกับเรื่องเหลือเชื่อในภาพยนตร์แต่มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง อย่างไรก็ตามช่วงเวลานั้นไม่นานก็ถูกฝังเก็บไว้ในใจของพวกเค้าทั้งสองกลายเป็นเรื่องที่พวกเค้าเก็บไว้ในใจไม่เคยบอกเล่าให้ใครฟัง
นักแสดงหนุ่ม กงยู ได้บอกเราถึงความรู้สึกนั้นว่า มันเป็นความงุ่มง่ามแต่มันก็เป็นความรู้สึกที่จริงแท้ เกิดขึ้นอย่างระมัดระวังรอบคอบแต่ก็เด็ดขาดรุนแรง
เมื่อไม่นานมานี่ กงยู ได้ให้สัมภาษณ์กับทางข่าว Bnt ที่ร้านกาแฟในย่าน Samcheong-dong ในโซลก่อนที่ภาพยนตร์เรื่อง A Man and a Woman ของเค้าจะเริ่มฉายรอบปฐมทัศน์ ในวันนั้นเค้ากลับมีใบหน้าที่ซีดเซียวยังกับคนที่มีปัญหาเรื่องความรัก
กงยูเลือกภาพยนตร์เรื่อง A Man and a Woman เป็นผลงานในการคัมแบคหลังจากแสดงในภาพยนตร์เรื่องThe Suspect ในปี 2013 การคัมแบคครั้งนี้เป็นครั้งแรกของเค้าในการแสดงในภาพยนตร์แนว เมโลดราม่า เค้ารับบทเป็น กีฮง ชายที่ตกหลุมรักอย่างบ้าคลั่งกับ ซางมิน
เหตุผลหลักๆที่ทำให้เค้าตัดสินใจแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเพราะ คุณ จอนโดฮยอน เธอเป็นเหตุผลข้อหลักๆที่ทำให้เค้าเลือกงานนี้
"ผมอยากจะทำงานกับคุณ จอนโดฮยอน มากจริงๆตั้งแต่ผมยังอายุน้อยๆครับ สำหรับผมแล้ว เธอเซ็กซี่ตลอดกาลและเพราะเธอถูกแคสติ้งให้มารับบทคู่กับผมในเรื่อง ก็ไม่มีเหตุผลใดที่ผมจะลังเลแล้วละครับ"
"แน่นอนว่าเรื่องในภาพยนตร์ก็เป็นแค่ภาพยนตร์ครับ แต่มันก็สำคัญว่าต้องมีเหตุผลว่าผมสามารถที่จะรักคนคนนี้ที่จะมารับบทเป็นคู่ของผมในเรื่องได้หรือไม่ ในภาพยนตร์ผมจะต้องรักกับคุณ จอนโดฮยอน เธอเป็นเหตุผลใหญ่ที่สุดที่ทำให้ผมตัดสินใจทำเรื่องต่างๆในภาพยนตร์ ถ้าไม่ใช่เธอผมก็อาจจะไม่ตัดสินใจแบบนี้"
"ยิ่งภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์เมโลดราม่าที่แต่งขึ้นมาใหม่ ความรู้สึกส่วนตัวของผมต่อผู้แสดงที่มารับบทเป็นคู่กับผมในเรื่องย่อมจะสะท้อนออกมาให้เห็นในการแสดงด้วย มันดูเหมือนว่าผมตัดสินใจที่จะมาแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้เพื่อความต้องการของตัวเองซึ่งพูดไปมันก็จริงนะครับ แต่ในชีวิตจริงเรื่องราวแบบนี้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะถูกต้อง "
ความรู้สึกต่างๆของกงยูที่แสดงออกมาในภาพยนตร์จริงๆแล้วมาจากผู้กำกับ คุณ Lee Yoon Ki ในขณะที่พูดถึงมาตรฐานที่เค้าตั้งเอาไว้เวลาเลือกรับงาน กงยูกล่าวว่า เค้าพยายาม"หลีกเลี่ยงงานที่ดูเป็นแบบแผนเดิมๆ" ดังนั้นแทนที่จะคาดหวังไปกับสิ่งที่คุ้นเคย การเลือกของเค้ากลับไม่เป็นแบบนั้น และครั้งนี้ A Man and a Woman ก็เป็นแบบนั้น
