วันพุธที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556
Star Column G-Dragon ตอนที่ 3 (ตอนจบ)จาก Naver
สวัสดีครับ~~~ คุณผู้อ่าน
น่าเศร้านะครับที่รู้ว่านี่จะเป็นตอนสุดท้ายของ Star Column แล้ว
วันนี้ผมจะมาเปิดเผยรูปของผมในตอนเด็กครับ
คุณแม่มักจะบอกกับผมว่า "ลูกเคยชอบที่ตรงนี้มากๆๆเลยนะ "
แต่ผมแทบจะจำอะไรไม่ได้เลยเกี่ยวกับรูปเก่าๆพวกนั้น
ผมเคยรับบทบาทเป็น ดาราเด็ก ด้วยครับเมื่อตอนที่ผมยังเด็ก
คุณรู้รึเปล่าว่าขั้นตอนต่างๆที่คุณจะต้องผ่านมันไปกว่าจะได้เป็นดาราเด็กนั้นมีอะไรบ้าง??
มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าอายสำหรับผมเหมือนกัน
แต่ผมเคยไปปรากฏตัวอยู่ในรายการเด็กที่มีชื่อว่า "Kiss kiss kiss"
และเคยเข้าไปเรียนในโรงเรียนสอนการแสดงอีกด้วย
คุณแม่พูดว่า " จียงเอาแต่สนใจในเรื่องของดนตรีและแฟชั่นและสิ่งที่เค้าชอบดังนั้นเค้าจึงจำเรื่องราวในสมัยที่เค้าเป็นเด็กไม่ได้จริงๆ "
หลังจากที่ผมใช้เวลายาวนานอาศัยอยู่ที่หอพักเพื่อความสะดวกในการทำงานโปรโมทในนามบิกแบง
ในตอนนี้ผมกลับมาอาศัยอยู่กับครอบครัวของผมอีกครั้ง
ตั้งแต่ยังเป็นเด็กชีวิตของผมวนเวียนอยู่กับกระบวนการฝึกซ้อมที่บริษัทYG กลับบ้านนอนและกลับมาซ้อมอีก
วันนึงผมเกิดความรู้สึกคิดถึงครอบครัวของผมขึ้นมาจริงๆ เมื่อผมกลับไปบ้านผมได้เรียนรู้ว่าการได้ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวของตัวเองนั้นมันดีแบบนี้นี่เอง
ผมชอบดูรายการ Infinitey Challenge มากๆ ผมดูรายการนี้ทุกตอนยาวนานติดต่อกันมา 7-8 ปีแล้วครับ
พวก Sasaeng แฟน ผมกังวลว่าพวกคุณจะได้รับบาดเจ็บนะครับ
จริงๆผมไม่เคยมีแฟนๆSasaeng อย่างเป็นจริงเป็นจังมาก่อนเลย แต่เร็วๆนี้ผมกลับมีแฟนกลุ่มนี้บ้างแล้ว
ที่ต่างประเทศหลังจากที่เราเล่นคอนเสริต์เสร็จ เป็นเพราะพวกแฟนๆที่นั่นไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอเราบ่อยๆ พวกเค้าตามติดเรามากทีเดียว
ผมรู้ว่าการกระทำนี้มาจากความรัก แต่ผมรู้สึกกังวลมากๆจริงๆว่าอาจจะเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์
หรือเหตุการณ์อันตรายต่างๆเกิดขึ้น เพราะมีช่วงเวลาที่ดูอันตรายมากมายเหลือเกิน
เป็นเพราะมันอันตรายทั้งต่อแฟนๆและคนขับรถด้วย
ผมคิดว่ามันคงจะดีมากเลยถ้าเราสามารถควบคุมในเรื่องนี้ได้บ้าง
ขนาดว่าหลังคอนเสริต์ที่พึ่งจบไปนี้ ก็มีเหตุการณ์ที่อาจจะเป็นสาเหตุที่จะทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงมากมายนะครับ และมันก็น่ากลัวมาก
แต่แน่นอนว่า ผมก็มีแฟนๆที่ยอดเยี่ยมมากมายที่ส่ง ข้าวสารมาร่วมบริจาคในงานคอนเสริต์ของผม
ผมรู้สึกมีความสุขมากๆและรู้สึกภูมิใจมากๆเลยครับ
เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมมองไปที่แฟนๆของผม ผมจะรู้สึกขอบคุณเสมอและคิดกับตัวเองว่าผมต้องพยายามทำงานให้หนักกว่าเดิม
ผมรู้ว่าผมเติบโตมาด้วยการเป็นที่รักในฐานะน้องเล็ก และผมก็รู้ว่าตัวเองจะมีความสุขมากแค่ไหนเวลาที่สามารถทำให้คุณพ่อคุณแม่ภูมิใจไ้ด้
