วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

สัมภาษณ์แดซองจากนิตยสาร An-An japan Febuary 2017


Anan:เราได้เลือก แดซอง มาเป็นตัวแทนของคนที่ "พึ่งพาได้เสมอ" ของเราในฉบับนี้นะคะ เราได้ถามถึงความรู้สึกของเค้าว่ารู้สึกยังไงบ้างและเค้าก็ตอบพึมพำมาว่า "ผมเขินจังเลยครับ" ด้วยเสียงที่เบาจนแทบจะหายไป แม้ว่าเค้าจะเป็นหนึ่งในสมาชิกของวง Bigbang วงที่ประสบความสำเร็จกับการจัดคอนเสริต์หลายครั้งในหลายๆโดมก็ตาม อันที่จริงในช่วงฤดูใบไม้ผลิปีนี้ แดซองจะเป็นศิลปินเดี่ยวที่จะจัดคอนเสริ์ตบนเวทีโดมเดียวกับที่วงเคยทำมาแล้ว
Daesung: ไม่เคยเลยที่ผมจะคิดว่าตัวเองเป็นคนพิเศษครับ ผมจะมองหาสิ่งที่ผมยังบกพร่องขาดแคลนอยู่ตลอดและผมชอบที่จะทำแบบนั้นด้วยครับ และเมื่อไหร่ที่ผมมองหาข้อบกพร่องเหล่านั้นผมก็จะพบมันเยอะเลยละครับ (หัวเราะ)

ผมยอมรับตาเล็กๆของตัวเอง ขาโก่งๆและข้อบกพร่องต่างๆตามลักษณะร่างกาย แต่ผมจะไม่ยอมรับเด็ดขาดกับสิ่งที่ผมสามารถที่จะจัดการพัฒนาแก้ไขมันได้ เช่น วิธีการร้องเพลงของผม  และสำหรับสิ่งที่ผมยังขาดมันไป แฟนๆของผมและสมาชิกในวง จะเป็นผู้ที่เติมเต็มมันครับ ดังนั้นถ้าคุณจะเรียกผมว่าเป็นคนที่"พึ่งพาได้เสมอ" นั่นเป็นเพราะคนเหล่านั้นที่คอยช่วยผมครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังของแฟนๆนั้นมันยิ่งใหญ่มหาศาลมากๆ มีหลายครั้งเลยที่ผมไม่สบายและเสียงหายระหว่างที่มีคอนเสริ์ต ผมก้าวข้ามปัญหานั้นมาได้ด้วยการมองหน้าของแฟนๆ ผมเชื่อว่ามันมีพลังยิ่งใหญ่พลังที่มองด้วยตาไม่เห็นมันเป็นพลังที่ผมได้รับการแฟนๆครับ 

Anan: แดซองนั้นมีชื่อเสียงโด่งดังเรื่อง "รอยยิ้มเทวดา" ที่ทำให้ทุกคนมีความสุข ทุกครั้งที่เค้าผ่อนคลายและยิ้มออกมา เวทีและผู้ชมดูเหมือนจะเข้าใกล้กันยิ่งขึ้นยิ่งขึ้น ในการสัมภาษณ์นี้เค้าก็ยิ้มแย้มแจ่มใสตลอด ดูเหมือนว่าอะไรๆก็ทำให้เค้าโกรธไม่ได้ แต่...
Daesung: แน่นอนครับมีเวลาที่ผมโกรธ สิ่งที่จำเป็นที่จะต้องพูดออกไปแม้ว่ากำลังโมโหก็จำเป็นต้องพูดครับ เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกโมโหเป็นช่วงที่กำลังทำงานในอัลบั้ม D'scover ครับ ก่อนหน้านั้นผมเชื่อว่าการเป็นคนเจ้าอารมณ์นั้นไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาอะไรได้ ผมเป็นคนที่จะพูดว่า "ได้ครับ" อยู่เสมอเป็นคนที่สามารถรับได้ทุกอย่าง แต่หลังจากที่ต้องไปโรงพยาบาลและเช็คคอของผมดู คุณหมอบอกว่า "ผมเป็นห่วงเรื่องสภาพจิตใจของคุณมากกว่าสภาพคออีกนะครับ" " คุณควรที่จะแสดงออกความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองออกมามากกว่านี้ " คุณหมอทุกคนต่างบอกกับผมว่ามันจะดีกว่าถ้าผมปล่อยอารมณ์ที่แท้จริงก็ตัวเองออกมา ดังนั้นผมจึงตัดสินใจว่าจะไม่เก็บอะไรไว้กับตัวเองอีกแล้ว

