สัมภาษณ์ แทยัง นิตยสาร Esquire Korea ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ 2020เมื่อพระอาทิตย์ฉายแสง
Esquire: Hwadap:ตลาดนัดเพื่อการกุศล และการเปิดประมูลสิ่งของโดยแทยังและเพื่อน ในตอนนี้อยู่ในขั้นตอนเตรียมงาน ครั้งนี้เป็นการปรากฏตัวครั้งแรกของคุณเลยหลังจากที่ปลดประจำการจากกองทัพมา
YB: ในตอนที่ผมอยู่ในกรม ผมเอาแต่คิดถึงว่าผมจะออกมาพบกับแฟนๆครั้งแรกยังไงดีหลังจากปลดประจำการ ส่วนใหญ่แล้วพวกเรามักจะพบกับแฟนๆผ่านการแสดงบนเวที แต่โอกาสที่จะขึ้นเวทีมันไม่ได้จะมีขึ้นแบบกะทันหันได้ ผมมีความคิดและความกังวลมากมายและจริงๆแล้วก็มาตระหนักได้ในตอนที่อยู่ในกรมผมคิดว่าตัวเองมีเสื้อผ้ามากมายที่ไม่ได้มีความจำเป็นต้องมีขนาดนั้น ในกรมทหาร คุณแค่สวมเครื่องแบบและชุดที่จะออกไปต่อสู้แค่นี้ก็ทรงประสิทธิภาพแล้ว ผมจึงคิดว่า ที่เรามีนี่มันมากไปไม๊นะ??มันจะมีวิธีดีๆที่จะจัดการกับสิ่งของที่ผมมีบ้างไม๊นะ?? ดังนั้นผมจึงคิดว่าน่าจะเป็นการดีถ้าผมจัดงานตลาดนัดขึ้นมาภายใต้ชื่อของผมเอง แบ่งปันสิ่งของดีๆและบริจาคเงินที่ได้มาเพื่อการกุศล ทีแรกดูเหมือนว่าผมจะประสบปัญหาว่าจะออกมาพบหน้าแฟนๆยังไงดีแต่งานตลาดนัดนี้ดูจะเหมาะสมลงตัวเป็นอย่างดีเทียบกับความคิดมากมายของผมก่อนหน้านี้ ดังนั้นผมจึงจัดการทำมันขึ้นครับ
Esquire: ได้ยินมาว่าแทยังจะเอาสิ่งของมาร่วมในงานกว่า 1 พันชิ้นทีเดียว
YB:ถ้าคุณนับรวมสิ่งของที่เพื่อนๆของผมนำมาร่วมงานด้วยผมคิดว่าจะมีกว่า 2200 ชิ้นเลยครับ บางทีอาจจะมากกว่าด้วย แต่ใช่ครับของส่วนตัวของผมประมาณ 1300 ชิ้น
Esquire: สิ่งของเหล่านี้คืออะไรบ้างครับเนี่ย ทำไมมีมากขนาดนั้น?
YB: ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกเสื้อผ้าครับ ผมสวมชุดเพื่อการแสดงบนเวที และ บางทีใส่เสื้อผ้าของตัวเองขึ้นเวทีด้วย ผลที่ได้จากการทำแบบนี้คือ ผมมีเสื้อผ้าเยอะมาก นอกจากนี้ผมเริ่มที่จะสนใจในเฟอร์นิเจอร์และเริ่มสะสมเฟอร์นิจเจอร์บางชิ้นบ้างแล้ว แต่ความสนใจของคนเราก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยครับ พวกของตบแต่งบ้านและเฟอร์นิเจอร์ที่ผมชอบมันและซื้อมาก็ลงท้ายที่ว่าไม่ได้เอามาใช้ละครับ
Esquire: ของเหล่านั้นไม่รู้สึกว่ามันมีคุณค่าทางใจมากเกินกว่าที่จะปล่อยมือจากมันเหรอครับ?? คุณซื้อของเหล่านั้นมาด้วยเงินของตัวเองเลยนะ
YB: ไม่เลยครับ แต่ผมไม่รู้ว่าชิ้นไหนควรจะสละมันไปมากกว่า อย่างเช่นเสื้อผ้า ผมจะคิดว่าบางทีผมอาจจะต้องใส่พวกมันอีกในอนาคต ดังนั้นผมเลยต้องตั้งมาตรฐานเอาไว้กับพวกเสื้อผ้าว่าเอาเสื้อผ้าที่ใน1-2 ปีให้หลังนี้ผมไม่เคยใส่พวกมันเลยและอาจจะไม่ได้ใส่พวกมันอีกตลอดไป เสื้อผ้าในหมวดนี้คือเสื้อผ้าที่สละออกไปได้ เมื่อคิดถึงนิสัยตัวเองแล้ว ของที่ผมเป็นเจ้าของตอนนี้และไม่ได้ใช้ผมก็น่าจะไม่ต้องการใช้พวกมันในอนาคต และข้าวของพวกนี้ที่ผมเป็นเจ้าของถ้ามันไม่ได้มีความหมายใดๆสำหรับผม ผมก็น่าที่จะแบ่งปันมันออกไปให้กับคนที่จำเป็นต้องใช้ครับ
