วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
สัมภาษณ์ ทาบิและจูริ จาก Modelpress
Q:ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้ทำงานร่วมกัน ช่วยบอกให้พวกเรารู้เรื่องความประทับใจต่อกันและกันหน่อยค่ะ
จูริ:ครั้งแรกที่ได้ยินว่าต้องทำงานกับคุณซึงฮยอนฉันก็เริ่มๆคิดกังวล ว่าเราจะเข้ากันได้ไม๊?(หัวเราะ)
ครั้งแรกที่ฉันได้พบเค้า วันนั้นเค้าสวมเสื้อโค้ทที่ทันสมัยและมีกล้องอยู่ในมือ นี่แหละใช่อูฮยอนจริงๆ!!
ฉันรู้สึกตื่นตาตื่นใจอย่างมากกับความจริงที่ว่าท็อปแห่งวงบิกแบงได้เก็บซ่อนความเป็นดาราใหญ่ของตัวเอง และได้กลายมาเป็นอูฮยอนจริงๆในขณะที่ถ่ายทำละคร
TOP:ผมมาที่ญี่ปุ่นเกือบจะทุกปีเพราะมีคอนเสริ์ตแต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมได้ทำงานร่วมกับนักแสดงชาวญี่ปุ่น ผมคิดเอาไว้กับตัวเองว่าผมก็อยากจะลองทำงานร่วมกับนักแสดงขาวญี่ปุ่นแบบนี้ดูบ้าง และก้ได้รับข้อเสนอให้มาทำงานร่วมกับคุณจูริซึ่งเป็นนักแสดงหญิงชาวญี่ปุ่นที่ผมชื่นชอบอยู่ครับ ผมชอบงานที่มีคุณจูริร่วมแสดงเสมอและการแสดงของเธอก็มีเอกลักษณ์ ทุ่มเท และน่ารัก ไปพร้อมๆกัน ผมรู้สึกดีใจมากที่ได้ทำงานร่วมกับเธอ ครั้งแรกที่ผมพบเธอ เธอก็มีบุคคลิกต่างๆตามที่ผมจินตนาการเอาไว้เป๊ะเลย และกระบวนการการถ่ายทำก็เต็มไปด้วยความสนุกครับ
จูริ:มีคำชมเยอะเลยนะคะ (หัวเราะเขินๆ)ในละครมีฉากออกเดทเยอะเลยและคุณซึงฮยอนก็ตั้งใจมากๆใส่ใจในรายละเอียดบทพูดที่ต้องการจะใช้คำพูดตลกๆหรือเล่นมุขที่เป็นที่นิยมจริงๆที่เกาหลีเพื่อเราจะได้หัวเราะกัน ฉันรู้สึกทึ่งกับทัศนคติของเค้าในการทำงานอย่างหนักโดยไม่มีปล่อยผ่านไปง่ายๆ ถึงแม้ว่าเวลาจะจำกัดมากก็ตาม
Q:ละครเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้ชายและผู้หญิงที่ตกหลุมรักกันผ่าน Line ทั้งๆที่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน คุณคิดว่าความรักแบบนี้ โอเครึเปล่าคะ?
จูริ:ถ้าเรื่องราวเป็นไปแบบในละคร มันก็โอเคนะคะแต่ว่าในชีวิตจริงคงหาได้ยากมากๆมีอะไรหลายๆเรื่องให้ต้องคำนึงถึง เช่น เค้าจะมีรูปร่างหน้าตายังไงหรือความคิดของเค้าอาจจะเป็นเรื่องโกหกก็เป็นได้
TOP:อูฮยอนเค้าเป็นผู้ชายที่เคยอกหักอย่างรุนแรงจากความรักครั้งที่ผ่านมาผมแสดงตัวละครนี้ออกมาโดยมีบางอย่างที่ผมสามารถเชื่อมโยงตัวเองกับบทนี้ได้ ดังนั้นการที่ตกหลุมรักในสถานการณ์แบบนี้บางทีมันอาจจะเป็นไปได้นะครับ เมื่อคนนึงกำลังเจ็บปวด การได้คุยและได้บทสนทนาที่มาคอยปลอบประโลม มันกลายเป็นช่วงเวลาที่คนเราจะกลายมาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันอย่างต่อเนื่อง และกลายเป็นคู่รักใหม่ในที่สุด
Q: ฉันได้ยินมาว่าตารางการถ่ายทำนั้นจวนตัวและยุ่งมากๆ มีเหตุการณ์อะไรที่เป็นความทรงจำในช่วงที่ตารางงานยุ่งๆบ้างไม๊คะ??
จูริ:ฉากการเต้นแบบละครใบ้ค่ะ ทีแรกฉันได้รับการแนะนำจากคุณครูสอนเต้นชาวเกาหลีแต่ว่ามันยากเกินไปสำหรับฉัน ฉันคิดว่าฮารูกะจะต้องเป็นคนที่มีประสบการณ์ในการเต้นเพียง 2 อาทิตย์เท่านั้น ดังนั้นฉันเลยตัดสินใจเรียนกับคุณครูที่ญี่ปุ่นซึ่งเคยช่วยฉันมาก่อนหน้านี้
ฮารูกะต้องเดินทางไปเกาหลีโดยที่ไม่สามารถพูดคุยภาษาเกาหลีได้ เธอจะเงอะๆงะๆแต่ก็พยายามที่จะบรรยายความอ่อนแอของตัวเองผ่านท่าทาง ฉันพยายามที่จะวาดภาพความรู้สึกที่แท้จริงของฮารูกะออกมา ซึ่งฉากเต้นนั้นเป็นฉากที่อยู่ในความทรงจำของฉันเพราะผู้กำกับเลือกที่จะทำให้ละครสมบูรณ์ด้วยการเต้นนี้ของฉันค่ะ
TOP: ของผมจะเป็นช่วงเวลาที่ได้เข้าไปถ่ายทำในตึกโบราณในญี่ปุ่นครับ ผมสนใจเรื่องของตึกรามบ้านช่อง ผมรักตึกญี่ปุ่นโบราณและตึกแบบเกาหลี ผมรักบ้านที่เราใช้ถ่ายทำละครเรื่องนี้มากๆครับ
ในตอนนั้นผมเหนื่อยล้ามากๆกับตารางงานที่ยุ่งมากแต่ผมก็ได้รับแรงกระตุ้นอย่างดีจากบ้านหลังนั้น แต่ถึงยังไงตารางงานในตอนนั้นก็ยุ่งมากเกินไปครับ ผมมีเวลานอนเพียง 2-3 ชั่วโมงเท่านั้นผมคิดว่าตั้งแต่ทำงานมา10ปีไม่เคยยุ่งแบบนี้มาก่อนเลย เวลาที่ไม่มีคนคอยมองอยู่ ผมจะแอบหลบไปร้องไห้ในห้องน้ำ (ยิ้มแบบ เบะปาก)
จูริ:คุณร้องไห้เลยเหรอคะ?? (หัวเราะ) น่าจะหลบไปนอนแล้วค่อยร้องไห้สิ
Q: คุณซึงฮยอนทำงานทางด้านแสดงและในเรื่องของงานเพลงได้ดีทั้งคู่เลยนะคะ คุณมีแผนการยังไงต่อไปกับอาชีพนี้คะ?
TOP:ผมไม่มีแผนอะไรเลยครับ (หัวเราะ)เป็นเพราะว่าสิ่งที่ผมได้ประสบการณ์มาทั้งจากงานเพลงและงานแสดงล้วนเป็นไปเพราะพรหมลิขิตทั้งนั้น ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่ผมคิดว่าอยากจะแสดงบทอะไรผมมักจะไม่มีเวลาที่จะรับงานนั้นได้หรืออาจจะไม่มีบทแบบนั้นมาเสนอให้รับแสดงเลยหรือ บางทีมีบทเข้ามาเสนอแต่ผมกลับไม่สนใจอยากจะทำงานนั้นๆเอง
ในเรื่องของงานเพลง ทั้งงานของบิกแบงและงานเดี่ยวของผม เราไม่เคยคิดวางแผนเอาไว้ล่วงหน้าว่าจะต้องให้มันออกมายิ่งใหญ่ ไม่ได้วางแผนและลงมือทำพร้อมกับความคิดที่จะกอบโกยละโมบแบบนั้นเลย มันมีบางอย่างที่ออกมาดียอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบแต่ก็มีช่วงเวลาที่ผมต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากเช่นกัน หนทางของผมคือการต้องเผชิญหน้ากับความยากนั้น ดังนั้นผมคิดว่าถ้าเจอความยากลำบากเมื่อไหร่ก็รับมือกับมันก็แค่นั้นครับ
จูริ:ของฉันก็เช่นกันค่ะ การได้ทำงานเหมือนการได้รับพระพรอย่างหนึ่งมากกว่าการไปฉกฉวยคว้ามันมาฉันไม่เคยรู้สึกอึดอัดใจกับงานที่ทำมาเลยละค่ะและฉันก็ได้รับรางวัลกับงานที่ตัวเองอยากจะทำเสมอ
ดังนั้นฉันก็จะขอทำงานที่ส่งมาให้ฉันในตอนนั้นๆแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆจิตวิญญาณของการทำงานบริการเป็นอะไรที่สำคัญที่สุดและเพียงพอแล้วสำหรับฉันค่ะ
===========================
Interview source http://mdpr.jp/interview/detail/1541965
Eng Translation by mmvvip http://mmvvip.tumblr.com/post/133459708176/trans-bigbang-top-and-juri-ueno-interview-on
Thai Translation by miss mew
วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2558
สัมภาษณ์ TOP จากนิตยสาร Dazed Korea ประจำเดือนตุลาคม 2015
Q: หลังจากการถ่ายทำต่างๆที่คุณทำทั้งในประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีจบลงในเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา ข่าวคราวเกี่ยวกับละครก็เริ่มทยอยออกมาแล้วในช่วงนี้นะคะ
TOP:เหตุผลที่ผมรับงานนี้ก็เพราะ ตัวของ "อูฮยอน" ครับ(ชื่อของตัวละครที่ท็อปจะสวมบทบาทในละครเรื่องใหม่นี้) ทั้งในเรื่องของสภาพจิตใจและสถานะของเค้า ผ่านเรื่องราวในละครเรื่องนี้ อูฮยอนจะต้องเผชิญกับชีวิตของเค้าทั้งในช่วงขาขึ้นและขาลงในชีวิตของเค้า เค้ามีความฝันว่าจะเป็นผู้สร้างภาพยนตร์ที่ญี่ปุ่นและต้องรับมือกับสัมพันธภาพที่มีเรื่องของระยะทางไกลมาเกี่ยวข้องด้วย
เค้ารู้สึกถึงความหมดหวังและหดหู่จนเค้าได้มาพบกับผู้หญิงคนนึงผ่านโลก SNS ของเค้าซึ่งทั้งคู่ได้ร่วมแบ่งปันสิ่งที่สนใจร่วมกันและอูฮยอนคิดว่าผู้หญิงคนนี้เป็นผู้หญิงในแบบที่เค้าชอบ
สำหรับผมแล้วเรื่องความรักมันตายด้านและผมไม่ได้มีความรู้สึกใดๆเลยเกี่ยวกับมันในตอนนี้ แต่ผมส่งอารมณ์ความรู้สึกของผมไปสู่อูฮยอน อีกจุดนึงที่ผมรับงานละครนี้ก็คือ Web-drama หรือละครผ่านweb นั้นมันเป็นส่วนผสมของความรู้สึกของคนบวกกับเรื่องรักในแบบสมัยใหม่ ผมจึงสนใจรับแสดงครับ
Q:นานพอควรแล้วนะคะที่คุณต้องถ่ายทำภาพยนตร์แบบนี้
TOP:นี่เป็นละครรักเรื่องแรกของผมครับ บทบาทของผมในเรื่องนี้จะแตกต่างไปจากบทบาทในงานชิ้นก่อนๆ มันเป็นบทบาทที่น่าขบขันอยู่นะครับ คือ ผมพบว่ามันดูเป็นมืออาชีพมากแต่ถึงยังไงมันก็ยังดูแปลกๆไม่เหมือนชาวบ้านเค้าแถมยังตลกด้วย แน่นอนว่ามันเป็นบทที่เท่ครับ ยังไงก็ขอให้ทุกคนรอคอย ข่าวสารจากละครเรื่องนี้ด้วยนะครับ น่าจะออกฉายในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายนนี้ครับ
(วันที่นิตยสารออกวางแผง ละครเรื่องนี้ได้เซตวันฉายแล้วเป็นวันที่ 2 พฤศจิกายนค่ะ)
Q:ฉากที่ถ่ายทำกันที่ SamCheongDong และที่ Dangil หลุดออกมาโผล่ตามสื่อมากมายเลยละค่ะ
A:ตอนนั้นผมประหลาดใจนะครับที่ภาพมันหลุดออกไป แต่ยังไงก็ตาม รูปเหล่านั้นก็ได้รับผลตอบรับที่ดีนะครับ
Q: คุณถ่ายทำละครเรื่องนี้ท่ามกลางตารางที่แสนยุ่งเหยิงของการโปรโมทเพลงในนามบิกแบง เหนื่อยไม๊คะ?
TOP:มันยังห่างไกลกับช่วงที่ผมเคยเหนื่อยที่สุดอยู่มากครับ ซึ่งผมยังสามารถรับมือกับมันได้ครับ ต้องขอบคุณความทรหดของร่างกายของผมในตอนนี้
Q:การร่วมงานกับคุณ Juri Ueno.มีปัญหาอะไรบ้างไม๊คะ?
TOP:ผมต้องขออัพเดทไว้นิดนึงนะครับว่า ผมร่วมแสดงกับนักแสดงชายและนักแสดงที่มีอายุมากกว่าเป็นส่วนใหญ่เลยในละครเรื่องนี้ สำหรับการร่วมงานกับคุณจูริ แม้ว่าจะมีอุปสรรค์ในเรื่องของการสื่อสาร แต่การถ่ายทำก็เป็นไปอย่างราบรื่นดี และที่สำคัญที่สุดเลยคือ คุณจูริมีอารมณ์ที่หลากหลายเลยละครับ
Q:เพลงใหม่ของบิกแบง BIGBANG จะออกมาในทุกๆเดือน ซึ่งทุกๆเพลงล้วนได้รับความสนใจเป็นอย่างมากเลย
TOP:การต้องออกเพลงในทุกๆเดือนนั้นเป็นเรื่องที่แตกต่างจากเดิมครับ สิ่งที่ทุกคนเห็นคือเราทำตามแผนการของเรา แต่มันไม่ได้ง่ายสำหรับผมเลยที่จะพูดว่าตัวผมพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เกี่ยวกับปฏิกริยาของคนฟังก็เหมือนกันครับ แต่ยังไงก็ตามมันก็ประสบความสำเร็จด้วยดี
Q:แรงจูงใจในปัจจุบันนี้ของคุณคืออะไรคะ?
TOP: พูดตรงๆคือ ตอนนี้ไม่มีอะไรที่เป็นสิ่งจูงใจผมครับ แต่เสียงเพลง ภาพยนตร์ งานศิลปะและสิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดแรงบันดาลใจในตัวผมครับ
Q:ตอนนี้ไม่มีใครเลยจริงๆเหรอคะ?
TOP: อ่า ก็จริงสิครับ เพื่อนเก่าๆจะมาเยี่ยมที่บ้านเสมอแหละครับถ้าผมไม่มีการถ่ายทำอะไร ราวๆ5 คน ซึ่งผมรู้สึกขอบคุณมากๆเลยละครับ
Q:พูดถึง Instagram กันหน่อยดีไม๊คะ
TOP: อนาคตของอินสตาแกรมของผมก็ยังอึมครึมอยู่นะครับ ปล่อยให้มันลึกลับๆแบบนี้ดีกว่าครับ เหตุผลที่ผมเริ่มเล่นอินสตาแกรมก็เพราะว่าผมไม่ได้เจอกับแฟนๆมานานและผมอยากจะใช้สื่อในหลายๆแบบในการโปรโมทกะว่าจะใช้ไป3-4 เดือน ซึ่งตอนนี้ก็ไม่แน่ใจว่าจะใช้ไปอีกนานแค่ไหนครับ
Q:รูปบางรูปในอินสตาแกรมของคุณมีการโพสซ้ำๆ หรือว่านี่เป็นวิธีในการบรรยายและแสดงออกความรู้สึกของคุณออกมา?