ผมเป็นเหมือนเพื่อนสนิทกับครอบครัวของตัวเองมาเป็นเวลายาวนานแล้ว คุณแม่ คุณพ่อ พี่สาวและผมเป็นเหมือนเพื่อนสนิทกัน
ผมเขียนเนื้อเพลงมากเลยครับเมื่อตอนที่อายุ 13 และผมก็เริ่มเขียนทำนองเพลงเมื่อตอนอายุซัก 16-17
ผมคิดว่าผมเริ่มเขียนเนื้อเพลงจริงๆเมื่อตอนอยู่ ป.4 ย้อนไปในตอนนั้น ผมเขียนเนื้อเพลงโดยเลียนแบบเพลงท่อนแร๊พของนักร้องชาวต่างชาติ
ในตอนที่ผมทำงานเพื่ออัลบั้มของผมเอง ผมมักจะอาศัยอยู่ที่สตูดิโอ และต้องขอบคุณโรงอาหารของบริษัทที่มีอาหารดีๆเสมอเหมือนกับได้ทานอาหารที่ทำกันในบ้าน
ครั้งแรกที่ผมพบท่านประธาน YG ผมมีอายุได้ 13 ปี ในตอนนี้มันเป็นความสัมพันธ์มากว่า 10ปีแล้ว
ในตอนที่เราเจอกับท่านประธานเมื่อ 10 ปีก่อนเค้าเข้มงวดกว่านี้มากและเค้ามักจะสงวนคำชมไม่ให้หลุดออกมาจากปากเค้าเลย
หากคุณสนิทกับท่านหยางแล้ว คุณจะรู้ว่าเค้าเป็นคนที่ตลกมากๆ เค้าชอบปล่อยมุขและเล่นสนุกไปเรื่อย
ไม่เพียงแต่ท่านประธานจะสร้างสิ่งแวดล้อมในการทำงานเพลงออกมาได้ดีกว่าบริษัทอื่นแล้วเค้ายังเป็นคนที่มอบคำแนะนำตัวต่อตัวให้กับผมอีกด้วย
และเมื่อผมมีอายุ 20 ปีตามกฏหมาย บางครั้งผมก็ดื่มกับท่านประธานด้วย และตอนนี้เราสนิทกันเหมือนกับพี่ชายน้องชายครับ
แต่ผมคิดว่า ในตอนนี้ซึงรีและแดซองก็ยังคงกลัวท่านประธานอยู่นะครับ
Source: http://news.naver.com/main/read.nhn?mode=LSD&mid=sec&sid1=106&oid=420&aid=0000000273
English Translation by DANA A.K.A BigbangisVIP
Thai Translation by miss mew
==============
สามารถอ่าน Star Column น้องจีตอนก่อนหน้านี้ได้ตามนี้
ตอนที่ 1
http://mew-mini-museum.blogspot.com/2013/04/world-tour-navar-star-column.html
ตอนที่ 2
http://mew-mini-museum.blogspot.com/2013/04/star-column-g-dragon-naver-2.html
วันอังคารที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2556
สัมภาษณ์สั้นๆเรื่องการเดินทางไปเที่ยว จาก Alumni Meeting
การถ่ายทำ MV เสร็จสิ้นลงไปแล้ว และ การทัวร์คอนเสริต์รอบโลกก็จบลงไปแล้วเช่นกัน
ดังนั้นผมกำลังวางแผนว่าอยากจะเดินทางไปเที่ยวยาวๆซักหน่อยครับ
บางทีอาจจะใช้เวลา 3 เดือน
ที่ไหนเหรอครับ?? ที่อิตาลีครับ
ผมอยากจะไปดูในสิ่งที่ผมชอบ ได้รู้สึก และได้รับแรงบันดาลใจ เพื่อที่จะเรียนรู้อะไรมากขึ้นครับ
Source: UTOPIA
English Translation by UTOPIA http://871104.com/xe/79797
Thai Translation by mew
Source: UTOPIA
English Translation by UTOPIA http://871104.com/xe/79797
Thai Translation by mew
วันเสาร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2556
TOP:น้อยมากที่ผมจะพูดคุยกับสมาชิกในวงผ่านทางโทรศัทพ์ครับ
สัมภาษณ์สั้นๆจาก แฟนมีตติ้งภาพยนตร์ Alumni
น้อยมากที่ผมจะพูดคุยกับสมาชิกในวงผ่านทางโทรศัทพ์ครับ
ตามปกติแล้วผมจะไม่ค่อยได้พบพวกเค้าด้วยนอกจากเวลาที่เราไปทานอาหารด้วยกัน
หรือว่าเวลาที่เราทำงานร่วมกันครับ
สมาชิกในวง 4 คนนั้นจะเล่นอะไรบางอย่างที่เหมือนกับ Kakaotalk แต่ผมไม่รู้วิธีใช้มันหรอกครับ
