วันเสาร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

(Part 2 ) สัมภาษณ์ท็อป ในวันเปิดตัวภาพยนตร์ Tazza2 จาก 10Asia (2014/09/12)


Q: ดูเหมือนว่าเป็นเพราะการที่ไม่ใช้ชีวิตในทางที่เสี่ยงแบบนี้ของคุณ ทำให้ผู้กำกับคุณ Kang Hyeongchulเคยพูดถึงคุณไว้ว่า "ชเวซึงฮยอนนั้นมีนิสัยใกล้เคียงกับความเป็นศิลปินมากกว่าผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิค " ฉันรู้มาว่าคุณชอบคุณ Jean Prouvé ซึ่งเป็นสถาปนิกมาก โดยคุณ Prouvé เป็นสถาปนิกที่เน้นในเรื่องความสมดุลของความงามในแบบศิลปะกับการเป็นไปได้จริงในทางปฏิบัติ ในฐานะศิลปิน ความสมดุลของเรื่องใดบ้างที่คุณเห็นคุณค่ามันคะ?? 
CSH: การเป็นสิ่งที่ถูกขัดเกลาสละสลวยเพียบพร้อมและทุกอย่างต้องดูเรียบง่ายครับ ก็เหมือนกับศิลปินที่ขายสิ่งที่เค้าวาดออกมา เหมือนกับผู้ที่ทำงานประติมากรรมขายสิ่งที่เค้าลงมือปั้นออกมา ตัวผมอยู่ในสายอาชีพที่จะต้องสร้างสรรค์และขายตัวเองออกมาให้ได้ และเพราะเป็นแบบนี้ผมหวังมากๆอยากให้ตัวเองเป็นคนที่ดูไม่เยอะมากไป ระยะนี้ผมกระหายอยากให้ตัวเองเป็นคนแบบนั้นให้ได้ ยังไงก็ตาม ทำไมวันนี้ผมพูดแต่อะไรลึกซึ้งๆออกมาละครับเนี่ย?? อ่าา ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรหรอกครับ ผมชอบนะ มันกระตุ้นให้เกิดความคิดหลายๆอย่างออกมา 

Q: ระหว่างคนที่มีอายุมากกว่า หรือ กับคนที่อายุน้อยกว่า คนในกลุ่มไหนที่เข้ากับคุณได้มากกว่ากันคะ??
CSH: เหมือนกันทั้งสองกลุ่มแหละครับ อายุอารมณ์และจิตใจของผมต่ำมากเลยละครับ ดังนั้นผมจึงเข้าได้ทั้งกับเพื่อนที่อายุมากกว่าและคนที่อายุน้อยกว่าผม แต่กลายเป็นว่าเข้ากันไม่ค่อยดีกับคนที่อายุเท่าๆกัน  

Q: ดูอายุทางอารมณ์และจิตใจคุณไม่ได้ต่ำเลยนะคะ ??
CSH: ต่ำครับ มีหลายครั้งที่ผมจะสัพเพร่า และผมมักจะมีความคิดที่ไม่สามารถนำมาปฏิบัติใช้ได้ในชีวิตจริงเสมอๆ ผมไม่ใช่คนที่มีเหตุผลอยู่ตลอดเวลา  และนั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม ผู้กำกับคุณ Kang Hyeongchul ถึงได้บอกว่าผมไม่ใช่คนที่จะเชี่ยวชาญทางด้านเทคนิค เพราะผมไม่ใช่คนที่จะเคลื่อนไหวไปในเส้นทางที่คำนวณไว้อย่างดีเท่านั้น บางครั้งผมยังเป็นคนที่ลำเอียงมากๆเลยนะครับ 

Q: มุมนั้นของคุณคงแสดงออกมามากเลยในงานของคุณใช่ไม๊คะ เพลงเดี่ยวของคุณ “Doom Dada” ที่ออกมา ก็ดูจะเป็นด้านขบถเล็กๆของคุณเช่นกัน ในตอนที่ดู MV นั้น ฉันคิดว่า " ชเวซึงฮยอนทำเพลงในขณะที่ในใจคิดภาพเหล่านี้อยู่ในหัวสินะ "คือนี่สินะภาพที่คุณคิดอยู่ในขณะที่ทำเพลง
CSH: ใช่ครับ ผมมักจะคิดถึงภาพต่างๆในขณะที่ทำงานเพลง เพลงและภาพต่างๆมักจะมาพร้อมกันเสมอ 

Q:ถ้าเป็นแบบนั้น งั้นก็หมายความว่าเราไม่ควรแค่ฟังเพลงของคุณเท่านั้นแต่ควรจะต้องดูภาพที่ออกมาจากเพลงด้วยใช่ไม๊คะ?
CSH:ผมคิดว่าคุณควรจะทำแบบนั้นแหละฮะในยุคนี้ ผมจินตนาการไปว่าในอนาคตจะยิ่งกว่านี้อีกฮะ ผมคิดว่ายุคที่เสียงเพลงจะเป็นเหมือนกับชิ้นงานศิลปะในรูปแบบวีดีโอที่ไม่มีขอบเขตจำกัดนั้นกำลังจะต้องมาถึงแน่ๆ  เพราะในตอนนี้ มีทำนองและเพลงดีๆออกมาแล้ว ผมคิดว่าจะเป็นการยากขึ้นไปอีกในการที่ทำเพลงที่มีความสละสลวยออกมาหากผู้คนเริ่มฟังในสิ่งที่ไม่ได้ถูกผูกมัดไว้กับอะไรทั้งสิ้น 

Q: ในเนื้อเพลง ‘Doom Dada,’ ที่ว่า " ผมเป็นชาวเกาหลีในยุคศตวรรษ 21ที่ไม่ธรรมดา เป็นเหมือน Rap Basquiat ที่ถือไมด์ไว้ในมือ "คุณชื่นชอบ คุณ Basquiat เหรอคะ?
CSH: เหตุผลที่ผมพูดถึง Basquiat ออกมาในเพลงเป็นเพราะในช่วงที่ผมทำเพลง ‘Doom Dada, ’ผมคิดไปถึงว่าผมอยากจะทำเพลงที่ผู้คนจะไม่ค่อยชอบฟังมันได้จริงๆหรอกออกมา ซึ่งถ้าจะพูดว่าสิ่งที่ผมพูดออกมานี่ไม่ได้เป็นประเด็นอะไรในตอนนี้เลย ผมคงพูดโกหกอยู่ละครับ 

เพราะในช่วงนั้น ผมคิดว่าทุกคนถูกจัดกลุ่มและแสดงออกมาเหมือนๆกันไปหมด และถ้าเกิดอะไรที่ทำแล้วได้รับความโด่งดังขึ้นมา จากนั้นทุกอย่างในอุตสาหกรรมเพลงในประเทศของเราก็จะรีบเลียนแบบทำตามกันไปหมดในทันที เมื่อผมเห็นแบบนี้ผมไม่ต้องการที่จะไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการนี้เลย ผมคิดว่ามันดูอนาจน่าเวทนา ผมคิดจริงๆว่านี่เป็นสิ่งที่เบี่ยงเบนไปจากธรรมชาติ ดังนั้นผมจึงหวังว่าจะสร้างเด็กที่มันเกิดขึ้นจากสถานการณ์ที่มันแปลกๆแบบนี้ออกมาเพื่อสื่อไปถึงเหตุการณ์เบี่ยงเบนที่มันเกิดขึ้นในวงการเพลง นอกจากนี้ผมอยากที่จะสร้างงานออกมาให้ดูดิบๆแบบเร่งรีบทำ เหมือนกับงาน graffiti ของคุณ Basquiat ออกมาด้วยฮะ 



 Q: เป็นการอุปมาเปรียบเทียบได้อย่างวิเศษไปเลยนะคะ แต่พวกคนดังโดยเฉพาะวงไอดอล อยู่ในตำแหน่งที่พวกเค้าเป็นคนสร้างกระแสสร้างเทรนขึ้นมาเองไม่ใช่เหรอคะ??
CSH: พูดตามตรงนะครับ ผมไม่เคยคิดแม้แต่ครั้งเดียวเลยว่าตัวเองหรือว่าวงบิกแบงเป็น ไอดอล ผมแค่คิดว่าเป็นเพราะยุคนี้เป็นยุคที่วงบอยแบรนด์นั้นถูกโปรโมทอย่างดี เราเลยมาอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก็เท่านั้น บางทีถ้าผมมัวแต่คิดว่าตัวเองเป็นไอดอล บุคลลิกท่าทางของผมในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของบิกแบงหรือ ภาพของบิกแบงทั้งทีม คงไม่ออกมาดีเท่าไหร่นักนะครับ 