TOP:อินสตาแกรมเป็นอะไรที่ตัวผมเองเป็นคนจัดการมันขึ้นมาเอง ดังนั้นผมจะลบรูปบางรูปออกไปก็ไม่แปลกนะครับ กับคอมเม้นซ์ที่ว่า"คุณบ้ารึเปล่า??" ผมรู้สึกว่ามันตลกดีนะครับ เราต่างก็บ้าด้วยกันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอฮะ 555+
Q:นอกจากนี้ผ่านทางอินสตาแกรมคุณได้แนะนำศิลปินให้พวกเรารู้จักกันด้วยเช่น คุณ Ico Parisi และคุณ Kohei Nawa, คนบางคนที่ไม่ค่อยใส่ใจเรื่องศิลปะอย่างฉันเองก็พลอยเป็นสนใจไปเลยละค่ะ
TOP: ผมโพสสิ่งที่โดยธรรมชาติแล้วผู้คนก็จะชื่นชอบกันครับ แต่ยังไงก็ตาม สิ่งที่คุณเห็นบนอินสตาแกรมของผมยังนับไม่ได้ถึง0.1% ของตัวตนที่แท้จริงของผมด้วยซ้ำครับ ผมกลั่นกรองมันแล้วกรั่นกรองมันอีก
Q:คุณได้เป็นผู้ดูแลงานนิทรรศการศิลปะและยังได้รับรางวัล Visual Culture Award ในงาน Prudential Eye Awards อีกด้วย นี่เป็นคุณลักษณะของครอบครัวของคุณหรือยังไงคะเนี่ย คุณสมบัติที่คนในครอบครัวจะต้องมีอย่างคุณแม่และคุณป้าหรือพี่สาวของคุณก็ล้วนมีคุณสมบัติในแบบศิลปินแบบนี้เช่นกัน
TOP:ผมรู้สึกยินดีที่ตัวเองก็มีส่วนร่วมในคุณลักษณะนี้ของครอบครัวครับ เพราะผมใช้เวลาในช่วงเด็กและวัยรุ่นเฝ้ามองสิ่งเหล่านี้มาโดยตลอด ผมคิดว่าผมคงได้รับ DNA ของครอบครัวตกทอดมาละครับ ตั้งแต่ในตอนที่เป็นวัยรุ่นผมชอบรองเท้าจนมาถึงตอนนี้ในเรื่องของเฟอร์นิเจอร์ ผมว่ามันได้รับอิทธิพลมาครับ
Q:ถ้าพูดแบบสรุปนะคะ เหตุผลที่ฉันพาคุณมาขึ้นปกกับเราในครั้งนี้ก็เพราะคุณแตกต่างจากคนอื่นจริงๆนะคะ
TOP:ที่ผมออกมาเป็นผมในทุกวันนี้ไม่ใช่ผลที่ได้มาจากการทำงานอย่างหนักเพียงอย่างเดียวหรอกครับ เรื่องของเวลาก็แตกต่างด้วย ไม่ใช่แค่ตัวผมเท่านั้นที่แตกต่างแต่คนเราทุกคนล้วนแตกต่างกันไปครับ โดยเฉพาะชาวเกาหลี เสื้อผ้าที่พวกเค้าแต่งออกมาเดินตามท้องถนนก็สามารถที่จะทำให้เห็นภาพของนิสัยและบุคคลิกที่แท้จริงของพวกเค้าออกมาได้เช่นกันหากเราจะเทียบกับชาติอื่นๆ
สิ่งที่แตกต่างไปจากเดิมในตอนนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เราต้องเคารพและยอมรับในความแตกต่างของกันและกัน และในความคิดนี้เราจึงจะสามารถเติบโตและก้าวหน้าไปด้วยกันได้ ครับ
[Note: ผู้แปลอังกฤษบอกว่าแปลออกมาจากความเข้าใจของเธอนะคะ ดังนั้นอาจจะไม่ตรงกับคำพูดคำต่อคำของท็อปในการให้สัมภาษณ์ที่ออกมาจากนิตยสารค่ะ]
=================================
English Translation by Choiseunghyunxn
Thai Translation by miss mew
Source: http://choiseunghyxn-ig.tumblr.com/post/129786111466/top-dazed-and-confused-korea-magazine-english
วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2558
สัมภาษณ์บิกแบงกับนิตยสาร Vogue เกาหลีฉบับเดือนกรกฏาคม 2015
ในช่วงเช้าตรู่ มีรถต่อกันเป็นแถวยาวในช่วงถนนที่จะมุ่งหน้าออกจากกรุงโซล มันคือวันที่ 1 พฤษภาคมวันศุกร์แรกก่อนที่จะมีวันหยุดยาว ในวันนี้ยังเป็นวันที่บิกแบงออกซิงเกิลใหม่อีกด้วย การคัมแบคของพวกเค้าในครั้งนี้ใช้เวลานับเป็นวันได้มากถึง 1157 วัน ปฏิกริยาที่ได้รับนั้น มีความกระตือรือร้นอย่างล้นเหลือ เพลง Loser และ BaeBae นั้นกลายเป็นคำเทรนตามโลกออนไลน์และเพลงยังสามารถครองอันดับ1ตามชาร์ตเพลงในชั่ววินาทีที่ปล่อยออกมา ทั้งโลกเต็มไปด้วยเรื่องราวอึกทึกครึกโครมบอกเล่าเรื่องราวของบิกแบง
ในเวลานั้น บิกแบงกำลังได้รับเวลาอิสระ แต่ก็ยังเรียกได้ว่าเป็นเช้าตรู่ที่แสนจะยุ่งเหยิงกลางทุ่งข้าวบาร์เลย์ในย่าน Ansung ใน Gyeonggido รถพ่วงที่ลากด้วยรถแทร็กเตอร์ที่บรรทุกนักท่องเที่ยวมาเต็มคันผ่านมาทุกๆ 15 นาที แต่กลับไม่มีใครคาดคิดว่า บิกแบงได้มาอยู่ที่นี่แล้ว
เสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยสีสันถูกแขวนไว้กับไม้แขวนเสื้อและผิงไว้กับต้นไม้ กลุ่มทีมงานและรถที่พวกเค้าโดยสารมา ได้กลายร่างเป็นเหมือนป้อมปราการบางอย่าง ท้องฟ้านั้นเป็นสีฟ้าสดใสอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในอาคารโกดังเก็บของที่เคยถูกใช้เป็นฉากถ่ายละคร มีกลุ่มนางแบบที่แต่งหน้าเสร็จตั้งแต่ 7 โมงเช้ากำลังขยี้ตาให้คลายความง่วงและเริ่มมองไปที่กระจก จากลำโพงเพลงใหม่ของบิกแบงกำลังบรรเลงอยู่ซ้ำไปซ้ำมา ส่วนสมาชิกวงบิกแบงทั้ง 5 คนก็กำลังยืดเส้นยืดสาย
“คุณว่าเพลงไหนเพราะฮะ?” คนแรกที่ลากเก้าอี้เข้ามาและเริ่มตั้งคำถามคือ แทยัง เป็นเวลาหนึ่งปีมาแล้วตั้งแต่ฉันเจอเค้าในช่วงที่เค้าทำกิจกรรมโซโล่ เค้าดูมีผิวสีแทนเข้มขึ้นและดูมีมัดกล้ามมากขึ้นกว่าแต่ก่อน "เมื่อวานผมอยู่ที่ทำงานจนถึงเที่ยงคืนตัดต่อ MV ละฮะ จากนั้นผมก็เคลียร์ใจและเตรียมดูว่าผู้คนจะมีปฏิกริยากับเพลงยังไง" เป็นเพราะพวกเค้ายังไม่ได้ไปออกรายการสดที่ไหนและยังไม่ได้ให้สัมภาษณ์กับที่ไหนมาเลย แทยังเลยออกจะอยากจะรู้อยากเห็นว่าเพลงใหม่นั้นจะถูกใจสาธารณชนหรือไม่ มันไม่ใช่ความกระหายใคร่รู้ว่าเพลงจะไปได้ดีในแง่ของการตลาดมากแค่ไหน แต่มันเป็นความอยากรู้อยากเห็นของเค้าเองล้วนๆ 100%
พูดตรงๆฉันต้องบอกว่า สองเพลงนี้เป็นเพลงที่ดีมากๆมากจนน่าตกใจ ถ้ายุคสมัยของวงบิกแบงจะสามารถแบ่งได้เป็น 2 ยุค คือ ยุคก่อนที่พวกเค้าจะออกเพลง Lie ออกมา กับอีกยุคคือยุคหลังเพลง Lie ฉันมีความรู้สึกว่าอัลบั้มใหม่นี้จะกลายมาเป็นจุดเปลี่ยนอีกครั้งสำหรับบิกแบง มันเป็นเพลงในแบบบิกแบงจริงๆ มันไม่ง่ายนะที่จะหานักดนตรีที่จะสร้างสรรค์เพลงแบบนี้ออกมา ถึงจะมีคนที่ทำเพลงแบบนี้ออกมาได้แต่มันก็ยากมากอยู่ดีที่จะได้รับความโด่งดังจากเพลงแบบนี้ได้อย่างบิกแบงทำ นอกเหนือจากบิกแบงแล้วมีใครเคยพูดถึงเค้กข้าวและการต่อสู้กับอารมณ์ตัวเองในแบบที่สุดแสนจะคลาสลิกแบบนี้ได้ไม๊ละ??
“สนุกใช่ไม๊ละฮะ??? เนื้อเพลงก็สนุกสนานด้วย เนื้อเพลงตอนแรกไม่ใช่จะร้อง "เค้กข้าว"ออกมานะฮะ แต่เป็นคำว่า "โทรเรียกตำรวจ" ทีแรกเรามีแค่จังหวะ และเราก็มาปรึกษากันว่าเนื้อเพลงควรจะเป็นอะไรได้บ้างและจู่ๆ "เค้กข้าว" ก็โผล่เข้ามาและผมก็ชอบมันมากๆ เราว่าจะใช้คำว่าเค้กข้าวและเจลลี่ข้าวบักวีตด้วยกันแต่เราคิดว่ามันจะฟังแล้วเยอะไปหน่อยครับ "
เรื่องราวเบื้องหลังที่บอกเล่าเรื่องราวที่มาที่ไปของการทำเพลงเพลงนึงออกมาได้ยังไงนั้นเป็นเรื่องที่น่าสนใจเสมอ แต่สิ่งที่ฉันต้องการจะรู้คำตอบมากที่สุดคือ ผมยาวของแทยังใน MV BaeBae การที่ได้เห็นแทยังไม่ได้สวมเสื้อและมีผมยาวตรงกำลังขี่ม้าใน MV BaeBae นั้นน่าตกใจอย่างมาก
“มันเป็นไอเดียของผมเองครับ ผมอยากจะให้มันดูยั่วยวนและตลกในเวลาเดียวกันไม่ได้คิดว่าจะให้ออกมาเท่ๆแต่อย่างใด ดังนั้นผมเลยต้องทำออกมาให้ดูเวอร์ๆ ขนาดทีมงานในบริษัทของเราก็ยังมีทั้งคนที่ชอบมากๆและบางคนที่ไม่ชอบฉากนี้เหมือนกันครับ ก็ดังนั้นมันเลยออกมาอย่างที่เห็นครับ"
ฉันคิดว่าถ้าการถ่ายแบบวันนี้จะมีฉากแทยังขี่ม้ารวมอยู่ด้วยละจะเป็นยังไง??งั้นมาถามดูดีกว่าว่าเค้าไปเรียนขี่ม้ามาหรือยังไง?? " เปล่าเลยครับ ครั้งแรกที่ผมปีนขึ้นไปบนหลังม้าโดยที่ไม่ได้ผ่านการฝึกมาก่อนผมเกือบจะตกลงมาตายเลยละครับ แต่ถึงยังไงก็ตามทุกอย่างก็ผ่านมาได้ด้วยดีเพราะ ม้าเป็นม้าที่ผ่านการฝึกมาเป็นอย่างดี"
ใน MV ท็อปสวมคอนแทคเลนซ์ตาแมวและปรากฏตัวพร้อมกับ กวาง งานศิลปะของคุณ Kohei Nawa เหมือนกับใน MV เพลงโซโล่ของเค้า Doom DaDa ที่เค้าปรากฏตัวกับกวางของคุณ Kim Hwan Ki ซึ่งนับว่าเป็นอีกครั้งแล้วที่เค้านำเอาศิลปะร่วมสมัยเข้ามาสู่ภาพลักษณ์ในแบบบิกแบง ตัวท็อปเองไม่เพียงแต่จะเป็นที่รู้จักกันดีในนามของผู้สะสมเฟอร์นิจเจอร์ แต่เค้ายังเป็นที่รู้จักในนามของคนที่รักศิลปะอย่างมากด้วย “คุณ Kohei Nawa และผมเป็นเพื่อนกันครับ ผมปรากฏตัวในMV โดยที่มีตาธรรมดาข้างเดียวและ เนื้อเพลงมีคำว่า " ดวงตาสวยเหมือนตากวาง" ซึ่งเป็นคำเปรียบเปรยในสมัยโบราณ เป็นเพราะว่าจะต้องแสดงให้เหมือนกับว่าผมต้องตกหลุมรักกับผู้หญิงคนนึงเมื่อเห็นเธอซึ่งผมไม่มี ผมเลยแสดงออกมาในรูปแบบนี้แทนครับ นอกจากนี้ท่อนแร๊พของผมจะพูดถึงความสวยงามในแบบธรรมชาติ และชิ้นงานศิลปะนี้เป็นการนำเอากวางตามธรรมชาติมาสตัฟฟ์ ครับ"
พวกเค้าใส่ความพยายามลงไปใน MV แต่ละตัวมากมายขนาดไหนกันนะเนี่ย?? เป็นเพราะโปรเจคการเปิดตัวปล่อยเพลงในคราวนี้เป็นโครงการที่พิเศษ ทางท่านประธานได้กล่าวว่าแทนที่จะออกอัลบั้มในแบบปกติออกมาทีเดียว ในครั้งนี้บิกแบงจะออกอัลบั้มที่มีแต่ซิงเกิล 4 ครั้ง คือ ซิงเกิล M, A, D, E ในแต่ละซิงเกิลจะมี 2 เพลงและจะออกซิงเกิลในวันที่ 1 ของเดือนเริ่มจากเดือน พฤษภาคมไปจนถึงเดือนสิงหาคมและในเดือนกันยายนจะได้คำว่า Made ซึ่งจะเป็นชื่ออัลบั้มเต็มสมบูรณ์ออกมา
เพลงนั้นได้ทำออกมาหมดแล้ว แต่ ลิสต์รายชื่อนั้นยังไม่ได้รับการยืนยัน ถ้าในระหว่างนี้พวกเค้าทำเพลงที่ดีกว่าออกมา ในรายชื่อเพลงก้อาจจะมีการเพิ่มเข้ามา หรือ มีการเปลี่ยนบางเพลงออกไปซึ่ง ก็ยังเป็นความลับอยู่ว่าจะมีเพลงเพิ่มเข้ามามากแค่ไหนในอัลบั้มเต็มสุดท้ายที่จะออกมา
TOP “ผมบอกคุณไม่ได้หรอกฮะ เราก็ต้องดูเท่เหมือนกันใช่ไม๊ละฮะ?? " สิ่งเดียวที่พวกเค้าจะสามารถพูดออกมาเพิ่มจากที่เคยพูดออกมาแล้วนั่นคือ เรื่องของแนวเพลงที่ในอัลบั้มนี้แนวเพลงจะไม่ถูกจำกัดอยู่ที่แนวแนวเดียวและเพลงทุกเพลงทำเสร็จออกมาแล้ว
แน่นอนว่า จีดราก้อนได้เริ่มการเตรียมการสำหรับอัลบั้มนี้ตั้งแต่พวกเค้าจบกิจกรรมโปรโมทอัลบั้ม
Still Alive แต่พึ่งจะเป็นช่วงต้นปีนี้เองที่บิกแบงมีเวลามารวมตัวกันและเพลงดีๆเหล่านี้ก็ถูกสร้างขึ้นให้เป็นรูปเป็นร่าง สิ่งต่างๆถูกสร้างขึ้นมาโดยธรรมชาติท่ามกลางเสียงหัวเราะและในตอนที่พวกเค้าเล่นสนุกกัน พวกเค้าเอาเพลงเก่าๆทิ้งไปโดยไม่ได้ย้อนกลับมาเสียใจ TOP “ตอนนั้นเป็นช่วงที่เราสนุกกันมากที่สุดเลยครับ ราวๆเดือนมีนาเมษาเป็นช่วงที่เราเสร็จสิ้นการบันทึกเสียงกัน และเราก็ตัดสินใจที่จะมานั่งฟังเพลงทั้งหมดในวันนึง เราดื่มไวน์แกล้มชีสอยู่ในสตูดิโอเราเต้นและสนุกกับเพลงที่เราเขียนขึ้นมามันสนุกมากๆครับ" ฉันนึกภาพออกเลยละค่ะว่า MV We Like 2 Party จะออกมาเป็นยังไง
ความสนุกของบิกแบงในการถ่ายแบบก็ไม่ได้มีความแตกต่าง แทยังบอกว่าแดซองที่สวมหมวกแบเร่ห์ดูเหมือนพนักงานหญิงประจำรถโดยสารที่คอยพูดว่า “Ohri~” ซึ่งแดซองก็เต้นเป็นการตอบแทน เป็นพักใหญ่แล้วสำหรับแดซองผู้ซึ่งไม่ยอมออกจากบ้านเลยยกเว้นว่าจะออกไปทำงานได้ออกมาอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าแบบนี้ ที่คอนเสริต์ที่ Olympics Stadium ก่อนที่จะออกอัลบั้มนี้ ซึงรีถึงกับคอมเม้นซ์เกี่ยวกับแดซองว่า "เค้าไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากเล่นกลองอยู่ที่บ้าน"
แดซอง "มันเป็นเรื่องจริงครับ ผมไม่ค่อยชอบออกไปข้างนอก ผมอยากจะเรียนตีกลองตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นผมเลยเริ่มเรียนหลังจากที่จบการทัวร์คอนเสริต์เดี่ยวของผมที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งก็เป็นเวลากว่า 2 ปีมาแล้วมันสนุกมากครับ" แล้วปฏิกริยาจากสมาชิกในวงในตอนที่เห็นคุณตีกลองละคะ??
แดซอง" คุณรู้จักหนังเรื่อง Whiplash ไม๊ฮะ มันเป็นแบบั้นแหละฮะ " มือกลองที่บ้าคลั่งและแสนตลกคนนี้นี่ไม่สนเรื่องอะไรจริงๆนะคะ เพื่อการถ่าย MV เพลง ‘LOSER’ แดซองได้เปลี่ยนทรงผมของเค้าเพื่อสร้างภาพลักษณ์แห่งความเดียวดายขึ้นมา " เวลาที่ผมเอาผมมาปิดตาและเปลี่ยนภาพลักษณ์ ผมกลายเป็นคนระมัดระวังและเงียบขรึม พูดตามตรงคือ ผมมองไม่ค่อยเห็นครับ " แดซองที่เคยเรียนรู้ที่จะสื่อสารออกมาทางสายตาเลยกล่าวว่า " ดังนั้นในตอนนี้ผมจึงเรียนรู้ที่จะแสดงออกแค่ช่วงล่างของใบหน้าแทนครับ"
แดซองนั้นยุ่งกับงานเดี่ยวของเค้าที่ญี่ปุ่นมาได้ระยะนึงแล้ว พวกพี่ๆได้พูดถึงเรื่องความโด่งดังของแดซองว่า " ที่ญี่ปุ่น แดซองนั้นได้รับความนิยมสูงสุดรองจากท่านจักรพรรดิญี่ปุ่นเลยทีเดียวฮะ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราขึ้นเวทีทัวร์คอนเสริต์ในญี่ปุ่นเราเกือบจะกลัวไม่กล้าทำอะไรเพราะมีแต่เสียงเชียร์แดซองครับ" พวกเค้าทำเป็นโอ้อวดความโด่งดังของแดซองออกมาแบบนี้ทำให้เจ้าตัวไม่รู้จะทำตัวยังไง ได้แต่พูดว่า
"Ayoo, พูดเรื่องอะไรกันครับเนี่ย เหตุผลที่ทำให้ผมไปทำงานเดี่ยวที่ญี่ปุ่นได้ก็เพราะชื่อของบิกแบง และนั่นเป็นเรื่องที่บอกเราได้ว่าความโด่งดังของบิกแบงนั้นมีเพิ่มมากขึ้นที่ญี่ปุ่นนะครับ"
วันสุดท้ายของคอนเสริต์ในเดือนเมษายนตรงกับวันเกิดของแดซอง ภายใต้การนำของซึงรีเค้กถูกนำขึ้นมาบนเวทีและได้แฟนๆเป็นร้อยรวมถึงสมาชิกในวงร่วมยินดีในวันเกิดของเค้า หลังจากคอนเสริ์ตวันนั้นพวกเค้าก็มีงานอาฟเตอร์ปาร์ตี้ด้วย แดซอง " ผมสนุกมากๆเลยละครับ มีบางคนที่กังวลว่าผมยังคงต้องทำงานในวันเกิด แต่มันกลับเป็นวันเกิดที่พิเศษที่สุดเท่าที่ผมเคยมีมาเลยละครับ ถ้าผมไม่ได้ทำงานในวันนั้น ผมก็คงจะใช้เวลาในวันเกิดอยู่บ้านและสั่งอาหาร delivery มาเยอะๆ ก็แค่นั้น" ฉันเกิดอยากรู้ขึ้นมาว่าสมาชิกในวงได้มอบของขวัญอะไรให้เค้าในวันเกิด แดซองเล่าว่า" ไม่มีครับ จู่ๆวันนึงเราก็ตัดสินใจว่าเราจะไม่มีการมอบของขวัญให้กัน เป็นแบบนั้นแหละครับ " ฉันรู้เหตุผลเบื้องหลังความคิดนี้ซึ่งเป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมมาก เป็นเพราะความโด่งดังของบิกแบงนั้นเติบโตขึ้นเรื่อยๆ รายได้ที่พวกเค้าได้ก็มากขึ้นตามมา และถ้าพวกเค้าเริ่มที่จะเลือกของขวัญที่เหมาะสมให้กันและกันแล้วละก็ วันนึงพวกเค้าคงต้องจบลงที่การซื้อบ้านให้กันและกันแน่ๆ ก็นะ นี่แหละชีวิตในแบบซูเปอร์สตาร์ก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ
สมาชิกวงต่างคิดว่าคนที่เป็นซูเปอร์สตาร์ที่สุดในหมู่สมาชิกวงบิกแบง คือ ซึงรี " เค้าดูเป็นคนดังในหมู่เราฮะ ผมอิจฉาเค้า" ขนาดในตอนที่ต้องเดินทาง สุภาพบุรุษน้อยผู้สง่างามคนนี้ของเราก็มักจะทำอะไรที่แตกต่างจากคนอื่น เพราะเค้ามีเส้นสายส่วนตัวกว้างขวางไปทั่วโลก รวมไปถึง การได้นั่งเครื่องบินส่วนตัว หรือแม้แต่เจ้าของคลับก็เป็นเพื่อนของเค้า “เพื่อนของผมบ้านของเค้ามีลิฟท์ด้วยละครับ" ซึงรีที่กำลังเคี้ยวคิมบับอยู่กล่าวเสริมอย่างภูมิใจ สมาชิกต่างก็ล้อเลียนเค้าแต่ก็เอ็นดูมักเน่ของเราอย่างมาก พูดกันตามตรงซึงรีนั้นมีความคิดหลากหลายเข้ามาในตอนที่เตรียมงานเรื่องอัลบั้มใหม่นี้ มีหลายเหตุการณ์ที่ทำให้เค้าต้องเผชิญกับความหดหู่ด้วย
พูดตรงๆฉันต้องบอกว่า สองเพลงนี้เป็นเพลงที่ดีมากๆมากจนน่าตกใจ ถ้ายุคสมัยของวงบิกแบงจะสามารถแบ่งได้เป็น 2 ยุค คือ ยุคก่อนที่พวกเค้าจะออกเพลง Lie ออกมา กับอีกยุคคือยุคหลังเพลง Lie ฉันมีความรู้สึกว่าอัลบั้มใหม่นี้จะกลายมาเป็นจุดเปลี่ยนอีกครั้งสำหรับบิกแบง มันเป็นเพลงในแบบบิกแบงจริงๆ มันไม่ง่ายนะที่จะหานักดนตรีที่จะสร้างสรรค์เพลงแบบนี้ออกมา ถึงจะมีคนที่ทำเพลงแบบนี้ออกมาได้แต่มันก็ยากมากอยู่ดีที่จะได้รับความโด่งดังจากเพลงแบบนี้ได้อย่างบิกแบงทำ นอกเหนือจากบิกแบงแล้วมีใครเคยพูดถึงเค้กข้าวและการต่อสู้กับอารมณ์ตัวเองในแบบที่สุดแสนจะคลาสลิกแบบนี้ได้ไม๊ละ??