Esquire: นี่ยังเป็นโอกาสที่จะได้ใช้เวลาจัดระเบียบตัวเองด้วยนะครับเนี่ย
YB: ครับ เมื่อประมาณ4 ปีก่อนผมได้จัดตลาดนัดแบบนี้กับจียง ถ้าความรู้สึกในตอนนั้นเปรียบกับการจัดระเบียบข้าวของ ครั้งนี้ก็น่าจะเป็นการที่ผมได้จัดการวางแผนด้วยตัวเอง ดังนั้นผมก็หวังว่ามันจะประสบความสำเร็จและผมสามารถที่จะทำมันต่อไปเป็นกิจกรรมที่มีปีละครั้งได้
Esquire: กว่าบทสัมภาษณ์นี้จะตีพิมพ์งานก็สิ้นสุดลงแล้วนะครับ (งานมีในวันที่ 18 มกราคม 2020) จะต้องมีคนที่ต้องเสียใจแน่ๆที่รู้เรื่องงานครั้งนี้ช้าไป
YB:ผมหวังว่างานตลาดนัดนี้จะประสบความสำเร็จ ดังนั้นเวลาคนได้ยินว่าจะมีงานตลาดนัดคนจะได้รู้สึกว่า ถ้ามีตลาดนัดก็มีการขายของที่มีสภาพดีในราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่าย ดังนั้นคนที่จะมาร่วมในงานนี้ก็จะมีมากขึ้นเราก็ทำกำไรเพื่อที่จะไปต่อยอดเป็นเรื่องดีๆได้มากขึ้น
Esquire: เราได้ยินมาว่าเงินที่ได้จากงานนี้จะนำไปช่วยการกุศล โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะนำไปช่วยเด็กและวัยรุ่นที่มีความบกพร่องทางการได้ยินเป็นหลัก อาจจะเป็นเพราะว่าแทยังเป็นนักร้องและเข้าใจในความตื่นเต้นที่ดนตรีนำมาให้เลยกังวลเป็นพิเศษเรื่องคนที่มีปัญหาในเรื่องของการบกพร่องทางการได้ยินรึเปล่าครับ??
YB: ผมดูๆไว้หลายที่นะครับว่าจะทำการบริจาคไปที่ไหนและที่นี่คือดึงดูดใจผมมากที่สุด ไม่ว่าจะยังไงผมก็เป็นนักร้อง เป็นคนที่นำเสียงเพลงไปสู่ผู้อื่นให้ผู้อื่นได้ฟังกัน ผมรู้สึกว่าไม่ใช่แค่การได้ยินเสียงเพลงเท่านั้นนะครับ การที่เราได้ยินเสียงต่างๆได้มันก็มีความหมายที่ยิ่งใหญ่แล้ว แน่นอนว่าการมองเห็นก็เป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกัน แต่ผมคิดว่าเสียงที่ไพเราะมันมีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงคนได้มากที่สุด ดังนั้นผมหวังว่างานนี้จะเป็นเหมือนของขวัญชิ้นพิเศษสำหรับคนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินครับ
Esquire: คุณได้พูดถึงว่า ตอนอยู่ในกรมได้ใช้ความคิดมากมาย ชีวิตในกรมเป็นยังไงบ้างครับ?? คนอย่างคุณที่รักการร้องเพลงและทะนุทะนอมการร้องเพลงเป็นชีวิตจริงใจแต่ไม่สามารถที่จะขึ้นเวทีแสดงได้เกือบๆจะ 2 ปีเลย ผมเดาว่าคุณคงคิดถึงการแสดงบนเวทีมากๆเลยทีเดียว
YB: จริงๆผมสนุกมากเลยครับ ผมคิดว่ามันเป็นช่วงเวลาที่จำเป็นในชีวิตของผมนะครับ มันอาจจะเป็นช่วงเวลาที่ยากมากๆสำหรับบางคนและแน่นอนมันมีบางช่วงเวลาที่มันก็ยากมากๆสำหรับผมเช่นกัน แต่โดยรวมแล้วผมรู้สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาที่จำเป็นในชีวิตของผมครับ ถ้าไม่มีช่วงเวลาในกรมผมคงเติบโตเป็นคนไม่สมบูรณ์ขนาดนี้ ผมบอกว่ามันเป็นช่วงเวลาที่น่าสนใจและมีความสุขเพราะผมเริ่มทำงานตั้งแต่อายุยังน้อยและไม่เคยได้มีเวลาพักผ่อนเลย ผมรู้สึกว่าจะมีปัญหาและความเหนื่อยล้าทางใจเสมอในสังคมของเราเริ่มจาก "จะกินอะไรดี??" มันมีปัญหาไม่จบสิ้นในทุกๆเรื่อง แต่ในกรม ผมแค่มีศรัทธาในงานที่ผมต้องทำทุกวันก็เพียงพอแล้ว ดังนั้นสำหรับผมแล้วนี่เป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนครั้งใหญ่ สภาพจิตใจของผมรู้สึกเป็นสุขสบายมากๆครับ