Q: คุณพูดว่าคุณอยากจะสร้างงานออกมาให้ดูดิบๆแบบเร่งรีบทำ ให้มันแตกต่างไปจากสิ่งที่ถูกทำเลียนแบบกันมาจนเกร่อ ซึ่งคำพูดนี้ดูเหมือนว่า คุณจะไม่ได้หมายความว่า อยากจะเปลี่ยนแปลงวงการเพลงนี้หรอก แต่กลับหมายถึงว่า ตอนนี้คุณจะเดินไปตามทางของตัวเองมากกว่า ไม๊คะ?
CSH: หากจะให้ผมพูดแบบตรงๆและดูจะโหดไปซักหน่อย แต่จริงๆแล้วเพลง  ‘Doom Dada’ เป็นเพลงที่บรรยายถึงประเด็นสำคัญที่เป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงไม่ชอบการทำงานเพลงออกมาฮะ ในตอนนั้นผมคิดว่ามันเป็นช่วงที่เบี่ยงเบนไปจากปกติจริงๆที่ไม่มีใครพยายามที่จะสร้างอะไรใหม่ๆออกมาเลย 

Q: แล้วกับการแสดงละคะ?? คุณคิดว่าตัวเองเปลี่ยนแปลงไปยังไงในแง่มุมของการแสดง??
CSH: ผมก็ยังไม่รู้หรอกครับ แต่ผมรู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้นทีละหน่อยๆ "ในตอนนี้"มันสนุกดีครับ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องพูดว่า ในตอนนี้ ออกมา แต่ผมต้องการที่จะทำมันต่อไปในตอนที่มันสร้างความสนุกให้กับผมและในขณะที่มีคนต้องการอยากจะเห็นผมแสดงอยู่ครับ 


Q: แล้วเรื่องดนตรีละคะ มีคำว่า "ในตอนนี้" เหมือนกันไม๊??
CSH: เหมือนกันครับ ผมคิดว่าไม่ว่าจะเป็นงานเพลงหรือการแสดง ก็ล้วนเหมือนกัน ในอดีตผมมองว่าพวกมันแตกต่างกัน แต่ณ จุดนึงความคิดของผมก็เปลี่ยนไปครับ เพราะงานทั้งสองอย่างนั้นล้วนเป็นวิธีการที่ผมใช้ในการบรรยายตัวตนออกมา ดังนั้นถ้าผมไม่มีความสุขสนุกที่จะทำพวกมันแล้ว ผมก็จะหยุดทำโดยจะไม่มาเสียใจทีหลังเลยละครับ 

Q: คุณเป็นคนที่ตรงไปตรงมามากจริงๆ  // Daegil ในภาพยนตร์ได้บอกกับ Heo Mina (ที่แสดงโดยคุณ Shin Sekyung) ผู้หญิงที่ได้ช่วยชีวิตเค้าเอาไว้ว่า " ชีวิตของผมเป็นของคุณ " และทำทุกอย่างเพื่อเธอ ในชีวิตของคุณคุณมีคนคนนั้นที่คุณจะยอมเอาทุกอย่างเข้าเสี่ยงเพื่อคนคนนั้นไม๊คะ?? ผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้ค่ะ 
CSH: ไม่ครับ ไม่ 

Q: แม้ว่าคนคนนั้นจะยอมสละทุกอย่างเพื่อคุณได้นะคะ??
CSH: คือ พูดจริงๆนะครับ ผมยังไม่เจอคนคนนั้นเลยละครับ เลยเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงไม่ยอมทำแบบนั้นหรอกครับ

Q: อืมมม คนประเภทไหนค่ะ ที่ดึงดูดความสนใจจากคุณได้?
CSH: ในผู้หญิงและผู้ชายก็ต่างกันไปนะครับ ในกรณีที่เป็นผู้ชาย ผมชอบคนที่อดทนและใจกว้าง ผมจะเข้ากับคนที่ใฝ่รู้และชอบศึกษาในสิ่งใหม่ๆ คนที่อยากจะรู้ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากขึ้นๆ สำหรับเพศตรงข้าม ผมชอบผู้หญิงที่ดีครับ เมื่อก่อนผมเคยคิดเรื่องของรูปร่างหน้าตาลักษณะภายนอกเอาไว้ แต่ตอนนี้นอกเหนือสิ่งอื่นใดเลยคือ เธอจะต้องเป็นคนดีฮะ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ไม่มีผู้หญิงที่ดีจริงๆเลยละฮะ

Q: โดยทำร้ายมามากสินะคะเนี่ย (หัวเราะ)
CSH:(หัวเราะ) ไม่ใช่แบบนั้นหรอกฮะ  ผมไม่ได้มีความสัมพันธ์กับใครเยอะขนาดนั้นครับ และผู้หญิงที่ผมเคยเดทด้วยก็ล้วนเป็นคนดี แต่เมื่อคิดว่าตอนนี้ทำไมผมถึงไม่ได้เดทกับใครมาเป็นเวลานานมากๆแล้วก็ได้คำตอบว่า น่าจะเป็นเพราะ ผมไม่มีโอกาสได้เจอกับผู้หญิงดีๆเลยครับ จะให้นิยามคำว่าดีเหรอครับ?? อ่า ดีเหรอ อืมมม ดี คือ เป็นคนที่จิตใจดีมั้งครับ?? 

Q: (หัวเราะ) งั้นตัวคุณคิดว่าตัวเองเป็นคนจิตใจดีเหรอคะ??
CSH: ก็ถ้าให้คิดเรื่องนี้ ผมว่าตัวเองก็เป็นคนดีนะครับ (หัวเราะ) ผมไม่สามารถคิดเรื่องร้ายๆออกมาได้ฮะ ผมไม่มีด้านสุนัขจิ้งจอกในตัวเลยแม้แต่น้อย 



Q: ก็เข้าใจได้อยู่นะคะว่าทำไมคุณถึงคิดว่าตัวเองเป็นคนดี ฉันเลยถามละค่ะ ซึ่งคุณก็ดูเป็นคนดีจริงๆ แต่ยังไงก็ตามแต่มันดูเป็นเรื่องน่าเศร้านะคะที่ตอนนี้คุณยังไม่มีคนคนนั้นที่คุณจะยอมเสี่ยงทุกอย่างในชีวิตเพื่อเธอ
CSH: ผมมีนิสัยในแบบหนุ่มโสดละครับ ผมไม่อยากจะเอาชีวิตลงไปพนันกับคนคนนึง ผมไม่ชอบที่จะเป็นภาระใครและไม่อยากจะหาภาระมาใส่ตัวด้วย พูดจริงใจไปไม๊ครับเนี่ย คือ แต่ผมคิดว่าส่วนที่เลวร้ายที่สุดของการแต่งงานคือ การที่ต้องตื่นมาในตอนเช้าและต้องอยู่ในที่ที่นึงที่จะต้องเจอคนคนนึงไปตลอดกาล  (ถอนหายใจยาว)

Q:แบบนั้นคุณควรจะอยู่คนเดียวจริงๆแหละค่ะ ไม่ก็ต้องทำบ้านแบ่งกันอยู่คนละชั้น ไม่ก็มาเป็นแฟนกันเฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์
CSH: ผมคิดว่านิสัยตัวเองเป็นแบบนั้นแหละครับมันเลยทำให้การแต่งงานเป็นเรื่องที่เข้มงวดเกินไปสำหรับผม ผมสงสัยว่าการแต่งงานไม่ใช่การที่เราต้องเอาทุกอย่างลงมาพนันหรอกเหรอฮะ?? แล้วถ้าเป็นแบบนั้น การที่จะต้องแต่งงานก็จะต้องหมายความว่าผมจะต้องเอาทุกอย่างที่ผมมีลงมาเสี่ยงจริงๆใช่ไม๊ละฮะ

Q: คุณพูดว่าตัวเองรักอิสระ แต่ตอนนี้ตัวคุณก็อยู่ภายใต้สังกัด YG นะคะ ซึ่งก็ถือว่าเป็นบริษัทตัวแทนศิลปินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศของเราในตอนนี้ แต่ถึงแม้ว่าวายจีจะมีการจัดการที่มีแนวโน้มให้อิสระสูง แต่ฉันเชื่อว่าคุณก็ไม่สามารถที่จะเพิกเฉยในสิ่งที่บริษัทพูดเวลาที่คุณจะต้องโปรโมทเพลงหรอกจริงไม๊คะ? 
CSH: คือ จากคนทั้งบริษัทนะครับ คนที่ไม่เคารพคำพูดจากบริษัทมากที่สุดน่าจะเป็นผมนี่แหละครับ (หัวเราะ) ช่วงก่อน ทาโบลฮยองก็พูดอะไรทำนองนี้ออกมานะครับ เค้าพูดว่า "นายปฏิเสธบ่อยมากจริงๆ" นอกจากนี้ผมยังได้ยินอีกนะครับว่าพวกเค้าคุยกันว่าผมเป็นคนนอก แต่เป็นเพราะบริษัทเข้าใจในนิสัยของผมดีมากๆในตอนนี้ พวกเค้าเลยไม่ได้บังคับให้ผมทำอะไรอีกต่อไป หรือ ทำอะไรทำนองนั้น กับผมครับ