ผมขี้เกียจครับ ผมขี้เกียจมากเกินกว่าจะส่งข้อความ ผมไม่ชอบการส่งข้อความ
ไม่ชอบอะไรอย่าง Twitter หรือ Instagram
สมาชิกที่ผมติดต่อด้วยบ่อยที่สุดเหรอครับ??? พอๆกันทุกคนแหละครับ
พวกเราคบหารักใคร่กันดีครับแต่ว่าพวกเราแทบจะไม่ได้พูดคุยกันทางโทรศัพท์
ผมคิดว่ามันเหมือนเป็นช่วงที่เราจะได้ครุ่นคิดตรึกตรองเวลาที่เราได้พักครับ
Source+ EnglishTranslation by uT.O.Pia
Thai Translation by miss mew
น้อยมากที่ผมจะพูดคุยกับสมาชิกในวงผ่านทางโทรศัทพ์ครับ
ตามปกติแล้วผมจะไม่ค่อยได้พบพวกเค้าด้วยนอกจากเวลาที่เราไปทานอาหารด้วยกัน
หรือว่าเวลาที่เราทำงานร่วมกันครับ
สมาชิกในวง 4 คนนั้นจะเล่นอะไรบางอย่างที่เหมือนกับ Kakaotalk แต่ผมไม่รู้วิธีใช้มันหรอกครับ
ผมขี้เกียจครับ ผมขี้เกียจมากเกินกว่าจะส่งข้อความ ผมไม่ชอบการส่งข้อความ
ไม่ชอบอะไรอย่าง Twitter หรือ Instagram
สมาชิกที่ผมติดต่อด้วยบ่อยที่สุดเหรอครับ??? พอๆกันทุกคนแหละครับ
พวกเราคบหารักใคร่กันดีครับแต่ว่าพวกเราแทบจะไม่ได้พูดคุยกันทางโทรศัพท์
ผมคิดว่ามันเหมือนเป็นช่วงที่เราจะได้ครุ่นคิดตรึกตรองเวลาที่เราได้พักครับ
Source+ EnglishTranslation by uT.O.Pia
Thai Translation by miss mew
วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2556
Star Column "G-Dragon" จาก Naver ตอนที่2
StarColumn ครั้งนี้จีดราก้อนจะพูดถึงการที่เค้าทำเสื้อผ้าในแบบของเค้าเอง และ ความสุขที่เค้ามีในการไปร้านอาหารต่างๆ อาหารโปรดของเค้าคือ ซูชิ
แฟชั่นเป็นวิธีที่ผมใช้ในการแสดงออกถึงความเป็นตัวเองครับ ก็เหมือนกับดนตรีก็เป็นวิธีที่ผมใช้แสดงออกถึงอารมณ์ความรู้สึกว่าผมรู้สึกยังไงในวันนั้นๆ
ตั้งแต่เป็นเด็ก ผมชอบที่จะสวมใส่เสื้อผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ดังนั้นคุณแม่จึงเป็นคนเย็บเสื้อผ้าให้ผมและช่วยผมในการแสดงออกถึงสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองออกมา
ผมไม่ได้ชอบหรือมียี่ห้อไหนที่เป็นยี่ห้อโปรดเป็นพิเศษผมเลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่เวลาผมมองเห็นพวกมันแล้ว ผมมีความรู้สึกว่า "ฉันอยากจะใส่ชุดนี้" ผมเคยมีความคิดว่ายี่ห้อหรูหราคงจะดีกว่าแต่ในตอนนี้ผมจะซื้อของนั้นๆที่ตัวเองคิดว่ามันสวยน่ารัก โดยที่ไม่ได้สนใจไปถึงราคาของมัน
ผมไม่ได้ลงมือทำเสื้อผ้าของตัวเองหรอกครับแต่เวลาที่ผมอธิบายถึงสไตล์ที่ผมต้องการให้กับสไตลิสต์ของผมเธอก็ทำมันออกมาได้เป็นอย่างดี บางครั้งผมจะใส่ชื่อของตัวเองลงไปบนเสื้อผ้าของผมและผมก็ลองอะไรหลายๆอย่างในเรื่องของดีไซน์ด้วย ผมเป็นคนชอบวาดรูปตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ดังนั้นผมจะอธิบายงานดีไซน์ของผมผ่านการวาดรูปด้วยเช่นกัน
จริงๆแล้วผมไม่รู้หรอกครับว่า "การแต่งตัวดี" มันหมายถึงอะไร แต่ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดเลยคือ การสวมใส่สิ่งที่เหมาะกับคุณมากที่สุด คุณจำเป็นต้องเลือกเสื้อผ้าให้เหมาะสมกับทั้งสถานที่และบรรยากาศ หากคุณเลือกเสื้อผ้าที่ถูกต้องได้ นั่นแหละเป็นเซ้นซ์ทางแฟชั่น
