ในคอลัมภ์นี้ผมจะพูดถึงความสัมพันธ์ของผมกับท่านประธานหยางฮยอกซอกผู้ที่ซึ่งดูแลผมเหมือนกับเป็นพี่ชายของผม และจะพูดถึงชัวิตประจำวันและงานอดิเรก รวมถึงความฝันของผมด้วย หวังว่าพวกคุณจะมีความสุขในการอ่านนะครับ ^^
ตั้งแต่ผมยังเป็นเด็ก ผมไม่เคยมีความรู้สึกกลัวหรือรู้สึกเครียดในการก้าวขึ้นไปบนเวทีเลย งานหลักของบิกแบงคือการขึ้นเวทีคอนเสริ์ตมากกว่าการทำรายการทีวี ดังนั้นเราไม่ควรจะกลัวการขึ้นเวทีเพราะแบบนั้นเราชินซะแล้วครับกับการยืนอยู่บนเวที
นอกจากนี้เราก็มีประสบการณ์การทำทัวร์รอบโลกมาแล้วด้วยเช่นกัน ดังนั้น จริงๆแล้วไม่มีอะไรที่แตกต่างออกไปในการทำทัวร์เดี่ยวครั้งนี้ แต่แน่นอนว่าการที่เราออกจากประเทศเกาหลีมาทำ worldtour นั้นเป็นเรื่องที่สุดหินเหมือนกัน แต่เมื่อลองมานึกถึงศิลปินที่ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะมาทำ worldtourเลยมันทำให้ผมรู้สึกขอบคุณเหล่าอุปสรรคต่างๆนั้นจริงๆ ซึ่งการทำworld tour ของเราก็พึ่งจะผ่านไปไม่นาน ดังนั้น ในตอนนี้ถือว่าทุกอย่างที่ผ่านมานั้นเรียกได้ว่า อยู่ในเกณฑ์ดีทุกอย่างครับ
แน่นอนว่า สภาพร่างกายนั้นต้องเจอกับสภาพที่เหนื่อยล้าแต่พวกเรากลายเป็นมีอาการ"เสพติดเวที" ไปซะแล้วแม้ว่าจะเหนื่อยแค่ไหนแต่พอขึ้นเวทีแล้วพลังงานก็กลับมาใหม่ เป็นเพราะมีผู้ชมมากมายกำลังมองมาที่ผม ในการถ่ายทำ MV หรือการถ่ายภาพก็ด้วย หากมีทีมงานมากมายทำงานร่วมไปกับผม ผมไม่ควรที่จะทำให้พวกเค้าผิดหวังเพียงเพราะสภาพร่างกายของผมย่ำแย่
จริงๆแล้วเวลาที่ผมเต็มไปด้วยพลังและเมื่อได้รับพลังจากทีมงานและแฟนๆการถ่ายแบบหรือคอนเสริต์นั้นๆจะออกมาดีเสมอแต่เมื่อไม่มีพลังหรือทุกอย่างเอื่อยๆ ผมมักจะทำออกมาได้ไม่ประทับใจอย่างที่ควร แต่ไม่ว่าจะยังไงเมื่อผมขึ้นไปบนเวที ผมจะได้รับพลังงานในด้านบวกเสมอไม่ว่าผมจะป่วยยังไงก็จะรู้สึกดีขึ้นมาก ผมคิดว่าศิลปินคนอื่นๆก็คงจะรู้สึกกันแบบนี้เวลายืนอยู่บนเวที
ระหว่างการทำ WorldTour เมื่อการแสดงจบลงผมและสมาชิกในวงสนุกกับการเดินไปตามท้องถนนช้อปปิ้ง โดยเฉพาะผมจะซื้อของเยอะมากเป็นเพราะตัวเองชอบเสื้อผ้าอยู่แล้วและในแต่ละประเทศที่ไปต่างก็มีเอกลักษณ์ของแต่ละที่ ดังนั้นผมจึงเน้นไปที่แฟชั่นตามท้องถนนของประเทศนั้นๆมากกว่า
เวลาที่ผมเหนื่อยมากจริงๆหลังจากที่ทำการแสดงบนเวที วิธีที่ผมจะฟื้นฟูสภาพร่างกายของผมคือ การได้อาบน้ำและการได้ดูภาพยนตร์และละคร ไม่พูดอะไรเลยและอยู่นิ่งๆเป็นเวลา 10-15 นาที และนี่เป็นช่วงเวลาเยียวยาของผมครับ