Q:เมื่อไหร่ที่เราจะได้ฟังอัลบั้มเดี่ยวของคุณคะ?? 
CSH: ตอนที่ผมต้องการจะปล่อยมันออกมาฮะ  เพลงก็อยู่ตรงนั้นแหละฮะ ผมสามารถที่จะทำให้มันสำเร็จลุล่วงได้ทุกเมื่อ ถ้าจะให้ผมออกอัลบั้มนี้ให้เร็วที่สุดในตอนนี้ มันสามารถพร้อมที่จะออกมาใน 2-3 อาทิตย์ที่จะถึงนี้เลยละครับ

Q:แต่นิสัยหนึ่งของคุณคือคุณจะไม่ปล่อยผลงานใดๆออกมา ถ้ายังไม่ได้มีการเตรียมการมาอย่างสมบูรณ์แบบไม่ใช่เหรอคะ? 
CSH: แล้วผมไม่ใช่คนที่พร้อมเสมอหรอกเหรอครับ?? (หัวเราะ) เมื่อเป็นเรื่องเพลง ผมพร้อมเสมอครับ

Q: แล้วถ้าเป็นเรื่องการแสดงละคะ??
CSH: การแสดงต้องการเวลาเยอะมากๆในการวิเคราะห์ตัวบทครับ และไม่เหมือนกับงานเพลง การแสดงไม่ใช่งานที่คุณจะลงมือทำในแบบที่คุณอยากจะทำได้ การทำงานนี้คุณต้องก้าวเข้าไปในโลกที่ผู้กำกับได้คิดไว้แล้ว และเป็นตัวผู้กำกับมากกว่าที่จะวางแผนให้คุณบรรยายเรื่องในโลกนั้นออกมาในแบบที่เค้าต้องการ สิ่งที่คุณต้องทำคือ คอยมอบท่าทางการแสดงที่เค้าต้องการออกมา  ด้วยความเคารพนะครับ งานนี้เป็นงานที่น่ากลัวจริงๆ 

กับงานเพลง หากคุณพลาด คุณก็แค่พูดว่า "เป็นความผิดของผมเองครับ" ไม่ก็ "ผมทำไปในแบบที่เป็นตัวตนของตัวเองมากไปครับ" แต่กับภาพยนตร์เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับคนมากมาย ไม่ใช่อะไรที่ผมจะสามารถทำไปในแบบของตัวเองได้เลยฮะ 

Q:โลกแห่งการแสดงเป็นโลกประเภทไหนกันคะ??
CSH: เป็นโลกแห่งความตื่นเต้นครับ เหมือนกับบทพูดในเรื่องTazza ที่ว่า "สไตล์ในการทำงานของผมคือ ทำงานเพื่อจะได้พบกับความตื่นเต้น ไม่ใช่ทำเพราะเงิน " 

==============

English Translation by kwonaventure
Thai Translation by Miss mew 
Original source:http://tenasia.hankyung.com/archives/315193

สามารถอ่านพาร์ทแรกที่ออกมาก่อนได้ตามนี้ค่ะ พาร์ทแรก

(Part 1) สัมภาษณ์ท็อป ในวันเปิดตัวภาพยนตร์ Tazza2 จาก 10Asia (2014/09/12)



Q: คุณดูเหนื่อยนะคะ และ สภาพผิวของคุณก็ดูจะแย่ด้วย นอนหลับบ้างไม๊คะเนี่ย??
CSH: ช่วงนี้ผมแทบจะไม่ได้นอนเลยครับ ผมมีงานตามตารางที่ต่างประเทศในช่วงสุดสัปดาห์ หลังจากที่กลับมาจากต่างประเทศผมก็จะร่วมกิจกรรมโปรโมทภาพยนตร์ต่อ แต่วันนี้เป็นวันที่ภาพยนตร์จะออกฉายครับ ดังนั้นผมจึงตื่นเต้นมากๆ เพราะงานนี้เป็นงานที่ผมกระตือรือร้นและกังวลเกี่ยวกับมันมาตั้งแต่เริ่มแรก ผมอยากจะให้ผู้ชมได้ดูหนังเร็วๆ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นผมคิดว่า ตัวเองจะรู้สึกโล่งอกนะครับ

Q: คุณบอกว่า "รู้สึกกังวล" เกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้ ความกังวลนั้นเป็นความกังวลที่ข่มขวัญคุณ หรือยิ่งเป็นแรงกระตุ้นคุณคะ??
CSH: มันเป็นแรงกระตุ้นผมนะครับ เป็นไปในทิศทางนั้นมากกว่าที่จะข่มขวัญ

Q: ก่อนที่งานเพลงจะถูกปล่อยออกมา ความคาดหวังอยากรู้อยากเห็นรอบๆตัวคุณก็ยิ่งใหญ่ทีเดียวซึ่งดูๆไปแล้วเหมือนจะเป็นภาระที่หนักอึ้งให้กับคุณ แต่ในกรณีงานด้านการแสดงนี้ปฏิกริยาของคุณกลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม ซึ่งถึงยังไงๆมันก็ดูเขย่าขวัญไม่น้อยนะคะ
CSH: พูดตรงๆนะครับ สาธารณชนชอบจะที่เห็นความถ่อมตัวเข้าไว้เป็นหลัก ดังนั้นผมเลยไม่ได้แสดงออกไปให้เห็นตรงๆ แต่ตัวผมเองเป็นคนที่มีความมั่นใจอยู่เสมอ สไตล์ของผมคือ ถ้าตัวผมเองไม่มีความมั่นใจที่มั่งคงอยู่กับตัว ตัวผมเองคงไม่สามารถพัฒนาไปข้างหน้าได้ อีกอย่างผมรู้สึกถึงเรื่องในอนาคตได้ด้วยสัญชาตญาณระดับหนึ่ง ดังนั้นเรื่องแบบนี้น่าสนใจสำหรับผมครับ เพราะก่อนที่ผลลัพท์จะออกมา ก่อนที่ผู้คนจะได้เห็นหรือได้ฟังอะไร ผู้คนก็มักจะมีความคิดเห็นและมีเรื่องให้พูดออกมาก่อนเสมอ ซึ่งสำหรับผมมันน่าสนใจจริงๆ

Q: ในแง่ที่ผู้คนมีเรื่องพูดไปก่อนที่ได้เห็นผลงาน มีหลายกรณีนะคะที่พวกเค้าพูดออกมาจากพื้นฐานความอคติที่คิดไม่ดีอยู่ก่อนแล้ว ถึงเป็นแบบนั้น คุณก็ยังคิดว่ามันเป็นเรื่องน่าสนใจอยู่เหรอคะ??
CSH: ผมคิดว่า เพราะการที่มีอคติอยู่ก่อนแล้วแบบนั้นเลยทำให้ผมไม่สามารถพอใจในตัวเองได้ บางทีเพราะอคตินั้นยิ่งทำให้ผมเป็นเดือดเป็นร้อนมากขึ้น ในสภาวะที่มีการตัดสินด้วยอคติมันทำให้ผมเป็นผู้กล้ามากขึ้น ผมคิดว่าการที่มีอาชีพเป็นนักแสดง หรือนักดนตรี คุณจำเป็นต้องออกไปต่อสู้กับการตัดสินที่เต็มไปด้วยอคติแบบนั้นอยู่เสมอครับ

Q: คุณพูดว่า "ถ้าคุณไม่มีความมั่นใจที่มั่งคงอยู่กับตัวแล้วละก็ คุณจะไม่สามารถพัฒนาไปข้างหน้าได้" เมื่อเป็นแบบนี้ ความมั่นใจอะไรที่คุณเห็นในภาพยนตร์เรื่อง Tazza2 ที่จะพาคุณก้าวไปข้างหน้าได้คะ
CSH: คงเป็นพลังงานที่มากับผู้กำกับคุณ Kang Hyeongchul มั้งครับ? ครั้งแรกที่ผมได้รับบทนี้มาผมคิดว่าตัวเองจะไม่สามารถทำได้แน่ๆ ผมคิดว่ามันมีสัญญาณบอกเอาไว้เลยว่าถ้าผมรับแสดงเรื่อง Tazza2 มันจะต้องเป็นเกมส์ที่ผมต้องสูญเสียอย่างมากแน่ๆแทนที่จะได้รับอะไรกลับมามากมาย   และผมยังรู้สึกหวั่นใจด้วยว่าตัวเองจะแสดงภาพและเรื่องราวชีวิตของ Ham Daegil ออกมาได้อย่างถูกต้องรึเปล่า??