เวลาที่ผมโมโหและทำให้บรรยากาศแย่ สิ่งเหล่านั้นมันก็แค่อยู่ชั่วคราวแต่ผลงานที่เราทำนั้นจะอยู่ตลอดไป ผมสามารถที่จะยังคงยิ้มได้ต่อไปบนเวทีก็เพราะทีมงานที่คอยทำงานอยู่ด้านล่างยอมรับความรู้สึกต่างๆของผมได้ มันอาจจะมีช่วงเวลาที่ผมต้องการให้พวกเค้าอดทนกับผม มันเป็นเหตุผลที่ทีมงานกับผมถึงได้แบ่งปันความคิดและไอเดียต่างๆร่วมกันเสมอว่าเราสามารถที่จะทำงานร่วมกันได้หรือไม่

Anan: ในโลกธุรกิจที่จำเป็นจะต้องพูดคำว่า "ไม่" ไปเพื่อผลลัพท์ที่ดีกว่าเดิม มีความแตกต่างกับ โลกของความสัมพันธ์บ้างรึเปล่าคะ?
Daesung: เวลาที่ผมอินเลิฟจริงๆ ผมสามารถยอมรับได้เกือบจะทุกเรื่องเลยละครับ แต่ถ้าคนรักเกิดมีคำถามว่า จะเลือก "ฉันหรืองาน อะไรที่สำคัญกว่ากัน??" นี่สิที่เป็นปัญหาจริงๆครับ มันมีเวลาที่ผมจะได้รับแจ้งตารางงานก่อนล่วงหน้าไม่นานใช่ไม๊ละครับ ซึ่งถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมันจะสร้างความปวดหัวให้กับผม ผมจะตอบว่ายังไงเหรอครับ?? ผมก็จะบอกว่า "ผมจะต้องไปทำงานจริงๆนะครับ แต่หัวใจของผมอยู่ตรงนี้กับคุณนะครับ " แล้วจากไปฮะ (หัวเราะ)

Anan: ยังไงก็ตามคุณเป็นคนเดียวในวงบิกแบงที่ไม่ได้ใช้ สื่อ SNS เลย
Daesung: เมื่อไม่นานมานี้ ผมเปิดบัญชี Instagram เพื่อที่จะเข้าไปดูว่าสมาชิกคนอื่นโพสอะไรกันครับ แต่ท้ายที่สุดแล้วผมก็ไม่ได้เปิดมาเช็คเลยละครับ (หัวเราะ)ตั้งแต่ผมเด็กๆแล้วผมไม่ชอบการถ่ายรูปหรือโดนถ่ายรูปเลยละครับ ในขณะที่จะต้องมาโพสท่าแล้วได้ยินคำว่า "มองมาทางนี้นะ หนึ่ง สอง สาม" ผมมักจะคิดว่า "นี่ผมทำไมต้องมาทำอะไรแบบนี้เนี่ย??" ผมรู้สึกเสียใจเหมือนกันที่ผมไม่มีรูปของตัวเองตอนเด็กๆมากเท่าไหร่เพราะนิสัยนี้ แต่เวลาที่ผมรู้สึกประทับใจกับสถานที่ที่ได้เห็น ผมอยากที่จะมองเห็นมันด้วยตาของตัวเองมากกว่าที่จะถ่ายรูปเอาไว้ เวลาที่ผมไปที่ไหน ผมไม่ได้พอใจแค่ไปถึง ถ่ายภาพแล้วจากไปครับ