Esquire: มันเป็นช่วงเวลาที่คุณสามารถพักผ่อนได้หลังจากชีวิตมีแต่ความวุ่นวายต้องไปโน้นนี่นั่นอยู่ตลอดเวลา และยังทำให้คุณสามารถเคลียร์ใจให้้โล่งอีกด้วย
YB: ใช่ครับ ผมยังได้สนิทกับเพื่อนที่ผมใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในกรมด้วยสนิทมากๆ ถ้าไม่ใช่เพราะกองทัพ มันคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้รับประสบการณ์ในการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเพื่อนที่มีอายุห่างกันถึง 10 ปีและเราต่างก็มาจากคนละที่ ผมคิดว่าผมได้เรียนรู้มากมาย ในเรื่องของความกังวลใจของเพื่อนๆ วิถีชีวิตของพวกเค้า ผมได้มองเห็นหลายสิ่งหลายอย่างต่างไปจากมุมมองเดิมของตัวเอง ผมมีความรู้สึกมากมายและได้เรียนรู้มากมายครับ
Esquire: คุณรู้สึกอะไรบ้างครับ?? ความแตกต่างที่ว่าคือยังไง??
YB:พวกเค้าอยู่ในวัย 20 ต้นๆจนเกือบจะ20 กลางๆ แต่การใช้ชีวิตของพวกเค้าและสิ่งที่เค้ามีประสบการณ์ร่วมมันเป็นช่องทางที่ต่างจากผมโดยสิ้นเชิง อย่างเช่น ถ้าผมเข้าไปในสังคมออนไลน์อย่าง youtube ผมจะค้นหาเพลงที่ผมชอบ ฟังแล้วก็จะไม่ดูอะไรมากไปกว่านี้ แต่ผมเห็นพวกเค้าดูอะไรที่หลากหลายมากและสนุกสนานไปกับมันในทุกๆช่องทาง ผมจึงคิดว่า " อ่าาา แม้ว่าผมจะทำงานสายนี้มาโดยตลอด แต่มันมีช่องทางหลากหลายมากที่ผู้คนจะได้เข้าไปร่วมรู้สึกและเข้าไปมีประสบการณ์และมีหลายช่องทางที่มีอิทธิพลต่อผู้คนนะ" มันทำให้ผมเปิดความคิดของตัวเองให้กว้างขึ้น
Esquire: คุณคงมีความคิดว่า " ที่เราเคยเห็นมันเป็นแค่ส่วนหนึ่งเองเท่านั้นสินะ"
YB: ใช่เลยครับ ผมทำงานในการโปรดิวเพลง ทำอัลบั้มและทำการแสดงบนเวทีมาอย่างต่อเนือง ทำงานเหล่านี้มานักต่อนักเป็นเวลายาวนาน แต่จากช่วงเวลานั้นมันถึงจุดจุดหนึ่งที่ผมคิดว่าในฐานะคนที่มีชีวิตทำงานแบบนี้มาโดยตลอดผมรู้สึกเลยว่ามันยังมีที่ที่ผมยังไม่ได้มีโอกาสไปสัมผัสอีกหลายอย่าง
ผมได้รับบทบาทในการแสดงที่งานของกองทัพและที่การแสดงเหล่านั้นผมสามารถที่จะได้รับความรู้สึกพื้นฐานต่างๆที่ผมไม่ได้รู้สึกในการแสดงปกติของตัวเอง บางทีผมน่าจะพูดได้ว่าผมรู้สึกว่าผมเป็นนักร้องจริงๆมากขึ้น เพราะถ้าเทียบกับการแสดงปกติของผม การแสดงในงานกองทัพไม่มีอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับเสียงหรือความพร้อมใดๆในเรื่องของการส่งเสริมการแสดง แต่ในฐานะที่เป็นทหารที่อยู่บนเวทีแสดงเพื่อให้ขวัญกำลังใจเพื่อนทหารด้วยกันคุณไม่มีสิทธิ์บ่นในเรื่องอุปกรณ์และความพร้อมในด้านต่างๆและไม่ควรบ่นด้วยครับ แต่ยังไงก็ตามแต่ ผมได้ยืนบนเวทีแบบนั้นและมันทั้งเรียบง่ายที่สุดและมีแค่การเตรียมการพื้นฐานเท่านั้น มีเพียงดนตรีผู้ชม และนั่นมันดูเหมือนจะทำให้ผมเป็นนักร้องมากขึ้น
Esquire: มีดนตรี มีผู้ชม มันคือทุกอย่างแล้ว