แต่ในตอนที่อ่านบทที่ผู้กำกับส่งมาให้ มันดูจะสนุกมากๆ ผมรู้สึกกลุ้มคิดหนักอยู่ประมาณ 4-5 เดือนจึงตัดสินใจไปพบผู้กำกับโดยตรง และในตอนที่ผู้กำกับยื่นบทมาให้ผมเค้าพูดว่า "บทภาพยนตร์เล่มนี้มันบรรจุชีวิตของผมในช่วงปีที่แล้วไว้ทั้งหมด โปรดตอบรับบทนี้ด้วยนะครับคุณซึงฮยอน ผมหวังจริงๆว่าบทนี้จะเป็นของคุณ คุณซึงฮยอน "



Q: โอ้, คำพูดนี้ต้องเป็นคำพูดที่จับใจคุณซะอยู่หมัดแน่ๆ
CSH:เค้าเป็นคนแรกที่พูดคำพูดทำนองนี้กับผมครับ ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะเค้าพูดเอาใจผมหรือยังไง แต่ในใจของผมผมรู้สึกขอบคุณมากจริงๆ

Q: ดูเหมือนผู้กำกับ Kang Hyeongchul จะเป็น ทัดช่า ตัวจริงนะคะเนี่ย (หัวเราะ)
[T/N: “tazza” (ทัดช่า) หมายถึงคนที่ใช้กลหลอกคนอื่นในเรื่องการพนันได้ดีมาก]
CSH: ดูเหมือนจะเป็นยังงั้นนะครับ (หัวเราะ) ในตอนที่ผมรับเอาบทจากมือผู้กำกับมา ผมมองตรงลงไปที่ตาของเค้าและดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจ เค้าดูมั่นใจกับมันมากๆ เค้าไม่แม้แต่จะแสดงออกให้เห็นถึง 0.01% ของความหวาดหวั่นออกมาเลย

มีคนเคยพูดกันอยู่ไม่ใช่เหรอครับว่า คนที่มีความมั่นใจตามธรรมชาติเต็ม 100%นั้นไม่ว่าใครก็ฉุดรั้งไว้ไม่ได้?? ดังนั้นผมจึงกลับบ้านไปและอ่านบทนั้นใหม่อีกครั้ง และ ผมไม่รู้ว่าพลังจากตัวผู้กำกับส่งผ่านมายังตัวผมหรือยังไง แต่ผมกลับสร้างความมั่นใจในตัวของบทบาทนี้ขึ้นมาและลงเอยรับแสดงภาพยนตร์เรื่อง Tazza 2 นี้ครับ

Q: พูดตรงๆ บทบาทของคนอย่าง Daegil เป็นคนที่ไม่ได้ดูอึดอัดที่จะเต้นจะร้องเพลงไปกับวงบิกแบงนะคะ แถมเสื้อผ้าของเค้าและนิสัยใจคอก็ดูจะเป็นแบบนั้นด้วย
CSH: ฮะถูกต้องครับ จริงๆนั่นเป็นเหตุผลที่ผู้กำกับกับผมได้ปรึกษากันในมุมมองนั้นเยอะมากๆ ตามแหล่งข้อมูลแล้วในหนังสือ เนื้อเรื่องถูกเซตให้เกิดขึ้นในปี 80 แต่ในเวอร์ชั่นของผุู้กำกับ Kang Hyeongchulแล้วเนื้อเรื่องดำเนินในยุคปัจจุบัน

ก็มีเรื่องที่กังวลกันอยู่เหมือนกันว่าอะไรที่จะมาเป็นตัวแยกแยะบุคคลิกของ Daegil ที่มันแตกต่างไปจากตัวของ Goni ในภาคที่แล้ว ซึ่ง Daegil นั้นเป็นคนง่ายๆไม่ยุ่งยาก เค้าชอบผู้หญิง เค้าใช้ชีวิตอย่างลำบากหาเงิน และเค้าเป็นผู้ชายที่จะแต่งเนื้อแต่งตัวเมื่อมีเงิน เราต่างก็กังวลว่า daegil ในเวอร์ชั่นภาพยนตร์ที่ใช้ชีวิตอยู่ในยุคปัจจุบันจะแต่งตัวออกมาในรูปแบบไหน และมาจบที่เค้าจะแต่งตัวด้วยสีสันที่สดใส ในฉากที่ Daegil เล่นพนันและชนะที่กังนัมและเปลี่ยนการแต่งตัวซะใหม่ ฉากนั้นผมรู้สึกเข้าใจในบทบาทอย่างถ่องแท้เหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องราวชีวิตของตัวผมเองจริงๆ เพราะในความเป็นจริงแล้วผมก็เป็นแบบนั้นเหมือนกันครับ

Q: Oh Jangbeomคนที่มีความรับผิดชอบสูงมากๆ จาก เรื่อง ‘Into the Fire  / Lee Myunghoon ผู้เงียบขรึมและเน้นไปที่การกระทำมากกว่าคำพูดจากเรื่อง ‘Commitment / หรือ Ham Daegil ผู้ซึ่งโปรดปรานในสิ่งที่ท้าทาย จากเรื่อง ‘Tazza’ ทั้งสามบทบาทนี้ คนไหนที่มีความใกล้เคียงกับชเวซึงฮยอนที่สุดคะ ?
CSH: ผมคิดว่า ความที่เป็นคนที่ไม่เกรงกลัวเรื่องใดๆทั้งสิ้นของผมนั้นเหมือนกับ Ham Daegilครับ ผมมักจะมีความมั่นใจเสมอ แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าที่ตัวเองมีความมั่นใจมากแบบนี้เป็นเพราะความจริงที่ว่าผมเป็นคนไม่ได้มองกาลไกลเท่าไหร่หรือเปล่า เหมือนกับ daegil ก็เหมือนกัน ซึ่งก็ถือว่าโชคดีมากๆเพราะจนถึงตอนนี้ผมยังไม่เคยประสบกับความล้มเหลวเลย ผมสงสัยว่าที่ตัวเองมั่นใจมากๆเป็นเพราะผมไม่มีความกลัวว่าตัวเองจะล้มเหลวรึเปล่า??  หรือ พูดอีกที ที่ผมไม่มีความกลัวว่าจะล้มเหลว เพราะผมไม่มีความทะยานอยากจะสำเร็จด้วยก็เป็นได้

Q: อาจจะเป็นเพราะคุณเป็นคนที่ประสบความสำเร็จอยู่แล้วก็ได้นี่คะ?
CSH: ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ ผมคิดว่าการที่ผมสามารถพูดออกมาแบบนั้นได้ก็เพราะผมไม่รู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้วตั้งหาก ถ้าผมประสบความสำเร็จแล้วจริงๆ ผมคิดว่าผมคงจะมีความหวั่นใจกลัวอยู่เรื่อยๆ แต่ผมไม่มีความกลัวนั้น บางที ดูแล้วเหมือนกับว่าผมไม่กลัวที่จะต้องสูญเสียตำแหน่งใดๆไป เพราะตำแหน่งที่ผมยืนอยู่นี้ยังไม่ได้เข้าขั้นใดเลยก้ได้ฮะ

Q: คำพูดเหล่านั้นหมายความว่า "หากคุณปีนขึ้นไปสู่ยอดเขาสูงสุดได้แล้ว ก็ย่อมจะต้องมีความกังวลหวั่นใจว่าอาจจะตกจากยอดเขานั้นไป" ถูกไม๊คะ?
CSH: ถูกต้องครับ ผมคงจะคิดจินตนาการว่าตัวเองคงจะต้องกังวลใจแน่ๆ แต่ในเมื่อผมไม่มีความคิดความกังวลแบบนั้นอยู่เลย นั่นก็แสดงว่าตัวผมเองยังไม่ได้ประสบความสำเร็จใดๆเลยนั่นเอง



Q: โอ้ แล้วแบบนี้ จุดไหนกันและคะที่จะทำให้คุณคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้ว (หัวเราะ)
CSH: ผมไม่ได้มีจุดที่คิดไว้หรอกครับ แต่ยังไงก็ตามแต่คุณลองดูก็แล้วกันครับ ผมไม่คิดว่าตัวเองมีความคิดในเรื่องของความสำเร็จหรือความสัมเหลวเลย ผมแค่ทำทุกอย่างไปตามสถานการณ์เฉพาะหน้าที่มีในมือเท่านั้น อ่าา ผมไม่รู้เหมือนกันครับ ทุกครั้งที่ผมเริ่มพูดมันมักจะ "ลึกซึ้ง" จนเกินไปทุกที

Q: งั้นเรามาพูดในเรื่องลึกซึ้งๆมากขึ้นดีกว่า คุณเคยพูดในการสัมภาษณ์จากภาพยนตร์เรื่อง  ‘Commitment’ ว่า " ผมคิดว่าตัวเองเป็นคนที่จะต้องอยู่กับความเหงา " ความรู้สึกของคุณตอนนี้ยังเหมือนเดิมไม๊คะ??
CSH: คือ แทนที่จะพูดว่าผมจะต้องอยู่อย่างเดี่ยวดายด้วยความหมายตรงๆแบบนั้น คือ จะพูดยังไงดีละครับเนี่ย?? อ่าา คือ ผมคิดว่ามันจะตรงความหมายชัดเจนมากกว่าที่จะพูดว่า ผมไม่ควรที่จะทำตัวสบายๆหรือสงบจนเกินไปมากกว่าครับ เพราะ สไตล์ของผมคือ ผมจะขี้เกียจถ้าอยู่ในภาวะที่สบายๆ ครับ