“สนุกใช่ไม๊ละฮะ??? เนื้อเพลงก็สนุกสนานด้วย เนื้อเพลงตอนแรกไม่ใช่จะร้อง "เค้กข้าว"ออกมานะฮะ แต่เป็นคำว่า "โทรเรียกตำรวจ" ทีแรกเรามีแค่จังหวะ และเราก็มาปรึกษากันว่าเนื้อเพลงควรจะเป็นอะไรได้บ้างและจู่ๆ "เค้กข้าว" ก็โผล่เข้ามาและผมก็ชอบมันมากๆ เราว่าจะใช้คำว่าเค้กข้าวและเจลลี่ข้าวบักวีตด้วยกันแต่เราคิดว่ามันจะฟังแล้วเยอะไปหน่อยครับ "
เรื่องราวเบื้องหลังที่บอกเล่าเรื่องราวที่มาที่ไปของการทำเพลงเพลงนึงออกมาได้ยังไงนั้นเป็นเรื่องที่น่าสนใจเสมอ แต่สิ่งที่ฉันต้องการจะรู้คำตอบมากที่สุดคือ ผมยาวของแทยังใน MV BaeBae การที่ได้เห็นแทยังไม่ได้สวมเสื้อและมีผมยาวตรงกำลังขี่ม้าใน MV BaeBae นั้นน่าตกใจอย่างมาก
“มันเป็นไอเดียของผมเองครับ ผมอยากจะให้มันดูยั่วยวนและตลกในเวลาเดียวกันไม่ได้คิดว่าจะให้ออกมาเท่ๆแต่อย่างใด ดังนั้นผมเลยต้องทำออกมาให้ดูเวอร์ๆ ขนาดทีมงานในบริษัทของเราก็ยังมีทั้งคนที่ชอบมากๆและบางคนที่ไม่ชอบฉากนี้เหมือนกันครับ ก็ดังนั้นมันเลยออกมาอย่างที่เห็นครับ"
ฉันคิดว่าถ้าการถ่ายแบบวันนี้จะมีฉากแทยังขี่ม้ารวมอยู่ด้วยละจะเป็นยังไง??งั้นมาถามดูดีกว่าว่าเค้าไปเรียนขี่ม้ามาหรือยังไง?? " เปล่าเลยครับ ครั้งแรกที่ผมปีนขึ้นไปบนหลังม้าโดยที่ไม่ได้ผ่านการฝึกมาก่อนผมเกือบจะตกลงมาตายเลยละครับ แต่ถึงยังไงก็ตามทุกอย่างก็ผ่านมาได้ด้วยดีเพราะ ม้าเป็นม้าที่ผ่านการฝึกมาเป็นอย่างดี"
ใน MV ท็อปสวมคอนแทคเลนซ์ตาแมวและปรากฏตัวพร้อมกับ กวาง งานศิลปะของคุณ Kohei Nawa เหมือนกับใน MV เพลงโซโล่ของเค้า Doom DaDa ที่เค้าปรากฏตัวกับกวางของคุณ Kim Hwan Ki ซึ่งนับว่าเป็นอีกครั้งแล้วที่เค้านำเอาศิลปะร่วมสมัยเข้ามาสู่ภาพลักษณ์ในแบบบิกแบง ตัวท็อปเองไม่เพียงแต่จะเป็นที่รู้จักกันดีในนามของผู้สะสมเฟอร์นิจเจอร์ แต่เค้ายังเป็นที่รู้จักในนามของคนที่รักศิลปะอย่างมากด้วย “คุณ Kohei Nawa และผมเป็นเพื่อนกันครับ ผมปรากฏตัวในMV โดยที่มีตาธรรมดาข้างเดียวและ เนื้อเพลงมีคำว่า " ดวงตาสวยเหมือนตากวาง" ซึ่งเป็นคำเปรียบเปรยในสมัยโบราณ เป็นเพราะว่าจะต้องแสดงให้เหมือนกับว่าผมต้องตกหลุมรักกับผู้หญิงคนนึงเมื่อเห็นเธอซึ่งผมไม่มี ผมเลยแสดงออกมาในรูปแบบนี้แทนครับ นอกจากนี้ท่อนแร๊พของผมจะพูดถึงความสวยงามในแบบธรรมชาติ และชิ้นงานศิลปะนี้เป็นการนำเอากวางตามธรรมชาติมาสตัฟฟ์ ครับ"
พวกเค้าใส่ความพยายามลงไปใน MV แต่ละตัวมากมายขนาดไหนกันนะเนี่ย?? เป็นเพราะโปรเจคการเปิดตัวปล่อยเพลงในคราวนี้เป็นโครงการที่พิเศษ ทางท่านประธานได้กล่าวว่าแทนที่จะออกอัลบั้มในแบบปกติออกมาทีเดียว ในครั้งนี้บิกแบงจะออกอัลบั้มที่มีแต่ซิงเกิล 4 ครั้ง คือ ซิงเกิล M, A, D, E ในแต่ละซิงเกิลจะมี 2 เพลงและจะออกซิงเกิลในวันที่ 1 ของเดือนเริ่มจากเดือน พฤษภาคมไปจนถึงเดือนสิงหาคมและในเดือนกันยายนจะได้คำว่า Made ซึ่งจะเป็นชื่ออัลบั้มเต็มสมบูรณ์ออกมา
เพลงนั้นได้ทำออกมาหมดแล้ว แต่ ลิสต์รายชื่อนั้นยังไม่ได้รับการยืนยัน ถ้าในระหว่างนี้พวกเค้าทำเพลงที่ดีกว่าออกมา ในรายชื่อเพลงก้อาจจะมีการเพิ่มเข้ามา หรือ มีการเปลี่ยนบางเพลงออกไปซึ่ง ก็ยังเป็นความลับอยู่ว่าจะมีเพลงเพิ่มเข้ามามากแค่ไหนในอัลบั้มเต็มสุดท้ายที่จะออกมา
TOP “ผมบอกคุณไม่ได้หรอกฮะ เราก็ต้องดูเท่เหมือนกันใช่ไม๊ละฮะ?? " สิ่งเดียวที่พวกเค้าจะสามารถพูดออกมาเพิ่มจากที่เคยพูดออกมาแล้วนั่นคือ เรื่องของแนวเพลงที่ในอัลบั้มนี้แนวเพลงจะไม่ถูกจำกัดอยู่ที่แนวแนวเดียวและเพลงทุกเพลงทำเสร็จออกมาแล้ว
แน่นอนว่า จีดราก้อนได้เริ่มการเตรียมการสำหรับอัลบั้มนี้ตั้งแต่พวกเค้าจบกิจกรรมโปรโมทอัลบั้ม
Still Alive แต่พึ่งจะเป็นช่วงต้นปีนี้เองที่บิกแบงมีเวลามารวมตัวกันและเพลงดีๆเหล่านี้ก็ถูกสร้างขึ้นให้เป็นรูปเป็นร่าง สิ่งต่างๆถูกสร้างขึ้นมาโดยธรรมชาติท่ามกลางเสียงหัวเราะและในตอนที่พวกเค้าเล่นสนุกกัน พวกเค้าเอาเพลงเก่าๆทิ้งไปโดยไม่ได้ย้อนกลับมาเสียใจ TOP “ตอนนั้นเป็นช่วงที่เราสนุกกันมากที่สุดเลยครับ ราวๆเดือนมีนาเมษาเป็นช่วงที่เราเสร็จสิ้นการบันทึกเสียงกัน และเราก็ตัดสินใจที่จะมานั่งฟังเพลงทั้งหมดในวันนึง เราดื่มไวน์แกล้มชีสอยู่ในสตูดิโอเราเต้นและสนุกกับเพลงที่เราเขียนขึ้นมามันสนุกมากๆครับ" ฉันนึกภาพออกเลยละค่ะว่า MV We Like 2 Party จะออกมาเป็นยังไง
แดซอง "มันเป็นเรื่องจริงครับ ผมไม่ค่อยชอบออกไปข้างนอก ผมอยากจะเรียนตีกลองตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นผมเลยเริ่มเรียนหลังจากที่จบการทัวร์คอนเสริต์เดี่ยวของผมที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งก็เป็นเวลากว่า 2 ปีมาแล้วมันสนุกมากครับ" แล้วปฏิกริยาจากสมาชิกในวงในตอนที่เห็นคุณตีกลองละคะ??
แดซอง" คุณรู้จักหนังเรื่อง Whiplash ไม๊ฮะ มันเป็นแบบั้นแหละฮะ " มือกลองที่บ้าคลั่งและแสนตลกคนนี้นี่ไม่สนเรื่องอะไรจริงๆนะคะ เพื่อการถ่าย MV เพลง ‘LOSER’ แดซองได้เปลี่ยนทรงผมของเค้าเพื่อสร้างภาพลักษณ์แห่งความเดียวดายขึ้นมา " เวลาที่ผมเอาผมมาปิดตาและเปลี่ยนภาพลักษณ์ ผมกลายเป็นคนระมัดระวังและเงียบขรึม พูดตามตรงคือ ผมมองไม่ค่อยเห็นครับ " แดซองที่เคยเรียนรู้ที่จะสื่อสารออกมาทางสายตาเลยกล่าวว่า " ดังนั้นในตอนนี้ผมจึงเรียนรู้ที่จะแสดงออกแค่ช่วงล่างของใบหน้าแทนครับ"
แดซองนั้นยุ่งกับงานเดี่ยวของเค้าที่ญี่ปุ่นมาได้ระยะนึงแล้ว พวกพี่ๆได้พูดถึงเรื่องความโด่งดังของแดซองว่า " ที่ญี่ปุ่น แดซองนั้นได้รับความนิยมสูงสุดรองจากท่านจักรพรรดิญี่ปุ่นเลยทีเดียวฮะ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราขึ้นเวทีทัวร์คอนเสริต์ในญี่ปุ่นเราเกือบจะกลัวไม่กล้าทำอะไรเพราะมีแต่เสียงเชียร์แดซองครับ" พวกเค้าทำเป็นโอ้อวดความโด่งดังของแดซองออกมาแบบนี้ทำให้เจ้าตัวไม่รู้จะทำตัวยังไง ได้แต่พูดว่า
"Ayoo, พูดเรื่องอะไรกันครับเนี่ย เหตุผลที่ทำให้ผมไปทำงานเดี่ยวที่ญี่ปุ่นได้ก็เพราะชื่อของบิกแบง และนั่นเป็นเรื่องที่บอกเราได้ว่าความโด่งดังของบิกแบงนั้นมีเพิ่มมากขึ้นที่ญี่ปุ่นนะครับ"
วันสุดท้ายของคอนเสริต์ในเดือนเมษายนตรงกับวันเกิดของแดซอง ภายใต้การนำของซึงรีเค้กถูกนำขึ้นมาบนเวทีและได้แฟนๆเป็นร้อยรวมถึงสมาชิกในวงร่วมยินดีในวันเกิดของเค้า หลังจากคอนเสริ์ตวันนั้นพวกเค้าก็มีงานอาฟเตอร์ปาร์ตี้ด้วย แดซอง " ผมสนุกมากๆเลยละครับ มีบางคนที่กังวลว่าผมยังคงต้องทำงานในวันเกิด แต่มันกลับเป็นวันเกิดที่พิเศษที่สุดเท่าที่ผมเคยมีมาเลยละครับ ถ้าผมไม่ได้ทำงานในวันนั้น ผมก็คงจะใช้เวลาในวันเกิดอยู่บ้านและสั่งอาหาร delivery มาเยอะๆ ก็แค่นั้น" ฉันเกิดอยากรู้ขึ้นมาว่าสมาชิกในวงได้มอบของขวัญอะไรให้เค้าในวันเกิด แดซองเล่าว่า" ไม่มีครับ จู่ๆวันนึงเราก็ตัดสินใจว่าเราจะไม่มีการมอบของขวัญให้กัน เป็นแบบนั้นแหละครับ " ฉันรู้เหตุผลเบื้องหลังความคิดนี้ซึ่งเป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมมาก เป็นเพราะความโด่งดังของบิกแบงนั้นเติบโตขึ้นเรื่อยๆ รายได้ที่พวกเค้าได้ก็มากขึ้นตามมา และถ้าพวกเค้าเริ่มที่จะเลือกของขวัญที่เหมาะสมให้กันและกันแล้วละก็ วันนึงพวกเค้าคงต้องจบลงที่การซื้อบ้านให้กันและกันแน่ๆ ก็นะ นี่แหละชีวิตในแบบซูเปอร์สตาร์ก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ
สมาชิกวงต่างคิดว่าคนที่เป็นซูเปอร์สตาร์ที่สุดในหมู่สมาชิกวงบิกแบง คือ ซึงรี " เค้าดูเป็นคนดังในหมู่เราฮะ ผมอิจฉาเค้า" ขนาดในตอนที่ต้องเดินทาง สุภาพบุรุษน้อยผู้สง่างามคนนี้ของเราก็มักจะทำอะไรที่แตกต่างจากคนอื่น เพราะเค้ามีเส้นสายส่วนตัวกว้างขวางไปทั่วโลก รวมไปถึง การได้นั่งเครื่องบินส่วนตัว หรือแม้แต่เจ้าของคลับก็เป็นเพื่อนของเค้า “เพื่อนของผมบ้านของเค้ามีลิฟท์ด้วยละครับ" ซึงรีที่กำลังเคี้ยวคิมบับอยู่กล่าวเสริมอย่างภูมิใจ สมาชิกต่างก็ล้อเลียนเค้าแต่ก็เอ็นดูมักเน่ของเราอย่างมาก พูดกันตามตรงซึงรีนั้นมีความคิดหลากหลายเข้ามาในตอนที่เตรียมงานเรื่องอัลบั้มใหม่นี้ มีหลายเหตุการณ์ที่ทำให้เค้าต้องเผชิญกับความหดหู่ด้วย
"ผมรู้สึกว่าตัวเองนั้นสูญเสียความผิดชอบชั่วดีไปฮะ ดังนั้นแทนที่จะเสนอเอาความคิดของตัวเองขึ้นมา ผมจะฟังว่าสมาชิกในวงคนอื่นๆพูดว่ายังไงกันบ้าง และท้ายที่สุดผมก็มีความสุขครับที่อัลบั้มได้ออกมาซักที"
ซึงรีถูกมอบหมายภารกิจที่สำคัญที่สุดในการถ่ายแบบวันนี้ เช่น เค้าต้องขับรถกะบะวินเทจด้วยความเร็ว 30km/h นอกจากนี้เค้ายังโอบไหล่นางแบบแสดงท่าทางหวานๆออกมาด้วย ซึงรีผู้ซึ่งมีกีตาร์เข้าฉากด้วยก็เริ่มทำท่าดีดกีตาร์และร้องเพลงในยุค 60 ของรุ่นพี่ Lee Jang Hee ที่มีเนื้อร้องว่า
"ฉันมีบางอย่างจะบอกเธอ คืนนี้จู่ๆฉันก็อยากจะบอกบางอย่างกับเธอ " จากนั้นเค้าก็ถามนางแบบ Lee Ho Jung ที่พึ่งเคยพบกันเป็นครั้งแรก ด้วยเสียงที่นุ่มนวลว่า " คุณพอจะรู้ไม๊ครับว่า คอร์ด C minorนี่เล่นยังไง?”