Anan: แดซองได้รับความรักมากมายจากแฟนๆและทีมงาน แต่ยังไงก็ตามสมาชิกวงบิกแบงก็ยังเป็นคนที่คุณมีความรู้สึกผูกพันธ์ด้วยมากที่สุด
Daesung: เราต่างมีนิสัยและความสนใจที่แตกต่างกันครับ สิ่งเดียวที่เรามีเหมือนกันคือเราทุกคนต่างมีเรื่องราวส่วนตัวของตัวเองให้ไปทำครับ (หัวเราะ) สำหรับช่วง 5 ปีแรกในอาชีพที่พวกเรามีร่วมกัน พวกเรามีความแตกต่างกันมากจนก่อให้เกิดปัญหา แต่หลังจากการบันทึกเสียงเพื่ออัลบั้ม Alive ทำให้สถานการณ์ต่างๆเปลี่ยนไปครับ เราหันมายอมรับความแตกต่างของกันและกัน การทำงานเป็นทีมของพวกเราดีขึ้นๆตามลำดับหลังจากที่เราตระหนักว่าพวกเราทุกคนเหมือนชิ้นส่วนของตัวต่อที่มีรูปร่างแตกต่างกันไปแต่ก็ต้องมาประกอบรวมกันได้เป็นภาพภาพเดียว ในตอนนี้ ผมจะรู้ว่าใครคิดยังไงเพียงแค่มองลงไปในตาพวกเค้าเท่านั้น ก็รู้แล้วละครับ

Anan: ตัวต่อทั้ง 5 ชิ้นเป็นชิ้นส่วนที่สมบูรณ์แบบที่ลงตัวให้กับ บิกแบง แต่กุญแจสำคัญคือคนที่คอยรักษาสมดุล ซึ่งคนคนนั้นคือ แดซอง
Daesung: โซลคุงและวีไอ เป็นคนประเภทที่จะคอยเดินออกมาข้างหน้าและรับเอาความสนใจไป ท็อปซังและจีดีซัง เป็นคนประเภทที่ว่าสายตาทุกคู่จะคอยจับจ้องพวกเค้าอยู่แล้วแม้พวกเค้าจะไม่ได้ทำอะไรเลยก็ตาม ส่วนตัวผมผมอยากจะเป็นคนที่คอยมองพวกเค้าทั้งหมดจากเบื้องหลัง ผมไม่ต้องการที่จะก้าวออกไปข้างหน้า ผมต้องคอยมองพวกเค้าจากด้านหลังและทำหน้าที่ "ควบคุมการจราจร" ครับ(หัวเราะ)

Anan: เป็นวงที่มีชิ้นส่วนแสนมหัศจรรย์ 5 ชิ้นนะคะ
Daesung: จะแน่ใจได้ยังไงครับว่ามันดีทั้ง 5 ส่วน (พูดเล่น โดยที่ชี้ไปที่รูปน้องซึงในนิตยสารที่วางอยู่) หรือ มี 4ชิ้นที่ดีกว่า ผมจะให้ทุกคนตัดสินใจกันเองนะครับ (หัวเราะ)


แดซองคิดยังไงกับเสน่ห์ของเค้าที่สามารถละลายใจของผู้คนได้

เสียงของเค้า
(เค้าโด่งดังมากจากเสียงที่แหบแต่ลึกซึ้งของเค้า จากเพลงที่ทรงพลังมาถึงเพลงบัลลาร์ตที่เต็มไปด้วยความลึกซึ้ง เค้าเป็นคนที่มีเสียงหลากหลายมาก)
จริงๆเสียงของผมนั้นเป็นความซับซ้อนในตัวของผมนะครับ เสียงผมแหบและสำหรับผมแล้วมันฟังแล้วไม่ชัดเจนครับ เป็นเสียงที่เอาแต่ใจตัวเองพร้อมกับเปลี่ยนอารมณ์ไปเรื่อยในแต่ละวัน ดังนั้นถ้าผมไม่ตามใจมันจนเหลิง มันก็จะอยู่กับร่องกับรอยใช้ได้ครับ (หัวเราะ) แต่ผมจะมีความสุขที่สุดก็ตอนที่ร้องเพลง ดังนั้นเพื่อที่จะให้ผมร้องเพลงไปได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมจะฝึกเสียงของผมเสมอ และผมก็เรียนรู้วิธีในการใช้เสียงโดยที่ทำให้คอของผมรู้สึกสบายที่สุด หากผมจะเปลี่ยนการใช้เสียงไปเลย มันก็ดูจะเป็นการหยาบคายกับคนที่ชอบเสียงของผมอยู่แล้ว ดังนั้นผมเห็นว่ามันสำคัญนะครับที่จะอยู่เป็นตัวของตัวเองแบบนี้ต่อไป