YB: ครับ ผมรู้สึกเหมือนกลับไปยังการแสดงเมื่อครั้งที่ทุกอย่างกำลังจะเริ่มต้นขึ้นเมื่อขึ้นเวทีในกองทัพ แบบ " ใช่ !! ผมก็มีการแสดงแบบนี้เหมือนกันนะ" ความรู้สึกแบบนั้นครับ นอกจากนี้เราไม่ได้แสดงต่อหน้าแฟนๆที่มาเพื่อดูเราโดยเฉพาะ แต่ขึ้นแสดงต่อหน้าเพื่อนทหารและครอบครัวของพวกเค้า ผมรู้สึกตื่นเต้นมากๆที่ได้เห็นคนที่ไม่เคยได้ดูการแสดงของเรามาก่อนครับ
Esquire: ตื่นเต้นเหรอครับ? (หัวเราะ) ไม่ได้รู้สึกกลัวเหรอครับ?? เพราะถ้าเป็นแฟนๆคุณก็เชื่อได้แน่ๆว่าพวกเค้าชอบคุณ แต่คุณไม่อาจจะรู้ได้เลยว่าผู้ชมทั่วไปแบบนี้จะชอบคุณรึเปล่า
YB:นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ว่าผมขึ้นแสดงแบบนี้ยิ่งให้ความรู้สึกเหมือนกับตอนที่ผมพึ่งจะเริ่มอาชีพนี้เลยจริงๆสิครับ อย่างที่คุณพูดแฟนๆมาดูคอนเสริ์ตเพราะพวกเค้ารักผมคิดถึงผม แต่นี่ไม่ใช่แบบนั้น ผมยืนบนเวทีต่อหน้าผู้ชมทั่วไป ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่สิ่งที่ผมได้รู้สึกในระยะหลัง ผมรู้สึกประหม่าอยู่ แต่เพราะการแสดงแบบนี้ผมถึงได้รู้สึกถึงความตื่นเต้นที่ได้ยืนบนเวทีเช่นกันครับ
Esquire: กลับรู้สึกว่าได้รับพลังมามากกว่า
YB:ได้รับพลังมาเยอะเลยครับ
Esquire: จริงๆผมได้ยินมาว่าคุณถามทางทีมงานว่า จะเป็นไปได้ไม๊ที่จะไม่ให้สัมภาษณ์ในการเจอกันครั้งนี้ของเรา
YB: อ่าา เหตุผลที่ผมถามไปแบบนั้นเป็นเพราะ คือจริงๆผมชอบการให้สัมภาษณ์มากๆเลยนะครับ แต่... จะพูดยังไงดี..... คือเหมือนว่ามันจะเป็นแบบเดิมแบบนี้ในอนาคตคือ ผมอยากที่จะให้สัมภาษณ์ในแบบที่ระมัดระวังกว่านี้ครับ ในสิ่งที่ผมได้พูดไป แน่นอนว่าในช่วงเวลาที่พูดไปมันได้ให้ใจความตรงตัวถึงความคิดของผมในตอนนั้น แต่คนเราเปลี่ยนไปเมื่อเวลาผ่านไป ผ่านการให้สัมภาษณ์ สิ่งที่ผมพูดถึงในการสัมภาษณ์กลายเป็นภาพสะท้อนตัวตนของผม ผมเลยคิดว่าการให้สัมภาษณ์ควรทำอย่างระมัดระวังครับ ผมแค่สงสัยว่ามันจะดีกว่าไม๊ถ้าผมจะให้สัมภาษณ์ในตอนที่ผมมีสติกว่านี้ นอกจากนี้นี่จะเป็นสัมภาษณ์ครั้งแรกของผมหลังจากปลดประจำการออกจากกรม แม้ว่าผมจะไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นภาระ แต่ผมคิดว่าผมควรจะทำให้ดีเพราะเหตุผลเบื้องต้นครับ
Esquire: ผมเห็นด้วยนะครับ เพราะสิ่งที่คุณพูดในตอนนี้จะคงอยู่ตลอดไปในสื่อสิ่งพิมพ์ แต่ในขณะเดียวกัน ผมไม่คิดว่าจะมีใครตอบคำถามด้วยคำตอบเดิมเสมอนะครับ
YB: ครับ ไม่มี มันเป็นแบบนี้เหมือนกันในกองทัพ คุณมีเวลามากมายที่จะใช้เวลาเหล่านั้นคิดในตอนที่อยู่ในกองทัพ คุณใช้เวลาหมดไปกับการคิด ในตอนที่ผมต้องอยู่เวรในช่วงรุ่งเช้า เพราะมันเป็นเวลาเช้ามากผมเลยรู้สึกอ่อนไหวเป็นพิเศษ นั่นเป็นเวลาที่ผมจะมีความคิดต่างๆมากมายและมันก็เปลี่ยนไปมาในทุกๆนาที