ผมได้รับแรงบันดาลใจหลายอย่างจากภาพยนตร์ เมื่อไม่กี่วันก่อนผมได้ดูภาพยนตร์เรื่อง ”New world.” ผมได้เจอนักแสดงนำในเรื่อง พี่ Hwang Jung Min ที่งานประกาศรางวัล MAMA เราแลกเบอร์โทรศัพท์กันครับแต่ไม่สามารถที่จะติดต่อกันได้บ่อยๆ พี่เค้าชวนผมไปในงานพรีวิวหนังของเค้าแต่เพราะตารางงานที่ยุ่งมากผมไม่ได้ไป แต่ได้ไปดูหนังเรื่องนั้นในโรงภาพยนตร์ซึ่งผมชอบมันมาก และเพื่อเป็นการตอบแทนพี่เค้า ผมจึงเชิญรุ่นพี่ Hwang Jung Min มาดูคอนเสริต์ของผมบ้างและผมก็ดีใจมากๆเลยครับที่ได้ยินมาว่าพี่เค้าชอบคอนเสริต์ของผมเช่นกัน
ผมไม่ค่อยรู้สึกสนใจหรือดึงดูดใจในผู้คนที่ดูเท่ในแบบธรรมดาๆ จะพูดยังไงดีละครับ?? ผมรู้สึกว่าผมจะชอบหรือถูกดึงดูดด้วยคนในแบบมาเฟีย พวกแก๊งสเตอร์มากกว่า ผมคิดว่าคงมีอะไรแปลกๆบางอย่างในตัวผมแน่ๆ บนเวทีผมก็แสดงออกอารมณ์ความรู้สึกและท่าทางในแบบของพวกแก๊งสเตอร์ออกมาโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัวเลยตัวซ้ำ แม้แต่เวลาที่ผมดูภาพยนตร์ ผมจะชอบพวกแบดบอยและสนุกในการดูเรื่องราวของพวกเค้าโลดแล่นเป็นจริงผ่านภาพยนตร์
เวลากลางวันและกลางคืนสำหรับชีวิตประจำวันของผมนั้นสลับกันไปหมด ซึ่งถือว่าเป็นกรณีปกติของทุกๆคนที่บริษัท วายจีนี้ ดังนั้นเราจึงต้องจัดระเบียบร่างกายใหม่ก่อนที่จะออกคอนเสริต์หรือทำทัวร์ ผมเป็นพวกนอนไม่รู้จักพอดังนั้นผมต้องตั้งกฏให้กับร่างกายตัวเองก่อนออกทัวร์
เรื่องแปลกของพวกนักดนตรีคือ พวกเราไม่สามารถคิดอะไรออกเลยในตอนเช้า ทุกอย่างว่างเปล่าไปหมด ผมทำงานได้ดีกว่ามากในเวลากลางคืน มันเป็นนิสัยที่แปลกประหลาดที่ผมจะเริ่มคิดอะไรต่างๆในช่วงที่ผ่านช่วงเช้าไปแล้ว ดังนั้นผมจะตื่นนอนเวลาบ่าย 4-5 โมงเย็นทุกวันดังนั้นผมจึงรู้สึกเหนื่อยล้า
และเป็นเพราะผมจะทำงานไปจนถึงตี 1-2 และจะเข้านอนในตอนบ่าย 4-5 ทำให้ผมไม่สามารถไปพบปะเพื่อนๆได้เพราะเรามีแบบแผนชีวิตที่ต่างกัน บางครั้งผมจะนอนต่อเนื่อง 2-3 วัน ผมมักจะหลับลึกและยาวนาน ^^
ผมเริ่มใช้ ตัวส่งข้อความผ่านทางโทรศัพท์มือถือ ที่เรียกว่า Line เพื่อการโปรโมท world tour ของตัวเองในครั้งนี้ด้วย ยังไงก็ขอให้ทุกคนสนับสนุนและสนใจมันด้วยนะครับ
ผมรักวิธีที่ท่านหยางฮยอนซอก CEO ของบริษัท YG ที่่มักจะมองภาพที่ยิ่งใหญ่ข้างหน้าเสมอมากกว่าที่จะมองแต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้เท่านั้น