ริมฝีปาก
(แฟนๆหลายๆคนชอบริมฝีปากที่"อวบอิ่มและเซ็กซี่"ของเค้า มันเป็นแรงจูงใจให้ออกสินค้าต่างๆที่เกี่ยวกับริมฝีปากของเค้าออกมาด้วย)
ปากผมเซ็กซี่เหรอครับ??  อืมมม ผมแค่คิดว่ามันมีสีชมพูก็แค่นั้นเองครับ (หัวเราะ) เหตุผลที่ทำไมรูปริมฝีปากของผมกับจมูก กลายเป็นถาดทำน้ำแข็งในของที่ระลึกที่งานคอนเสริ์ตก็เพราะมันเป็นส่วนที่แฟนๆจะจดจำผมได้มากที่สุดครับซึ่งเป็นการตัดสินใจของผมเอง ซึ่งผมมักจะมีไอเดียมากมายเกี่ยวกับสินค้าที่ระลึกในงานคอนเสริ์ตครับ 

ถ้าผมสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ผมคงจะเปลี่ยนขาที่โก่งของผมครับ ถ้าขาของผมตรงผมคงจะสูงขึ้นหลายเซนเลยครับ คุณแม่ได้ซื้อที่ดัดขามาให้ลองใช้ด้วยแต่มันไม่ได้ผลกับผมละครับ

อารมณ์ขัน
(ชื่อของแดซองที่ญี่ปุ่นจะใช้คำว่า D-light ที่มาจากคำว่า Delight ที่แปลว่าทำให้ยินดีมีความสุข ซึ่งเค้าไม่เคยลังเลที่จะทำให้ช่วงพูดคุยบนเวทีเต็มไปด้วยความสนุกสนามเพิ่มมากขึ้นเลย)
อารมณ์ขันเป็นส่วนสำคัญในตัวผมเลยละครับ ดังนั้นผมจึงรู้สึกดีใจมากที่สามารถทำให้บรรยากาศมันสดใสขึ้นมาและทำให้ผู้คนมีความสุข ตั้งแต่ตอนเป็นเด้กแล้วผมชอบทำให้เพื่อนๆที่โรงเรียนหัวเราะ แต่ที่บ้านผมจะไม่ทำอะไรแบบนั้นเลย ผมจะไม่ค่อยพูด เพราะคุณพ่อคุณแม่เข้มงวดเรื่องเกรดของผมมากดังนั้นผมจึงอยู่เงียบๆดีกว่า (หัวเราะ) พี่สาวของผมได้เกรดดีมากๆไม่เหมือนกับผม เธอจะหงุดหงิดขึ้นมาทันทีเพียงแค่ไม่สามารถตอบคำถามไม่กี่ข้อในตอนสอบได้ เล่นเอาผมก็หมดคำพูดครับ 



Cover-story เบื้องหลังการถ่ายทำ

เพื่อนร่วมงานที่เคยสัมภาษณ์แดซองมาก่อนได้เล่าว่า" อารมณ์ขันและรอยยิ้มของเค้านั้นออกมาจากจิตใจที่อ่อนโยน" ครั้งนี้เป็นเกียรติของฉันที่ได้พบแดซองในการถ่ายทำปกและร่วมสัมภาษณ์ ฉันดีใจมากและยินดีที่สิ่งที่เพื่อนเคยเล่านั้นเป็นเรื่องจริง 

ด้วยอารมณ์ขันของเค้าในวงบิกแบง แดซองมักจะมีรอยยิ้มเสมอเวลาที่ขึ้นแสดงบนเวที ช่วยไม่ได้ที่ฉันจะเชื่อว่าแฟนๆทั่วโลกต่างก็ต้องถูกต้องมนต์สะกดจากหัวใจที่อ่อนโยนและอบอุ่นของเค้าเช่นกัน