ผมคิดว่าการที่จะแต่งตัวให้ดีได้ ก่อนอื่นเลยคุณจะต้องมีความมั่นใจถึงแม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่คุณเคยใส่มันครั้งแรก คุณจำเป็นต้องมีความมั่นใจที่จะสามารถทำให้มันไม่เหมือนกับเป็นครั้งแรกได้ และการที่พยายามลองในสิ่งที่หลากหลายก็จะเป็นการช่วยให้คุณได้เรียนรู้ว่าอะไรเหมาะกับคุณ
หลายๆคนในบริษัทของเราชอบที่จะใส่กางเกงหย่อนๆซึ่งมันอาจจะทำให้ดูไม่ดีได้แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณทำมันนานๆเข้าคุณก็จะเริ่มมั่นใจขึ้นมา ทุกคนมีรูปร่างที่แตกต่างกันออกไป หากคุณทดลองสวมใส่เสื้อผ้าที่หลากหลายมากเท่าไหร่คุณก็จะเจอสไตล์ใหม่ๆที่จะเข้ากับคุณได้มากที่ดีสุด
เป็นเพราะความรักในเรื่องแฟชั่นของผม ผมเดินทางไปงาน Paris Fashion Week ในทุกๆปีและผมจะทำต่อไปเรื่อยๆถ้าหากมีโอกาส ผมรู้สึกดีใจมากๆที่ได้รับคำเชิญให้ไปร่วมงาน fashion week และงานแฟชั่นโชว์ใหญ่ๆที่ปารีส แต่ถึงยังไงก็ดี ผมก็ยังคงไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ว่าตัวเองอยากจะทำงานในด้านแฟชั่นนี้เป็นอาชีพรึเปล่า?? ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะประสบความสำเร็จในงานสาขานี้ ก็เหมือนกับวิธีการที่ผมอุทิศชีวิตของผมให้กับเสียงเพลง ผมสามารถเข้าใจได้ถึงอุปสรรคต่างๆของคนที่เค้าอุทิศชีวิตของเค้าเพื่อแฟชั่นได้เช่นกัน
ผมชอบออกไปข้างนอกเพื่อทานอาหารครับ ระยะหลังนี้ผมทานซูชิมาเยอะมาก ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่มีเวลาว่างก็จะไปหาร้านซูชิทานเป็นประจำ ผมจะรู้สึกมีความสุขมากๆที่ได้เห็นร้านซูชิยอดเยี่ยมหลายๆที่ที่ญี่ปุ่นหรือแม้แต่ที่โซลเองก็ตาม
ผมได้ทานซูชิมาเยอะมากซะจนตัวเองสามารถเขียนคอลัมภ์เกี่ยวกับซูชิได้เลย ส่วนผสมในซูชิเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆทำให้ผมไม่เบื่อที่จะทานมันครับ มีร้านซูชิอยู่ 3 ร้านที่ผมไปเป็นประจำในโซล ผมให้คะแนนร้านซูชิจากบรรยากาศของร้าน แน่นอนว่าต้องมีซูชิที่อร่อย และ ความสดใหม่ ผมมักจะทานซูชิในร้านที่เป็นซูชิบาร์ มันเป็นเรื่องสนุกที่จะได้ถามเชฟถึงซูชิในแต่ละแบบและผมก็ชอบดูเวลาที่เค้าลงมือทำมันด้วย
เหตุผลที่ทำให้ผมเริ่มชอบในซูชิเป็นเพราะ มาตรฐานในการเลือกอาหาร ของผมนั้นอยู่ที่ ความสวยงามของมัน และซูชินั้น "สวย" ก็เหมือนกับเสื้อผ้าครับ ผมสนใจในอาหารที่มีความสวยงาม ความสวยงามนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับผม
ใน Star Column ครั้งหน้า จะมีรูปน่ารักๆของจีดราก้อนในวัยเด็กมาเปิดเผยเป็นครั้งแรก ยังไงก็ช่วยติดตามรอชมด้วยนะครับ
Source:http://news.naver.com/main/read.nhn?mode=LSD&mid=sec&sid1=106&oid=420&aid=0000000270
English translation by DANA
Thai Translation by mew
==================
สามารถอ่าน Star Column น้องจีตอนก่อนหน้านี้ได้ตามนี้
ตอนที่ 1
http://mew-mini-museum.blogspot.com/2013/04/world-tour-navar-star-column.html