YB: ครับ เหล่านั้นก็ด้วยครับ แต่ว่าความตั้งใจและเป้าหมายต่างๆมันมีมากเลยครับและมันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆด้วย แต่ถ้าคุณถามถึงสิ่งที่ผมใช้เวลาคิดมากที่สุดเลยคือ ผมคิดเรื่องตัวเองครับ ผมคิดว่าผมได้มองย้อนกลับไปดูตัวเองอีกครั้ง ผมรู้สึกขอบคุณสิ่งที่ผมได้รับมาในชีวิตประจำวัน รู้สึกขอบคุณสำหรับเวลาด้วย เช่น เวลาผมอยู่ในสังคมผมไม่ค่อยได้รู้สึกว่า "ช่วงเวลานี้มันมีค่ามากจังเลยนะ" แต่ในกองทัพผมรู้สึกแบบนั้นบ่อยมาก ผมรู้สึกขอบคุณสำหรับเวลาที่ผมได้รับมา นอกจากนี้ผมยังคิดถึงผู้คนรอบตัวผมอย่างมาก และคิดถึงแฟนๆของผมด้วย ผมไม่ได้จะบอกว่าผมจะเป็นคนที่ดีกว่านี้ให้พวกเค้าแต่ง่ายๆเลยคือผมอยากจะมีสัมพันธภาพที่ดีกว่านี้ บางครั้งมันยาก เพราะผมจะต้องพูดสิ่งที่ถูกต้องให้กับพวกเค้าด้วย แต่ถ้าผมต้องการที่จะเป็นคนคนนั้น ผมต้องมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นถ่อมตัวมากขึ้น ผมคิดเรื่องแบบนี้เยอะมากครับ
Esquire: “บางครั้งมันยาก แต่คุณต้องรู้ด้วยว่าจะพูดสิ่งที่ถูกต้องให้กับพวกเค้ายังไง" ประโยคนี้ดังก้องอยู่ในหูเลยครับ
YB: ผมไม่ต้องการที่จะดูเหมือนคนดี คนใจดี เหมือนผมเสแสร้งแกล้งทำว่าเป็นในอะไรบางอย่าง ผมคิดว่าถ้าหากมีใครบางคนที่คุณรักเค้า ถ้าคุณรักเค้าจริงๆ บางครั้งแม้ว่ามันจะยากลำบาก แต่คุณจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะบอกสิ่งที่ถูกต้องให้กับเค้า เราจะสื่อสารกันยังไงให้มันถูกต้อง นี่แหละปัญหา ผมคิดว่านี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในกองทัพเหมือนกันนะครับ เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับทุกคนที่จะสื่อสารกับเพื่อนที่มาจากสิ่งแวดล้อมและโลกที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ไม่ว่าจะยังไงเราจำเป็นจะต้องใช้ชีวิตร่วมกันเป็นเวลายาวนาน ดังนั้นผมคิดว่าผมก็ค่อยๆเรียนรู้และเริ่มเข้าใจมันด้วยเหมือนกัน
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการให้คนคนหนึ่งเข้าใจและสื่อความหมายของผมให้ตรงที่สุดซึ่งเราจะต้องพูดออกไปอย่างสัตย์จริง ผมคิดว่าวิธีที่ดีที่สุดในการสื่อสารคือการอธิบายมันออกไปในวิธีที่ซื่อสัตย์ที่สุดด้วยวิธีนี้เราจะสามารถเข้าใจกันได้และเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน เพราะท้ายที่สุดแล้ว เสียงดนตรีมันก็คือการสื่อสารกับผู้ฟังเช่นกัน ดังนั้นแล้ว เราจำเป็นต้องสื่อสารกันครับ
Esquire: ถ้าในบริบทนั้น แทยังก็ดูเหมือนจะเป็นคนที่มาจากโลกอีกโลกนึงสำหรับคนอื่น
YB: ครับ ทีแรกพวกเค้าอยากรู้อยากเห็นในตัวผม ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อนๆเหล่านี้ที่มีอายุต่างไปถึง 10 ปีเติบโตมากับการฟังเพลงของพวกเรา ย้อนไปในตอนนั้นพวกเค้าพึ่งอยู่ ปอ 6 หรือ มอ 1 ซึ่งเป็นช่วงอายุที่พวกเค้าเริ่มสนใจในเสียงเพลงและดารานักร้องพอดี พวกเค้าไม่ได้ทำตัวออกห่างเพราะเติบโตมากับเพลงของพวกเราและเฝ้ามองพวกเรา ดังนั้นผมจะเหมือนพี่ชายข้างบ้านมากกว่า หลังจากนั้นก็จบลงที่พวกเราใช้เวลาร่วมกันและต่างก็ร่วมแบ่งปันสารทุกข์สุกดิบเหมือนกับทหารทั่วไป "เราควรจะจบการฝึกในด่านนี้ให้สำเร็จยังไงดี??" หรือ "มาทำแบบนี้กันดีกว่า จากนั้นจะได้วันหยุดพักพร้อมกันไปเลย" อะไรทำนองนี้ครับ
Esquire: คุณได้วันหยุดพักด้วยเหรอครับ?? แล้ว??