แดซองได้มอบเวลาอย่างเหลือเฟือให้แก่พวกเราในการทำสัมภาษณ์และการสัมภาษณ์ทั้งหมดทำโดยพูดภาษาญี่ปุ่นตลอดเวลา แดซองพูดภาษาญี่ปุ่นได้อย่างคล่องแคล่วแม้ว่ามันจะเป็นภาษาต่างประเทศสำหรับเค้าก็ตาม แถมเค้ายังจัดการให้พวกเราได้หัวเราะทุกๆ3นาทีด้วยภาษาต่างประเทศของเค้า (ขอบคุณแดซองนะคะที่ทำให้ทุกคนได้มีความสุขในการทำงานขนาดนี้) แดซองไม่ได้หลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามข้อไหนเลย ซ้ำยังใช้คำที่เหมาะสมในการที่จะอธิบายความรู้สึกตัวเองออกมาได้อย่างดี 

แดซองยังทำงานร่วมกับช่างภาพได้ดีมาก เค้าเอ่ยปากในตอนแรกว่า เค้าไม่ค่อยเก่งในการโพสท่าถ่ายภาพเท่าไหร่ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นคำโกหกเพราะเค้าสามารถดึงเอาภาพลักษณ์ที่หล่อและเท่ออกมาได้ตั้งแต่เริ่มโพสท่าแรกในการถ่ายภาพเลยทีเดียว จากนั้น การถ่ายภาพได้ย้ายไปถ่ายในห้องนอน อาจจะเป็นเพราะโลเคชั่นที่ใช้ในการถ่ายทำจึงทำให้แดซองในตอนนี้ได้เปิดเผยด้านที่เซ็กซี่ของเค้าออกมา ช่างแต่งหน้าได้แซวว่า "คุณดูเป็น bad boy เลยตอนนี้(หัวเราะ)" พอได้ยินแบบนั้น แดซองก็ยิ้มอายพร้อมทำหน้าเขินแบบลูกแมวและกระโดดโพสท่าอุตตร้าแมนบนเตียงก่อนที่จะพูดเบาๆว่า "อะไรฮะเนี่ย" พร้อมบิดหมอนไปด้วย การที่ได้เห็นด้านที่น่ารักแบบนั้นของแดซองทีมงานทุกคนต่างก็ยิ้มออกมา อย่างไรก็ตามจากนั้นแดซองก็เปลี่ยนสีหน้าพร้อมกับการถ่ายภาพ จากเด็ก 5ขวบกลายมาเป็นจริงจัง การเปลี่ยนจากหน้าเท่ๆไปเป็นใบหน้าที่น่ารักๆ ทำให้เราได้เห็นอารมณ์ที่หลากหลายจากเค้าจริงๆ


ด้วยความที่เค้าใส่ใจและเข้าใจความรู้สึกของผู้คนรอบตัวเค้าได้อย่างดี เค้าเตรียมพร้อมและทุ่มสุดตัวเมื่อรู้ถึงสิ่งที่ผู้คนคาดหวังจากเค้า เค้าเป็นคนจริงที่สามารถจู่โจมเข้าไปในหัวใจของคนอื่นได้อย่างตรงเป้าหมายและเติมเต็มทุกคนรอบตัวด้วยความดีของเค้า นี่คือความรู้สึกของฉันหลังจากที่ได้ทำงานร่วมกับแดซองมาหลายชั่วโมง ฉันหวังว่าผู้อ่านนิตยสาร Anan จะได้ร่วมรู้สึกความรู้สึกเหล่านี้ผ่านภาพถ่ายและการสัมภาษณ์ครั้งนี้ด้วยนะคะ

และมีเราได้รับของขวัญจาก แดซองด้วยค่ะ ในการเซ็นลายเซ็นลงบนโพลารอยด์ที่ระลึก เค้าได้วาดรูป D-Kun ลงไปด้วยระหว่างวาดก็บ่นว่า"นี่มันแปลกๆรึเปล่าฮะ??" ซึ่งไม่แปลกเลยค่ะมันน่ารักมากๆทุกคนอย่าพลาดนะคะ


นี่คือห้องของโรงแรมที่ใช้ในการถ่ายภาพ ภาพปกถ่ายตรงกระจกหน้าต่างที่เห็นข้างโซฟา บทสัมภาษณ์เราสัมภาษณ์กันตรงโต๊ะกลมและเก้าอี้นับไป 3 ตัวคือเก้าอี้ที่แดซองใช้นั่งในการทำการสัมภาษณ์ค่ะ

Source: Anan (Feb. 2017)
English translation by @mmvvip +@Mshinju +daesungfishh for cover story 
Thai Translation by miss_mew 
Phot Credit to Kangdaesung Bar

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น