Q: Daegil เป็นคนที่มักจะกลับมาสู้ได้เสมอเหมือนกับตุ๊กตาล้มลุกแม้ว่าจะต้องตกไปสู่ขุมนรกก็ตาม แต่คนอย่างชเวซึงฮยอนผู้ซึ่งไม่เคยเผชิญกับความล้มเหลวเลยละคะ จะทำยังไงหากถึงจุดจุดนึงที่คุณต้องจบลงด้วยความเหนี่อล้าทั้งกายและจิตใจ??
CSH:ผมคิดว่าตัวเองก็สามารถที่จะกลับมายืนได้ใหม่อีกครั้งนะครับ แต่ผมคงไม่เดินไปอย่างบ้าระห่ำไม่ไตร่ตรองก่อนจนไปถึงจุดที่ต้องเหนี่ยล้าทั้งกายและจิตใจ อย่างที่Daegil ทำหรอกครับ

Q: แล้วถ้าชีวิตคนเรามันไม่ได้เป็นไปตามที่คนคนนึงคิดวางแผนไว้ละคะ?? คุณพูดว่าคุณจะไม่เดินไปอย่างบ้าระห่ำขาดการไตร่ตรองหรอก เพียงแค่คิดแบบนั้นมันไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่โดนชนด้วยหรอกนะคะ??
CSH: ผมคิดว่า  Ham Daegil นั้นต่างออกไปนิดหน่อยครับ ผมรู้สึกสงสารคนคนนี้นะครับ เวลาที่ผมมองเค้าผมจะคิดว่า " โว้ว มันเป็นความจริงเลยนะ ที่ว่าสิ่งไหนได้มาง่ายๆก็จะสูญเสียไปง่ายๆเช่นเดียวกัน" ตัวผมไม่เคยพยายามที่จะคว้าอะไรมาได้อย่างง่ายๆ ผมมักจะเดินหน้าลงมือหลังจากที่ได้วางรากฐานบางอย่างเบื้องต้นระดับหนึ่งลงไปก่อนแล้ว ผมลังเลที่จะแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Tazza 2 นี้ในทีแรก แต่หลังจากที่ผมตัดสินใจไปแล้วผมก้ไม่มีความหวั่นเกรงใดๆอีก เพราะในช่วงที่เป็นกังวลกับบทก่อนหน้านั้น 2-3 เดือนผมได้วางพื้นฐานบางอย่างลงไปในโครงการนี้ไปก่อนบ้างแล้วและมันเป็นเวลาที่ผมใช้สร้างมั่นใจขึ้นมา

Q: คำพูดที่โดังดังมากจากบทของ Agui (แสดงโดยคุณKim Yoonsuk) ที่มีอยู่ว่า " ฉันจะพนันเงินทั้งหมดที่มีพร้อมกับมือของฉันด้วย" เรามาลองสมมุติกันดูดีกว่าว่า หากเกิดเหตุการณ์นึงในชีวิตคุณเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญและคุณจำเป็นต้องเลือกพนัน โดยคู่ต่อสู้ของคุณต้องการให้คุณเอาสิ่งที่มีความสำคัญจริงๆต่อคุณลงมาพนัน สิ่งสิ่งนั้นจะคืออะไรคะ??
CSH: อ่าาา เอาอะไรมาพนันดีครับ .....ผมคิดว่าผมสามารถสละชีวิตได้ทุกเวลาครับ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมพูดไว้ว่า หากมันเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญมากจริงๆ ผมพร้อมที่จะสละชีวิตตัวเอง หากผมก้าวเท้าเข้าไปในเกมพนันอะไรแบบนี้ ผมคิดว่าตัวเองจะไม่มีความกลัวใดๆแน่นอน

Q: ชีวิตของคุณเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดงั้นเหรอคะ?? งั้นแทนที่จะเอาชีวิตของคุณ ถ้าหากฉันขอให้คุณเอาเสียงลงมาพนันละคะ?? สำหรับคุณที่รักการแร๊พจะว่ายังไง??
CSH: งั้นผมยอมตายดีกว่าจะมาตัดเส้นเสียงของผมนะครับ (หัวเราะ)

Q: พูดตามตรงนะคะ ในชีวิตของเราการที่จะต้องเจอกับเหตุการณ์ที่เราต้องเอาอะไรในชีวิตลงมาพนันนั้นเป็นเหตุการณ์ที่หายากนะคะ แต่สำหรับพวกคนดังแล้ว ฉันคิดว่ามันคงจะแตกต่างไปอยู่เหมือนกัน เพราะฉันสงสัยว่าพวกนักแสดงหรือนักร้องคงจะต้องเอาตัวลงไปเสี่ยงอยู่ตลอดไม๊คะ??
CSH: อืมมม ผมคิดว่า คนที่เอาตัวลงไปเสี่ยงแบบนั้นมักจะมีอายุขัยสั้นนะครับ เพราะดูเหมือนว่าสุดท้ายแล้วการที่ยอมเสี่ยงก็เพราะมีความต้องการมักใหญ่ใฝ่สูงอยู่ และเพราะคนที่มีความปรารถนาแรงกล้าแบบนั้นก็มักจะเสี่ยงโดยไม่คิดชีวิต หากคุณได้พบคนแบบนั้นคุณจะเห็นว่าพวกเค้ามีชีวิตอยู่อย่างลำบาก นัยตาไม่มีสมาธิ ในความรู้สึกแล้วผมว่าน่าสงสารนะครับ เพราะคนที่มีแรงมักใหญ่ใฝ่สูงเป็นตัวชักนำชีวิตแล้วแทนที่จะได้ดีกลับจากหายไปอย่างรวดเร็วมากกว่า

================

English translation by  kwonaventure 
Thai Translation by miss mew

 (Please take out with credit)

สามารถอ่านพาร์ทสองตามลิงก์นี้ค่ะ พาร์ทสอง

วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

(Part2) พูดคุยศิลปะกับชเวซึงฮยอน โดย นิตยสาร Sunday


Q:คุณเคยเกิดอาการ Stendhal Syndrome จากการมองดูเก้าอี้ไม๊คะ??
[ Stendhal syndrome หรือโรควิงเวียนอันเนื่องจาก “การถูกถาโถมด้วยศิลปะที่งดงามมากเกินไป]

TOP:ผมมีความรู้สึกแบบนั้นจากการมองดูเก้าอี้ของ Antonio Gaudiและของ Salvadore Dali ฮะเราจะสามารถพูดได้ว่ามันเป็นพลังของเฟอร์นิเจอร์ในแบบศิลปะเหนือจริง (surrealist)ที่สร้างโดยศิลปินในลัทธิ เหนือจริง (surrealist)ได้ไม๊ฮะ?? ทำไมของบางอย่างที่ทำมาจากไม้แต่กลับให้อารมณ์ที่เซ็กซี่ขนาดนั้นออกมาได้ยังไง?? ผมพบว่าความรู้สึกนี้เป็นความรู้สึกเดียวกับอารมณ์ที่ผมได้รับเวลาที่มองผู้หญิงสวยพราวเสน่ห์ฮะ  

Q: แล้วความรู้สึกของคุณที่ได้รับเวลาสะสมเฟอร์นิจเจอร์ชิ้นพิเศษซักชิ้นละคะให้ความรู้สึกยังไง??
TOP: แน่นอนว่าผมต้องมีความสุขสิครับ และผมก็เกิดความคิดที่ว่าผมต้องทำงานให้หนักขึ้นอีก งานดีไซน์ที่สุดวิเศษนั้นจะให้พลังงานดีๆออกมาด้วย หากผมได้นั่งบนเก้าอี้ที่มีการออกแบบแบบสุดวิเศษนั้น ดูเหมือนว่าเนื้อเพลงที่ถูกเขียนออกมาก็ดูจะดีขึ้น และเมื่อผมนั่งอ่านบทบนเก้าอี้เหล่านั้น พวกบทเหล่านั้นก็ดูจะฝั่งลึกลงไปในความทรงจำได้ดีขึ้นฮะ

Q: ศิลปินผู้ออกแบบเฟอร์นิจเจอร์คนโปรดของคุณคือใครคะ??
TOP: ช่วงนี้ผมกำลังหลงใหลในงานของดีไซเนอร์ชาวอิตาเลี่ยนครับ ผมชอบ Ico Parisi ด้วยครับ ระยะหลังนี้ศิลปินชาวฝรั่งเคสกำลังโด่งดังในวงการการประมูลครับ แต่ส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่าดีไซเนอร์ชาวอิตาเลี่ยนจะเป็นที่ยอมรับในไม่ช้า 

ผลงานการออกแบบในช่วงยุค 1950s ก็ได้รับความรักความสนใจในตอนนี้ด้วยเช่นกัน การออกแบบที่ดีนั้นจะเป็นที่รู้จักเองหลังจากที่เวลาผ่านไป  จะเป็นการออกแบบที่ดีจริงๆหรือไม่นั้นมันก็จะถูกตัดสินเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งตรงนี้มันคล้ายกับสายงานของผมเช่นกัน 