ผมให้ความไว้ใจและจะทำตามท่านหยางเสมอและเค้าก็ทำแบบนี้กับผมเช่นกัน เวลาที่ผมบอกให้เค้ารู้ถึงความต้องการของผมเค้ามักจะเป็นคนแรกเสมอที่จะเคารพในความคิดของผม เป็นเพราะผมเป็นนักดนตรี ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เหนื่อยเกินไปที่จะมาทำการโปรโมทด้วยตัวเองเพราะผมจะเสียความตั้งใจในการทำเพลงไป
ผมได้ยินมาว่าการสื่อสารผ่านสื่อสาธารณะ (SNS) เริ่มเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางขึ้นเรื่อยๆในโลกปัจจุบัน และด้วยการแปลแบบอัติโนมัติของ LINE ผมสามารถที่จะสื่อสารกับแฟนๆในระดับสากลได้ด้วย เป็นเพราะแฟนๆจากทั่วโลกของผมมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ผมคิดว่ามันสนุกและมีความหมายมากๆ ที่จะปล่อยเพลงใหม่ของผมผ่าน LINE
เมื่อไม่กี่ปีก่อน ผมเคยรู้สึกมีความสุขดีใจมากๆที่ได้ขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ตเพลงแต่ในตอนนี้เรื่องนั้นไม่มีความสำคัญอีกต่อไปแล้ว ในตอนนี้ผมคิดมากขึ้นที่จะทำเพลงออกไปแข่งขันได้ในระดับโลก จากการทำ WorldTour ผมเรียนรู้ว่าเรามีแฟนในระดับสากลมากมาย เราไม่เคยจะจินตนาการเลยว่าเราจะมีแฟนๆในระดับโลกมากมายถึงขนาดนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราไม่เคยได้ทำการโปรโมทในจีน หรือในอเมริกามาก่อน แต่กลับมีแฟนๆมาดูคอนเสริต์ของบิกแบงในประเทศเหล่านี้ด้วย ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไม วายจีถึงทุ่มเงินลงไปมากมายกับ YouTube และ การโปรโมทผ่าน SNS ก็เพื่อส่งผ่านเสียงเพลงของพวกเราไปสู่สายตาชาวโลกนั่นเอง
ผมคิดกับท่านหยางอย่างหนักถึงวิธีการต่างๆในการโปรโมท และ แฟนๆต่างก็เป็นห่วงมากในเรื่องนี้ แต่ไม่ต้องห่วงนะครับเรากำลังพยายามอย่างเต็มที่ดังนั้นกรุณาไว้ใจเราเถอะนะครับ ^^
ผมเคยคิดว่า"ทำไมต้องใช้เจ้า SNS ด้วย???" แต่ตอนนี้ผมกลับสนุกกับการใช้ SNS ซะเอง ผมชอบที่ผมสามารถแบ่งปันความคิดของผมกับแฟนๆได้ ผมสามารถที่จะบอกแฟนๆว่าผมอยู่ที่ไหนและกำลังทำอะไรอยู่เพราะผมไม่มีโอกาสที่จะออกไปพบพวกเค้าได้จริงๆ เวลาที่ผมโพสรูปว่าตัวเองกำลังทำอะไรหรืออยู่ที่ไหนผมรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองได้พูดคุยกับแฟนๆจริงๆ ครับ
คอลัมภ์วันนี้กลายเป็นยาวมากแล้วนะครับเนี้ย ผมควรจะเก็บเรื่องเล่าที่น่าสนใจๆเอาไว้เล่ากันคราวหน้าแล้วกัน แล้วเจอกันนะครับ
Source Naver "Star Column"
[http://news.naver.com/main/read.nhn?mode=LSD&mid=sec&sid1=106&oid=420&aid=0000000268]
English Translation by DANA A.K.A BIGBANGGisVIP
Thai Translation by miss mew
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น