“ผมคิดว่าในภาพยนตร์เรื่อง A Man and a Woman มันมีอะไรที่ต่างไปจากภาพยนตร์ในแนวเมโลดราม่าทั่วๆไปครับ มันไม่ใช่แค่ดูเป็นละครประโลมโลกธรรมดาๆ "
เค้าเปิดเผยว่าที่ภาพยนตร์เรื่องนี้แตกต่างไปก็เพราะความเท่ของผู้กำกับ Lee Yoon Ki เอกลักษณ์ของผู้กำกับคือการแสดงออกความรู้สึกอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาส่งข้อความที่ชัดเจนต่อผู้ชม เพราะเอกลักษณ์นี้ ผู้ชมสามารถที่จะรู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่ลึกซึ้งจากภาพยนตร์ของเค้าโดยที่ไม่ต้องอาศัยคำอธิบายอะไรมากผ่านเนื้อเรื่องที่ดำเนินออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ
เวลาที่ผู้คนดูภาพยนตร์เรื่องนี้ในแง่ของความเป็นจริง มันเป็นความจริงที่พวกเค้าไม่สามารถเข้าใจการกระทำของกงยูในภาพยนตร์ได้ ภาพยนตร์ A man and a woman เน้นเนื้อเรื่องไปที่ความรู้สึกล้วนๆ แต่ภาพยนตร์ก็บรรจุเนื้อเรื่องที่ผิดศีลธรรมอยู่ คือ การคบชู้นอกใจ กงยูกล่าวว่า " หากผมจะมองมันในแง่ศีลธรรม กีฮงและชางมินนั้นแย่มากครับ แต่ยังไงก็ตาม มันเป็นเรื่องในภาพยนตร์นะครับ"
"ผมคิดว่าความรู้สึกของกีฮงและชางมินเป็น รักแท้ครับ ผมต้องระมัดระวังที่จะพูดอะไรออกไปนะครับเพราะผมยังไม่ได้แต่งงาน แต่ถึงแม้ว่าผมจะแต่งงานแล้วและกลายมาเป็นคุณพ่อแล้ว หัวใจของผมก็ยังสามารถที่จะเต้นรั่วสั่นไหวโอนเอียงได้นะครับ ซึ่่งถ้าความรู้สึกแบบในภาพยนตร์ก็อาจจะเกิดขึ้นกับผมเช่นกัน แต่ที่ต่างไปคือถ้ามันเกิดขึ้นผมจะเพิกเฉยต่อความรู้สึกนั้นครับ"
ความคิดเห็นที่ห้าวหาญและตรงไปตรงมาของกงยูน่าสนใจทีเดียว เราจะเห็นว่ามีการไตร่ตรองมากมายเกิดขึ้นในทุกๆคำพูดของเค้าเหมือนกับ ตัวละคร กีฮงที่เค้ารับบทในภาพยนตร์ กีฮงที่ไม่รู้วิธีที่จะหลบซ่อนความรู้สึกของตัวเอง
กงยูกล่าวว่า " กีฮงเป็นคนที่ ทื่อๆ และน่าเบื่อครับ เค้ายังไม่สามารถที่จะอธิบายความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองออกมาได้อีกด้วย ยังไงก็ดี เค้าต้องการที่จะเป็น ผู้ชายที่ดี จนกระทั่งเค้าได้มาพบกับชางมิน จากตรงนี้ ผมพบบางส่วนตรงนี้ของเค้าคล้ายกับผม เวลาที่ผมจะทำอะไรผมมักจะไม่คิดคำนวณใดๆทั้งนั้น"