Q: ฉันจำได้ว่าคุณบอกว่าคุณจะนำเอาเก้าอี้บางส่วนในของสะสมของคุณออกมาจัดแสดงนี่คะ??
TOP: ศิลปินคุณ Yang Haegue กำลังจะจัดนิทรรศการที่ พิพิธภัณฑ์ศิลปะซัมซุง(Samsung Museum of Art) ในเดือนมีนาคมครับ และเธอบอกว่าจะมีส่วนพิเศษที่จะรวบรวมเอาเก้าอี้จากคนดังมาจัดแสดง ผมคิดว่ามันคงสนุกดี ดังนั้นผมเลยตัดสินใจที่จะนำเอาเก้าอี้บางชิ้นออกจัดแสดงในงานนี้ 


 
Q: มีใครช่วยเหลือคุณในการเรียนเรื่องศิลปะบ้างไม๊คะ?
TOP: ประธานพิพิธภัณฑ์ Aa (Aa Museum) คุณ Kim Younghan ได้กรุณาช่วยผมเป็นอย่างมากครับ เค้าบอกว่าในตอนที่เค้าอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผมเค้าก็เริ่มสะสมงานศิลปะเช่นกัน ความฝันของผมคือ ผมจะสะสมเฟอร์นิจเจอร์สุดวิเศษให้ได้มากขึ้นและผมจะเก็บรักษามันไว้ในพิพิธภัณฑ์แห่งการออกแบบ (design museum)ครับ

Q: ทำไมต้องเป็น พิพิธภัณฑ์แห่งการออกแบบ (design museum)ด้วยคะ?
TOP: บางอย่าง คือ ผมมักจะสงสัยเสมอว่าทำไมในประเทศของเรา ถึงได้มีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่บั่นทอนลดหย่อนในเรื่องของงานดีไซน์ออกมาเสมอ ถ้าให้ผมคิดในเรื่องนี้ ผมคิดว่าเป็นเพราะเรามีสภาพแวดล้อมที่หาสิ่งที่มันเจริญหูเจริญตาดูยาก ซึ่งผมก็อยู่บนหนทางนั้นเช่นกัน คือ หาของที่มีการออกแบบดีๆดูยาก ดังนั้นผมต้องการที่จะสร้างพื้นที่ ที่ซึ่งเด็กรุ่นใหม่สามารถดูและสัมผัสความรู้สึกในงานศิลปะต่างๆได้ครับ 

==================================================

เราเริ่มออกขยับตัวเพื่อเดินชมงานใน พิพิธภัณฑ์ศิลปะสิงคโปร์ [Singapore Art Museum (SAM)] ที่นี่เป็นที่ที่ ผู้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลศิลปะ Asia Pacific Breweries (APB) ครั้งที่ 3 มารวมตัวกัน

ศิลปินชาวเวียดนาม คุณ Nguyen Trinh Thi จัดแสดงวีดีโอที่มีผู้คนกำลังรับประทานสิ่งต่างๆ ซึ่งงานนี้มีชื่อว่า “Unsubtitled” (2013)  เรายืนอยู่หน้าผลงานนี้พักนึงและ ชเวซึงฮยอนก็พูดขึ้นมาว่า “ผลงานนี้ทรงพลังมากจริงๆ" และในขณะที่ดูชิ้นงาน “Custos Cavum (Guardian of the hole)” ของศิลปินคุณ Choi Wooram ซึ่งดูเหมือนตัวอ่อนดักแด้ที่ทำมาจากอลูมิเนียม ซึงฮยอนก็พูดด้วยความสนใจอย่างแน่วแน่ว่า " ผมจะต้องพบกับศิลปินคนนี้ให้ได้ในวันนี้แหละฮะ"

ที่หน้าชิ้นงานศิลปะ “Golden Teardrop”ของศิลปินชาวไทย คุณ Arin Rungjang ซึงฮยอนก็โพสท่าขี้เล่นออกมา และ หน้าชิ้นงานของคุณ Lisa Reihana ที่เป็นการผสมผสานภาพอนิเมชั่นเข้ากับการประมูลสดๆที่มีชื่อว่า  “In Pursuit of Venus” ซึงฮยอนก็หยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปเอาไว้ 



==================================================

Q: ศิลปินร่วมสมัย (contemporary artist)ที่คุณชอบคือใครคะ??
TOP: (มองไปยังศิลปินที่นั่งอยู่ข้างๆเค้า) คุณ Kohei Nawa ครับ 

Q: เหตุผลละคะ??
TOP: ผมชอบในทัศนคติของเค้าที่มีแนวโน้มในการค้นคว้าและแสดงออกในสิ่งใหม่ๆอยู่เสมอครับ 
เค้าอายุมากกว่าผม 12 ปี และผมก็พบว่าคนอื่นๆไม่ได้ทำงานศิลปะโดยใช้วัสดุหรือวิธีการในแบบที่เค้าใช้ ผมถามเค้าว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น?? และเค้าก็ตอบผมว่า " ถ้างานมันออกมาเหมือนๆกัน ผมก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะทำมันออกมาอีก" 

คุณ Nawa เป็นเพื่อนที่ดีที่มาดูคอนเสริต์ของผมเสมอ ในอนาคตผมอยากที่จะทำงานศิลปะร่วมกับเค้าออกมาครับ 

Q: ถ้าคุณสองคนร่วมทำงานด้านศิลปะ งานจะออกมาแบบไหนคะ??
TOP: “อืมมม ของผมน่าจะเป็นวีดีโออาร์ตครับ ไม่งั้นก็น่าจะเป็นรูปภาพที่เหมาะสมสามารถเอามาทำเป็นปกอัลบั้มเพลงเดี่ยวของผมได้ฮะ 
 
Q: อ่าๆ ตอนที่ฉันดู เอ็มวีเพลง  Doom Dada MV ฉันเห็นภาพวาดกวางของคุณ Kim Whanki อยู่ด้วยแต่มันมีขนาดใหญ่จริงๆเลย
TOP: เราขอไปทางพิพิธภัณฑ์ Whanki และได้รับไฟล์ของภาพวาดนั้นดังนั้นเราเลยขยายใหญ่โดยใช้ CG ครับ เป็นเพราะผมคิดว่ามันคงสนุกดีที่จะผสมเอางานศิลปะร่วมสมัยเข้ากับงานศิลปะในแบบโบราณ ซึ่งผมได้ปรึกษากับทางผู้กำกับ MV และผมก็ดีไซน์ฉากนั้นออกมาด้วยตัวเอง 

คือความหมายของคำว่า  “Doom” เป็นคำสแลงที่มีความหมายว่า "เสียสติ" และคำว่า “Dada” เป็นคำที่มีความหมายถึง “Dadaism.” (ศิลปะแบบดาดาอิสม์ คือ ศิลปินกลุ่มดาดาที่มีแนวคิดและปฏิกริยาต่อต้านงาน ศิลปกรรมเก่าๆในอดีต โดยมีแนวคิดว่า สิ่งเหล่านั้น เกิดจากการสร้างของศิลปินที่มีจิตใจคับแคบ ) มันเป็นงานที่ถากถางสภาวะการณ์ที่ไล่ตาม Massmedia กันอย่างหน้ามือตามัว และผมก็สื่อไปถึงพวกสื่อที่ไร้ชีวิตโดยการจัดเอากวางตัวเป็นๆ มาไว้ในฉาก




Q: เพราะคุณกลับมาสนใจในเรื่องศิลปะอีกครั้งแบบนี้ ครอบครัวของคุณคงจะดีใจกันนะคะ
TOP: พวกเค้าโล่งอกกันครับกับความจริงที่ว่า ผมได้พัฒนาทำให้งานอดิเรกของผมมีประโยชน์ขึ้นมา เพราะพวกเค้าล่วงรู้ถึงรสนิยมของผมและอารมณ์อ่อนไหวของผมด้วย ซึ่งตัวผมก็มีความสุขเช่นกันครับ  
Q: คุณตาของคุณเป็นคนยังไงคะ??
TOP: สำหรับผมแล้ว เค้าเป็นคนที่อยู่เหนือเรื่องใดๆครับ เค้าเขียนจดหมายให้ผมมากมาย ในตอนนี้สมุดบันทึกของคุณตาก็อยู่กับผมครับ ดังนั้นบางทีนี่อาจจะเป็นเหตุผลให้กับการที่ผมมักจะใช้การแสดงออกหรือสำนวณที่คนในรุ่นเดียวกันกับผมไม่ค่อยใช้กัน 

เช่นคุณตาของผมมักจะส่งจดหมายของเค้ามาให้ผมในลักษณะที่เขียนแบบเร่งรีบแล้วส่งมา ในเพลงที่ชื่อว่า   “Because” ซึ่งเป็นเพลงจากภาพยนตร์เรื่อง ‘19’ (2009) จะมีท่อนที่เขียนแบบเร่งรีบๆในเพลงนั้นอยู่ด้วย ซึ่งเนื้อเพลงในท่อนนั้นผมได้ขอยืมบางส่วนจากจดหมายของคุณตามาใส่ในเนื้อเพลงครับ 