การถ่ายแบบยังคงดำเนินต่อไปจนพระอาทิตย์ตก พระจันทร์บนฟ้าสว่างใส กล้องคอปเตอร์กำลังบินอยู่บนท้องฟ้า สมาชิกวงที่ไม่เคยได้เห็นกล้องคอปเตอร์ใกล้แบบนี้มาก่อน ต่างก็ตื่นเต้นมองดูมันเหมือนเด็กเล็กๆ “แค่พวกเราอยู่ด้วยกันก็สนุกมากๆเลยละครับ เรารู้จักกันมาตั้งแต่เป็นเด็กเทรนในช่วงที่พวกเราอายุได้แค่สิบกว่าๆเอง พวกเรารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับกันและกัน เวลาเราไปข้างนอกเราไม่มีเพื่อนคนอื่นเลย นั่นเป็นเพราะผมไม่มีประสบการณ์ร่วมที่เหมือนกับพวกเค้าให้พูดคุยเลย แต่ถ้าเราบิกแบงอยู่ด้วยกัน5คนเราจะคุยเล่นกันและหัวเราะ และนี่เป็นเหมือนแหล่งพลังงานที่ทำให้ผมแข็งแกร่งขึ้น " แทยังกล่าว
ในปีหน้า จะเป็นปีที่ วงบิกแบง มีอายุวง 10 ปีแล้วและทัวร์คอนเสร์ต Made นี้ในรอบสุดท้ายจะดำเนินต่อเนื่องไปในปี 2016 ซึ่งบางทีอาจจะเป็นคอนเสริต์ที่เป็นการระลึกถึงการก่อตั้งวงมาครบ 10 ปีด้วยก็ได้ บิกแบงได้ก้าวข้ามขอบเขตของคำว่าไอดอล จากบริษัทวายจีเอนเตอร์เทนเม้นซ์ เด็กชายในวัยสิบต้นๆที่เคยร้องเพลง ‘Dirty Cash’ โดยที่ไม่เข้าใจความหมายของเพลงด้วยซ้ำในวันนั้น ได้ก้าวข้ามก้าวเขตและแต่งเพลงของตัวเองออกมาจนเป็นเพลงที่คลาสลิกและกลายมาเป็นคนดังประจำยุคสมัยนี้ แน่นอนว่ากระบวนการกว่าจะมาถึงตรงนี้นั้นไม่ได้ง่ายเหมือนกวักน้ำขึ้นเล่นในช่วงฤดูร้อน เราจะเข้าใจถึงกระบวนการนั้นได้ง่ายๆจากการอ่านเนื้อเพลง Loser ของพวกเค้า
จีดราก้อน: "ทุกคนต่างก็มีปัญหาของตัวเองครับ เราก็มีเหมือนกัน เพราะเราก็เป็นแค่มนุษย์คนนึง การที่ผู้คนมองเราผ่านทางTV พวกเค้าอาจจะคิดว่า หลังจากที่เราขึ้นแสดงคอนเสริต์ต่อหน้าคนเยอะๆเสร็จแล้วหลังจากนั้นเราก็จะออกไปปาร์ตี้ ดื่มกินและใช้เวลาอยู่กับสาวๆ ซึ่งมันไม่จริงเลยครับ พอเราเสร็จงาน เราก็กลับบ้าน ไปดูหนัง นอนหลับ เท่านั้นเองครับ มันมีความรู้สึกว่างเปล่าที่เราได้รับอยู่ครับ " สิ่งที่ทำให้พวกเค้าเดินหน้าต่อไปก็คือ กันและกัน ที่พวกเค้ามีกันและกันอยู่
เมื่อไหร่ก็ตามที่บิกแบงออกอัลบั้มใหม่ มันมักจะออกมาเหนือความคาดหมายเสมอ มันจะเป็นยังไงคะในอีก 10 ปีข้างหน้า "ถ้าหากไม่มีความตื่นเต้นแล้ว มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะทำให้พวกเราเดินหน้าต่อไปฮะ" ท็อปตอบอย่างเชื่อมั่นและจีดราก้อนก็ช่วยเสริมว่าสมาชิกในวงทุกคนเห็นด้วยกับท็อป “ถ้าในสายตาของบุคคลที่สาม เห็นว่าการปรากฏตัวของพวกเราบนเวทีมันไม่ดี เราก็จะไม่ทำมันครับ ถ้าเราไม่ได้ดูเท่ดูมั่นใจ แล้วเราจะนำเสนออะไรให้คนดูละครับ??การที่จะต้องพยายามเกินพอดีเพื่อให้ดูเท่ ผมไม่ชอบแบบนั้นมากๆ" งั้นคำตอบนี้สามารถสรุปได้ว่าถ้าบิกแบงไม่สามารถทำได้แบบที่บิกแบงเคยทำก็จะไม่มีิบิกแบงอีกต่อไป
“แต่ตอนนี้เรายังสนุกมากๆอยู่ครับ ผมรู้สึกถึงมันได้อีกครั้งกับกิจกรรมที่เราทำกันในการโปรโมทอัลบั้มชุดปัจจุบันนี้ เมื่อเวลาผ่านไป เราเริ่มที่จะค้นพบตัวเองมากขึ้นมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เราสามารถทำให้ตัวเองดีขึ้นเรื่อยๆและนั่นคือสิ่งที่เราทำมาตลอดสำหรับพวกเรา ผมอยากจะให้มันเป็นแบบนี้ไปอีกซัก 10-20ปีต่อจากนี้ ” แทยังกล่าว
ก็เหมือนกับชื่อ "Made" บิกแบงยังคงอยู่ในขั้นตอนการก่อสร้างตัวตนของพวกเค้าขึ้นมาด้วยการทำเพลงใหม่ๆออกมา แม้ว่าด้านนอกจะมืดมากแล้ว แต่สมาชิกวงบิกแบงยังคงนั่งกันอยู่ในบ้านที่รกร้างนี้พูดคุยเรื่องเพลงของพวกเค้าและอนาคตที่จะมาถึง หลังจากที่โดนผู้จัดการจู้จี้บ่นซักสองสามครั้ง ในที่สุดพวกเค้าก็ลุกขึ้นได้ซักที
ก่อนที่จะขึ้นรถ แทนที่จะบอกคำลา ฉันบอกพวกเค้าไปว่า "พวกคุณเท่มากๆเลยนะ" พวกเค้ากล่าวกลับมาว่า " เราก็คิดว่าเราเท่เหมือนกันแหละฮะ เรายังคงมีจิตวิญญาณที่กระหายอยากอยู่ในตัวเราอยู่นี่ฮะ"
=================
Eng Translation by xxxibeunjn
Thai Translation by miss mew
วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
"Mad to be Normal" สัมภาษณ์ T.O.Pจากนิตยสาร Esquire/May 2015
หลังจากการสัมภาษณ์ ท็อปมาแอบกระซิบขอความช่วยเหลือว่า ขอให้บทความครั้งนี้ ไม่อ่านแล้วดูซ้ำซากจำเจนะ ฉันจะสามารถช่วยเค้าได้ไม๊หนอ??
งั้นขอยืมคำพูดของเค้ามาใช้หน่อย "ในโลกใบนี้ที่ที่คุณจะต้องบ้าเท่านั้นถึงจะเป็นคนธรรมดาได้" แล้วฉันละบ้ามากเลยไม๊?? แล้วคุณละ??
Q.อัลบั้มใหม่ของบิกแบงกำลังจะออกวางแผงในไม่ช้านี้แล้ว 3ปีแล้วสินะคะ
A. ผมคิดว่ามันมากกว่า 3 ปีแล้วนะครับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ผมปรากฏตัวในโทรทัศน์ในฐานะนักร้อง
ผมอุทิศตัวเองเพื่ออัลบั้มนี้มากๆอย่างแท้จริงเลยละครับ มีบางส่วนในตัวผมที่ดูจะถูกจำกัดอยู่บ้างแต่ในขณะเดียวกันผมก็พยายามที่จะดึงด้านใหม่ๆของตัวเองออกมา
เนื้อเพลงบางท่อนนั้นจะตรงไปตรงมามากๆและจะยั่วยุเสียดสี ในขณะที่บางท่อน ผมจะระมัดระวังอย่างมากใส่ใจในทุกๆคำทุกๆประโยค บิกแบงเป็นหนึ่งในวงหลักๆในตอนนี้ ไม่เพียงแต่ในประเทศเกาหลีเท่านั้นแต่ในประเทศอื่นๆอีกหลายประเทศด้วย ผู้คนจะแปลเนื้อเพลงของเราและฟังเพลงของเราด้วย เพราะว่าผมรู้แบบนี้ผมจึงทุ่มเทความพยายามอย่างมากในการเขียนเนื้อเพลงแร๊พ 16 บาร์ขึ้นมา และมีเพลงที่ผมแก้แล้วแก้อีกเป็นร้อยๆเที่ยวด้วยครับ
Q. ในฐานะแร๊พเปอร์ที่เขียนเล่าเรื่องราวออกมาด้วยตัวเอง อะไรคือสิ่งที่มอบแรงบันดาลใจให้กับคุณคะ?
A.ผมได้รับอิทธิพลและแรงบันดาลใจจากสิ่งที่พูดไม่ได้ฮะ จะได้รับแรงบันดาลใจจากความสวยงามและสิ่งของน่ารักๆมากกว่าบุคคล
Q. มีข้อความอะไรเป็นพิเศษที่คุณต้องการที่จะส่งผ่านไปให้ผู้ฟังโดยเฉพาะไม๊คะในอัลบั้มนี้
A. ในบางเพลง ผมพูดตรงๆ คือ ผมตั้งใจที่จะเขียนเกี่ยวกับว่า ผู้ชายนั้นมีความคิดเกี่ยวกับสัมพันธภาพตื้นเขินมากแค่ไหน ดังนั้นอาจจะมีสาวๆหลายคนเลยครับที่จะไม่ชอบมัน (หัวเราะ)
Q. ฉันรู้ว่าคุณมีพื้นฐานเป็นศิลปินในแนวฮิบฮอบ แต่ฉันก็รู้สึกถึงแนวร็อคด้วยในขณะเดียวกัน จริงๆแล้วดนตรีแบบไหนค่ะที่คุณติดตามอยู่
A. ผมก็เป็นแบบเดิมเสมอครับ วง บิกแบงคือวงที่มีผู้ชายที่มีแนวแตกต่างกันมารวมกลุ่มกันโดยในอัลบั้มเดี่ยวจะเป็นที่ที่เราแต่ละคนดึงเอาแนวของตัวเองออกมาแล้วหาจุดที่จะตกลงกับทางบริษัทได้ ผมชอบเพลงหนักๆและผมก็พยายามทำให้ที่ดีที่สุดในการที่จะดึงส่วนนั้นของตัวเองออกมาครับ
Q. เพลงหนักๆเหรอคะ…
A. คือแต่ผมก็ชอบเพลงที่อบอุ่นๆด้วยในขณะเดียวกันนะฮะ นอกจากนี้ผมก็ชอบเพลงคลาสลิกด้วย และผมก็มีความสุขในการฟังเพลงของ Pink Floyd มาตั้งแต่เด็กๆ เวลาที่ผมฟังเพลงอย่างเพลงฮิบฮอบ เศษเสี้ยวแห่งความรุนแรงเหมือนจะค่อยๆก่อร่างสร้างตัวขึ้นในตัวผม ผมจะกดความรู้สึกนี้ไว้โดยการฟังเพลงที่เบาๆเมื่อตอนที่ผมอยู่คนเดียวครับ
Q. เป็นเวลากว่า 10 ปีแล้วนะคะตั้งแต่บิกแบงเดบิวต์มา
A. เส้นทางของพวกเราตอนนี้ชัดเจนมากๆ ผมสามารถมองเห็นอะไรบางอย่างในตัวเราที่กำลังติดต่อสื่อสารกับคนทั่วไปในเจเนเรชั่นเดียวกับพวกเราและเป็นอะไรที่สดใหม่
Q. เวลาที่ผู้ชายที่อยู่ในช่วงอายุเดียวกันทำงานร่วมกันมาเป็นเวลานาน พวกคุณแต่ละคนคงต้องเป็นห่วงเรื่องคาแรคเตอร์ของตัวเองบ้างใช่ไม๊คะ?
A. มันเป็นกระบวนการที่จะพิจารณาตัวตนภายในของตัวเองนะฮะ ผมก็ยังไม่ค่อยแน่ใจเลยว่าตัวเองเป็นคนแบบไหน ผมคงจะรู้ได้เมื่อตอนที่ตัวเองอายุราว 40 ละมั้งครับ? ผมยังรู้สึกแปลกใหม่กับตัวตนของตัวเองอยู่เสมอๆ ผมจะรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ก็ต่อเมื่อผมอยากจะรู้สึก และผมก็จะทำงานก็ต่อเมื่อตัวเองรู้สึกแปลกใหม่แบบนั้นเท่านั้น
Q. งั้นก็ต้องดูแปลกใหม่อยู่ในทุกๆครั้ง คุณคงอยู่ภายใต้การกดดันและความเครียดมหาศาล??
A. ผู้คนส่วนใหญ่จะมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความกดดันและเป็นความเครียด ผมเองก็เคยคิดแบบนั้นเหมือนกันในตอนที่ยังเด็กกว่านี้ แต่ตอนนี้ไม่เป็นแบบนั้นแล้วละฮะ หลังจากที่ผมเดินทางมาถึงช่วงจุดเปลี่ยน เวลาที่ผมเขียนเพลงแร๊พหรือฟังเพลง ภาพต่างๆจะปรากฏขึ้นมาในใจของผมก่อน ดังนั้นภาระหรือความลำบากที่จะต้องคิดวิธีที่จะแสดงออกสู่สาธารณชนให้แปลกใหม่ในตอนนี้เลยหายไปแล้วละครับ
Q. คุณใช้ชีวิตอยู่ในบ้านตลอดตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่อง Tazza2 ออกฉาย เลยนะคะ
A. :ผมชอบที่จะยั้งๆจำกัดตัวเองเอาไว้ครับ ที่ทำแบบนี้ก็มาจากแนวโน้มหรือวิถีทางที่แตกต่างกันไป ผมต้องการที่จะแสดงออกงานที่ผมทำในขั้นตอนสุดท้ายที่งานมันเสร็จสมบูรณ์ออกมาแล้ว ผมควรจะพูดว่า ผมคิดว่าการที่แสดงออกชีวิตประจำวันทั่วๆไปของผมออกมานั้นมันเป็นวิธีที่จะทำให้ผมหมดพลังไปครับ
Q. แล้วคุณไม่รู้สึกกังวลเหรอคะว่าคนจะลืมคุณไปนะ
A. ไม่ครับ ผมจำเป็นต้องมีเวลาที่ทำสมาธิและคิดสะท้อนตัวตนของตัวเองว่าควรจะทำอะไรต่อไปเพื่อเป็นการดึงเอาพลังของตัวเองกลับคืนมาครับ ความหดหู่ที่มันจะเกิดขึ้นเมื่อต้องเปิดเผยตัวตนของตัวเองมันมีมากกว่าความกังวลความหดหู่ที่เกิดขึ้นเวลาที่เก็บตัวอยู่กับตัวเองครับ
แน่นอนว่า คนในเจเนเรชั่นเราได้บอกเราว่ามันจะเป็นการดีในการที่จะติดต่อสื่อสารกับภายนอกให้มากที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้และให้ใกล้ชิดกับสาธารณะให้มาก แต่สำหรับผมผมคิดว่ามันจำเป็นที่จะต้องยังคงรักษาระยะห่างเอาไว้ ด้วยวิธีนี้ ความสดใหม่ก็จะยังอยู่เป็นเท่าตัวด้วย ถ้าคุณทำตัวใกล้ชิดกับสาธารณะมากไป บางครั้งคุณก็จะต้องเริ่มที่จะเสแสร้งแกล้งทำ และ จุดอ่อนบางอย่างที่แม้แต่ตัวคุณเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีด้วยซ้ำก็อาจจะเปิดเผยออกมา ดังนั้นผมไม่อยากจะเป็นดาราในแวดวงกอซซิบ และผมก็จะไม่ได้ใช้ SNS ด้วยครับ
Q. แล้ววางแผนว่าจะใชไม๊คะ?
A. ผมควรจะเริ่มใช้ในช่วงอัลบั้มใหม่นี้เลยไม๊ฮะ??
Q. สมาชิกคนอื่นในวงบิกแบงต่างก็ใช้ SNS นะคะ
A. ตอนนี้มีแอคเค้าส์ปลอมมากมายบนโลก SNS ที่ใช้ชื่อผมครับ สมาชิกในวงอยากให้ผมเริ่มใช้ SNS เพราะว่าตัวผมไม่ค่อยได้ติดต่อสื่อสารกับแฟนๆของผมเท่าไหร่ พวกเค้ายังบอกว่า "จะได้รับอะไรมากมายมากกว่าที่จะสูญเสียจากการใช้ SNS " และผมก็รู้สึกเสียใจที่ผมขาดการติดต่อสื่อสารกับแฟนๆจริงๆ บางทีผมอาจจะเริ่มใช้ SNS เพื่อการโปรโมทอัลบั้มใหม่นี้ก้ได้นะครับ (หัวเราะ)
Q. คุณควรไปปรากฏตัวในแฟชั่นวีคที่ต่างประเทศเหมือนสมาชิกคนอื่นในวงบ้างนะคะ คุณไม่ชอบแฟชั่นหรอกเหรอคะ?
A.ผมไม่ชอยการเป็นที่สนใจจากคนหมู่มากครับ ผมเอาแต่พูดแบบนี้เรื่อยๆแต่ก็นี่เป็นแค่ผมแหละครับ ผมจะทำอะไรก็ต่อเมื่อผมคิดว่ามันจำเป็นเท่านั้นครับ
Q. บิกแบงได้ลงมือทำหลายสิ่งหลายอย่างในช่วง 10ปีที่ผ่านมานี้ ไม่เพียงแต่ในเรื่องของเสียงเพลงเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงเรื่องของแฟชั่น วิถีชีวิต พฤติกรรมต่างๆ ง่ายๆคือพวกคุณทำให้ประเทศเกาหลีมีสีสันมากขึ้น และได้พิสูจน์ให้โลกเห็นความจริงในข้อนี้ด้วย
A. ตอนนี้มันกลายเป็นเรื่องที่สำคัญจริงๆครับ ผมมักจะคิดเอาไว้ในใจเสมอ อาจจะเรียกว่าตัวเองเกือบจะกระหายอยาก ในการที่จะเป็นคนที่สดใหม่และเป็นคนที่มีคุณสมบัติเพียงพอให้กับคนรุ่นหนุ่มสาวและเพื่อนๆที่จะเติบโตไปพร้อมกับผมด้วยครับ
Q. คุณเคยประสบกับช่วงเวลาที่ยากลำบากบ้างไม๊คะ?
A. ผมรีบลืมความทรงจำในช่วงเวลาที่ยากลำบากไปอย่างรวดเร็วครับ ก็เหมือนกับทุกๆคน ทุกวันเป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับผม
Q.แต่คุณก็จะต้องมีแรงผลักดันที่จะคอยทำให้คุณก้าวไปข้างหน้าต่อไป อืมม เหมือนกับ เป้าหมายที่คุณจะต้องทำให้สำเร็จลุล่วงในฐานะนักดนตรีมันคืออะไรคะ
A. ผมจะไม่เก็บเอาความทะเยอะทะยานที่ไร้ประโยชน์เอาไว้ฮะ ผมจะได้รับแรงบันดาลใจจาก การดีไซน์และชิ้นงานศิลปะ และจากการที่ได้มองดูสิ่งใหม่ๆและประสบกับความสวยงาม และนั่นเป็นแหล่งพลังที่ทำให้ผมมีความอดทน ผมจะรู้สึกอ่อนไหวมากๆกับสิ่งที่มีความงามตามธรรมชาติ พวกมันจะคืนความสดชื่นให้กับผมครับ
Q.การใช้ชีวิตเป็นชเวซึงฮยอนในฐานะนักแสดงเป็นยังไงบ้างคะ?