วันอังคารที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2556
จีดราก้อนพูดถึงเรื่อง World tour กับ Navar "Star Column"
ในคอลัมภ์นี้ผมจะพูดถึงความสัมพันธ์ของผมกับท่านประธานหยางฮยอกซอกผู้ที่ซึ่งดูแลผมเหมือนกับเป็นพี่ชายของผม และจะพูดถึงชัวิตประจำวันและงานอดิเรก รวมถึงความฝันของผมด้วย หวังว่าพวกคุณจะมีความสุขในการอ่านนะครับ ^^
ตั้งแต่ผมยังเป็นเด็ก ผมไม่เคยมีความรู้สึกกลัวหรือรู้สึกเครียดในการก้าวขึ้นไปบนเวทีเลย งานหลักของบิกแบงคือการขึ้นเวทีคอนเสริ์ตมากกว่าการทำรายการทีวี ดังนั้นเราไม่ควรจะกลัวการขึ้นเวทีเพราะแบบนั้นเราชินซะแล้วครับกับการยืนอยู่บนเวที
นอกจากนี้เราก็มีประสบการณ์การทำทัวร์รอบโลกมาแล้วด้วยเช่นกัน ดังนั้น จริงๆแล้วไม่มีอะไรที่แตกต่างออกไปในการทำทัวร์เดี่ยวครั้งนี้ แต่แน่นอนว่าการที่เราออกจากประเทศเกาหลีมาทำ worldtour นั้นเป็นเรื่องที่สุดหินเหมือนกัน แต่เมื่อลองมานึกถึงศิลปินที่ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะมาทำ worldtourเลยมันทำให้ผมรู้สึกขอบคุณเหล่าอุปสรรคต่างๆนั้นจริงๆ ซึ่งการทำworld tour ของเราก็พึ่งจะผ่านไปไม่นาน ดังนั้น ในตอนนี้ถือว่าทุกอย่างที่ผ่านมานั้นเรียกได้ว่า อยู่ในเกณฑ์ดีทุกอย่างครับ
แน่นอนว่า สภาพร่างกายนั้นต้องเจอกับสภาพที่เหนื่อยล้าแต่พวกเรากลายเป็นมีอาการ"เสพติดเวที" ไปซะแล้วแม้ว่าจะเหนื่อยแค่ไหนแต่พอขึ้นเวทีแล้วพลังงานก็กลับมาใหม่ เป็นเพราะมีผู้ชมมากมายกำลังมองมาที่ผม ในการถ่ายทำ MV หรือการถ่ายภาพก็ด้วย หากมีทีมงานมากมายทำงานร่วมไปกับผม ผมไม่ควรที่จะทำให้พวกเค้าผิดหวังเพียงเพราะสภาพร่างกายของผมย่ำแย่
จริงๆแล้วเวลาที่ผมเต็มไปด้วยพลังและเมื่อได้รับพลังจากทีมงานและแฟนๆการถ่ายแบบหรือคอนเสริต์นั้นๆจะออกมาดีเสมอแต่เมื่อไม่มีพลังหรือทุกอย่างเอื่อยๆ ผมมักจะทำออกมาได้ไม่ประทับใจอย่างที่ควร แต่ไม่ว่าจะยังไงเมื่อผมขึ้นไปบนเวที ผมจะได้รับพลังงานในด้านบวกเสมอไม่ว่าผมจะป่วยยังไงก็จะรู้สึกดีขึ้นมาก ผมคิดว่าศิลปินคนอื่นๆก็คงจะรู้สึกกันแบบนี้เวลายืนอยู่บนเวที
ระหว่างการทำ WorldTour เมื่อการแสดงจบลงผมและสมาชิกในวงสนุกกับการเดินไปตามท้องถนนช้อปปิ้ง โดยเฉพาะผมจะซื้อของเยอะมากเป็นเพราะตัวเองชอบเสื้อผ้าอยู่แล้วและในแต่ละประเทศที่ไปต่างก็มีเอกลักษณ์ของแต่ละที่ ดังนั้นผมจึงเน้นไปที่แฟชั่นตามท้องถนนของประเทศนั้นๆมากกว่า
เวลาที่ผมเหนื่อยมากจริงๆหลังจากที่ทำการแสดงบนเวที วิธีที่ผมจะฟื้นฟูสภาพร่างกายของผมคือ การได้อาบน้ำและการได้ดูภาพยนตร์และละคร ไม่พูดอะไรเลยและอยู่นิ่งๆเป็นเวลา 10-15 นาที และนี่เป็นช่วงเวลาเยียวยาของผมครับ
ผมได้รับแรงบันดาลใจหลายอย่างจากภาพยนตร์ เมื่อไม่กี่วันก่อนผมได้ดูภาพยนตร์เรื่อง ”New world.” ผมได้เจอนักแสดงนำในเรื่อง พี่ Hwang Jung Min ที่งานประกาศรางวัล MAMA เราแลกเบอร์โทรศัพท์กันครับแต่ไม่สามารถที่จะติดต่อกันได้บ่อยๆ พี่เค้าชวนผมไปในงานพรีวิวหนังของเค้าแต่เพราะตารางงานที่ยุ่งมากผมไม่ได้ไป แต่ได้ไปดูหนังเรื่องนั้นในโรงภาพยนตร์ซึ่งผมชอบมันมาก และเพื่อเป็นการตอบแทนพี่เค้า ผมจึงเชิญรุ่นพี่ Hwang Jung Min มาดูคอนเสริต์ของผมบ้างและผมก็ดีใจมากๆเลยครับที่ได้ยินมาว่าพี่เค้าชอบคอนเสริต์ของผมเช่นกัน