Q:ความเกี่ยวพันธ์ที่สำคัญ ระหว่าง ดนตรี การแสดง และศิลปะ สำหรับคุณแล้วมันคืออะไร?
TOP: งานของผมมีแค่อย่างเดียวเท่านั้นครับ ซึ่งสิ่งที่คุณจะต้องทำคือ จินตนาการถึงสิ่งที่ไม่ใช่ตัวคุณเองแล้วแสดงออกมา ผมไม่สามารถคิดกังวลว่าตัวเองจะดูออกมาเป็นยังไง สิ่งที่ผมจะต้องทำจากนั้นมีเพียงแสดงออกตัวเองออกมาในแบบที่แตกต่างจากคนอื่น 

ผมคิดว่าดังนั้นมันเลยเป็นเหตุผลที่ว่าผมจะได้รับแรงกระตุ้นมากมายจากสิ่งที่ผมมองเห็น ( Visual Things) ความชอบในงานดีไซน์เป็นเหมือนกับการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่สำหรับผม การได้มองสิ่งที่สวยงามนั้นช่วยคลายความเครียดของผม

ผมคิดว่าศิลปะนั้นเข้ามาเต็มเติมช่องว่างที่มีอยู่ระหว่าง ดนตรีและการแสดง ครับ

Q: ฟังดูแล้วเหมือนกับว่า ศิลปะได้กลายมาเป็นแรงกระตุ้นสิ่งใหม่ๆ สำหรับคุณ
TOP: ผมเป็นสิ่งที่ผมชอบมากจริงๆ และมันเป็นแรงกระตุ้นประเภทที่ให้ความสุขและความตื่นเต้น
เมื่อคุณมีชีวิตอยู่อย่างคนดัง มันจะมีช่วงเวลาที่คุณไม่สามารถหาแรงบันดาลใจดีๆได้เลยเพราะคุณจะเริ่มขี้เกียจ หรือไม่ก็เพราะคุณขาดเหตุผลที่จะลงมือทำอะไร มันจะมีช่วงเวลาที่ความตื่นเต้นจะหายไปจากคุณ 

ท่านประธานหยางเคยถามเอาไว้ก่อนหน้านี้คือ "เมื่อไหร่ที่นายรู้สึกตื่นเต้นเหรอ??" และ " เป็นผู้ที่สร้างความบันเทิงไม่ควรจะขาดความตื่นเต้นรู้ไม๊" เวลาที่ผมได้ยินคำเหล่านั้นและคิดไปถึงเรื่องเหล่านั้น มันเหมือนกับว่าช่วงเวลาที่ผมตื่นเต้นที่สุดนั้นคือเวลาที่ผมได้มองดูงานศิลปะและได้ศึกษางานศิลปะครับ 

Q: คุณมีบุคคลที่เป็นแบบอย่างให้กับคุณไม๊คะ??
TOP: พวกเค้าล้วนอยู่ร่วมสมัยกับผมในตอนนี้ ดังนั้นพวกเค้าไม่ถือว่าเป็นบุคคลแบบอย่างให้กับผมหรอกครับ แต่ผมก็สังเกตการณ์ Pharrell Williams และ Kanye West ผู้ซึ่งเป็นทั้ง producers นักร้อง และเป็นคนที่มีความก้าวหน้าทางด้านงานศิลปะด้วยอยู่อย่างระมัดระวัง ผมพบว่าคนที่รักในแฟชั่นสุดท้ายก็จะเดินตามทางนี้แบบนั้นแหละครับ 

Q: ฉันคงไม่ถามคำถามนี้ไม่ได้นะคะ ว่าแต่คุณจะคัมแบคเมื่อไหร่คะ??
TOP: (หัวเราะ) พวกเราหวังว่าจะปล่อยเพลงดีๆออกมาครับ มันน่าจะเร็วที่สุดในช่วงฤดูร้อนนี่แหละครับ

การสัมภาษณ์จบลงแล้วละค่ะ และเค้าก็ยืนขึ้น พร้อมพูดเหมือนกับพูดบ่นกับตัวเองว่า
"นี่ไม่ได้มาทำเพื่อแสดงให้ใครดู ผมจะทำเป็นใจเย็นทำมันไปอย่างงั้นไม่ได้ เพราะเกียรติของผมนั้นยิ่งใหญ่นัก"

===============================

English translation by Kwonaventure
Thai translation by miss mew 
About "Stendhal syndrome" by www.siamintelligence.com
About " Dadaism" by www.ipesk.ac.th
Photo credit to gettyimage: gty.im

Original post : http://sunday.joins.com/article/view.asp?aid=36880
Original english translation post:http://kwonaventure.tumblr.com/post/109766591469/sunday-magazine-interview-with-choi-seunghyun

สามารถอ่านพาร์ทแรกตามนี้ค่ะ
พาร์ทแรก 

(Part1) พูดคุยศิลปะกับชเวซึงฮยอน โดย นิตยสาร Sunday


ท่ามกลางตารางอันแสนจะยุ่งเหยิงในการสำรวจดูแกลลอรี่และพิพิธภัณฑ์หลายแห่ง และไหนจะการพบปะกับศิลปินที่สิงคโปร์อีก ทางนิตยสาร Sunday ของเราก็ได้พบกับท็อป แต่แทนที่จะเรียกว่าท็อป จากวงบิกแบง เราว่าเราได้พบกับ ชเวซึงฮยอนผู้ซึ่งมีความกระตือรือร้นหลงใหลในงานศิลปะมากกว่า

แม้เรายังคงรู้สึกว่าการที่ท็อปแห่งวงบิกแบงได้รับรางวัลในงานประกาศรางวัลทางศิลปะแนว Contemporary เป็นส่วนผสมที่แปลกๆยังไม่หาย ฉันจึงไปทำการค้นคว้าเล็กๆน้อยๆก่อนที่จะมาพูดคุยกับท้อป และพบว่า จิตรกรผู้ซึ่งเป็นคนบุกเบิกศิลปะในแนว Abstract ของเกาหลีคุณ Kim WhanKi (1913-1974) มีหลานที่ชื่อ ชเวซึงฮยอน และ ยังเป็นหลานตา ของนักเขียน คุณ SeoGunBae (1928-2007) มันทำให้ฉันสนใจที่จะคุยเรื่องครอบครัวของเค้ามากกว่านี้

TOP:คุณแม่ พี่สาว คุณป้า ลูกพี่ลูกน้องที่เป็นพี่สาว และอีกหลายคนในบ้านของผม คือ ผู้หญิงทุกคนในครอบครัวของผมล้วนแล้วแต่ทำงานทางด้านศิลปะเป็นหลักครับ พี่สาวคุณแม่ที่เป็นพี่คนโตก็แต่งงานโดยมีคุณพ่อสามีเป็นจิตรกรคือคุณ LeeInSung (1912-1950 จิตรกรอัจฉริยะชาวเกาหลีที่วาดภาพในแนว โมเดริ์น) มันมีบรรยากาศในบ้านมาตั้งแต่เด็กๆแล้วครับว่าผมจะต้อง ทำงานศิลปะด้วยเช่นเดียวกัน

แต่เพราะความที่ผมรักดนตรีมากกว่า เลยดื้อต่อต้านโดยพูดว่าผมเกลียดการวาดรูป จริงๆการที่ผมเข้ามาอยู่ในวงการบันเทิงได้ก็เนื่องมาจากผลของความเบี่ยงเบนไปในแนวศิลปะแบบนี้ ในบ้านเหมือนกัน

ตอนนี้เมื่อมาคิดถึงมันแล้ว ดูเหมือนว่าผมก็ได้ทำงานในเรื่องของ Visual ออกมาเยอะเหมือนกัน แทนที่จะทำงานศิลปะผมมีความสนใจในเรื่องของเสื้อผ้าและแฟชั่นมาก ผมเริ่มสะสมรองเท้าผ้าใบในตอนที่ผมอายุ 13

Q:งั้นคุณก็เป็นพวกบ้าสะสมมาตั้งแต่ยังเด็กใช่ไม๊คะ
TOP:ผมชอบในตัวของที่จะสะสมครับ ผมยังสะสมพวกหุ่น Bearbrick อย่างเอาจริงเอาจังด้วย ผมพบว่าเวลาที่ผมสะสมสิ่งที่มีรูปแบบเหมือนกันแต่มีความแตกต่างกันที่สี การที่ได้มองสิ่งที่จัดทำมาอย่างสมบูรณ์แบบแบบนั้นทำให้ผมรู้สึกดีครับ