A. มันสนุกดีครับ (หัวเราะ)
Q. ในวงการนักแสดงมีเรื่องของพฤติกรรมอะไรที่จะต้องอยู่ในขอบเขตไม๊คะ?
A. จะพูดยังไงดี คือผมไม่ใช่คนประเภทที่จะประจบสอพลอรุ่นพี่หรือใช้ความน่ารักเข้าหารุ่นพี่ครับ ดังนั้นความชอบหรือไม่ชอบของผมจะชัดเจน รุ่นพี่บ้างก็พูดว่าผมไม่มีมารยาท บ้างก็ว่าผมเป็นคนสุภาพ ผมคิดว่ามันขึ้นอยู่กับว่าคุณจะยอมรับมันยังไง แทนที่ผมจะทำตัวแตกต่างไปเมื่ออยู่ต่อหน้ารุ่นพี่ผมจะพยายามที่จะสุภาพกับทุกๆคนและยังคงรักษาระยะห่างเอาไว้ด้วยครับ ครั้งนึงมีบทความเขียนเกี่ยวกับผมว่า ผมเป็นคนชอบเข้าสังคม คือผมจะรักษามารยาทของผม แต่ผมไม่ใช่คนชอบเข้าสังคม
A. ผมแค่บ้าครับ ผมไม่ได้พูดถึงบ้าแบบเสียสตินะครับ แต่ผมบ้าเสียงเพลงในตอนที่ทำงานเพลงและผมก็บ้าในตัวคาแรคเตอร์ในตอนที่ลงมือแสดง ผมทำทั้งหมดแบบนี้แหละครับโดยที่ไม่ได้คิดว่าพวกมันเป็นความเครียดมหาศาลเลย
เหมือนกับที่ผมพูดไปก่อนหน้านี้ ในอัลบั้มใหม่นี้ ผมแก้ไขคำเพียงคำเดียวเป็นร้อยๆครั้ง ผมไม่ได้ทำเพราะดื้อรั้นดันทุรังทำนะครับ ผมทำแบบนี้เพราะผมบ้าอยากจะทำ
Q. คุณเป็นคนอ่อนไหวนะคะ
A. ผมเป็นคนอ่อนไหวครับ และนั่นเป็นสาเหตุที่ผมไม่ออกบ้านไปเจอคนเยอะๆ มันไม่ใช่ว่าผมตั้งใจจะทำตัวให้ดูลึกลับหรอกนะครับ ผมระมัดระวังมากและอ่อนไหวมากกับเรื่องเล็กๆน้อยๆ และนั่นทำให้ผมไม่ค่อยออกจากบ้านยกเว้นว่าจะมีงานที่จะต้องไปอย่างเป็นทางการ ผมพบปะกับคนที่สนิทกับผมเท่านั้นครับ
Q. แบบนี้วันๆทำอะไรบ้างคะเนี่ย??
A. ในช่วงที่นิตยสารเล่มนี้จะวางแผง (ช่วงเดือนเมษายนค่ะ นิตยสารเป็นของเดือนพฤษภาคม) จะมีโปรแกรมงานแสดงศิลปะที่เรียกว่า ‘Prudential Eye Zone (งานนิทรรศการที่จะสนับสนุนศิลปินในภูมิภาคเอเซีย) จัดขึ้นที่ประเทศสิงคโปร์ครับ พวกเค้าเตรียมงานนิทรรศการศิลปะโดยคัดเลือกศิลปินที่กำลังมาแรงจากประเทศเกาหลีและในญี่ปุ่นมาจัดแสดง ซึ่งได้ทำการคัดเลือกไปเรียบร้อยแล้วครับ
Q.ผู้ดูแลนิทรรศการ......การคัดเลือกงานจากศิลปินมากมายคงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะคะ
A. ผมไม่ได้ทำงานนี้เพราะมีเป้าหมายเป็นอย่างอื่นเลยครับ ผมทำเพราะผมชอบมันจริงๆ ผมมีความสุขในการพบปะพูดคุยกับศิลปิน การที่ได้เห็นผู้คนใส่หัวใจและจิตวิญญาณลงไปเพื่อทำให้ชิ้นงานนั้นเสร็จสมบูรณ์มันกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับผม เหมือนกับตัวผมที่ต้องทำงานในส่วนที่จะคืนความสดชื่นสดใสที่ไม่เคยเห็นมาก่อนนำเสนอให้กับผู้ชมผู้ฟังทั้งในงานเพลง การแสดง และ การขึ้นเวทีคอนเสริต์ งานของผมกับเหล่าศิลปินหล่านั้นจึงมีอะไรที่คล้ายกันอยู่
ผู้มาเยือนจากประเทศอื่นๆ พวกเค้าชื่นชมสรรเสริญและแปลกใจกับการที่ได้เห็นชาวเกาหลีแต่งตัวมันเป็นเรื่องจำเป็นที่จะแนะนำสีสันความสดใสของศิลปินรุ่นใหม่นี้ให้กับประเทศต่างชาติอื่นๆครับ
Q. บางครั้งมีคำพูดที่ได้ยินบ่อยๆเลยว่า คนในเจเนเรชั่นใหม่นี้ดูจะมีความเยอะเกินพอดีไปในแง่ของงานศิลปะ นะคะ
A. ทุกอย่างที่ไม่มีแก่นแท้ย่อมจะอยู่ได้ไม่นานหรอกครับ ตัวผมเป็นนักร้องและเป็นนักแสดงด้วย แต่ถ้าผมพูดว่า "เพราะผมขอบงานศิลปะ ผมจะเริ่มมุ่งความตั้งใจของผมไปที่การวาดรูปและการสร้างงานประติมากรรมเท่านั้นในตอนนี้" ถ้าผมพูดแบบนี้จะถูกนับว่า เยอะไปไม๊ครับ??
Q. แต่คุณก็ทำได้นี่คะ ??
A. ก็เหมือนกับที่ผมเคยเลือกเสื้อผ้าให้เพื่อนๆในช่วงที่ผมบ้าคลั่งเสื้อผ้าแหละครับ มันก็จริงที่พวกเรา "เยอะ"จนเกินพอดี แต่ผมคิดว่าเกาหลีสามารถที่จะมีความเยอะกว่านี้ได้อีก ทั้งเรื่องของ แฟชั่น การดีไซน์ และงานศิลปะต่างถูกปฏิเสธในเกาหลี ทั้งๆที่ความจริงแล้วชาวเกาหลีเป็นหนึ่งในชนชาติที่เจริญรอยตามวิถีแห่งความงาม
บางครั้งเวลาที่ผมมองไปที่โครงสร้างอะไรบางอย่าง ผมจะคิดว่า "พวกมันน่าจะทำออกมาได้ดีกว่านี้" ไม่ก็ "พวกมันยังมีอะไรอีกมากเลยละที่จะต้องทำ" สำหรับพวกเราแล้วมันจะต้องมีความ"เยอะ"กว่านี้ที่จะดันสิ่งเหล่านี้และดึงเอาสิ่งที่ดีที่สุดออกมา
ในอนาคตก็ด้วย ศิลปะและวัฒนธรรมจะมีบทบาทที่สำคัญในการที่จะทำให้เราได้รับเงินตราต่างประเทศเข้ามา ผู้ใหญ่บางคนวิจารณ์วงไอดอลโดยบอกว่าพวกวงไอดอลปรากฏตัวในโทรทัศน์มากไปแล้ว หรือ วิจารณ์ว่า แต่งกายไม่เหมาะสม แต่ท้ายที่สุดแล้ว ไอดอลเป็นตัวที่สร้างเงินตราต่างประเทศเข้ามาในประเทศมากที่สุดในบรรดาอุตสาหกรรมบันเทิงนะครับ
Q. คุณพูดถูกเลยละค่ะ
A. คนที่คอยพูดขัดคือคนที่มีปัญหานะครับ มีคนคอยพูดว่า " อ๋า เค้าคิดว่าเค้าเป็นศิลปินละ" ไม่ก็ "เค้ากำลังเสแสร้งทำเป็นมีความรู้สึกอินหลงใหลละ" เวลาที่มีคนเปิดเผยบุคคลิกหรือความคิดของเค้าออกมาที่มันแตกต่างไปจากของคุณ ก็ขอให้ปล่อยมันออกมาเถอะครับ นอกจากนี้ มันดูไม่สมเหตุสมผลเลยที่จะคอยตระหนกไปถึงวิธีที่คนอื่นจะมองมา และ เอาแต่กลัวไม่แสดงออกตัวตนของตัวเองออกมาครับ
Q. โดยเฉพาะที่เกาหลีนี่ดูจะจริงที่สุดเลยนะคะ
A. โลกเราจะมีการพัฒนาไปได้ ก็ต่อเมื่อทุกคนใช้ชีวิตอย่างเต็มภาคภูมิในความเป็นตัวของตัวเองครับ
Q.คุณคิดว่าศิลปะจะกลายมาเป็นอุตสาหกรรมศิลปะได้ไม๊คะ?? ตอนนี้เงินสะพัดมากในอุตสหกรรมบันเทิงและในวงไอดอล แต่เรายังคงขาดแคลนการทำให้แฟชั่นและงานศิลปะ ให้กลายเป็นอุตสาหหรรมขึ้นมาได้อยู่
A. ผมเชื่อว่าเขตแดนระหว่าง เสียงเพลง งานวิจิตรศิลป์และงานดีไซน์ จะถูกทำให้หายไปในท้ายที่สุด พราะตอนนี้ผู้เสพงานเหล่านี้มีมาตรฐานที่สูงมาก พวกเราไม่อาจจะเติมเต็มความคาดหวังของพวกเค้าได้เพียงแค่ทำงานที่แสดงออกมาให้มีความสมบูรณ์แบบเท่านั้น ก็เหมือนกับ ตัววีดีโอมีความสำคัญมากในอุตหกรรมเพลง ดังนั้น แฟชั่น วิจิตรศิลป์ และงานดีไซน์ควรทำงานร่วมกันในฐานะที่เป็นอุตสาหกรรมเดียวกันไปเลย เพื่อที่จะได้มีการพัฒนาและเกิดผลประสานกำลังซึ่งกันและกัอย่างเกิดผล
Q. ในฐานะที่เป็นผู้ดูแลงานนิทรรศการ คุณประเมินค่าของแต่ละชิ้นงานยังไงคะ??
A. ผมจะมุ่งไปที่กรอบความคิดของงานครับ ผมจะพิจารณาคอนเซ็บซ์ของศิลปินนั้นว่ามีความหนักแน่นและมีความหมายในเชิงวัณกรรมเป็นอย่างไร และ ดูว่าความสวยงามเหล่านั้นถูกบรรยายออกมายังไง ผมได้พูดถึงความมากที่เกินปกติไปเมื่อตอนต้นและผมเชื่อว่าเฉพาะ"ตัวจริง"เท่านั้นที่จะสามารถอยู่ได้ตลอดไป ผมจะดูคนที่มีพลังประทุอยู่ในใจเหมือนภูเขาไฟ คนที่บ้าในสิ่งที่เค้ากำลังทำ คนเหล่านี้จะมีชีวิตรอด ผมใช้สัญชาตญาณดูกรอบความคิดภาพรวมของพวกเค้าว่าแข็งแกร่งแค่ไหนครับ
Q. เด็กชายอายุ 19 ปีในตอนนี้ได้กลายมาเป็นผู้ชายอายุ 29 ปีแล้วและในตอนนี้เค้ามีงานที่จะทำสู่สังคมเพิ่มขึ้นอีก นอกจากนี้ยังมีความเชื่อเรื่องไสยศาตร์เกี่ยวกับปีที่อายุลงท้ายด้วยเลข 9 ที่เชื่อว่าจะมีสิ่งร้ายๆเกิดขึ้นในปีเหล่านี้ คุณวางแผนว่าจะใช้ชีวิตในช่วงปีสุดท้ายของวัย 20 ไว้ยังไงคะ?
A. ผมแค่อยากให้หัวใจของผมโบยบินเหมือนติดปีก ผมสามารถจะรู้สึกได้ว่าตัวเองนั้นมีพลังล้นเหลือในตอนที่ใจเต้นแรง มันไม่สำคัญหรอกครับว่าอัลบั้มบิกแบงจะขายดีไม๊ หรือ เราจะได้วิวในยูทูปมากแค่ไหน ความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นในวันก่อนที่ MV จะออกฉาย การที่สงสัยว่าผู้คนจะคิดยังไงกับมัน สิ่งเหล่านี้นี่แหละที่สำคัญมากกว่า ความตื่นเต้นที่ตามมาจากงานที่ผมใส่ความรักและความพยายามลงไป
Q. ในฐานะที่ฉันเป็นบรรณาธิการนิตยสารแฟชั่น ฉันอยากจะถามคุณว่าคุณเคยชอบเสื้อผ้าแต่ดูเหมือนว่าคุณจะเลิกชอบพวกมันแล้วใช่ไม๊คะ?
A. ผมอยู่ในช่วงของการสวมใส่ชุดนอนครับ (หัวเราะ) ผมยังคงชอบเสื้อผ้าครับ แต่ผมไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าที่ไม่จำเป็นอีกแล้วครับ ผมคิดว่าผมได้รับวิธีในการที่จะเลือกซื้อแต่ของที่จำเป็นเท่านั้นจริงๆมาแล้ว
ผมไม่เชื่อว่าการที่สวมใส่เสื้อผ้าราคาแพงๆจะทำให้คุณดูมีสไตล์ได้ ความสมดุลนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ
มันจะต้องไม่มากจนเกินไปและก็ไม่น่าเบื่อ มันจะเป็นจุดที่อยู่ตรงกลางระหว่าง 2 อย่างนี้ และนั่นทำให้แฟชั่นเป็นเรื่องยากมาก แต่เหนือสิ่งอื่นใดคุณจะต้องมีแนวของตัวเองก่อน
Eng Translation by: xxxibeunjn
Thai translation by miss mew
Source:imagazine
วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2558
ชเวซึงฮยอนกับการเป็นผู้ดูแลงานนิทรรศการศิลปะ
ความสนใจในเรื่องศิลปะของผมเริ่มมาจากความชื่นชมที่ผมมีต่อ คอนเซ็บซ์และรูปลักษณ์ที่ผมเห็นจากงานศิลปะที่เป็นที่รู้จักกันดีของศิลปินในแนวศิลปะร่วมสมัยระดับโลก หลังจากนั้นระหว่างที่ผมต้องเดินทางไปในหลายๆประเทศทั่วทวีปเอเซียนั้นความสนใจในเรื่องศิลปะของผมก็เริ่มแผ่ขยายขอบเขตไปยังงานของศิลปินแนวร่วมสมัยหนุ่มสาวที่ทรงอิทธิพลในทวีปเอเซีย
ในตอนที่อยู่ในเอเซียผมได้รับสิทธิพิเศษในการได้เข้าไปเรียนรู้หลักสูตรทางศิลปะของ Prudential Eyes และตัดสินใจที่จะมีส่วนร่วมในหลักสูตรนี้ด้วยความรู้สึกจริงๆว่าหลักสูตรนี้จะเป็นพื้นฐานในการชื่นขมยินดีและเป็นการแนะนำศิลปินในแนวร่วมสมัยของเอเซียให้เป็นที่รู้จัก
ด้วยว่าเป็นเรื่องยากสำหรับผมที่จะไปเยี่ยมชมงานนิทรรศการศิลปะเยอะๆบ่อยๆเพราะตารางคอนเสริ์ตและตารางงานที่เกี่ยวกับการถ่ายทำภาพยนตร์ ผมเลยมักจะตั้งใจหมั่นดูเรียนรู้ชิ้นงานศิลปะผ่านทางการตีพิมพ์ในลักษณะต่างๆหรือผ่านทางอินเตอร์เนต จากนั้นสิ่งเหล่านี้ได้กลายมาเป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผมในช่วงที่มีเวลาว่าง
ในทุกๆครั้งที่ผมได้เรียนรู้เรื่องราวจากงานศิลปะดั้งเดิมชิ้นใหม่ๆผมมักจะแบ่งปันความคิดเห็นของผมให้กับคนรอบตัวที่คุ้นเคยกันเสมอ หนึ่งในเหตุผลที่ผมมีความสนใจอย่างลึกซึ้งในงานศิลปะร่วมสมัยเป็นเพราะ มันเป็นเรื่องที่น่าดึงดูดใจมากในการที่เราจะได้เห็นว่าคนเรามีความเห็นแตกต่างกันและมีมุมมองที่แตกต่างกันไปในการมองชิ้นงานศิลปะชิ้นหนึ่ง
ตั้งแต่ผมยังเป็นเด็กผมมักจะมีความอ่อนไหวมากๆไปกับเพลงของผมรวมไปถึงเรื่องของแฟชั่นและการออกแบบต่างๆเพราะพื้นฐานธรรมชาติของตัวงานที่ผมทำนั้นมันมักจะเกี่ยวข้องกับการต้องแสดงออกตัวตนของผมออกมา ผมมักจะคอยสังเกตและเรียนรู้ว่าจะต้องทำยังไงถึงจะเป็นเจ้าของความอ่อนเยาว์แบบหนุ่มสาวแต่ต้องให้ความรู้สึกสง่างามและในขณะเดียวกันก็จะต้องมีเอกลักษณ์และแตกต่างออกไปด้วย เพราะบุคคลิกส่วนตัวที่เป็นแบบนี้มันนำผมไปสู่ความชอบในการสะสมเฟอร์นิเจอร์และชิ้นงานศิลปะไปโดยปริยาย ซึ่งสิ่งที่ผมได้จากการสะสมสิ่งเหล่านี้มันกลายเป็นแหล่งพลังงานภายในที่ยิ่งใหญ่และเป็นสิ่งที่ทำให้ผมได้พักผ่อนหย่อนใจจากชีวิตการงานที่ยุ่งเหยิงไปด้วย
ตัวของผมบางครั้งก็ได้มีโอกาสได้พูดคุยกับศิลปินใหม่ๆที่เปี่ยมพรสวรรค์และในบางครั้งถึงขนาดได้เข้าไปเยี่ยมชมสตูดิโอของพวกเค้าเป็นการส่วนตัวและได้เห็นว่าชิ้นงานศิลปะต่างๆนั้นถูกสร้างขึ้นมาอย่างไร ในทุกๆครั้งที่ผมเห็นชิ้นงานที่ศิลปินใส่หัวใจและวิญญาณของพวกเค้าลงไปเสร็จออกมาเป็นชิ้นงานที่สมบูรณ์ผมจะรู้สึกถึงความตื่นเต้นจนไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
ผ่านการมองงานศิลปะ ผมตระหนักว่างานของผมในฐานะที่เป็นนักดนตรีและนักแสดงนั้นมีส่วนคล้ายคลึงมากๆกับการเป็นศิลปินสร้างงานศิลปะในแง่ที่ว่าพวกเราต่างสร้างสรรค์บางอย่างออกมาจากความว่างเปล่า และด้วยความจริงข้อนี้ผมหวังว่าตัวเองจะสามารถหาแรงบันดาลใจให้กับงานเพลงและแรงบันดาลในการที่จะแสดงออกตัวตนของตัวเองออกมาได้อย่างต่อเนื่องเสมอไป
Keisuke Jinba,Yunhee Lee และ Kei Imazu เป็นศิลปินที่จะมีส่วนร่วมในงานนิทรรศการครั้งนี้ด้วยซึ่งพวกเค้าเป็นศิลปินที่ผมพบระหว่างที่เดินทางไปทำงาน หรือ ในช่วงที่ผมต้องไปทำงานในต่างประเทศ
ในตอนแรกผมพบพวกเค้าผ่านชิ้นงานของพวกเค้าซึ่งจากนั้นความรู้สึกต่างๆก็พัฒนาไปเป็นความปรารถนาที่อยากจะเรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับตัวศิลปินและงานของพวกเค้าจนได้พบกับพวกเค้าเป็นการส่วนตัวในงานนิทรรศการศิลปะและงาน Art fair
ผมอยากจะแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับศิลปินรุ่นใหม่ที่ทำงานด้วยรายละเอียดที่ปราณีตพร้อมด้วยคอนเซ็บซ์ที่เป็นเอกลักษณ์คล้ายกับการสร้างสรรค์ความงามออกมาจากพื้นที่ที่ไม่เคยมีใครเคยเห็นมาก่อนอีกทั้งศิลปินเหล่านี้ยังสามารถสื่อสารให้กับคนหนุ่มสาวให้เข้าใจได้อย่างง่ายดาย
ผมหวังว่าทุกคนที่ได้มาเยี่ยมชมงานนิทรรศการ Prudential Eyes Zone จะได้รับความงดงาม แรงบันดาลใจ และ พลังดีๆ ผ่านจากชิ้นงานศิลปะที่หลากหลายในงานกลับบ้านไปเยอะๆนะครับ
T.O.P
ชเวซึงฮยอน , นักร้องและนักแสดง
===================
Source: credit :ChoiTempOP Weibo
Thai Translation By miss mew
วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2558
TOP OF THE WORLD จาก Maison / Feb 2015
งานนิทรรศการระดับสากล งาน “Singapore Art Week ” ฉลองความสำเร็จในปีนี้ที่จัดขึ้นเป็นปีที่สามแล้ว ซึ่งงานจัดขึ้นที่ประเทศสิงคโปร์ช่วงวันที่ 17-25 มกราคมที่ผ่านมา โดย ที่ Singapore Marina Bay Sands Convention Centre จะนับว่าเป็นจุดศูนย์กลางของงาน ซึ่งพิพิธภัณฑ์ทั่วประเทศต่างก็มีงานนิทรรศการและนับว่าเป็นส่วนหนึ่งของงาน Art week ด้วยเช่นกัน ซึ่งงานนี้นับว่ามีความสำคัญในการสำรวจกระแสของตลาดศิลปะในแนวร่วมสมัยในเอเซียและเป็นเครื่องการันตีถึงศักยภาพของแกลอรี่เล็กๆในท้องถิ่น
ท็อปได้เข้าร่วมงานเนื่องจากจะเดินทางไปรับรางวัล Visual Culture Award ที่งาน Prudential Eye Awards ครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นรางวัลที่ได้รับมาจากการสำรวจของ แกลลอรี่ Saatchi Gallery ประเทศอังกฤษและ บริษัทประกันภัย Prudential Life ร่วมไปถึงกลุ่ม Parallel Media Group ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ได้มุ่งมั่นที่จะค้นหาและสนับสนุนศิลปินในฝั่งเอเซีย
โดยคำบอกเล่าจากปากของตัวแทนกลุ่มด้าน การดีไซน์และตบแต่งภายใน ท็อปนับว่าเป็นผู้สะสมชิ้นงานศิลปะ อาทิ เก้าอี้รวมกว่่า 80 ตัว และเป็นเจ้าของบ้านที่มีการตบแต่งด้วยชิ้นงานและเฟอร์นิเจอร์จากศิลปินและดีไซเนอร์
ท็อปมีความลุ่มหลงและความเข้าใจอย่างลึกซึ้งให้กับการดีไซน์และนำเอาเฟอร์นิจเจอร์ของดีไซเนอร์เข้าไปร่วมแสดงในมิวสิควีดีโอในมุมมองแบบผู้เชื่ยวชาญ ซึ่งทางเราต่างก็สงสัยว่าความลุ่มหลงและความเข้าใจเหล่านั้นมาจากไหน ซึ่งท็อปกล่าวว่า
"ผมเริ่มสะสมเฟอร์นิจเจอร์ดีไซเนอร์ในช่วงอายุ 20 ต้นๆครั้ง ในตอนเริ่มผมชอบ การดีไซน์ในแบบโมเดริ์นซึ่งได้รับการเสริมแต่งให้มีความงานในแบบธรรมชาติอย่างงานดีไซน์ของ คุณ Mark Newson หรือคุณ Ron Arad แต่เมื่อเวลาผ่านไปผมก็เริ่มสนใจในเฟอร์นิจเจอร์ในแบบวินเทจที่มีรูปลักษณ์เหนือกาลเวลา อย่างงานของคุณ Charlotte Perriand, Jean Prouvé, Ico Parisi, หรือคุณ Gio Pontiครับ
ท็อปคิดว่าตัวเค้าจะกลายเป็นชิ้นงานศิลปะ ในยุคที่กระแสต่างๆมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและสำหรับเค้า ศิลปะการการออกแบบเฟอร์นิเจอร์เป็นทั้งสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับเค้าและเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เค้าได้หลบหนีจากความเครียดต่างๆ ดูเหมือนว่าเค้าจะตระหนักรู้ได้ตั้งแต่อายุยังน้อยๆว่าศิลปะนั้นมีบทบาทคล้ายหน้าต่างที่ใช้เปิดเข้าไปสู่อารมณ์ต่างๆของมนุษย์เรา และทั้งยังเป็นสิ่งที่มอบความสามารถให้กับเราในการมองโลกในมุมมองที่แตกต่างไปอีกด้วย
สำหรับท็อป ศิลปะและการออกแบบเป็นส่วนประกอบสำคัญในชีวิตของเค้าและในเสียงเพลงของเค้า ในขณะที่เรากำลังเดินชมงานกันอยู่ ฉันสามารถรับรู้ได้ถึงความหลงใหลของเค้าในงานศิลปะที่มากับแววตาที่เป็นประกายระยิบระยับนั้น และเมื่อไหร่ก็ตามที่หัวข้อในการพูดคุยของเราเปลี่ยนไปเป็นเรื่องศิลปะและการออกแบบ
"หากผมหาเงินมาได้ 100 วอน 90 วอนจะถูกนำไปซื้อเฟอร์นิจเจอร์ไม่ก็งานศิลปะครับ ณจุดนึง ผมพัฒนานิสัยนี้ของตัวเองขึ้นมาหลังจากที่ผมขาดความตื่นเต้นในงานและการใช้ชีวิตของตัวเองฮะ โดยความหมายต้นๆของการซื้องานศิลปะเลยคือการจัดระเบียบชีวิตของตัวผมเองฮะ และมันเป็นการขยายกิจกรรมที่ผมจะสามารถทุ่มทุกอย่างในตัวเองลงไปได้ "
ท็อปคิดว่าแทนที่จะจับเอาเฟอร์นิจเจอร์และชิ้นงานศิลปะที่เค้าชอบขึ้นหึ้งบูชาจับต้องไม่ได้เหมือนรูปบูชาศักการะ เค้าคิดว่า เค้าควรจะนำมาใช้ควบคู่ไปในชีวิตประจำวันของเค้ามากกว่า ฉันรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากๆในข่าวลือที่ว่า บ้านของเค้านั้นน่าทึ่งมากๆ โดยถึงจุดที่ว่าได้ยินเข้าหูบ่อยๆว่ามีคนจำนวนมากอยากจะไปลองสำรวจบ้านเค้าดูซักที ฉันจึงเริ่มถามเค้าเรื่องการตบแต่งต่างๆในบ้านของเค้าและท็อปก็เล่าว่า
“หนึ่งในสมบัติล้ำค่าของผมคือเก้าอี้จากปี 1970s เป็นเก้าอี้พรูสต์(Proust chair)ของเก่างานดีไซน์ของคุณ Alessandro Mendini และเพราะมันไม่ใช่เก้าอี้ที่ทำมางานผ้าหลากสีสันแต่เป็นเก้าอี้ที่ถูกลงสีโดยตรงลงบนตัวเก้าอี้เลย ทำให้เวลาที่ผมจับมันไปตั้งไว้หน้ากำแพงที่ว่างเปล่า สีขาว พื้นที่ตรงนั้นก็กลายเป็นชิ้นงานศิลปะไปโดยปริยาย
ในห้องครัว ผมแขวน โคมระย้า Murano (Murano chandelier)ขนาดมหึมาไว้เหนือ โต๊ะงานดีไซน์ของคุณ Prouvé table และรอบๆนั้น ก็จะมีงานประติมากรรมที่ศิลปนชาวญี่ปุ่นคุณ Kohei Nawa สร้างมันขึ้นมาเพื่อผมโดยเฉพาะและผนังแถวนั้นเค้าก็เดินทางมาบ้านผมเพื่อวาดรูปลงไปด้วยตัวเค้าเอง "
ท็อปยังเอ่ยถึงรสนิยมส่วนตัวและความรู้ในเรื่องการตบแต่งภายในอย่างดีว่า
"ผมคิดว่ารอบๆโซฟาที่ทำจากหนัง คุณจะต้องมีการผสมวัสดุต่างๆอย่างเช่น เหล็ก ไม้ และผ้า เข้าด้วยกันเพราะส่วนตัวแล้วผมคิดว่าวัสดุแต่ละประเภทต่างก็มีจุดแข็งที่ต่างมุมมองกันออกไปและเมื่อคุณผสมวัสดุเหล่านี้เข้าด้วยกัน ก็จะทำให้พื้นที่นั้นเต็มไปด้วยพลังงานดีๆออกมาครับ"
ภายใต้การกำกับของท็อปจากนั้นเฟอร์นิจเจอร์และชิ้นงานศิลปะที่เค้าสะสมก็เริ่มกลายเป็นงานชิ้นเอก โดดเด่นในพื้นที่นั้น ด้วยการจัดวาง
ระหว่างที่เค้าพักอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ ท็อปได้เดินทางไป Singapore Tyler Print Institute printmaking workshop รวมถึงชมแกลอรี่ต่างๆอย่าง Singapore Art Museum, Ikkan Art Gallery, และงาน Art Stage Singaporeในการเดินทางครั้งนี้เค้ามีศิลปินชาวญี่ปุ่นคุณ Kohei Nawa และผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์อิสระคุณ Lee Youngjoo มาเป็นเพื่อน
"บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าผมและคุณ Kohei Nawa เราต่างก็มีความต้องการไปในทางเดียวกันที่จะสร้างสรรค์อะไรบางอย่างออกมาผ่านงานศิลปะและงานเพลงก็เป็นได้ครับ เราไปกันได้ดีทั้งๆที่อายุต่างกันถึง 12 ปี เราไม่เพียงแต่คุยกันในเรื่องของงานศิลปะเท่านั้น แต่ ยังคุยกันในเรื่องของการบันทึกเพลงอีกด้วย "
ในขณะที่เดินไปทั่วแกลลอรี่ ท็อปจะหยิบโทรศัพท์ของเค้าออกมาถ่ายรูปทุกครั้งเมื่อเค้าเจอชิ้นงานศิลปะที่เค้าชอบ เมื่อฉันถามเค้าเกี่ยวกับชิ้นงานศิลปะที่สร้างความประทับใจให้กับเค้ามากๆและเป็นงานที่เค้าชอบ เค้ากล่าวสนับสนุนผู้กำกับชาวสิงคโปร์ คุณ Ho Tzu Nyen เจ้าของผลงาน The Cloud of Unknowing’ (2011), และร่วมแบ่งปันความคิดของเค้าโดยกล่าวว่า "ถึงแม้ว่าชิ้นงานนี้จะเป็นชิ้นงานที่อยู่ในขั้นทดลองแต่เป็นงานที่อยู่เหนือสถานที่และเวลา มันเป็นทำให้เกิดแรงบันดาลใจและเป็นวีดีโอที่สร้างความประทับใจครับ "
ภายใน แกลลอรี่ Ikkan ท็อปได้สำรวจงานศิลปะที่สร้างมาจากวีดีโอดอกไม้อย่างระเอียดชิ้นงานนั้นมีชื่อว่า ‘Moving Light Roving Sight’ เค้าถึงกับนอนลงบนพื้นที่เปรียบเหมือนดั่งเตียงที่เต็มไปด้วยดอกไม้โดยมีวีดีโอที่มีดอกไม้ฉายลงบนพื้น ท็อปสร้างความประทับใจสั้นๆด้วยการทำการแสดงเดี่ยวสั้นๆนั้นขึ้น ล้มตัวลงนอนบนทะเลแห่งศิลปะ ห้องโถงนิทรรศการถูกเติมเต็มไปด้วยท่าทางขี้เล่นขอความไร้เดียงสาแห่งวัยเยาว์
ท็อปเล่าว่า " หากพูดถึงเรื่องจิตรกร ผมชอบงานของจิตรกรชาวอังกฤษ Francis Baconและ Cecily Brown และงานของจิตรกรชาวอเมริกัน Mark Rothko ครั้งแรกที่ผมเห็นงานของคุณ Mark Rothko
มันเป็นงานที่เหมือนกับว่าผมกำลังดูโทรทัศน์ที่กำลังปิดอยู่ ซึ่งผมไม่ได้เข้าใจในความหมายของรูปนั้นแต่อย่างใดหรอกฮะ แต่ยิ่งผมมองลงไปมากเท่าไหร่ ผมก็พบว่าหลุมสีดำนั้นก็ยิ่งกลืนผมให้ดำดิ่งลงไปในภาพเขียนมากเท่านั้น ดูเหมือนว่าประสบการณ์ที่สร้างความยินดีแบบนี้มันกระตุ้นผม และทำให้ผมใจเต้นแรงครับ"
ในตอนนี้ ท็อปอยู่ในระหว่างการทำงานอยู่ 2 โครงการ โดยเค้าถูกวางตัวให้ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ร่วมกับผู้ดูแลพิพิภัณฑ์อิสระคุณ Lee Youngjoo ร่วมกันจัดงานแสดงผลงานของกลุ่มศิลปินชาวเอเซีย โดยการคัดเลือกผลงานของศิลปินชาวเกาหลีและชาวญี่ปุ่นมาจัดแสดงในงานนิทรรศการ ท็อปกล่าวว่า " ในสายตาของผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์บางคน คุณอาจจะพูดได้ว่าการจัดเตรียมงานครั้งนี้เป็นการใช้ประโยชน์จากการที่สังคมรู้ดีว่าผมเป็นหนึ่งในสมาชิกวงบอยแบรนด์ระดับเอเซีย และมันดูเหมือนว่างานที่กำลังจะเกิดนี้ไม่มีอะไรยืนยันได้ว่ามันจะเป็นงานที่น่าชื่นชม แต่ยังไงก็ตามแต่ ผมไม่ได้ทำงานนี้โดยหวังในเรื่องของเงินทอง แต่ทำเพื่อความปรารถนาของผมในการที่จะช่วยอุปถัมภ์ร่วมงานนี้เพื่อให้มันเป็นเหมือนหน้าต่างที่จะเปิดตลาดศิลปะให้กับทางศิลปินชาวเกาหลีและชาวญี่ปุ่นให้กว้างขึ้นครับ"
และมีโครงการคือ งานที่ท็อปทำร่วมกับพิพิธภัณฑ์ Vitra ท็อปกล่าวว่า
"เก้าอี้ที่ผมสร้างนั้นจะเป็นเก้าอี้ที่เซ็กซี่โดยได้รับแรงบันดาลใจมากจากภาพเขียนในแนวเหนือจริงของ Dali พวกมันมีรูปร่างเหมือนหยดน้ำหวานจากแมททาลิกไหลไปทั่วตัวเก้าอี้ "
เก้าอี้ตัวนี้ของท็อปจะออกสู่สายตาสาธารณชนในเดือนสิงหาคมและยังมีกำหนดออกแสดงในงานนิทรรศการที่แกลลอรี่ Saatchi ในเดือนกันยายน
"ผมทั้งประหม่าและทั้งความหวังในการที่จะสร้างเก้าอี้ตัวนี้ออกมาจริงๆ ซึ่ง เก้าอี้นี้มันมีความหมายส่วนตัวกับผมโดยมันอยู่ในยุคที่พรมแดนระหว่างศิลปะและการดีไซน์มันหลอมละลายเข้าด้วยกันครับ"
ในตอนนี้ ท็อปอยู่ในกระบวนการที่เข้าร่วมประชุมกับทางทีมงานของพิพิธภัณฑ์ Vitra ทุกๆอาทิตย์เพื่อโครงการออกแบบและสร้างเก้าอี้ตัวนี้ให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
ท็อปรับหน้าที่ เป็นแร๊พเปอร์ให้กับวงบิกแบง แต่ท็อปนั้นมีความสุขในการฟังเพลง แจ๊สและบลู เค้าชอบฟังเพลงของ Frank Sinatra, Ray Charles, และเพลงบลูจากยุค 1960s
“ผมมักจะฟังเพลงคลาสลิกเสมอๆด้วยเหมือนกันครับ อย่างเพลงของ Bach มันไม่ใช่ว่าผมพยายามจะทำตัวหัวสูงหรอกนะครับ แต่ผมทำเพลงฮิบฮอบมาตั้งแต่ยังเด็ก ดูเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในใจผม มันเกรี้ยวกราดอยากจะเป็นอิสระ และนั่นทำให้ หลังจากที่ผม จัดระเบียบทั้งภายในภายนอกร่างกายตัวเองอย่างเข้มงวดแล้ว โดยการฟังเพลงคลาสลิกและสวมสูทอย่างเนี๊ยบ ผมพบว่ามันทำให้ใจผมเบาขึ้นฮะ
ดูเหมือนว่า รสนิยมในการฟังเพลงจากยุค 1950s และ 60s ณ จุดนึงได้สร้างความลุ่มหลงให้กับเค้าที่อายุเดินทางมาถึงช่วงปลายอายุ 20 แล้ว และการตระหนักรู้ของเค้าในเรื่องที่ว่าความจริงแล้วการออกแบบและงานศิลปะที่อยู่เหนือกาลเวลาจะได้รับความรักและความชื่นชมเป็นเวลานานนั้น ทำให้ฉันคิดว่า ท็อปบิกแบง หรือ จะว่า คุณชเวซึงฮยอนคนนี้กำลังปีนขึ้นไปทีละเล็กทีละน้อยสู่ความฝันของเค้าในการที่จะเป็นเจ้าของแกลลอรี่ คุณชเวซึงฮยอนคนนี้คงจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเค้าออกมาในอนาคตอันใกล้จากนี้ไปแน่นอน
================
Original source: http://www.maisonkorea.com/trend/trand_view.aspx?IPAGE=1&seq=7778&bd_no=04010000
English translation by @kwonaventure
Thai translaton by miss mew
วันเสาร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
(Part 2 ) สัมภาษณ์ท็อป ในวันเปิดตัวภาพยนตร์ Tazza2 จาก 10Asia (2014/09/12)
Q: ดูเหมือนว่าเป็นเพราะการที่ไม่ใช้ชีวิตในทางที่เสี่ยงแบบนี้ของคุณ ทำให้ผู้กำกับคุณ Kang Hyeongchulเคยพูดถึงคุณไว้ว่า "ชเวซึงฮยอนนั้นมีนิสัยใกล้เคียงกับความเป็นศิลปินมากกว่าผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิค " ฉันรู้มาว่าคุณชอบคุณ Jean Prouvé ซึ่งเป็นสถาปนิกมาก โดยคุณ Prouvé เป็นสถาปนิกที่เน้นในเรื่องความสมดุลของความงามในแบบศิลปะกับการเป็นไปได้จริงในทางปฏิบัติ ในฐานะศิลปิน ความสมดุลของเรื่องใดบ้างที่คุณเห็นคุณค่ามันคะ??
CSH: การเป็นสิ่งที่ถูกขัดเกลาสละสลวยเพียบพร้อมและทุกอย่างต้องดูเรียบง่ายครับ ก็เหมือนกับศิลปินที่ขายสิ่งที่เค้าวาดออกมา เหมือนกับผู้ที่ทำงานประติมากรรมขายสิ่งที่เค้าลงมือปั้นออกมา ตัวผมอยู่ในสายอาชีพที่จะต้องสร้างสรรค์และขายตัวเองออกมาให้ได้ และเพราะเป็นแบบนี้ผมหวังมากๆอยากให้ตัวเองเป็นคนที่ดูไม่เยอะมากไป ระยะนี้ผมกระหายอยากให้ตัวเองเป็นคนแบบนั้นให้ได้ ยังไงก็ตาม ทำไมวันนี้ผมพูดแต่อะไรลึกซึ้งๆออกมาละครับเนี่ย?? อ่าา ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรหรอกครับ ผมชอบนะ มันกระตุ้นให้เกิดความคิดหลายๆอย่างออกมา
Q: ระหว่างคนที่มีอายุมากกว่า หรือ กับคนที่อายุน้อยกว่า คนในกลุ่มไหนที่เข้ากับคุณได้มากกว่ากันคะ??