YB:ผมพยายามอย่างมากที่จะให้ได้รับวันหยุดพักครับ (หัวเราะ) เพราะผมอยู่ในหน่วยปืนใหญ่ คนที่อยู่ในหน่วยนี้จะเข้าใจ ถ้าคุณยิงปืนได้ดีและทำภารกิจเสร็จสิ้นรวดเร็ว คุณจะได้รับวันหยุด ในการฝึกขั้นพื้นฐานถ้าคุณทำการฝึกได้ดีโดยไม่มีอุบัติเหตุใดๆและได้รับผลลัพท์ที่ดีก็ไม่อาจจะการันตีได้ว่าคุณจะได้รับวันหยุดมันยังขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้บังคับบัญชาอีกครับ ดังนั้นในหน่วยผมถ้าคุณเสร็จสิ้นการฝึกได้อย่างดี คุณจะได้รับการดูแลอย่างมากเทียบเท่ากับความลำบากที่คุณได้ใช้ไปครับ
Esquire: ผมรู้สึกว่าคุณมีความสุขมากจริงๆในการใช้ชีวิตอยู่ในกรม ขนาดตอนนี้ที่คุณย้อนคิดไปถึงมัน คุณดูตื่นเต้นและมีความสุขมากๆ
YB:ครับ (หัวเราะ) มันน่าสนใจมากที่ได้รู้สึกถึงความสำเร็จในแบบที่ต่างไปจากตอนที่เราใช้ชีวิตอยู่ในสังคม และการได้ประสบกับความรู้สึกประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานในแบบที่ต่างไปครับ
Esquire: จนตอนนี้คุณได้พูดว่า "ผมได้เรียนรู้มากมายจากการใช้ชีวิตในกองทัพ" "ถึงแม้ว่าพวกเค้าจะเป็นเพื่อนที่พึ่งเคยได้พบกันเป็นครั้งแรก แต่ก็ต้องขอบคุณกำลังใจและแรงสนับสนุนจากพวกเค้าที่ทำให้ผมสามารถมีความสุขได้" แต่ผมคิดว่า แทยังเป็นคนที่จะสร้างความกลมกลืนกับผู้อื่นได้ตั้งแต่ทีแรกแล้วมากกว่ารึเปล่า ตัวผมยังไม่เคยได้เข้ากรมเลยยังไม่อาจจะเข้าใจได้ แต่การที่คนเราต้องมารวมกลุ่มกันอย่างกลุ่มกองในกองทัพแบบนี้ไม่ใช่ทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนที่วางไว้หรือตามแนวทางได้อย่างง่ายๆ บางทีคุณน่าจะต้องพยายามอย่างหนักมากหรือต้องพยายามทำให้คนอื่นเชื่อใจคุณมากๆ แต่ยังไงก็ตามแต่ ผมรู้สึกว่าแทยังเป็นคนที่จะทำตัวกลมกลืนไปได้อยู่แล้ว
YB: จากการใช้ชีวิตในกองทัพ ผมได้รับอะไรมามากมายครับ และหนึ่งในนั้นคือผมรู้สึกว่าตัวเองเคยมีอิสระมากๆ ในขณะเดียวกันผมสามารถจะรู้สึกมีอิสระที่ไหนๆก็ได้ถ้าผมรู้สึกว่าตัวเองมีอิสระได้ในกองทัพ ผมมั่นใจว่าไม่ว่าจะในสถานการณ์จวนตัวแค่ไหนผมก็สามารถที่จะเป็นคนที่จัดการตัวเองเป็นตัวของตัวเองได้และมีอิสระมากขึ้นได้ครับ
Esquire : บางทีโอกาสที่ใกล้เคียงที่สุดที่จะให้คุณได้แสดงออกถึงความมั่นใจนั้นได้น่าจะคือการแสดงบนเวที Coachella Music Festival ในเดือนเมษายนนี้นะครับ
YB:ครับ นั่นจะเป็นครั้งแรกที่ผมจะได้พบกับแฟนๆบนเวทีเป็นครั้งแรกหลังจากปลดประจำการมา นี่ยังเป็นโอกาสที่ผมจะได้แสดงออกถึงสิ่งที่ผมไม่เคยได้ทำมาก่อนบนเวทีการแสดงอีกด้วย ส่วนตัวแล้วผมตั้งหน้าตั้งตารอคอยมันมากทีเดียวครับ นอกจากนี้ก็มีความกังวลมากเหมือนกัน มันจำเป็นจะต้องมีการทำงานมากมายให้มันลุล่วงไปได้ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ผมจะทำคนเดียวได้ แต่นี่ดูจะเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่มากของพวกเรา ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม หากเราสามารถสร้างโชว์ที่ยิ่งใหญ่ด้วยการแสดงของพวกเราออกมาให้ได้ ผมคิดว่ามันจะมีความหมายมากๆครับ
Esquire:คำเชิญมาจากทาง Coachella ใช่ไม๊ครับ?