ผมไม่ค่อยรู้สึกสนใจหรือดึงดูดใจในผู้คนที่ดูเท่ในแบบธรรมดาๆ จะพูดยังไงดีละครับ?? ผมรู้สึกว่าผมจะชอบหรือถูกดึงดูดด้วยคนในแบบมาเฟีย พวกแก๊งสเตอร์มากกว่า ผมคิดว่าคงมีอะไรแปลกๆบางอย่างในตัวผมแน่ๆ บนเวทีผมก็แสดงออกอารมณ์ความรู้สึกและท่าทางในแบบของพวกแก๊งสเตอร์ออกมาโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัวเลยตัวซ้ำ แม้แต่เวลาที่ผมดูภาพยนตร์ ผมจะชอบพวกแบดบอยและสนุกในการดูเรื่องราวของพวกเค้าโลดแล่นเป็นจริงผ่านภาพยนตร์
เวลากลางวันและกลางคืนสำหรับชีวิตประจำวันของผมนั้นสลับกันไปหมด ซึ่งถือว่าเป็นกรณีปกติของทุกๆคนที่บริษัท วายจีนี้ ดังนั้นเราจึงต้องจัดระเบียบร่างกายใหม่ก่อนที่จะออกคอนเสริต์หรือทำทัวร์ ผมเป็นพวกนอนไม่รู้จักพอดังนั้นผมต้องตั้งกฏให้กับร่างกายตัวเองก่อนออกทัวร์
เรื่องแปลกของพวกนักดนตรีคือ พวกเราไม่สามารถคิดอะไรออกเลยในตอนเช้า ทุกอย่างว่างเปล่าไปหมด ผมทำงานได้ดีกว่ามากในเวลากลางคืน มันเป็นนิสัยที่แปลกประหลาดที่ผมจะเริ่มคิดอะไรต่างๆในช่วงที่ผ่านช่วงเช้าไปแล้ว ดังนั้นผมจะตื่นนอนเวลาบ่าย 4-5 โมงเย็นทุกวันดังนั้นผมจึงรู้สึกเหนื่อยล้า
และเป็นเพราะผมจะทำงานไปจนถึงตี 1-2 และจะเข้านอนในตอนบ่าย 4-5 ทำให้ผมไม่สามารถไปพบปะเพื่อนๆได้เพราะเรามีแบบแผนชีวิตที่ต่างกัน บางครั้งผมจะนอนต่อเนื่อง 2-3 วัน ผมมักจะหลับลึกและยาวนาน ^^
ผมเริ่มใช้ ตัวส่งข้อความผ่านทางโทรศัพท์มือถือ ที่เรียกว่า Line เพื่อการโปรโมท world tour ของตัวเองในครั้งนี้ด้วย ยังไงก็ขอให้ทุกคนสนับสนุนและสนใจมันด้วยนะครับ
ผมรักวิธีที่ท่านหยางฮยอนซอก CEO ของบริษัท YG ที่่มักจะมองภาพที่ยิ่งใหญ่ข้างหน้าเสมอมากกว่าที่จะมองแต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้เท่านั้น
ผมให้ความไว้ใจและจะทำตามท่านหยางเสมอและเค้าก็ทำแบบนี้กับผมเช่นกัน เวลาที่ผมบอกให้เค้ารู้ถึงความต้องการของผมเค้ามักจะเป็นคนแรกเสมอที่จะเคารพในความคิดของผม เป็นเพราะผมเป็นนักดนตรี ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เหนื่อยเกินไปที่จะมาทำการโปรโมทด้วยตัวเองเพราะผมจะเสียความตั้งใจในการทำเพลงไป
ผมได้ยินมาว่าการสื่อสารผ่านสื่อสาธารณะ (SNS) เริ่มเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางขึ้นเรื่อยๆในโลกปัจจุบัน และด้วยการแปลแบบอัติโนมัติของ LINE ผมสามารถที่จะสื่อสารกับแฟนๆในระดับสากลได้ด้วย เป็นเพราะแฟนๆจากทั่วโลกของผมมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ผมคิดว่ามันสนุกและมีความหมายมากๆ ที่จะปล่อยเพลงใหม่ของผมผ่าน LINE