CSH: เหมือนกันทั้งสองกลุ่มแหละครับ อายุอารมณ์และจิตใจของผมต่ำมากเลยละครับ ดังนั้นผมจึงเข้าได้ทั้งกับเพื่อนที่อายุมากกว่าและคนที่อายุน้อยกว่าผม แต่กลายเป็นว่าเข้ากันไม่ค่อยดีกับคนที่อายุเท่าๆกัน
Q: ดูอายุทางอารมณ์และจิตใจคุณไม่ได้ต่ำเลยนะคะ ??
CSH: ต่ำครับ มีหลายครั้งที่ผมจะสัพเพร่า และผมมักจะมีความคิดที่ไม่สามารถนำมาปฏิบัติใช้ได้ในชีวิตจริงเสมอๆ ผมไม่ใช่คนที่มีเหตุผลอยู่ตลอดเวลา และนั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม ผู้กำกับคุณ Kang Hyeongchul ถึงได้บอกว่าผมไม่ใช่คนที่จะเชี่ยวชาญทางด้านเทคนิค เพราะผมไม่ใช่คนที่จะเคลื่อนไหวไปในเส้นทางที่คำนวณไว้อย่างดีเท่านั้น บางครั้งผมยังเป็นคนที่ลำเอียงมากๆเลยนะครับ
Q: มุมนั้นของคุณคงแสดงออกมามากเลยในงานของคุณใช่ไม๊คะ เพลงเดี่ยวของคุณ “Doom Dada” ที่ออกมา ก็ดูจะเป็นด้านขบถเล็กๆของคุณเช่นกัน ในตอนที่ดู MV นั้น ฉันคิดว่า " ชเวซึงฮยอนทำเพลงในขณะที่ในใจคิดภาพเหล่านี้อยู่ในหัวสินะ "คือนี่สินะภาพที่คุณคิดอยู่ในขณะที่ทำเพลง
CSH: ใช่ครับ ผมมักจะคิดถึงภาพต่างๆในขณะที่ทำงานเพลง เพลงและภาพต่างๆมักจะมาพร้อมกันเสมอ
Q:ถ้าเป็นแบบนั้น งั้นก็หมายความว่าเราไม่ควรแค่ฟังเพลงของคุณเท่านั้นแต่ควรจะต้องดูภาพที่ออกมาจากเพลงด้วยใช่ไม๊คะ?
CSH:ผมคิดว่าคุณควรจะทำแบบนั้นแหละฮะในยุคนี้ ผมจินตนาการไปว่าในอนาคตจะยิ่งกว่านี้อีกฮะ ผมคิดว่ายุคที่เสียงเพลงจะเป็นเหมือนกับชิ้นงานศิลปะในรูปแบบวีดีโอที่ไม่มีขอบเขตจำกัดนั้นกำลังจะต้องมาถึงแน่ๆ เพราะในตอนนี้ มีทำนองและเพลงดีๆออกมาแล้ว ผมคิดว่าจะเป็นการยากขึ้นไปอีกในการที่ทำเพลงที่มีความสละสลวยออกมาหากผู้คนเริ่มฟังในสิ่งที่ไม่ได้ถูกผูกมัดไว้กับอะไรทั้งสิ้น
Q: ในเนื้อเพลง ‘Doom Dada,’ ที่ว่า " ผมเป็นชาวเกาหลีในยุคศตวรรษ 21ที่ไม่ธรรมดา เป็นเหมือน Rap Basquiat ที่ถือไมด์ไว้ในมือ "คุณชื่นชอบ คุณ Basquiat เหรอคะ?
CSH: เหตุผลที่ผมพูดถึง Basquiat ออกมาในเพลงเป็นเพราะในช่วงที่ผมทำเพลง ‘Doom Dada, ’ผมคิดไปถึงว่าผมอยากจะทำเพลงที่ผู้คนจะไม่ค่อยชอบฟังมันได้จริงๆหรอกออกมา ซึ่งถ้าจะพูดว่าสิ่งที่ผมพูดออกมานี่ไม่ได้เป็นประเด็นอะไรในตอนนี้เลย ผมคงพูดโกหกอยู่ละครับ
เพราะในช่วงนั้น ผมคิดว่าทุกคนถูกจัดกลุ่มและแสดงออกมาเหมือนๆกันไปหมด และถ้าเกิดอะไรที่ทำแล้วได้รับความโด่งดังขึ้นมา จากนั้นทุกอย่างในอุตสาหกรรมเพลงในประเทศของเราก็จะรีบเลียนแบบทำตามกันไปหมดในทันที เมื่อผมเห็นแบบนี้ผมไม่ต้องการที่จะไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการนี้เลย ผมคิดว่ามันดูอนาจน่าเวทนา ผมคิดจริงๆว่านี่เป็นสิ่งที่เบี่ยงเบนไปจากธรรมชาติ ดังนั้นผมจึงหวังว่าจะสร้างเด็กที่มันเกิดขึ้นจากสถานการณ์ที่มันแปลกๆแบบนี้ออกมาเพื่อสื่อไปถึงเหตุการณ์เบี่ยงเบนที่มันเกิดขึ้นในวงการเพลง นอกจากนี้ผมอยากที่จะสร้างงานออกมาให้ดูดิบๆแบบเร่งรีบทำ เหมือนกับงาน graffiti ของคุณ Basquiat ออกมาด้วยฮะ
Q: เป็นการอุปมาเปรียบเทียบได้อย่างวิเศษไปเลยนะคะ แต่พวกคนดังโดยเฉพาะวงไอดอล อยู่ในตำแหน่งที่พวกเค้าเป็นคนสร้างกระแสสร้างเทรนขึ้นมาเองไม่ใช่เหรอคะ??
CSH: พูดตามตรงนะครับ ผมไม่เคยคิดแม้แต่ครั้งเดียวเลยว่าตัวเองหรือว่าวงบิกแบงเป็น ไอดอล ผมแค่คิดว่าเป็นเพราะยุคนี้เป็นยุคที่วงบอยแบรนด์นั้นถูกโปรโมทอย่างดี เราเลยมาอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก็เท่านั้น บางทีถ้าผมมัวแต่คิดว่าตัวเองเป็นไอดอล บุคลลิกท่าทางของผมในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของบิกแบงหรือ ภาพของบิกแบงทั้งทีม คงไม่ออกมาดีเท่าไหร่นักนะครับ
Q: คุณพูดว่าคุณอยากจะสร้างงานออกมาให้ดูดิบๆแบบเร่งรีบทำ ให้มันแตกต่างไปจากสิ่งที่ถูกทำเลียนแบบกันมาจนเกร่อ ซึ่งคำพูดนี้ดูเหมือนว่า คุณจะไม่ได้หมายความว่า อยากจะเปลี่ยนแปลงวงการเพลงนี้หรอก แต่กลับหมายถึงว่า ตอนนี้คุณจะเดินไปตามทางของตัวเองมากกว่า ไม๊คะ?
CSH: หากจะให้ผมพูดแบบตรงๆและดูจะโหดไปซักหน่อย แต่จริงๆแล้วเพลง ‘Doom Dada’ เป็นเพลงที่บรรยายถึงประเด็นสำคัญที่เป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงไม่ชอบการทำงานเพลงออกมาฮะ ในตอนนั้นผมคิดว่ามันเป็นช่วงที่เบี่ยงเบนไปจากปกติจริงๆที่ไม่มีใครพยายามที่จะสร้างอะไรใหม่ๆออกมาเลย
Q: แล้วกับการแสดงละคะ?? คุณคิดว่าตัวเองเปลี่ยนแปลงไปยังไงในแง่มุมของการแสดง??
CSH: ผมก็ยังไม่รู้หรอกครับ แต่ผมรู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้นทีละหน่อยๆ "ในตอนนี้"มันสนุกดีครับ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องพูดว่า ในตอนนี้ ออกมา แต่ผมต้องการที่จะทำมันต่อไปในตอนที่มันสร้างความสนุกให้กับผมและในขณะที่มีคนต้องการอยากจะเห็นผมแสดงอยู่ครับ
Q: แล้วเรื่องดนตรีละคะ มีคำว่า "ในตอนนี้" เหมือนกันไม๊??
CSH: เหมือนกันครับ ผมคิดว่าไม่ว่าจะเป็นงานเพลงหรือการแสดง ก็ล้วนเหมือนกัน ในอดีตผมมองว่าพวกมันแตกต่างกัน แต่ณ จุดนึงความคิดของผมก็เปลี่ยนไปครับ เพราะงานทั้งสองอย่างนั้นล้วนเป็นวิธีการที่ผมใช้ในการบรรยายตัวตนออกมา ดังนั้นถ้าผมไม่มีความสุขสนุกที่จะทำพวกมันแล้ว ผมก็จะหยุดทำโดยจะไม่มาเสียใจทีหลังเลยละครับ
Q: คุณเป็นคนที่ตรงไปตรงมามากจริงๆ // Daegil ในภาพยนตร์ได้บอกกับ Heo Mina (ที่แสดงโดยคุณ Shin Sekyung) ผู้หญิงที่ได้ช่วยชีวิตเค้าเอาไว้ว่า " ชีวิตของผมเป็นของคุณ " และทำทุกอย่างเพื่อเธอ ในชีวิตของคุณคุณมีคนคนนั้นที่คุณจะยอมเอาทุกอย่างเข้าเสี่ยงเพื่อคนคนนั้นไม๊คะ?? ผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้ค่ะ
CSH: ไม่ครับ ไม่
Q: แม้ว่าคนคนนั้นจะยอมสละทุกอย่างเพื่อคุณได้นะคะ??
CSH: คือ พูดจริงๆนะครับ ผมยังไม่เจอคนคนนั้นเลยละครับ เลยเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงไม่ยอมทำแบบนั้นหรอกครับ
Q: อืมมม คนประเภทไหนค่ะ ที่ดึงดูดความสนใจจากคุณได้?
CSH: ในผู้หญิงและผู้ชายก็ต่างกันไปนะครับ ในกรณีที่เป็นผู้ชาย ผมชอบคนที่อดทนและใจกว้าง ผมจะเข้ากับคนที่ใฝ่รู้และชอบศึกษาในสิ่งใหม่ๆ คนที่อยากจะรู้ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากขึ้นๆ สำหรับเพศตรงข้าม ผมชอบผู้หญิงที่ดีครับ เมื่อก่อนผมเคยคิดเรื่องของรูปร่างหน้าตาลักษณะภายนอกเอาไว้ แต่ตอนนี้นอกเหนือสิ่งอื่นใดเลยคือ เธอจะต้องเป็นคนดีฮะ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ไม่มีผู้หญิงที่ดีจริงๆเลยละฮะ
Q: โดยทำร้ายมามากสินะคะเนี่ย (หัวเราะ)
CSH:(หัวเราะ) ไม่ใช่แบบนั้นหรอกฮะ ผมไม่ได้มีความสัมพันธ์กับใครเยอะขนาดนั้นครับ และผู้หญิงที่ผมเคยเดทด้วยก็ล้วนเป็นคนดี แต่เมื่อคิดว่าตอนนี้ทำไมผมถึงไม่ได้เดทกับใครมาเป็นเวลานานมากๆแล้วก็ได้คำตอบว่า น่าจะเป็นเพราะ ผมไม่มีโอกาสได้เจอกับผู้หญิงดีๆเลยครับ จะให้นิยามคำว่าดีเหรอครับ?? อ่า ดีเหรอ อืมมม ดี คือ เป็นคนที่จิตใจดีมั้งครับ??
Q: (หัวเราะ) งั้นตัวคุณคิดว่าตัวเองเป็นคนจิตใจดีเหรอคะ??
CSH: ก็ถ้าให้คิดเรื่องนี้ ผมว่าตัวเองก็เป็นคนดีนะครับ (หัวเราะ) ผมไม่สามารถคิดเรื่องร้ายๆออกมาได้ฮะ ผมไม่มีด้านสุนัขจิ้งจอกในตัวเลยแม้แต่น้อย
Q: ก็เข้าใจได้อยู่นะคะว่าทำไมคุณถึงคิดว่าตัวเองเป็นคนดี ฉันเลยถามละค่ะ ซึ่งคุณก็ดูเป็นคนดีจริงๆ แต่ยังไงก็ตามแต่มันดูเป็นเรื่องน่าเศร้านะคะที่ตอนนี้คุณยังไม่มีคนคนนั้นที่คุณจะยอมเสี่ยงทุกอย่างในชีวิตเพื่อเธอ
CSH: ผมมีนิสัยในแบบหนุ่มโสดละครับ ผมไม่อยากจะเอาชีวิตลงไปพนันกับคนคนนึง ผมไม่ชอบที่จะเป็นภาระใครและไม่อยากจะหาภาระมาใส่ตัวด้วย พูดจริงใจไปไม๊ครับเนี่ย คือ แต่ผมคิดว่าส่วนที่เลวร้ายที่สุดของการแต่งงานคือ การที่ต้องตื่นมาในตอนเช้าและต้องอยู่ในที่ที่นึงที่จะต้องเจอคนคนนึงไปตลอดกาล (ถอนหายใจยาว)
Q:แบบนั้นคุณควรจะอยู่คนเดียวจริงๆแหละค่ะ ไม่ก็ต้องทำบ้านแบ่งกันอยู่คนละชั้น ไม่ก็มาเป็นแฟนกันเฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์
CSH: ผมคิดว่านิสัยตัวเองเป็นแบบนั้นแหละครับมันเลยทำให้การแต่งงานเป็นเรื่องที่เข้มงวดเกินไปสำหรับผม ผมสงสัยว่าการแต่งงานไม่ใช่การที่เราต้องเอาทุกอย่างลงมาพนันหรอกเหรอฮะ?? แล้วถ้าเป็นแบบนั้น การที่จะต้องแต่งงานก็จะต้องหมายความว่าผมจะต้องเอาทุกอย่างที่ผมมีลงมาเสี่ยงจริงๆใช่ไม๊ละฮะ
Q: คุณพูดว่าตัวเองรักอิสระ แต่ตอนนี้ตัวคุณก็อยู่ภายใต้สังกัด YG นะคะ ซึ่งก็ถือว่าเป็นบริษัทตัวแทนศิลปินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศของเราในตอนนี้ แต่ถึงแม้ว่าวายจีจะมีการจัดการที่มีแนวโน้มให้อิสระสูง แต่ฉันเชื่อว่าคุณก็ไม่สามารถที่จะเพิกเฉยในสิ่งที่บริษัทพูดเวลาที่คุณจะต้องโปรโมทเพลงหรอกจริงไม๊คะ?
CSH: คือ จากคนทั้งบริษัทนะครับ คนที่ไม่เคารพคำพูดจากบริษัทมากที่สุดน่าจะเป็นผมนี่แหละครับ (หัวเราะ) ช่วงก่อน ทาโบลฮยองก็พูดอะไรทำนองนี้ออกมานะครับ เค้าพูดว่า "นายปฏิเสธบ่อยมากจริงๆ" นอกจากนี้ผมยังได้ยินอีกนะครับว่าพวกเค้าคุยกันว่าผมเป็นคนนอก แต่เป็นเพราะบริษัทเข้าใจในนิสัยของผมดีมากๆในตอนนี้ พวกเค้าเลยไม่ได้บังคับให้ผมทำอะไรอีกต่อไป หรือ ทำอะไรทำนองนั้น กับผมครับ
Q:เมื่อไหร่ที่เราจะได้ฟังอัลบั้มเดี่ยวของคุณคะ??
CSH: ตอนที่ผมต้องการจะปล่อยมันออกมาฮะ เพลงก็อยู่ตรงนั้นแหละฮะ ผมสามารถที่จะทำให้มันสำเร็จลุล่วงได้ทุกเมื่อ ถ้าจะให้ผมออกอัลบั้มนี้ให้เร็วที่สุดในตอนนี้ มันสามารถพร้อมที่จะออกมาใน 2-3 อาทิตย์ที่จะถึงนี้เลยละครับ
Q:แต่นิสัยหนึ่งของคุณคือคุณจะไม่ปล่อยผลงานใดๆออกมา ถ้ายังไม่ได้มีการเตรียมการมาอย่างสมบูรณ์แบบไม่ใช่เหรอคะ?
CSH: แล้วผมไม่ใช่คนที่พร้อมเสมอหรอกเหรอครับ?? (หัวเราะ) เมื่อเป็นเรื่องเพลง ผมพร้อมเสมอครับ
Q: แล้วถ้าเป็นเรื่องการแสดงละคะ??
CSH: การแสดงต้องการเวลาเยอะมากๆในการวิเคราะห์ตัวบทครับ และไม่เหมือนกับงานเพลง การแสดงไม่ใช่งานที่คุณจะลงมือทำในแบบที่คุณอยากจะทำได้ การทำงานนี้คุณต้องก้าวเข้าไปในโลกที่ผู้กำกับได้คิดไว้แล้ว และเป็นตัวผู้กำกับมากกว่าที่จะวางแผนให้คุณบรรยายเรื่องในโลกนั้นออกมาในแบบที่เค้าต้องการ สิ่งที่คุณต้องทำคือ คอยมอบท่าทางการแสดงที่เค้าต้องการออกมา ด้วยความเคารพนะครับ งานนี้เป็นงานที่น่ากลัวจริงๆ
กับงานเพลง หากคุณพลาด คุณก็แค่พูดว่า "เป็นความผิดของผมเองครับ" ไม่ก็ "ผมทำไปในแบบที่เป็นตัวตนของตัวเองมากไปครับ" แต่กับภาพยนตร์เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับคนมากมาย ไม่ใช่อะไรที่ผมจะสามารถทำไปในแบบของตัวเองได้เลยฮะ
Q:โลกแห่งการแสดงเป็นโลกประเภทไหนกันคะ??
CSH: เป็นโลกแห่งความตื่นเต้นครับ เหมือนกับบทพูดในเรื่องTazza ที่ว่า "สไตล์ในการทำงานของผมคือ ทำงานเพื่อจะได้พบกับความตื่นเต้น ไม่ใช่ทำเพราะเงิน "
==============
English Translation by kwonaventure
Thai Translation by Miss mew
Original source:http://tenasia.hankyung.com/archives/315193
สามารถอ่านพาร์ทแรกที่ออกมาก่อนได้ตามนี้ค่ะ พาร์ทแรก
(Part 1) สัมภาษณ์ท็อป ในวันเปิดตัวภาพยนตร์ Tazza2 จาก 10Asia (2014/09/12)
Q: คุณดูเหนื่อยนะคะ และ สภาพผิวของคุณก็ดูจะแย่ด้วย นอนหลับบ้างไม๊คะเนี่ย??
CSH: ช่วงนี้ผมแทบจะไม่ได้นอนเลยครับ ผมมีงานตามตารางที่ต่างประเทศในช่วงสุดสัปดาห์ หลังจากที่กลับมาจากต่างประเทศผมก็จะร่วมกิจกรรมโปรโมทภาพยนตร์ต่อ แต่วันนี้เป็นวันที่ภาพยนตร์จะออกฉายครับ ดังนั้นผมจึงตื่นเต้นมากๆ เพราะงานนี้เป็นงานที่ผมกระตือรือร้นและกังวลเกี่ยวกับมันมาตั้งแต่เริ่มแรก ผมอยากจะให้ผู้ชมได้ดูหนังเร็วๆ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นผมคิดว่า ตัวเองจะรู้สึกโล่งอกนะครับ
Q: คุณบอกว่า "รู้สึกกังวล" เกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้ ความกังวลนั้นเป็นความกังวลที่ข่มขวัญคุณ หรือยิ่งเป็นแรงกระตุ้นคุณคะ??