กงยูได้แบ่งปันความคิดของเค้าเกี่ยวกับเรื่องความรักออกมาด้วย เค้าคิดว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับกีฮงนั้นไม่ได้เกิดขึ้นแบบปัจจุบันทันด่วนหรือรุนแรงฉับพลัน เค้ากล่าวว่า " คนเราจะพบว่าตัวเองกำลังหัวเราะและดวงตาจะเปลี่ยนไปเมื่อพวกเค้าอยู่กับคนที่พวกเค้ารักจริงๆแม้ว่าพวกเค้าจะอยู่ในห้วงแห่งความกังวลหรือกำลังมีปัญหา จริงๆผมไม่ค่อยรู้เรื่องความรักเท่าไหร่หรอกครับ แต่ว่าความรักนี่แหละที่เปลี่ยนแปลงผู้คน"
มีความรู้สึกว่ากงยูจะดึงทุกคนเข้าสู่โลกแห่งแฟนตาซี ความคิดและคำพูดของเค้าล้วนดูแยกตัวออกจากโลกแห่งความเป็นจริง แต่มันก็ให้ความรู้สึกว่ามันสามารถจะเป็นจริงขึ้นมาได้เพราะมันออกมาจากปากเค้า กงยูรู้ตัวดีว่าผู้คนและสาธารณชนต่างก็มีจินตนาการที่เกี่ยวกับเค้า แต่เค้ากลับไม่ได้แสดงออกเพื่อคนอื่นหรือเพื่อเติมเต็มภาพที่คนอื่นคิดเกี่ยวกับเค้าว่ามีแต่ภาพลักษณ์ดีๆ แทนที่จะทำแบบนั้น เค้ากลับเดินหน้าแสดงออกตามความพอใจของตัวเองและเพื่อความสำเร็จของตัวเค้าเองต่อไป กงยูกล่าวว่า "แม้ว่าผมจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ผมคิดว่าความท้าทายนี่แหละที่มีความสวยงามในตัวของมันเอง"
แต่ไม่ใช่ว่าตัวเค้าต้องการที่จะเปลี่ยนภาพลักษณ์ของตัวเองโดยการตามหางานที่จะมาเป็นตัวทดลองไปเรื่อยๆ เค้าเสริมว่า " ผมรู้ว่ามันย่อมต้องมีข้อขัดแย้งอะไรเกิดขึ้นบ้าง บางครั้งผมรู้สึกว่าความต้องการของผมกับชีวิตจริงนั้นมันแยกออกจากกัน"
"และนั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงพยายามค้นหาเหตุผลที่ชอบธรรมอยู่เสมอหากผมเอาแต่ตามใจตัวเองในอดีตผมคงลองทำทุกๆอย่างไปแล้วแม้ว่ามันจะดูไม่เข้ากับภาพรวมเลยก็ตาม แต่ถึงแม้ว่าผู้คนรอบตัวผมสงสัยว่าทำไมผมถึงตัดสินใจรับงานในเรื่อง ‘Train to Busan’ และ ‘The Age of Shadows’ ก็ตามแต่สำหรับผมแล้วผมมีเหตุผลของผมครับ ดังนั้นคอยจับตาดูก็แล้วกันครับ "
กงยูมีความคิดมากมายและความกังวลมากมาย เรารู้สึกถึงสิ่งเหล่านั้นได้ผ่านการสัมภาษณ์ครั้งนี้ที่เค้าพูดถึงจุดเป้าหมายลึกๆที่ทำให้เค้าก้าวไปข้างหน้าต่อไปโดยปราศจากการคำนวณใดๆ คนเราจำเป็นที่จะต้องทำงานด้วยความรู้สึกที่เอาความรู้สึกส่วนตัวของตัวเองออกมา ซึ่งมันต่างจากการพึ่งพาคนอื่น ความรู้สึกเหล่านั้นมันสร้างความเชื่อมต่อในการทำงานร่วมกันตั้งหาก ดังนั้น เรื่องราวทั้งหมดในงานของเค้ามันถึงดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริง และมันนำเอาความเศร้ามาให้เค้าพอๆกับความพอใจ
English Translated by Woorim Ahn Via Mnet Kpop news // 28.02.2016
Photo credit to showbox
Thai translation by Miss mew
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น