เมื่อไม่กี่ปีก่อน ผมเคยรู้สึกมีความสุขดีใจมากๆที่ได้ขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ตเพลงแต่ในตอนนี้เรื่องนั้นไม่มีความสำคัญอีกต่อไปแล้ว ในตอนนี้ผมคิดมากขึ้นที่จะทำเพลงออกไปแข่งขันได้ในระดับโลก จากการทำ WorldTour ผมเรียนรู้ว่าเรามีแฟนในระดับสากลมากมาย เราไม่เคยจะจินตนาการเลยว่าเราจะมีแฟนๆในระดับโลกมากมายถึงขนาดนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราไม่เคยได้ทำการโปรโมทในจีน หรือในอเมริกามาก่อน แต่กลับมีแฟนๆมาดูคอนเสริต์ของบิกแบงในประเทศเหล่านี้ด้วย ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไม วายจีถึงทุ่มเงินลงไปมากมายกับ YouTube และ การโปรโมทผ่าน SNS ก็เพื่อส่งผ่านเสียงเพลงของพวกเราไปสู่สายตาชาวโลกนั่นเอง
ผมคิดกับท่านหยางอย่างหนักถึงวิธีการต่างๆในการโปรโมท และ แฟนๆต่างก็เป็นห่วงมากในเรื่องนี้ แต่ไม่ต้องห่วงนะครับเรากำลังพยายามอย่างเต็มที่ดังนั้นกรุณาไว้ใจเราเถอะนะครับ ^^
ผมเคยคิดว่า"ทำไมต้องใช้เจ้า SNS ด้วย???" แต่ตอนนี้ผมกลับสนุกกับการใช้ SNS ซะเอง ผมชอบที่ผมสามารถแบ่งปันความคิดของผมกับแฟนๆได้ ผมสามารถที่จะบอกแฟนๆว่าผมอยู่ที่ไหนและกำลังทำอะไรอยู่เพราะผมไม่มีโอกาสที่จะออกไปพบพวกเค้าได้จริงๆ เวลาที่ผมโพสรูปว่าตัวเองกำลังทำอะไรหรืออยู่ที่ไหนผมรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองได้พูดคุยกับแฟนๆจริงๆ ครับ
คอลัมภ์วันนี้กลายเป็นยาวมากแล้วนะครับเนี้ย ผมควรจะเก็บเรื่องเล่าที่น่าสนใจๆเอาไว้เล่ากันคราวหน้าแล้วกัน แล้วเจอกันนะครับ
Source Naver "Star Column"
[http://news.naver.com/main/read.nhn?mode=LSD&mid=sec&sid1=106&oid=420&aid=0000000268]
English Translation by DANA A.K.A BIGBANGGisVIP
Thai Translation by miss mew
วันพุธที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2556
สัมภาษณ์ Choice37 จาก Rythmer
ในช่วงการสัมภาษณ์ในการรับรางวัล Rhythmer นี้คุณเคยพูดว่าคุณทำงานเข้ากันได้ดีและรู้สึกสบายมากในการทำงานร่วมกับจีดราก้อนใช่ไม๊ครับ?? เราอยากจะฟังรายละเอียดเพิ่มเติมในเรื่องนี้หน่อยครับว่ามันเป็นยังไง??
Choice37: เหนือสิ่งอื่นใดเลย จีดราก้อนเป็นคนที่อิสระมากๆและเป็นคนที่มีความสร้างสรรค์อย่างแท้จริง ซึ่งนั่นทำให้การทำงานกับเค้านั้นง่ายมากครับ เค้าเข้าใจถึงภาพรวมได้อย่างรวดเร็ว ในการทำเพลงออกมาให้ดีได้คุณควรจะมีภาพรวมอยู่ในใจก่อน ไม่ใช่สักแต่จะจับเอาท่อนแร๊พยัดเข้าไปในทั้ง16 ห้องของเพลงเลย ซึ่งจีดราก้อนเค้ายอดเยี่ยมมากในงานสาขานี้ครับ
อัลบั้ม One of a kind ถูกสร้างขึ้นมาได้ยังไงครับ??
Choice37: ที่ YG เราจะมีการ"ประชุมเพลง"กันเดือนละหนึ่งครั้ง ในการประชุมนี้โปรดิวเซอร์ทุกคนจะมารวมตัวกันและเอาเพลงออกมาให้กันและกันฟัง ในตอนนั้น ผมทำจังหวะนี้ขึ้นมาและให้เท็ดดี้ฟังก่อน ก่อนที่ผมจะเอาเข้าที่ประชุม พอท่านประธาน (หยางฮยอนซอก)ได้ยินเค้าก็บอกว่า " อ่า เอาเพลงนี้ให้จียงซะนะ" ท่านประธานตั้งใจจะเอาเพลงนี้ให้กับจียงครับ ในบริษัทของเราท่านหยางจะเป็นคนฟังเพลงทุกเพลงและจะตัดสินใจว่าเพลงนี้จะเป็นของใครครับ
ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับศิลปินคนอื่นๆในบริษัทวายจีเป็นยังไงบ้างครับ??