YB: ครับ พวกเค้าส่งข้อเสนอมา 1 ในการแสดงที่เป็นข่าวพาดหัวเลยคือวงตำนานเพลงแร๊พอย่าง RATM (Rage Against The Machine) พวกเค้าก็กลับมารวมตัวกันเป็นครั้งแรกในงานเทศกาลดนตรีนี้หลังจากแยกย้ายกันไปกว่า 10 ปี ผมคิดว่าเราได้รับข้อเสนอให้ไปแสดงในงานเทศกาลดนตรีนี้เพราะความคิดเดียวกันครับ
Esquire: สมาชิกในวงได้พูดคุยกันก่อนไม๊ครับว่า จะรับข้อเสนอนี้หรือเปล่า??
YB: มีความกังวลกันมากเลยครับ ไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็ไม่ง่ายสำหรับพวกเราในตอนนี้ ไม่ว่าเราจะตัดสินใจยังไง เราไม่รู้ว่าเวลานี้จะเป็นเวลาที่ดีไม๊ หรือมันเป็นเวลาที่เร็วไปไม๊ เราจะมีภาพพจน์ที่แย่รึเปล่า? เลยเป็นเหตุผลที่ผมคุยกับสมาชิกวงอย่างมาก จริงๆแล้วพวกเรามีการพูดคุยกันเยอะมากๆๆก่อนที่จะได้รับข้อเสนอจาก Coachella อีกนะครับ แต่มันไม่มีคำตอบที่ถูกต้องหรอก เราคิดกันเยอะมากว่าจะทำยังไงหลังจากที่ปลดประจำการออกจากกรมมากันแล้ว และเราก้ได้รับข้อเสนอนี้มาอย่างไม่ได้คาดหวังกันมาก่อน เราเลยเห็นพ้องตรงกันว่าจะลองดู
Esquire: พร้อมรึยังครับ??
YB: ก็เหมือนกับผมแหละครับ ทุกคนพึ่งปลดประจำการออกจากรมกันมาได้ไม่นาน ก่อนอื่นเลยพวกเราออกกำลังกายกันทุกวันดูแลเรื่องของสภาพร่างกายเพื่อที่จะให้สภาพร่างกายพร้อมสำหรับการขึ้นเวที
Esquire: ผมไม่รู้ว่าคุณเห็นรึเปล่านะครับแต่ข่าวออกมากันไม่หยุดเลย อันนี้คือส่วนหนึ่งของนิตยสาร Billboard “วงบิกแบงที่ผ่านช่วงขาขึ้นและขาลงมามากมายตั้งแต่อัลบั้มล่าสุดในปี 2016 ได้กลับมาแล้ว" ในเกาหลีก็มีความคิดเห็นมากมายที่รู้สึกว่ามันยังเร็วเกินไป
YB:ถ้าเป็นไปได้ ผมแค่อยากจะทำการแสดงบนเวทีให้ออกมาดีมากๆเท่านั้นเองที่ Coachella
Esquire: พูดตามตรงนะครับถ้าผมเป็นแทยัง ผมคงคิดว่ามันไม่ยุติธรรมเลย พูดตามจริงนะครับ ตั้งแต่เดบิวต์มาแทยังไม่เคยได้ทำเรื่องวุ่นวายใดๆเลย
YB: ง่ายๆเลย ผมแค่อยากจะทำงานผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปด้วยกันในวิธีที่เป็นจริงที่สุดและฉลาดที่สุด สำหรับผม ผมใช้ชีวิตครึ่งนึงของตัวเองทำงานกับวงที่มีชื่อว่า บิกแบง และทำงานในชื่อของแทยังแห่งวงบิกแบง ผมได้สร้างสายสัมพันธ์กับผู้คนที่ผมได้เจอเพราะวงวงนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุด ผมเป็นที่รักของแฟนๆมากมายในขณะที่ผมอยู่ในวงนี้และเล่นดนตรี ดังนั้นผมคิดว่าผมย่อมมีความรับผิดชอบในทุกเรื่องเหมือนกัน นี่เป็นเรื่องของผมเหมือนกันที่จะต้องทำให้ดีที่สุดและผ่านเรื่องทุกเรื่องไปด้วยกันครับ
Esquire: โดยนิสัยแล้วแทยังเป็นคนที่มักจะพัฒนาตัวเองอยู่เสมอไม๊ครับ??