CSH: มันเป็นแรงกระตุ้นผมนะครับ เป็นไปในทิศทางนั้นมากกว่าที่จะข่มขวัญ
Q: ก่อนที่งานเพลงจะถูกปล่อยออกมา ความคาดหวังอยากรู้อยากเห็นรอบๆตัวคุณก็ยิ่งใหญ่ทีเดียวซึ่งดูๆไปแล้วเหมือนจะเป็นภาระที่หนักอึ้งให้กับคุณ แต่ในกรณีงานด้านการแสดงนี้ปฏิกริยาของคุณกลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม ซึ่งถึงยังไงๆมันก็ดูเขย่าขวัญไม่น้อยนะคะ
CSH: พูดตรงๆนะครับ สาธารณชนชอบจะที่เห็นความถ่อมตัวเข้าไว้เป็นหลัก ดังนั้นผมเลยไม่ได้แสดงออกไปให้เห็นตรงๆ แต่ตัวผมเองเป็นคนที่มีความมั่นใจอยู่เสมอ สไตล์ของผมคือ ถ้าตัวผมเองไม่มีความมั่นใจที่มั่งคงอยู่กับตัว ตัวผมเองคงไม่สามารถพัฒนาไปข้างหน้าได้ อีกอย่างผมรู้สึกถึงเรื่องในอนาคตได้ด้วยสัญชาตญาณระดับหนึ่ง ดังนั้นเรื่องแบบนี้น่าสนใจสำหรับผมครับ เพราะก่อนที่ผลลัพท์จะออกมา ก่อนที่ผู้คนจะได้เห็นหรือได้ฟังอะไร ผู้คนก็มักจะมีความคิดเห็นและมีเรื่องให้พูดออกมาก่อนเสมอ ซึ่งสำหรับผมมันน่าสนใจจริงๆ
Q: ในแง่ที่ผู้คนมีเรื่องพูดไปก่อนที่ได้เห็นผลงาน มีหลายกรณีนะคะที่พวกเค้าพูดออกมาจากพื้นฐานความอคติที่คิดไม่ดีอยู่ก่อนแล้ว ถึงเป็นแบบนั้น คุณก็ยังคิดว่ามันเป็นเรื่องน่าสนใจอยู่เหรอคะ??
CSH: ผมคิดว่า เพราะการที่มีอคติอยู่ก่อนแล้วแบบนั้นเลยทำให้ผมไม่สามารถพอใจในตัวเองได้ บางทีเพราะอคตินั้นยิ่งทำให้ผมเป็นเดือดเป็นร้อนมากขึ้น ในสภาวะที่มีการตัดสินด้วยอคติมันทำให้ผมเป็นผู้กล้ามากขึ้น ผมคิดว่าการที่มีอาชีพเป็นนักแสดง หรือนักดนตรี คุณจำเป็นต้องออกไปต่อสู้กับการตัดสินที่เต็มไปด้วยอคติแบบนั้นอยู่เสมอครับ
Q: คุณพูดว่า "ถ้าคุณไม่มีความมั่นใจที่มั่งคงอยู่กับตัวแล้วละก็ คุณจะไม่สามารถพัฒนาไปข้างหน้าได้" เมื่อเป็นแบบนี้ ความมั่นใจอะไรที่คุณเห็นในภาพยนตร์เรื่อง Tazza2 ที่จะพาคุณก้าวไปข้างหน้าได้คะ
CSH: คงเป็นพลังงานที่มากับผู้กำกับคุณ Kang Hyeongchul มั้งครับ? ครั้งแรกที่ผมได้รับบทนี้มาผมคิดว่าตัวเองจะไม่สามารถทำได้แน่ๆ ผมคิดว่ามันมีสัญญาณบอกเอาไว้เลยว่าถ้าผมรับแสดงเรื่อง Tazza2 มันจะต้องเป็นเกมส์ที่ผมต้องสูญเสียอย่างมากแน่ๆแทนที่จะได้รับอะไรกลับมามากมาย และผมยังรู้สึกหวั่นใจด้วยว่าตัวเองจะแสดงภาพและเรื่องราวชีวิตของ Ham Daegil ออกมาได้อย่างถูกต้องรึเปล่า??
แต่ในตอนที่อ่านบทที่ผู้กำกับส่งมาให้ มันดูจะสนุกมากๆ ผมรู้สึกกลุ้มคิดหนักอยู่ประมาณ 4-5 เดือนจึงตัดสินใจไปพบผู้กำกับโดยตรง และในตอนที่ผู้กำกับยื่นบทมาให้ผมเค้าพูดว่า "บทภาพยนตร์เล่มนี้มันบรรจุชีวิตของผมในช่วงปีที่แล้วไว้ทั้งหมด โปรดตอบรับบทนี้ด้วยนะครับคุณซึงฮยอน ผมหวังจริงๆว่าบทนี้จะเป็นของคุณ คุณซึงฮยอน "
Q: โอ้, คำพูดนี้ต้องเป็นคำพูดที่จับใจคุณซะอยู่หมัดแน่ๆ
CSH:เค้าเป็นคนแรกที่พูดคำพูดทำนองนี้กับผมครับ ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะเค้าพูดเอาใจผมหรือยังไง แต่ในใจของผมผมรู้สึกขอบคุณมากจริงๆ
Q: ดูเหมือนผู้กำกับ Kang Hyeongchul จะเป็น ทัดช่า ตัวจริงนะคะเนี่ย (หัวเราะ)
[T/N: “tazza” (ทัดช่า) หมายถึงคนที่ใช้กลหลอกคนอื่นในเรื่องการพนันได้ดีมาก]
CSH: ดูเหมือนจะเป็นยังงั้นนะครับ (หัวเราะ) ในตอนที่ผมรับเอาบทจากมือผู้กำกับมา ผมมองตรงลงไปที่ตาของเค้าและดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจ เค้าดูมั่นใจกับมันมากๆ เค้าไม่แม้แต่จะแสดงออกให้เห็นถึง 0.01% ของความหวาดหวั่นออกมาเลย
มีคนเคยพูดกันอยู่ไม่ใช่เหรอครับว่า คนที่มีความมั่นใจตามธรรมชาติเต็ม 100%นั้นไม่ว่าใครก็ฉุดรั้งไว้ไม่ได้?? ดังนั้นผมจึงกลับบ้านไปและอ่านบทนั้นใหม่อีกครั้ง และ ผมไม่รู้ว่าพลังจากตัวผู้กำกับส่งผ่านมายังตัวผมหรือยังไง แต่ผมกลับสร้างความมั่นใจในตัวของบทบาทนี้ขึ้นมาและลงเอยรับแสดงภาพยนตร์เรื่อง Tazza 2 นี้ครับ
Q: พูดตรงๆ บทบาทของคนอย่าง Daegil เป็นคนที่ไม่ได้ดูอึดอัดที่จะเต้นจะร้องเพลงไปกับวงบิกแบงนะคะ แถมเสื้อผ้าของเค้าและนิสัยใจคอก็ดูจะเป็นแบบนั้นด้วย
CSH: ฮะถูกต้องครับ จริงๆนั่นเป็นเหตุผลที่ผู้กำกับกับผมได้ปรึกษากันในมุมมองนั้นเยอะมากๆ ตามแหล่งข้อมูลแล้วในหนังสือ เนื้อเรื่องถูกเซตให้เกิดขึ้นในปี 80 แต่ในเวอร์ชั่นของผุู้กำกับ Kang Hyeongchulแล้วเนื้อเรื่องดำเนินในยุคปัจจุบัน
ก็มีเรื่องที่กังวลกันอยู่เหมือนกันว่าอะไรที่จะมาเป็นตัวแยกแยะบุคคลิกของ Daegil ที่มันแตกต่างไปจากตัวของ Goni ในภาคที่แล้ว ซึ่ง Daegil นั้นเป็นคนง่ายๆไม่ยุ่งยาก เค้าชอบผู้หญิง เค้าใช้ชีวิตอย่างลำบากหาเงิน และเค้าเป็นผู้ชายที่จะแต่งเนื้อแต่งตัวเมื่อมีเงิน เราต่างก็กังวลว่า daegil ในเวอร์ชั่นภาพยนตร์ที่ใช้ชีวิตอยู่ในยุคปัจจุบันจะแต่งตัวออกมาในรูปแบบไหน และมาจบที่เค้าจะแต่งตัวด้วยสีสันที่สดใส ในฉากที่ Daegil เล่นพนันและชนะที่กังนัมและเปลี่ยนการแต่งตัวซะใหม่ ฉากนั้นผมรู้สึกเข้าใจในบทบาทอย่างถ่องแท้เหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องราวชีวิตของตัวผมเองจริงๆ เพราะในความเป็นจริงแล้วผมก็เป็นแบบนั้นเหมือนกันครับ
Q: Oh Jangbeomคนที่มีความรับผิดชอบสูงมากๆ จาก เรื่อง ‘Into the Fire / Lee Myunghoon ผู้เงียบขรึมและเน้นไปที่การกระทำมากกว่าคำพูดจากเรื่อง ‘Commitment / หรือ Ham Daegil ผู้ซึ่งโปรดปรานในสิ่งที่ท้าทาย จากเรื่อง ‘Tazza’ ทั้งสามบทบาทนี้ คนไหนที่มีความใกล้เคียงกับชเวซึงฮยอนที่สุดคะ ?
CSH: ผมคิดว่า ความที่เป็นคนที่ไม่เกรงกลัวเรื่องใดๆทั้งสิ้นของผมนั้นเหมือนกับ Ham Daegilครับ ผมมักจะมีความมั่นใจเสมอ แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าที่ตัวเองมีความมั่นใจมากแบบนี้เป็นเพราะความจริงที่ว่าผมเป็นคนไม่ได้มองกาลไกลเท่าไหร่หรือเปล่า เหมือนกับ daegil ก็เหมือนกัน ซึ่งก็ถือว่าโชคดีมากๆเพราะจนถึงตอนนี้ผมยังไม่เคยประสบกับความล้มเหลวเลย ผมสงสัยว่าที่ตัวเองมั่นใจมากๆเป็นเพราะผมไม่มีความกลัวว่าตัวเองจะล้มเหลวรึเปล่า?? หรือ พูดอีกที ที่ผมไม่มีความกลัวว่าจะล้มเหลว เพราะผมไม่มีความทะยานอยากจะสำเร็จด้วยก็เป็นได้
Q: อาจจะเป็นเพราะคุณเป็นคนที่ประสบความสำเร็จอยู่แล้วก็ได้นี่คะ?
CSH: ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ ผมคิดว่าการที่ผมสามารถพูดออกมาแบบนั้นได้ก็เพราะผมไม่รู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้วตั้งหาก ถ้าผมประสบความสำเร็จแล้วจริงๆ ผมคิดว่าผมคงจะมีความหวั่นใจกลัวอยู่เรื่อยๆ แต่ผมไม่มีความกลัวนั้น บางที ดูแล้วเหมือนกับว่าผมไม่กลัวที่จะต้องสูญเสียตำแหน่งใดๆไป เพราะตำแหน่งที่ผมยืนอยู่นี้ยังไม่ได้เข้าขั้นใดเลยก้ได้ฮะ
Q: คำพูดเหล่านั้นหมายความว่า "หากคุณปีนขึ้นไปสู่ยอดเขาสูงสุดได้แล้ว ก็ย่อมจะต้องมีความกังวลหวั่นใจว่าอาจจะตกจากยอดเขานั้นไป" ถูกไม๊คะ?
CSH: ถูกต้องครับ ผมคงจะคิดจินตนาการว่าตัวเองคงจะต้องกังวลใจแน่ๆ แต่ในเมื่อผมไม่มีความคิดความกังวลแบบนั้นอยู่เลย นั่นก็แสดงว่าตัวผมเองยังไม่ได้ประสบความสำเร็จใดๆเลยนั่นเอง
Q: โอ้ แล้วแบบนี้ จุดไหนกันและคะที่จะทำให้คุณคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้ว (หัวเราะ)
CSH: ผมไม่ได้มีจุดที่คิดไว้หรอกครับ แต่ยังไงก็ตามแต่คุณลองดูก็แล้วกันครับ ผมไม่คิดว่าตัวเองมีความคิดในเรื่องของความสำเร็จหรือความสัมเหลวเลย ผมแค่ทำทุกอย่างไปตามสถานการณ์เฉพาะหน้าที่มีในมือเท่านั้น อ่าา ผมไม่รู้เหมือนกันครับ ทุกครั้งที่ผมเริ่มพูดมันมักจะ "ลึกซึ้ง" จนเกินไปทุกที
Q: งั้นเรามาพูดในเรื่องลึกซึ้งๆมากขึ้นดีกว่า คุณเคยพูดในการสัมภาษณ์จากภาพยนตร์เรื่อง ‘Commitment’ ว่า " ผมคิดว่าตัวเองเป็นคนที่จะต้องอยู่กับความเหงา " ความรู้สึกของคุณตอนนี้ยังเหมือนเดิมไม๊คะ??
CSH: คือ แทนที่จะพูดว่าผมจะต้องอยู่อย่างเดี่ยวดายด้วยความหมายตรงๆแบบนั้น คือ จะพูดยังไงดีละครับเนี่ย?? อ่าา คือ ผมคิดว่ามันจะตรงความหมายชัดเจนมากกว่าที่จะพูดว่า ผมไม่ควรที่จะทำตัวสบายๆหรือสงบจนเกินไปมากกว่าครับ เพราะ สไตล์ของผมคือ ผมจะขี้เกียจถ้าอยู่ในภาวะที่สบายๆ ครับ
Q: Daegil เป็นคนที่มักจะกลับมาสู้ได้เสมอเหมือนกับตุ๊กตาล้มลุกแม้ว่าจะต้องตกไปสู่ขุมนรกก็ตาม แต่คนอย่างชเวซึงฮยอนผู้ซึ่งไม่เคยเผชิญกับความล้มเหลวเลยละคะ จะทำยังไงหากถึงจุดจุดนึงที่คุณต้องจบลงด้วยความเหนี่อล้าทั้งกายและจิตใจ??
CSH:ผมคิดว่าตัวเองก็สามารถที่จะกลับมายืนได้ใหม่อีกครั้งนะครับ แต่ผมคงไม่เดินไปอย่างบ้าระห่ำไม่ไตร่ตรองก่อนจนไปถึงจุดที่ต้องเหนี่ยล้าทั้งกายและจิตใจ อย่างที่Daegil ทำหรอกครับ
Q: แล้วถ้าชีวิตคนเรามันไม่ได้เป็นไปตามที่คนคนนึงคิดวางแผนไว้ละคะ?? คุณพูดว่าคุณจะไม่เดินไปอย่างบ้าระห่ำขาดการไตร่ตรองหรอก เพียงแค่คิดแบบนั้นมันไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่โดนชนด้วยหรอกนะคะ??
CSH: ผมคิดว่า Ham Daegil นั้นต่างออกไปนิดหน่อยครับ ผมรู้สึกสงสารคนคนนี้นะครับ เวลาที่ผมมองเค้าผมจะคิดว่า " โว้ว มันเป็นความจริงเลยนะ ที่ว่าสิ่งไหนได้มาง่ายๆก็จะสูญเสียไปง่ายๆเช่นเดียวกัน" ตัวผมไม่เคยพยายามที่จะคว้าอะไรมาได้อย่างง่ายๆ ผมมักจะเดินหน้าลงมือหลังจากที่ได้วางรากฐานบางอย่างเบื้องต้นระดับหนึ่งลงไปก่อนแล้ว ผมลังเลที่จะแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Tazza 2 นี้ในทีแรก แต่หลังจากที่ผมตัดสินใจไปแล้วผมก้ไม่มีความหวั่นเกรงใดๆอีก เพราะในช่วงที่เป็นกังวลกับบทก่อนหน้านั้น 2-3 เดือนผมได้วางพื้นฐานบางอย่างลงไปในโครงการนี้ไปก่อนบ้างแล้วและมันเป็นเวลาที่ผมใช้สร้างมั่นใจขึ้นมา
Q: คำพูดที่โดังดังมากจากบทของ Agui (แสดงโดยคุณKim Yoonsuk) ที่มีอยู่ว่า " ฉันจะพนันเงินทั้งหมดที่มีพร้อมกับมือของฉันด้วย" เรามาลองสมมุติกันดูดีกว่าว่า หากเกิดเหตุการณ์นึงในชีวิตคุณเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญและคุณจำเป็นต้องเลือกพนัน โดยคู่ต่อสู้ของคุณต้องการให้คุณเอาสิ่งที่มีความสำคัญจริงๆต่อคุณลงมาพนัน สิ่งสิ่งนั้นจะคืออะไรคะ??
CSH: อ่าาา เอาอะไรมาพนันดีครับ .....ผมคิดว่าผมสามารถสละชีวิตได้ทุกเวลาครับ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมพูดไว้ว่า หากมันเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญมากจริงๆ ผมพร้อมที่จะสละชีวิตตัวเอง หากผมก้าวเท้าเข้าไปในเกมพนันอะไรแบบนี้ ผมคิดว่าตัวเองจะไม่มีความกลัวใดๆแน่นอน
Q: ชีวิตของคุณเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดงั้นเหรอคะ?? งั้นแทนที่จะเอาชีวิตของคุณ ถ้าหากฉันขอให้คุณเอาเสียงลงมาพนันละคะ?? สำหรับคุณที่รักการแร๊พจะว่ายังไง??
CSH: งั้นผมยอมตายดีกว่าจะมาตัดเส้นเสียงของผมนะครับ (หัวเราะ)
Q: พูดตามตรงนะคะ ในชีวิตของเราการที่จะต้องเจอกับเหตุการณ์ที่เราต้องเอาอะไรในชีวิตลงมาพนันนั้นเป็นเหตุการณ์ที่หายากนะคะ แต่สำหรับพวกคนดังแล้ว ฉันคิดว่ามันคงจะแตกต่างไปอยู่เหมือนกัน เพราะฉันสงสัยว่าพวกนักแสดงหรือนักร้องคงจะต้องเอาตัวลงไปเสี่ยงอยู่ตลอดไม๊คะ??
CSH: อืมมม ผมคิดว่า คนที่เอาตัวลงไปเสี่ยงแบบนั้นมักจะมีอายุขัยสั้นนะครับ เพราะดูเหมือนว่าสุดท้ายแล้วการที่ยอมเสี่ยงก็เพราะมีความต้องการมักใหญ่ใฝ่สูงอยู่ และเพราะคนที่มีความปรารถนาแรงกล้าแบบนั้นก็มักจะเสี่ยงโดยไม่คิดชีวิต หากคุณได้พบคนแบบนั้นคุณจะเห็นว่าพวกเค้ามีชีวิตอยู่อย่างลำบาก นัยตาไม่มีสมาธิ ในความรู้สึกแล้วผมว่าน่าสงสารนะครับ เพราะคนที่มีแรงมักใหญ่ใฝ่สูงเป็นตัวชักนำชีวิตแล้วแทนที่จะได้ดีกลับจากหายไปอย่างรวดเร็วมากกว่า
================
English translation by kwonaventure
Thai Translation by miss mew
(Please take out with credit)
สามารถอ่านพาร์ทสองตามลิงก์นี้ค่ะ พาร์ทสอง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)