Choice37: บรรยากาศในบริษัทวายจีนั้นเหมือนกับเป็นโรงยิมขนาดใหญ่ดังนั้นผมจึงชอบมันมากๆครับ ถ้าคุณมองไปยังโถงทางเดินคุณจะเห็น segway และศิลปกรรมแบบป็อปอยู่มากมาย และนั่นทำให้การทำงานที่นี่สนุกมากๆ มันเป็นความเพลิดเพลินที่จะได้ค้นพบภาพรวมใหม่ๆและำไอเดียใหม่ๆออกมา ยองเบและท็อปนั้นหลงใหลในเรื่องของดนตรีมากๆ เวลาที่ผมนั่งอยู่ที่สตูดิโอของผมพวกเค้าจะเข้ามาถามหาเพลงใหม่ๆกับผมเสมอ
ใครที่มักจะมารบกวนขอเพลงจากคุณมากที่สุดครับ??
Choice37: (หัวเราะ) ยองเบจะมาหาผมบ่อยที่สุดครับ ผมสามารถรู้สึกได้จริงๆว่าเค้าเป็นคนที่รักในเสียงเพลงมากๆ เค้ามักจะเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงาน และที่พิเศษไปกว่านั้นเค้าเป็นคนที่มีเซ้นส์ที่โดดเด่นในเรื่องของเสียงเพลง เรามักจะฟังเพลงของ Miguel และ Frank Ocean ด้วยกัน
งั้นหมายความว่าคุณมักจะติดต่อกับสมาชิกวงบิกแบงมากที่สุดไม๊ครับ?
Choice37: พวกเค้าเป็นศิลปินที่ผมสนิทมากที่สุดและเราต่างก็มีอะไรหลายอย่างที่สื่อถึงกันครับ
แล้วสาวๆทูเอนี่วันละครับ??
Choice37: 2NE1 ก็เป็นศิลปินที่ยอดเยี่ยมเช่นเดียวกันครับ แต่ทูเอนี่นั้นอยู่ในส่วนรับผิดชอบของเท็ดดี้ ท่านประธานได้มอบหมายให้เป็นภารกิจของเท็ดดี้ครับ และเป็นเพราะพวกเธอเป็นผู้หญิงผมเลยไม่ค่อยได้เจอพวกเธอบ่อยเท่าไหร่ที่สตูดิโอ แต่ยองเบมักจะมาหาบ่อยมากๆเพื่อใช้คอมพิวเตอร์และจียงก็มักจะมาพูดคุยด้วยบ่อยๆ
ดนตรีประเภทไหนที่พวกคุณมักจะฟังเวลาที่อยู่ด้วยกันครับ??
Choice37: ถ้าเป็นเพลงฮิบฮอบเราจะฟัง A$ap Rocky, Kendrick Lamar . ถ้าเป็นเพลง R&B, ก็เหมือนกับที่ผมพูดไปเมื่อกี้เราจะฟัง Miguel ไม่ก็ Frank Ocean ไม่เฉพาะเท่านี้หรอกนะครับเราฟังเพลงที่หลากหลายของศิลปินคนอื่นๆด้วยเช่นกัน
เพลงเกือบจะทั้งหมดจากบริษัท YG นั้นเป็นที่ฮิตติดหูไม่เฉพาะแต่ในแฟนดอมเท่านั้นแต่แฟนๆเพลงป็อปจนไปถึงคนที่คลั่งไคล้เพลงของชาวแอฟริกันอเมริกัน(Black Music)อีกด้วย พลังดนตรีในแบบของวายจีเหล่านี้มาจากไหนกันครับ??
Choice37: ผมคิดว่ามาจากคุณภาพที่โดดเด่นของพวกเรานะครับ เมื่อเวลาผ่านไปผมคิดว่าสาธารณชนอยากที่จะฟังเพลงที่มีคุณภาพสูง ผมคิดว่านั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ท่านประธานใส่ใจในเรื่องของคุณภาพให้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในเพลงของเรา แทนที่จะทำเพลงที่ดูตระการตาแต่ภายนอก เพลงที่ดูจริงใจซื่อตรงนั้นจะจับใจสาธารณชนมากกว่า ผมคิดว่าสาเหตุที่ทำให้ยองเบและจียงนั้นได้รับความรักมากมายเป็นเพราะพวกเค้าทำเพลงในแบบที่พวกเค้าอยากจะทำ บรรยายความจริงใจของพวกเค้าผ่านคำพูดที่ซื่อตรง พวกเค้าไม่ได้ทำงานโดยตั้งเป้าหมายไปที่การขายอัลบั้มได้มากๆ ขนาดเด็กเล็กเมื่อได้ฟังเพลงแล้วพวกเค้ายังสามารถบอกได้ว่าเพลงนั้นมันจริงหรือเปล่า ทุกคนสามารถที่จะเห็นความสัตย์ซื่อในเพลงได้ทั้งนั้นครับ
Source: @Rythmer
English Translation by: DANA a.k.a bigbanggisvip
Thai Translation by : mew
Thank you Trisya via BIGBANGWORLD
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)