YB: ผมว่าผมมีแนวโน้มว่าจะเป็นแบบนั้นนะครับผมไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนดังที่ชอบสร้างหัวข้อข่าวไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี และนั้นเป็นเหตุผลที่ว่าครั้งนึงผมเคยพูดว่า การสวมฐานะคนดังดูจะไม่ใช่สิ่งที่เหมาะกับตัวผม ผมไม่อยากให้ตัวเองเป็นที่พูดถึงในแวดวงออนไลน์ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องดีหรือเรื่องร้าย ผมแค่คิดว่าสิ่งที่มีความหมายมากที่สุดคือ การทำงานเพลง และผมก็มีความสุขที่ได้ทำมัน แทนที่จะพูดว่าผมเป็นคนที่พัฒนาตัวเองอยู่เสมอน่าจะพูดว่ามันเป็นแนวโน้มตามธรรมชาติมากกว่าครับ ในขณะที่อยู่ในกองทัพก็ด้วยนะครับ ดูเหมือนว่าจะมีช่วงเวลาที่ผมมีความคิดว่า " อ่าาา นี่คือเราสินะ"
Esquire: คำตอบนี้ทำให้ผมนึกถึงสิ่งที่คุณพูดเมื่อครู่นี้เกี่ยวกับแสดงบนเวทีในกองทัพว่าความรู้สึกเหมือนย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้น ความรู้สึกที่คุณลืมมันไปแล้ว
YB: ใช่เลยครับ ถ้าผมพูดว่า " อ่าา นี่คือเราสินะ" ในบริบทมีมีทั้งด้านที่ดีของผมและด้านที่ไม่ดีของผมด้วยนะครับ ผมไม่อาจจะบอกความแตกต่างของทั้งสองด้านนี้ได้เมื่อตอนที่ผมยังเด็ก แต่หลังจากที่โตขึ้นและการได้ใช้เวลาในกองทัพ ในตอนนี้ผมสามารถที่จะตระหนักรู้ได้ถึงตัวตนของตัวเองในแง่มุมต่างๆได้อย่างซื่อสัตย์ ถึงแม้ว่ายังมีอีกหลายอย่างที่ผมยังขาดไปในตอนนี้ ทั้งหมดที่ผมคิดคือการชดเชยให้กับสิ่งที่ผมขาดไปด้วยผมที่ดีขึ้นกว่าเดิม
Esquire: สิ่งที่ไม่ดีคืออะไรบ้างละครับ??
YB: มีเยอะมากครับ ผมรู้สึกว่าตัวเองยังขาดอะไรไปอีกเยอะมาก ผมไม่รู้จะอธิบายออกมายังไง เช่น ผมอยากที่จะติดต่อกับคนอื่นอีกมากมายและอยากจะสนิทกับพวกเค้า แต่ผมรู้สึกว่าตัวเองยังทำได้ไม่ดีพอในเรื่องนี้ มันสำคัญนะครับ ผมรู้ว่าไม่ใช่ว่าผมยังดีไม่พอในเรื่องนี้แต่จริงๆในเรื่องนี้ผมแย่เลยละแต่ผมหวังว่าผมจะทำได้ดีขึ้นไม่ใช่ว่าตัวเองบังคับตัวเองให้ลงมือทำ แต่ผมหวังว่าผมจะสามารถดูแลผู้อื่นได้อย่างเต็มใจมากกว่านี้ ทั้งนี้ทั้งนั้นผมรู้สึกว่าตัวเองพูดเรื่องช่วงเวลาในกองทัพมากเกินไปแล้ว
Esquire: ก็เพราะว่านี่เป็นรอยเท้าในชีวิตรอยล่าสุดที่คุณพึ่งเหยียบลงไปนะครับ จากรอยเท้านี้ดูเหมือนคุณได้เรียนรู้และค้นพบอะไรหลายอย่างจากมันเลย
YB:จริงครับ ผมคิดว่าสิ่งที่ผมได้คันพบมากที่สุดเลยคือ ตัวผมเอง
FASHION EDITOR 고동휘
FEATURES EDITOR 김은희
PHOTOGRAPHER 김희준
STYLING 지은
MAKEUP 원조연
NAIL 박은경
PROP STYLING 김경민
ASSISTANT 이기연
DIGITAL DESIGNER 이효진
Thanks to Redsun for the translations and onebluemouse for putting this together.
Eng Translated by redsun for alwaystaeyang.wordpress.com
Thai Translated by Miss mew
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น