Q:แล้วอะไรเป็นตัวเร่งปฏิกริยาในความสนใจในเรื่อง ศิลปะร่วมสมัย (Contemporary Art) และเรื่องของการออกแบบในตัวคุณคะ?
TOP:ผมเดบิวกับวงบิกแบง เมื่อตอนอายุ 19 แต่ผมเริ่มสะสมเฟอร์นิจเจอร์ของดีไซเนอร์เมื่ออายุ 22 ผมชอบเก้าอี้เป็นพิเศษครับ นอกจากนี้ผมก็พบว่าตัวเองกำลังศึกษาในเรื่องของสถาปัตยกรรมด้วย คือ คุณรู้ใช่ไม๊ฮะ สิ่งที่เราเรียกว่าเก้าอี้ก็ถือว่าเป็นส่วนที่เล็กที่สุดของสถาปัตยกรรมด้วยเช่นกัน ซึ่งช่วงนั้นผมก็เริ่มสะสมงานศิลปะไปด้วยทีละชิ้นสองชิ้น

Q:คุณศึกษาเรื่องศิลปะยังไงคะ?
TOP:เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมหลงใหลใฝ่รู้ในเรื่องอะไรก็ตาม ผมจะค้นหาดูในอินเตอร์เนตครับ ผมวิเคราะห์แนวทางของราคาชิ้นงานศิลปะในตลาดการประมูล และถึงขนาดที่ตรวจสอบดูว่างานศิลปะชิ้นไหนที่ทันสมัยเป็นที่ต้องการ ผมศึกษาแบบนี้ครับ อย่าง ตรรกะอะไรในงานศิลปะที่มีผลต่ออุปสงค์อุปทานในตลาดงานศิลปะ  อะไรเป็นเหตุผลที่ทำให้งานศิลปะบางชิ้นกลายมาเป็นงานที่โด่งดัง และอะไรทำนองนี้ฮะ

Q:คุณใช้เวลาว่างในช่วงที่ออกทัวร์ที่ต่างประเทศเหรอคะ??
TOP: ครับ เมื่อผมมีเวลาว่าง เกือบจะตลอดเวลาผมจะไปพิพิธภัณฑ์ครับ ในการทัวร์โดมที่ญี่ปุ่นครั้งนี้ผมก็มีโอกาสได้ไป พิพิธภัณฑ์ศิลปะ Mori (Mori Art Museum)

Q:เหตุผลอะไรทำให้คุณศึกษาในเรื่องของศิลปะคะ?? 
TOP: เพราะตัวของผมเองจะกลายเป็นชิ้นงานศิลปะด้วยแขนงนึง ผมจำเป็นต้องเข้าใจเป็นอย่างดีถึงกระแสของสิ่งที่ผู้คนกำลังคลั่งไคล้หลงใหล เพราะงานเพลงที่ผมทำก็ถือว่าเป็นงานที่จะบรรยายแสดงออกถึงสิ่งที่ผู้คนชอบออกมาด้วยเช่นกัน

Q: แต่นักร้องที่อายุยังน้อยแต่กลับมีความสนใจเรื่องของศิลปะร่วมสมัย (contemporary art)ถือว่ามีเอกลักษณ์มากนะคะ
TOP: จริงๆผมอยากจะศึกษาเรื่องนี้ต่อไปอย่างเงียบๆจนกว่าผมจะมีอายุมากขึ้นอีกหน่อย เมื่อไหร่ที่คณเปิดเผยว่าคุณชอบ ศิลปะ ความสนใจจากคนรอบข้างที่คุณจะได้รับมันน่ากลัวครับ มันเหมือนกับว่ามันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่อะไรแบบนั้น

รุ่นพี่  Lee Jungjae ก็เคยพูดในทำนองนี้เหมือนกัน จริงๆแล้วเรื่องของอายุของเรามีความต่างกันอยู่ แต่ความสนใจของเราทั้งคู่ต่างก็สนใจในเรื่องศิลปะและเฟอร์นิจเจอร์ครับ และเราก็สนิทกันและโทรหากันวันละหน รุ่นพี่เล่าว่าเมื่อก่อนเค้าไม่สามารถที่จะไปเที่ยวบอกใครต่อใครได้ว่าเค้าชอบศิลปะ เพราะมันจะเหมือนว่าเค้ากำลังเสแสร้งทำเป็นชอบงานพวกนี้



Q: แต่ตอนนี้คุณได้รับรางวัลเชียวนะคะ
TOP: ในตอนแรกผมไม่อยากจะเปิดเผยเลยครับและจะตั้งใจติดตามความชอบในงานศิลปะของตัวเองไปอย่างเงียบๆ แต่มันกลับกลายออกมาในรูปแบบนี้

เรื่องศิลปะและการออกแบบนั้นไม่ใช่เรื่องยากและผมน้อมรับรางวัลในครั้งนี้ด้วยความต้องการที่จะแบ่งปันในสิ่งที่ผมชอบ นอกจากนี้ งานแสดง Asia Artist Award Group Show ที่จะเริ่มในเดือนเมษายนจะมีผมทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลนิทรรศการร่วมกับ ประธาน PMG คุณ Serenella Ciclitira และ คุณ Lee Yeongju ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์อิสระ ทำให้ผมลงเอยที่จะมาร่วมงานประกาศรางวัลนี้เพื่อทั้งที่จะได้พบปะกับศิลปินชาวเอเซียและเพื่อตรวจสอบดูสถานที่ในการทำงานนิทรรศการด้วย เมื่อเหตุการณ์มันเป็นแบบนี้ผมก็อยากจะลงมือทำด้วยตัวเองให้มากที่สุด ครับ

Q: คุณมีการวางแผนเต็มๆในเรื่องของศิลปะบ้างไม๊คะ? 
TOP: ไม่ใช่แบบว่าผมมีแผนกลยุทธิ์ทางธุรกิจอะไรแบบนั้นหรอกฮะ ผมคิดว่างานทางศิลปะชิ้นแรกของผมคงจะเป็นการทำเก้าอี้ซึ่งเป็นโครงการการร่วมงานกันกับทางพิพิธภัณฑ์ Vitra คือมีคนจากทางพิพิธภัณฑ์ส่วนหนึ่งได้ยินมาว่าผมชอบเก้าอี้ และเมื่อ 2-3 ปีก่อนพวกเค้าก็ได้ส่งโครงการมาให้ผมลองลงสีเก้าอี้พลาสติก ซึ่งตัวผมไม่อยากจะไปแค่ต่อเติมงานดีไซน์ของคนอื่น และผมก็บอกพวกเค้าว่าผมอยากที่จะทำอะไรออกมาด้วยตัวเองและสื่อถึงตัวผม ดังนั้นผมเลยส่งแบบร่างเก้าอี้ที่ตัวเองออกแบบไป ซึ่งตอนนี้แบบสเก็ตของผมก็อยู่ที่หน่วนสะสมงานศิลปะที่พิพิธภัณฑ์  Vitra และพวกเค้ากำลังอยู่ในขั้นตอนที่จะผลิตออกมันออกมาจริงๆแล้วครับ 

Q: คุณจะโชว์แบบสเก็ตนั้นให้เราดูได้ไม๊คะ??
TOP: ผมไม่สามารถที่จะเปิดเผยแบบสเก็ตนั้นได้ในตอนนี้ครับ จริงๆแล้วแต่เดิมตามตารางเก้าอี้พวกนั้นควรจะออกมาในช่วงปลายปีที่แล้วครับ แต่ขั้นตอนในการทำ 3D เกิดการล่าช้าทำให้ตัวอย่างแซมเบิลยังไม่ออกมาซักที 

พวกมันเป็นเก้าอี้เหล็ก แต่จะสามารถจับอารมณ์สื่อไปถึงสิ่งที่ลื่นไหล และเพราะผมเกิดในปี 87 ผมคิดว่าจะสร้างคอลเลคชั่นจำนวนจำกัด ซึ่งในคอลเลคชั่นนี้จะมีเก้าอี้ 87 ตัวครับ 

Q: ตอนนี้มีเก้าอี้กี่ตัวที่คุณสะสมอยู่คะ??
TOP: น่าจะประมาณ 80 ตัวครับ ส่วนใหญ่จะอยู่ที่บ้านคุณพ่อคุณแม่ของผม ผมยังอยู่ในขั้นแรกๆของการสะสมอยู่ครับ แต่เพราะสมาชิกในวงคนอื่นๆไม่ค่อยรู้ในเรื่องการออกแบบมากเท่าไหร่ พวกเค้าแซวผมในเรื่องที่ผม "มีรสนิยมแบบแม่บ้าน" นี้ฮะ ตอนนี้เวลาที่พวกเค้าซื้อเก้าอี้หรือเฟอร์นิเจอร์ พวกเค้าจะมาหาผมโดยตรงและถามว่าเป็นยังไงบ้าง ซึ่งท่านประธานหยางฮยอนซอกก็เป็นแบบนั้นเหมือนกันฮะ (หัวเราะ)

English translation by Kwonaventure
Thai translation by miss mew 

======================

สามารถอ่านพาร์ทต่อไปตามนี้ค่ะ : พาร์ทสอง